11.วิชาการเกษตร

                                      วิชาการเกษตร

       
   -วิชาการเกษตร  แบ่งออกเป็น  ๖  ชนิด  คือ:-
      ๑.เกษตรอินทรีย์
      ๒.เกษตรปลอดสารพิษ
      ๓.เกษตรไร้ดิน
      ๔.เกษตรพอเพียง

        ๕.เกษตรบนแผ่นกระดาษ

      ๖.สรรพคุณของสมุนไพรไทย
      เกษตรอินทรีย์

   http://www.greennet.or.th/article/organic-farming/principles
   http://www.environnet.in.th/2014/?p=7386
   http://www.kasetorganic.com/
   http://www.oknation.net/blog/teetatfarm/2013/01/04/entry-1
   http://www.actorganic-cert.or.th/
   [DOC]ความรู้ทั่วไปเกษตรอินทรีย์  

      เกษตรอินทรีย์จาก Youtube
   https://www.youtube.com/watch?v=xgfLI6i3uwk
     เกษตรปลอดสารพิษ
   http://www.thaigreenagro.com/Default2.aspx
   http://www.nanagarden.com/shop/4635
   http://www.mcc.cmu.ac.th/AcademicServices/safeveg/
   http://www.greennet.or.th/article/1077
   http://www.phikanes.com/?gclid=Cj0KEQjw1duqBRDPlLKsuJCUiuABEiQAxgHwJyKwE7d7dXpJct2vdoP1vKN7PJ-IU4_qhy-sLvnTT1MaAtA48P8HAQ

    เกษตรปลอดสารพิษ จาก Youtube
   https://www.youtube.com/watch?v=O3jKj-mRPug
    เกษตรไร้ดิน
   http://www.thaihydrohobby.com/
  
http://www.hydroponicsthai.com/
   http://www.muangthai.com/thaidata/19510/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B9%84%E0%B8
   http://www.ratchaburi.kmutt.ac.th/abcproject/base/hydroponic.html
   http://www.rakjung.com/cropping-no7.html
   http://www.tistr.or.th/bsd/hydroponic.html
   http://www.bangsaiagro.com/
   เกษตรไร้ดิน จาก Youtube
  
https://www.youtube.com/watch?v=MDAt4sV2flo
     เกษตรพอเพียง
  
http://www.kasetporpeang.com/
   http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php
   http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?board=2.0
   http://www.kasetporpeangclub.com/
  
http://www.oknation.net/blog/prakim2013/2013/03/10/entry-1

    https://manowkanyarat.wordpress.com/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86%E0%B8%82%E0
     เกษตรพอเพียง จาก Youtube
   https://www.youtube.com/watch?v=DHRqxoJn87E
  
https://www.youtube.com/watch?v=dQTK8mEMAJA
    เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ
     
ผลการค้นหา แท็ก "เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ"
     เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ - facebook.com
     "มะม่วงงาช้างแดง" มีกิ่งตอนรุ่นใหม่ขายแล้ว - ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ - th-th.facebook.com
     เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ | ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย
     เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ - nanfuichaoherb.lnwshop.com
     เกษตรกร บน แผ่น กระดาษ ไทยรัฐ [ตลาดใหญ่™]
     ขายขนมกระดาษ ครบทุกแบบ
     สมุนไพรแก้คราบบุหรี่กาแฟติดฟัน

        สรรพคุณของสมุนไพรไทย

   http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/

  http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_200.htm

  https://www.youtube.com/watch?v=GgqAzDFqE5Y

       ประโยชน์ของผลไม้ชนิดต่างๆ
         http://www.fruitnflora.com/nutrition-of-fruit

           ลุงไสว  ศรียา

     

        เกษตรกรสมองเพชรคนที่ ๑    

  ลุงไสว  ศรียา  เป็นเกษตรกรนักคิดเศรษฐกิจพอเพียงสมองเพชรชาวนครนายก

   จากภารโรงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง วันดีคืนดี สองมือของเขากลับสามารถเสก "ดิน" ให้กลายเป็น "เงิน" เสก "ต้นไม้" ให้กลายเป็น "ทอง" ส่วนตัวเขาเองก็กลายมาเป็นเกษตรกรผู้รอบรู้ จากไอเดียมากมายที่ผุดขึ้นในหัว ลองไปติดตามเรื่องราวชีวิตนักสู้ของ "ลุงไสว ศรียา" ผู้ที่ทำให้ชีวิตตัวเองกลายมาเป็น "เพชร" จากรายการ ทูไนท์โชว์ เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมากัน
    ลุงไสว ศรียา พูดจาฉะฉานอย่างอารมณ์ดีว่า แม้ตัวเองจะอายุ 71 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีไฟอยู่ ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเคยเป็นภารโรงที่มีนักเรียนรักมากมาย เพราะเขาเป็นคนใจดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออก เพราะคิดว่าเงินเดือนภารโรงที่ได้คงไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงลูกทั้ง 4 คน ซึ่งวันที่ลาออกนั้น บรรดานักเรียนที่คุ้นเคยกับคุณลุงหลายคนถึงกับร้องไห้ไม่อยากให้คุณลุงจากโรงเรียนไปเลยทีเดียว
   หลังจากลาออก คุณลุงไสวก็มานั่งคิดอยู่ที่บ้านในจังหวัดนครนายกว่าจะทำอะไรดี เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แล้ววันหนึ่งคุณลุงก็ได้เจอกับ คุณถาวร ชูผล เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเกษตรจังหวัดนครนายก เข้ามาแนะนำให้คุณลุงทำสวน ซึ่งตอนนั้น
คุณลุงก็ลังเลว่าจะไปทำสวนได้อย่างไร ความรู้อะไรเลยก็ไม่มี แต่คุณถาวรก็บอกว่าจะสอนให้ คุณลุงจึงตัดสินใจลองทำดู เพราะที่บ้านก็พอมีที่ดินอยู่

  ที่อยู่:  บ้านหินตั้ง   ต.หินตั้ง   อ.เมือง   จ.เลย   ร.26000

  โทรศัพท์: 037-384093

                  086-3205358

   รายละเอียดเกี่ยวกับผลงานของลุงไหวเชิญคลิกดูข้างล่าง

   http://xn--q3cscogj5dwa.com/

   http://xn--q3cscogj5dwa.com/?page_id=3863

   http://www.stou.ac.th/stoukc/elder/main3_31.html

   http://ostatic.tnamcot.com/content/105571

   http://ostatic.tnamcot.com/content/156486

   http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05062010457&srcday=&search=no

   https://hilight.kapook.com/view/83603

   https://www.youtube.com/watch?v=h_LYJ3gypWU 

    เกษตกรสมองเพชรคนที่ ๒

   

      อาจารย์ทอง     ธรรมดา  
    ทอง ธรรมดา ทำเกษตรให้รวย อย่าทำไล่ แต่แนะให้ทำสวนกระแส
โดย MONMAI | วันที่ 18 ธันวาคม 2555
www.monmai.com
   ทอง ธรรมดา หรือ นายวีรยุทธ ศรีเลอจันทร์ เกษตรกรที่มีความรักในธรรมชาติและมองเห็นธรรมชาติคือสิ่งสำคัญ จึงเป็นสิ่งดลใจให้ทำการเกษตรและหาประสบการณ์จริงจากการปฏิบัติมานานกว่า 20 ปี โดดเด่นด้านการปลูกมะนาวไร้เมล็ดจนสามารถสร้างผล
ผลิตส่งออกไปประเทศไต้หวัน เป็นเกษตรกรที่มีความคิดใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการเกษตรของตนด้วยเทคนิคต่างๆ ที่คิดค้นขึ้นจนเป็นที่รู้จักของปราชญ์และเกษตรกรจากหลายที่หลายถิ่น เป็นนักเขียนคอลัมน์โดยใช้นามปากกา อาจารย์ทอง ธรรมดา
   ในภาวะปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม พลังงาน กำลังเดินเข้าสู่วิกฤติ อาหารและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นที่ต้องการมากขึ้น ขณะที่ประชากรเพิ่มจำนวนขึ้นที่ดินทำการเกษตรลดลง ทรัพยากรเสื่อมโทรม เป็นโจทย์ที่กำลังท้าทายสำหรับคนในวงการเกษตร และคนที่เห็นว่าเกษตรเป็นฐานที่สำคัญในการพึ่งพาตนเอง รูปแบบการทำเกษตรแบบผสมผสานแบบประณีตจึงเป็นรูปแบบที่กำลังได้รับความสนใจและให้ความสำคัญ หนังสือเล่มนี้ได้ปรับปรุงเนื้อหาจากหนังสือ เกษตรประณีต 1 ไร่พึ่งตนเอง ให้มีความแตกต่างที่มีการพัฒนาเทคนิควิธีการและการจัดการให้ผลผลิตสูงขึ้นจนสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในพื้นที่อันจำกัด เกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติจะสามารถพึ่งตนเองทางอาหารได้สำเร็จ
   นายวีรยุทธ ศรีเลอจันทร์ ประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงวิสาหกิจชุมชนเพชรพิมาย อำเภอพิมายจังหวัดนครราชสีมา และเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดปี 53 ที่ชาวบ้านรู้จักกันในชื่อ อาจารย์ทอง ธรรมดา ได้ทดลองและคิดค้นวิธีการปลูกมันสำปะหลังให้ได้
ผลผลิตมากกว่า 20 กิโลกรัมต่อ ไร่ และได้คุณภาพแป้งมัน 30% โดยสามารถใช้ได้กับพันธุ์สำปะหลังทุกพันธุ์
  เทคนิคการปลูกมันสำปะหลังให้ได้ผลผลิตดี
อาจารย์ทอง ธรรมดา ได้ทดลองและคิดค้นวิธีการปลูกมันสำปะหลังให้ได้ผลผลิตมากกว่า 20 กิโลกรัมต่อ ไร่ และได้คุณภาพแป้งมัน 30% โดยสามารถใช้ได้กับพันธุ์สำปะหลังทุกพันธุ์
   วิธีการปลูกมันสำปะหลังที่ดีที่สุดนั้น นายวีรยุทธฯ บอกว่าการปลูกมันสำปะหลังควรจะปลูกช่วงต้นฤดูฝน (ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม)เพราะจะทำให้มันสำปะหลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและต้องเตรียมแปลงดินสำหรับเพาะปลูกให้พร้อมด้วยการใส่ปุ๋ยคอก
หรือปุ๋ยหมักโดยใช้กากอ้อยผสมกับกากมันสำปะหลังอย่างละ 1,000 กิโลกรัม ต่อพื้นที่เพาะปลูก 1 ไร่ (กากอ้อยผสมกับกากมันสำปะหลังทดลองแล้วได้ผลดีที่สุด)ขั้นตอนต่อไปต้องคัดเลือกท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่สมบูรณ์นำท่อนพันธุ์ไปแช่ในน้ำยาเร่งราก
(มีขายตามท้องตลาดทั่วไป) จากนั้นก็นำท่อนพันธุ์มันสำปะหลังไปตัดเพื่อเตรียมเพาะปลูกโดยจะต้องตัดท่อนพันธุ์ให้เฉียง 45 องศา เพราะการตัดท่อนพันธุ์เฉียงจะให้ผลผลิตมากกว่าการตัดท่อนพันธุ์ตรงๆจากนั้นนำท่อนพันธุ์ที่ตัดแล้วไปปักลงบนดินโดยจะต้องปักท่อนมันให้เอียงทำมุมกับพื้นดิน 45 องศาด้วยเช่นกันทั้งนี้เพื่อให้ผลผลิตมันสำปะหลังเจริญเติบโตได้เต็มที่และเมื่อปลูกได้ระยะเวลาเดือนที่ 2 เข้าสู่เดือนที่ 3ก็ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงราก โดยใช้อัตราส่วน 30 กิโลกรัม ต่อ ไร่ซึ่งช่วงระยะเวลา 3เดือนแรกที่ปลูกมัน
สำปะหลังแล้วจะต้องดูแลไม่ให้หญ้าหรือวัชพืชขึ้นรก เพราะว่าหญ้าและวัชพืชจะไปแย่งอาหารของมันสำปะหลัง
   การทดลองปลูกวิธีดังกล่าวเกษตรกรจะใส่ปุ๋ยเพียงแค่ครั้งเดียวและทำรุ่น (กำจัดวัชพืช) เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นและจากการทดลองมาเกือบ 10 ปีพบว่า วิธีนี้สามารถให้ผลผลิตมันสำปะหลังมาก15 ถึง 23 กิโลกรัม ต่อ ไร่โดยที่เกษตรกรใช้งบประมาณใน
การลงทุนไม่แตกต่างไปจากการปลูกแบบเดิม หากเกษตรกรรายใดสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงวิสาหกิจชุมชนเพชรพิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
เทคนิคการปลูกมะนาวจากกิ่งชำให้ติดลูกดก
คุณวีระยุทธ ศรีเลอจันทร์ หมอดิน อ.พิมาย ผู้ปลูกมะนาวไร้เมล็ด ให้คำแนะนำ ถึงเทคนิควิธีการปลูกมะนาวด้วยการจัดระบบราก ก่อนปลูกว่า ให้เริ่มจากการขุดหลุมให้มีความกว้าง 50 ซ.ม. ลึก 1 ศอก แล้วนำปุ๋ยคอก 1 กระสอบ มาเทลงหลุมแล้วนำฟางมาคลุมทับ รดน้ำให้ชุ่ม 5 วัน ก่อนจะนำกิ่งชำมาปลูก ซึ่งก่อนที่จะนำกิ่งชำมาปลูก ต้องตรวจสอบดูที่ระบบรากก่อน โดยนำกิ่งชำไปแช่น้ำล้างดินออกให้หมด เพื่อดูระบบรากว่ารากว่าขดมากหรือไม่ ถ้ารากขดให้จัดระบบรากก่อนปลูก โดยการยืดรากให้แผ่ออกให้มากที่สุดจึงจะนำลงหลุมปลูกได้ เพราะการจัดระบบรากก่อนปลูกจะทำให้รากมะนาวแผ่กระจาย หากินได้ดีกว่าปลูกทั้งๆ ที่มีรากขด และจากประสบการณ์ที่ใช้วิธีการจัดระบบรากกิ่งชำก่อนปลูกมานาน ทำให้รู้ว่าการจัดระบบรากมีส่วนช่วยให้มะนาวโตเร็วขึ้น และให้ผลผลิตดีขึ้นด้วย เมื่อเทียบกับต้นที่ไม่ได้จัดระบบราก แต่ ถ้าพบว่ากิ่งชำมีรากแค่ 2-3 ราก ก็ไม่ควรนำมาปลูกเพราะจะทำให้ต้นโตช้า กินอาหารได้น้อย สำหรับเวลาที่เหมาะสมในการปลูกมะนาว ก็คือ ช่วงเย็นตอนที่มีแดดอ่อนๆ เมื่อปลูกเสร็จแล้วควรนำฟางมาคลุมปากหลุมแล้วรดน้ำให้ชุ่ม
การปลูกมะละกอ
การปลูกมะละกอจากแปลงตัวอย่าง เขาปลูกหลุมละ 3 ต้น จะเลือกที่เป็นกระเทยไว้ อีก 2 ต้นตัดทิ้ง เพื่อคัดเลือกเพศ มีตัวผู้ ตัวเมีย และกระเทย กระเทยจะมี 3 อย่าง ในต้นเดียวคือ
   1. พันธุ์อีลองกาตา มีลักษณะ ลูกยาวและสวยไม่มีร่อง
  2. เพนเทินเดรีย มีลักษณะ ลูกอ้วนท้ายอ้วน
  3. อิเตอร์มิเดีย มีลักษณะ ลูกเบี้ยว
เพราะฉะนั้นจะไม่รู้เพศตอนที่ลูกมะละกอออกมา บางทีเหลือไว้ต้นหนึ่งแต่ดันกลายเป็นลูกเบี้ยว แต่อีกสองต้นตัดทิ้งไปแล้ว ถ้าจะปล่อยให้ต้นโตไปพร้อมๆ กันทั้ง 3 ต้นก็ไม่ได้เพราะพื้นที่ไม่พอ พื้นที่แคบไปมันจะไปแย่งกันโต ต้นตั้งสวนกันขึ้น จึงทำการโน้ม
ต้นลงไปเพื่อให้มีเวลาในการเลือกสายพันธุ์ นี่ก็เป็นภูมิปัญญาที่ได้ทดลองทำแล้วได้ผลสำเร็จจริง
ข้อแนะนำสำหรับการปลูกมะละกอ
หากยังไม่ชำนาญให้ทำตอนบ่ายเพราะถ้าทำตอนเช้าต้นมะละกอจะสดเกินไป ถ้าไปโน้มต้นแรงๆ อาจทำให้ต้นหักได้ แต่ช่วงบ่ายต้นมะละกอจะเหี่ยวเนื่องลำต้นมีการคายน้ำออกบ้าง ทำช่วงบ่ายจะดีกว่า ช่วงที่คักเลือกเพศ จะต้องมีความระมัดระวังเรื่องของเพลี้ยตัว
ออนกินใบมะละกอ และจะทำให้เกิดโรคไวรัสวงแหวน โรคใบด่าง และโรคอื่นๆ ได้ ควรปลูกในช่วงเข้าพรรษา เพราะนับไปอีก 6 เดือน จะได้ขายผลผลิตที่ได้ราคาดี มะละกอดิบจะมีราคาแพงในช่วงเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน ควรวางแผนให้ดีในการปลูก
ด้วยจากตัวอย่างแปลงเพาะปลูกมะละกอแบบโน้มต้นนั้น ต้นกล้าที่ปลูกไว้ 3 ต้น พอปลูกไปแล้ว มีการทำการโน้มต้น ต้นออกผลแล้วมาดูว่าต้นไหนออกลูกสวย ก็จะตัดต้นที่ไม่สวยออก เอาแต่ต้นที่มีลูกสวยยาวนั่น หรือการเลือกสายพันธุ์มะละกอ ก็คือพันธุ์ อีลองกาตา
   มะละกอ เป็นพืชอวบน้ำจะชอบดินทรายมากกว่า ถ้าเป็นดินเหนียวน้ำขังจะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบรากเน่าโคนเน่า วิธีแก้โรคเพลี้ยโรคใบด่าง โดยทำการโน้มต้น และใช้สมุนไพร เช่น ยาสูบ บอระเพ็ด ต้มเอาน้ำมาทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาฉีดต้นมะละกอได้
การปลูกมะละกอโน้มต้น แบบนี้วิธีการคือ ต้นมะละกอที่ตั้งขึ้นนั้น สามารถโน้มไปแต่ละทิศได้ตามต้องการ โดยการโน้มต้นทีละนิดๆ พักทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือน เพื่อให้ต้นมะละกอปรับตัว แต่หากโน้มมากต้นจะหักหรือโค่นได้ ในการโน้มนั้นหลังจากที่เราได้
โน้มต้นมะละกอแล้ว ใช้หลักตอกลงไปในดินแล้วใช้เชือกฟางมัดต้นมะละกอให้ติดกับหลักที่ตอกไว้ หรือดัดแปลงทำการใช้เชือกดึงรั้งต้นไว้ วิธีนี้ต้นมะละกอจะไม่โค้งเบี้ยวแน่นอน เพราะเมื่อต้นเติบโตขึ้นอีกครั้ง ลำต้นจะตั้งขึ้นมาเองแบบธรรมชาติ ถ้าไม่พอใจ
เราสามารถโน้มลงมาได้อีกเรื่อยๆ การโน้มต้นนั้นจะผูกติดกับไม้ไว้ประมาณ 2 เดือน และสามารถเอาไม้ออกได้เลย อย่าลืมใช้ไม้ค้ำยันกรณีดินไม่แน่น หรือป้องกันปัญหาต้นโค่นจากลมพายุ จากนั้นเราก็รอเลือกเพศ และดูแลเรื่องปุ๋ยบำรุงดิน ให้น้ำสามวันครั้ง
พอประมาณ ต้นมะละกอจะไม่ชอบน้ำชื้นน้ำแฉะ พอต้นได้อายุประมาน 5 เดือนจะเริ่มมีดอกมีผลอ่อน ต้น 6 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เลย
ข้อดีของการปลูกมะละกอแบบโน้มต้น
ทำให้เรามีเวลาในการเลือกพันธุ์มะละกอ เก็บเกี่ยวผลผลิตง่าย ต้นไม่สูง

การปลูกมะละกอต้นเอน
   มะละกอเลื้อย เป็นเทคโนโลยีของไต้หวันที่ต้องการแก้ปัญหาโรคใบด่างวงแหวนในมะละกอ และช่วยลดความเสียหายจากการเข้าทำลายของพายุไต้ฝุ่นเพราะมะละกอเติบโตในแนวตั้ง เวลามีพายุทำให้ต้านลมไม่ได้ จึงหักโค่นเสียหาย จากหนังสือ พันธ์พืช เทคโนโลยีและการจัดการพืชสวนในไต้หวัน โดยผู้เขียน กาญจนา สุทธิกุล อธิบายไว้ (โดยอ.หนี เจิ้น จู) มี 5 วิธี แต่จะขอคัดลอกมาให้อ่านแค่วิธีเดียว เพราะดูแล้วน่าจะเข้าใจและทำได้ง่ายคือ การดัดตั้งแต่ต้นยังเล็ก (Early training) ใช้กับมะละกอที่อายุยังน้อย สูงสักประมาณ 10 ซม. แล้วเอาก้อนหินทับโคนต้นให้เอนไปด้านใดด้านหนึ่ง (ในความเห็น จขกท. น่าจะเป็นทิศตะวันออก) จากนั้นปล่อยให้ลำต้นส่วนปลายสูงขึ้นตามปกติ พร้อมกับใช้เชือกตรึงให้ลำต้นส่วนโคนเอนลงในทิศทางเดิม วิธีนี้เป็นการบังคับให้ลำต้นทำมุมกับแนวดิ่ง ประมาณ 45-60 องศา สำหรับในไทยวิธีนี้น่าจะช่วยในการเก็บผลผลิตได้ง่ายขึ้น และลดความเสียหายจากผลช้ำได้เยอะ

สูตรน้ำหมักหัวข่าป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
   นายวีรยุทธ ศรีเลอจันทร์ เจ้าของรางวัลเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดปี 2553 ได้แนะนำเทคนิคการทำน้ำหมักด้วยหัวข่าเพื่อกำจัดศัตรูพืช ซึ่งเป็นสูตรง่ายๆเกษตรกรสามารถทำใช้เองได้ โดยนำหัวข่าแก่ที่ปลูกไว้ตามท้องไร่ ปลายนา มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ
เพราะสรรพคุณทางยาของข่ามี รสฉุน-เผ็ดร้อน จึงเหมาะแก่การนำมาทำเป็นน้ำหมักกำจัดศัตรูพืช ไม่ว่าจะเป็นเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าว เพลี้ยแป้งในมันสำปะหลัง ตลอดจนพืชสวนต่างๆที่โดนศัตรูพืชเล่นงาน สูตรนี้ใช้กำจัดได้ผลดีมาก พูดง่ายๆ
สรรพคุณ 108
สูตรน้ำหมักหัวข่าป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
1. หัวข่าแก่สับละเอียด 5 กิโลกรัม
2. ยาสูบตราวัวชนกัน 10 ห่อ ห่อละ 5 บาท (ความฉุนของยาเส้นศัตรูพืชไม่ชอบ)
3. กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม (ช่วยการย่อยสลาย ในช่วงของการหมัก)
4. เหล้าขาขวดใหญ่ 1 ขวด (เพิ่มความร้อนและฉุนศัตรูพืชกลัวมาก)
5. น้ำส้มสายชู 1 ขวด (ช่วยการย่อยสลาย ในช่วงของการหมัก)
6. น้ำยาล้างจาน 1 ขวดเล็ก(ออกฤทธิ์เหมือนสารจับใบ)
7. น้ำ 10 ลิตร
8. ถังหมัก 1 ถัง
วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดเทลงใส่ถังหมัก ขนาด 200 ลิตร แล้วเติมน้ำเปล่า 100 ลิตร ลงไปในถังหมัก จากนั้นคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ทิ้งไว้ในถังหมัก 15-20 วัน กรองเอาแต่น้ำก็สามารถนำมาใช้ได้
อัตราการใช้
ใช้น้ำหมักที่ได้ 1 ลิตร ผสมน้ำเปล่า 10 ลิตร ฉีดพ่นในช่วงที่มีการระบาดของศัตรูพืช ทุกๆ3-4 วัน ก็เห็นผลแล้วเทคนิคการปลูกและดูแลรักษาพริกขี้หนูเพิ่มผลผลิต แบบฉบับ อ.ทอง(ธรรมดา)
นายวีรยุทธ ศรีเลอจันทร์หรืออาจารย์ทอง (ธรรมดา) เจ้าของรางวัลเกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด ได้แนะนำถึงวิธีการปลูกพริกให้ได้ผลผลิตดีและได้คุณภาพตามความต้องการของตลาด ไว้ให้แก่พี่น้องเกษตรกรที่สนใจดังนี้ การปลูกพริกควรมีการวางแผนการปลูก
ที่ดี และควรจะลงมือปลูกในช่วงต้นฤดูฝน (ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม) ช่วงนี้พริกจะได้รับน้ำฝนทำให้เจริญเติบโตได้ดีไม่เหี่ยวเฉาตาย เพราะน้ำเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตโดยเฉพาะน้ำฝนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดทางธรรมชาติ
การเตรียมดิน :
ครั้งที่ 1 ไถปั่นเศษวัชพืช 1 ครั้ง
ครั้งที่ 2 ไถพรวณ ประมาณ 1-2 ครั้ง
   โดยพื้นที่ ที่ปลูกต้องระบายน้ำทิ้งได้ดี เพื่อป้องกันน้ำที่จะท่วมขังในช่วงฤดูฝน เตรียมแปลงดินสำหรับเพาะปลูกให้พร้อมด้วยการใส่ปุ๋ยคอก อัตรา 1.5-2 ตัน/ไร่ แล้วไถดะกลบให้ดินลึกประมาณ 10-12 นิ้ว และตากดินทิ้งไว้ 7-10 วัน หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยรองพื้น
สูตร 15-15-15 หรือ 25-7-7 อัตรา 30-50 กก. /ไร่ แล้วไถแปรขวางรอยเดิม
วิธีการปลูก :
1. ระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร
2. ระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร
3. ปลูกหลุมละ 2-3 ต้น จำนวนต้นต่อไร่ประมาณ 7,500-9,000 ต้นจะใช้เมล็ดประมาณ 1-1.5 กิโลกรัมต่อไร่
4. ให้ปลูกเป็นลักษณะแถวคู่
5. นำกล้าพันธุ์ลงปลูก กลบดิน หลังจากนั้นดูแลและให้ปุ๋ย
การดูแลหลังการปลูก :
   เนื่องจากหญ้าและวัชพืชจะไปแย่งอาหารของพริก และจากการทดลองปลูกโดยวิธีดังกล่าวเกษตรกรจะใส่ปุ๋ยเพียงแค่ครั้งเดียวและทำรุ่น (กำจัดวัชพืช) เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ระยะที่พริกขาดน้ำไม่ได้ คือ ระยะ 7 วันแรกหลังการปลูกเป็นระยะที่พริกกำลังงอก ควรให้น้ำอย่างเพียงพอ แต่ไม่มากจนเกินไปถ้าพริกขาดน้ำช่วงนี้จะทำให้การงอกไม่ดีจำนวนต้นต่อพื้นที่ก็จะน้อยลงจะทำให้ผลผลิตลดลงไปด้วย ระยะที่พริกจะขาดน้ำไม่ได้อีกช่วงหนึ่ง คือ ระยะออกดอก-ติดผลการขาดน้ำในช่วงนี้จะมีผลทำให้การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่ดี ติดเมล็ดไม่เต็มถึงปลายฝัก หรือ ติดเมล็ดเป็นบางส่วน ซึ่งฝักที่ได้จะขายได้ราคาต่ำ ส่วนการให้น้ำ เนื่องจากพริกชอบความชื้นแต่ไม่ชอบน้ำขัง จึงไม่ควรให้น้ำมากหรือปล่อยให้ดินแห้งผาก ควรคลุมดินบริเวณทรงพุ่มด้วยเศษฟาง
หรือเศษวัชพืชเสมอ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น และปล่อยให้วัสดุเหล่านั้นย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยต่อไป โดยปกติถ้าเป็นพื้นที่ที่สามารถให้น้ำได้ควรให้น้ำทุก 3-5 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพของต้นพริกและสภาพอากาศ แต่ช่วงที่ควรให้น้ำถี่ขึ้นคือช่วงที่พริกกำลังงอก และช่วงออกดอก โดยปกติพริกจะเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุประมาณ 90-120 วัน หลังปลูก แต่ถ้าปลูกในช่วงอากาศหนาวเย็นอายุการเก็บเกี่ยวอาจจะยืดออกไปอีก หลังเก็บเกี่ยวแล้ว ควรรีบส่งโรงงานหรือจำหน่ายโดยเร็ว เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำหากขาดน้ำจะมีผลต่อเมล็ดและน้ำหนักได้หลังจากเก็บผลผลิตในฤดูกาลนั้นแล้ว ให้ตัดป่นต้นพริกย่อยลงในแปลง เพื่อเตรียมการปลูก ในครั้งต่อไป หมักไว้ 15-30 วัน จึงปลูกพริกรุ่นใหม่ หรือปลูกพืชอื่นๆหมุนเวียนต่อจากพริกอีกทีหนึ่ง

  http://e-shann.com/?p=6067

  http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=28019.0

       อาจารย์อธิศพัฒน์   วรรณสุุทธิ์

   อาจารย์ อธิศพัฒน์   วรรณสุทธิ์   นัเกษตรอินทรีย์สมองเพชร

     

           พาชม “ไร่อธิศพัฒน์” อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย  เกษตรกรสมองเพชรคนที่ 2
ถ้าหากวันหนึ่งคนเมืองอย่างเรา ๆ ตั้งใจจะเบนเข็มไปทำไร่ทำสวนอย่างจริงจัง และใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับธรรมชาติและความพอเพียง วันนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องไปค้นคว้าหาความรู้เรื่องเกษตรกรรมจากตำราเล่มไหน และอาจไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน
หลักสูตรการเกษตรของมหาวิทยาลัยใด แต่สถานที่แรกที่เรานึกถึงน่าจะเป็นที่นี่ “ ไร่อธิศพัฒน์ ”
   ไร่อธิศพัฒน์ ตั้งอยู่ในอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ที่นี่คือแหล่งเรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติ ที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การทำการเกษตรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงให้กับบรรดาเกษตรกรและผู้สนใจทั่วไปไร่อธิศพัฒน์มีแนวคิดที่ว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้นที่จะทำให้กสิกรรมของไทยอยู่อย่างยั่งยืน
   ภาพบรรยากาศไร่อธิศพัฒน์
นายอธิศพัฒน์ วรรณสุทธิ์ คือเจ้าของไร่แห่งนี้ เขาเป็นชาวสิงห์บุรี ที่เรียนจบศิริราชพยาบาล จากมหาวิทยาลัยมหิดล เคยทำงานด้านการรักษาพยาบาลแผนกผู้ป่วยหนักที่โรงพยาบาลศิริราชมาก่อน ช่วงเวลานั้นเขามีโอกาสได้เห็นคนเจ็บป่วยและเสียชีวิตบ่อยครั้ง สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการกินอาหารที่มีสารเคมีเจือปน หรือสัมผัสสารพิษเป็นประจำ โดยเฉพาะชาวไร่ชาวนา เมื่อเห็นอย่างนั้นในปี 2554 เขาจึงตัดสินใจลาออกมาเริ่มต้นทำการเกษตรแบบผสมผสานอย่างจริงจังบนไร่ผืนนี้ โดยไม่ได้หวังเพียงแค่ปลูกเพื่อส่งขาย แต่เขามองไปไกลถึงขั้นการสร้างพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่ตัวอย่างแก่เกษตรกร ให้พวกเขารู้จักพึ่งพาตนเองในทุก ๆ ขั้นตอนของการดำเนินชีวิต อีกทั้งยังมุ่งหวังให้เกษตรกรผลิตอาหารที่ดีส่งถึงมือผู้บริโภค เพื่อให้กสิกรรมของไทยเป็นผู้นำการผลิตสู่ครัวโลก
การปลูกผักแบบกางมุ้งเพื่อผลิตผักไร้สารพิษ
ผลเสาวรสปลอดสารเคมี
  ความคาดหวังของเขาไม่สูญเปล่า ในปี พ.ศ. 2557-2560 เขาได้รับใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์พืช 50 ชนิด และปัจจุบันได้รับใบรับรองเกษตรอินทรีย์อย่างมีมาตรฐาน อีกทั้งยังมีการขยายผลไปสู่ชุมชน โดยการจัดตั้ง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน
ออร์แกนิกท่าลี่” “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนไร่อธิศพัฒน์” โดยผลิตพืชอินทรีย์ทั้งหมดเข้าสู่ตลาดบน มีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรอินทรีย์อย่างมีมาตรฐาน เช่น นำผลผลิตทางการเกษตรอินทรีย์มาแปรรูปเป็นของใช้ในครัวเรือนและผลิตภัณฑ์ความงาม ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหยก แชมพูสมุนไพร คอลลาเจน ฯลฯ จนมีลูกศิษย์ลูกหาจากทั้งเมืองไทยและเมืองนอก เข้ามารับการถ่ายทอดในแต่ละปีจำนวนไม่น้อย  ภายในพื้นที่ 60 ไร่ของไร่อธิศพัฒน์ มีสิ่งน่าสนใจให้เดินเยี่ยมชมและศึกษาหาความรู้ได้อย่างไม่รู้เบื่อ ทั้งแปลงเกษตรผสมผสาน โซนเลี้ยงไก่ระบบเปิด โรงเผา บ่อบาดาล ฐานเรียนรู้การบริหารศัตรูพืช ฐานเรียนรู้การใช้พลังงานทดแทน เป็นต้น
ไก่สายพันธุ์เบตงที่เลี้ยงด้วยระบบเปิด (Happy Chick) จะออกไข่ที่มีคุณภาพ
ดอกเก๊กฮวยแห้ง มีเคล็ดลับสำคัญคือต้องเก็บดอกบานมานึ่งก่อน จึงนำมาตากแห้งได้ เพื่อให้ส่งกลิ่นหอมเวลานำไปต้ม
  ฐานเรียนรู้หนึ่งของไร่อธิศพัฒน์ที่เปิดให้เกษตรกรมือใหม่เข้าไปเยี่ยมชม  การทำแก๊สชีวภาพ โดยใช้ขยะที่กินเหลือมาหมักให้เกิดเป็นแก๊สส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าอินทรีย์
  ความน่าสนใจยังไม่หมดเพียงเท่านั้น นายอธิศพัฒน์ บอกเล่าให้ฟังว่า ที่นี่เป็นไร่พอเพียงที่ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่นำเทคโนโลยีมาใช้อย่างมีสติ โดยใช้การสั่งงานผ่านระบบสารสนเทศด้านการสื่อสาร (Internet) ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวเชื่อมสัญญาณ ทำให้สามารถสอดส่องดูแลผลผลิตได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่มุมใดของภูมิภาค  นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาเว็บเพจของระบบควบคุมอัตโนมัติ ทำการควบคุมและจับค่าต่าง ๆ เช่น ความชื้นในอากาศ อุณหภูมิ ความชื้นในดิน ความเป็นกรดด่างของดิน แสงสว่างในพื้นที่ ปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำในถังบรรจุ และปริมาณน้ำในบ่อ โดยเก็บข้อมูลเพื่อบันทึก วิเคราะห์ และส่งสัญญาณให้อุปกรณ์ต่าง ๆ  เช่น ปั๊มน้ำสปริงเกอร์ หลอดไฟ ให้ทำงานตามความต้องการของพืช มีการติดตั้งกล้องเว็บแคมเพื่อดูแลความเรียบร้อยของแปลงปลูก โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และยังมีแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลส์) จากไบโอดีเซลและแก๊สที่ผลิตเองอีกด้วย
  นายอธิศพัฒน์ เล่าว่า ทุกวันนี้มุมมองและทัศนคติของผู้บริโภคยุคใหม่ได้เปลี่ยนจากบริโภคเพื่ออิ่ม มาเป็นบริโภคเพื่อสุขภาพทุกคนมุ่งหวังจะมีชีวิตที่ยืนยาวและเป็นสุข เขาจึงตั้งใจทำหน้าที่นำพาเกษตรกรสายเลือดใหม่ให้ไปถึงจุดที่สอดรับกับความ
ต้องการนั้น ซึ่งก็คือจุดที่เกษตรกรต้องมีความซื่อสัตย์ มีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคม และต้องมีความสุขควบคู่กันไปด้วยเราอยากให้คุณลองมาเยี่ยมเยือนที่นี่สักครั้ง…ไม่แน่ว่าคุณอาจจะอยากสมัครเป็นเกษตรกรสายเลือดใหม่อีกคนก็ได้
  ไร่อธิศพัฒน์ ตั้งอยู่ที่บ้านยาง อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย หากสนใจมาเยี่ยมชมไร่อธิศพัฒน์ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด
โทร./Line: 092 338 2692 / 086 780 5885 / 098 800 3170 หรือ Facebook Fanpage: เกษตรอินทรีย์
ภาคปฏิบัติ ผู้สนใจสามารถมานอนพักค้างคืนเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องกสิกรรมธรรมชาติได้ที่ไร่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

   เชิญคลิกชมรายละเอียดได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้ 

  http://www.goodlifeupdate.com/43240/healthy-body/raiatispat/

  http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=7708&s=tblrice

  http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=3780&s=tblplant

  http://www.praew.com/32713/people/smart-farmer/

  https://www.sabuymarket.com/view.php?product_id=244&market_id=1

  https://www.organicfarmthailand.com/?p=2490

  https://www.organicfarmthailand.com/?p=2055

  https://www.youtube.com/watch?v=PJsNJVutJUo

  https://www.youtube.com/watch?v=ySJ9aDCsrRc

   ฮอร์โมนไข่ใช้เป็นยา

  

     ฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ
ชูกำลัง  ลดความอ้วน ทำงานไม่เหนื่อย  แก้ปวดหลังปวดเอว  ปวดเข่า เส้นตึง ข้อต่อกระดูกเสื่อม และอาการอักเสบ ฯลฯ

  https://www.sabuymarket.com/view.php?product_id=307&market_id=1

 ฮอร์โมนไข่ เพื่อสุขภาพ " มหัศจรรย์ กรดฟุลวิก"
มหัศจรรย์กรดฟุลวิก  จากฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ
กรดฟุลวิก : จากฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพร่างกาย ประกอบด้วย หน่วยย่อยของชีวิตที่เล็กที่สุด เรียกว่า เซลล์ ประมาณ 50 ล้านล้านเซลล์ แต่ละเซลล์ดำรงชีวิตอย่างอิสระ บางชนิดแยกอยู่ลำพังเซลล์เดียว บางชนิดรวมกันทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เป็นอวัยวะต่างๆ
ถ้าทุกเซลล์มีความแข็งแรง อวัยวะระบบต่างๆทุกส่วนก็จะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ร่างกายก็จะสมบูรณ์แข็งแรงตามไปด้วยเซลล์ทุกเซลล์ ต้องการสารอาหารมากถึง 90 ชนิด แบ่งเป็นแร่ธาตุ 59 ชนิด วิตามิน 16 ชนิด กรดอะมิโน 12 ชนิดและกรดไขมันจำเป็นอีก 3 ชนิด เพื่อสุขภาพดี การกินอาหารครบ 5 หมู่ แถมเสริมด้วยวิตามินแร่ธาตุ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า จะได้รับสารอาหารเหล่านั้นครบถ้วน ถ้าเซลล์ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้กรดฟุลวิกช่วยในการดูดซึมสารอาหารเหล่านั้น ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานโรคและแก้ปัญหาสุขภาพได้กรดฟุลวิก เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการย่อยสลายของอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์ แต่คุณค่าของมันเพิ่งจะได้มีการค้นพบและ
เป็นที่รู้จัก ว่าสามารถสร้างสมดุลเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับจากกรดฟุลวิก
• ชูกำลัง ทำงานไม่เหนื่อย
• ขจัดสารอนุมูลอิสระ และ ต้านออกซิเดชั่น คงความหนุ่มสาวผิวสวยเต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัย ลดภาวะเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง และข้อต่ออักเสบ
• ขจัดโลหะหนักและสารพิษออกจากร่างกาย
• นำแร่ธาตุสารอาหารเข้าสู่เซลล์
• เพิ่มการเผาผลาญโปรตีน สู่การสังเคราะห์ DNA และ RNA
• เป็นอีเล็กโทรไลต์ ธรรมชาติ พลังสูง รักษาสมดุลระดับเกลือแร่ และ ความเป็นกรด-ด่าง
• รักษาสมดุลปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าภายในเซลล์
• เพิ่มกิจกรรมระบบน้ำย่อยต่างๆ อาหารถูกย่อยได้หมดไม่ตกค้างเน่าเสีย
• เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มซีดี4ในเอดส์
• เพิ่มชีวประโยชน์ของสารอาหารและแร่ธาตุ
     ประโยชน์จากการใช้ภายนอก
• บำรุงผิวให้นุ่มนวลชุ่มชื้น ป้องกันฝ้าแดด
• ใช้สระผมนวดหนังศีรษะ ป้องกันผมร่วง
• รักษาบาดแผล รอยถลอกขีดข่วน
• ลดความเจ็บปวดและลบรอยแผลเป็นจากไฟไหม้
• ลดรอยฟกช้ำดำเขียวจากการกระแทก
• กำจัดเชื้อโรคน้ำกัดเท้า เท้าเปื่อย
• ต้านเชื้อโรค และ กำจัดเชื้อราได้มากชนิด
• รักษาอาการแพ้ผื่นคันจากแมลงมีพิษสัตว์กัดต่อย
• ดับพิษของ Ivy และ Oak
ดินป่วย พืชป่วย คนก็ป่วย
  การเกษตรปัจจุบัน มีการใช้ปุ๋ยเคมีมาก ทั้งสารเคมีมีพิษที่ใช้ป้องกันกำจัดโรคและแมลง สารกำจัดวัชพืช และขาดการปรับ
ปรุงบำรุงดิน ล้วนทำลายจุลินทรีย์ดิน กรดฟุลวิก ไม่มีอยู่ในดิน พืชไม่สามารนำแร่ธาตุในดินไปใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการได้ ทำให้พืชอ่อนแอ โรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่าย ต้องใช้สารปราบศัตรูพืชมากขึ้น ซึ่งทำลายจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นไปอีก แทนที่จะได้รับกรดฟุลวิกจากพืช กลายเป็นรับสารพิษ
    ฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ
  กรดฟุลวิก เป็นกรดฮิวมิกชนิดโมเลกุลเล็ก ซึ่งละลายได้ในน้ำ สามารถผลิตขึ้นจากการหมักไข่ไก่ กับน้ำผึ้ง ด้วย จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส และ ยีสต์ จาก ยาคูลท์ และ ลูกแป้งข้าวหมาก โดยมีส่วนประกอบดังนี้
   1.ไข่ไก่สดทั้งเปลือก 5 ก.ก.
   2.น้ำผึ้งแท้ หรือ ผึ้งเลี้ยง 5 ก.ก.
   3.ยาคูลท์ 1 ขวด
   4.ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ก้อน
  วิธีทำ
ล้างไข่ให้สะอาดผึ่งลมให้แห้ง ห้ามใช้ผ้าเช็ด ตอกไข่ลงโหลแก้วหรือกระติกน้ำแข็งพลาสติกที่จะใช้สำหรับหมัก ซึ่งชั่ง น้ำผึ้งใส่ลงไปก่อนแล้ว นำเปลือกไข่ ไปตำให้ละเอียด แล้วใส่รวมลงไป ใส่ ยาคูลท์ ลงไปบี้ลูกแป้งข้าวหมากให้ละเอียด ใส่ลงไป คนให้เข้ากันใช้ผ้าขาวบางปิดทับ ก่อนปิดฝา เก็บไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก จากนั้น
คน เช้า-เย็น ทุกวัน จนครบ 1 เดือน กรองเอากากออก แบ่งใส่ขวดปิดฝาสนิทเก็บในตู้เย็นช่องแช่ผัก เน้นความสะอาดในทุกขั้นตอน
  หมายเหตุ:- ไข่ กับ น้ำผึ้ง ลดลงได้ แต่ไข่กับน้ำผึ้ง ต้องเท่ากัน เช่นไข่ 2 ก.ก.ต้องใช้น้ำผึ้ง 2 ก.ก.ด้วย ส่วนยาคูลท์ และลูกแป้งข้าวหมากไม่ต้องลด ไม่ควรใช้นมเปรี้ยวอื่นแทนยาคูลท์และลูกแป้งเหล้าแทนลูกแป้งข้าวหมาก
  วิธีใช้
   รับประทาน 1 ช้อนชา หลังอาหารเช้า และ ก่อนนอน  ผสม 2 -3 หยด กับ น้ำ 1 ช้อนชา ใช้ทาภายนอก
     เคล็ดไม่ลับฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ
1.ฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ เป็นการหมักที่ไม่ใช้อากาศขณะหมักจะปลดปล่อยกรดอินทรีย์ที่มีรสเปรี้ยวออกมา ซึ่งถ้ามีมากเกินจุลินทรีย์ก็จะหยุดการย่อยสลายทำให้หมักได้ไม่สมบูรณ์ การที่ต้องคนนี้ ไม่ใช่เพื่อต้องการให้มีอากาศ แต่ต้องการให้เปลือกไข่
อยู่ที่ก้นภาชนะที่ใช้ในการหมักลอยตัวขึ้น โดย แคลเซียม คาร์บอเนต ในเปลือกไข่ จะทำปฏิกิริยากับกรด ลดความเป็นกรดให้จุลินทรีย์ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง จึงควรคนงัดล่างขึ้นบนเพียงเบาๆไปทางเดียวกัน ในช่วงเวลาสั้นไม่เกิน 1 นาที ฮอร์โมนไข่ที่
มีคุณภาพดีรสจะต้องไม่เปรี้ยวและยังให้ธาตุแคลเซียมไว้บำรุงกระดูกและฟัน อีกด้วย
2. การคนแต่ละครั้ง ย่อมมีฮอร์โมนไข่ ติดอุปกรณ์ที่ใช้ในการคน ให้ลองชิมดูว่า หมดความคาวหรือยังถ้าคาวหมดก่อน 30 วัน ให้คนจนครบ 30 วัน แต่ถ้าครบ 30 วันแล้วยังคาว ให้เพิ่มวันคนต่อไปจนกว่าจะหมดคาว ความหวานที่เหลือยู่ของน้ำผึ้งไม่ใช่ปัญหา
3. ควรใช้ ยาคูลท์ สดใหม่วันต่อวัน เมื่อยังไม่ใช้ทันที อย่าวางไว้ข้างนอก แต่ควรเก็บไว้ในตู้เย็นช่องเก็บผัก ยาคูลท์ มี เชื้อแลคโตบาซิลลัส เข้มข้นมากกว่านมเปรี้ยวทั่วไป ไม่ควรนำนมเปรี้ยวอื่นใดมาใช้แทนกัน
4. ควรใช้ลูกแป้งข้าวหมาก ที่ทำใหม่ๆ เนื้อแป้งสีขาวล้วน ถ้าเหลืองคล้ำแล้ว ไม่ควรใช้ ห่อลูกแป้งด้วยกระดาษ 2-3 ชั้น เก็บลูกแป้งไว้ในตู้เย็นช่องแช่ผัก
5. ไม่ควรใช้ น้ำตาลทรายแดง แทน น้ำผึ้ง เพราะคุณค่าในแง่เพื่อสุขภาพ ต่างกันมากอย่างเทียบไม่ได้
  อ้างถึง : Fulvic Acid Report , Fulvic Acid : The Miracle Molecule
http://www.merc-buyers.com/fulvic_acid.htm
ขอบคุณ ขัอมูลจาก อาจารย์ สุวัฒน์ ทรัพยะประภา ส่งมาให้ kandanalike (กานดา แสนมณี ) เพื่อช่วยเผยแพร่ เพื่อสุขภาพ

 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kandanalikecoconutoil&month=01-2011&date=19&group=1&gblog=46

     การทำฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพ

      โดย จำรัส    เซ็นนิล

  http://www.jamrat.net/wbtopic.aspx?topicid=36

         ปั๊มสูบน้ำบาดาล ยี่ห้อ Caprari

   

http://submersnetpro.lnwshop.com/product/9/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0snp-e4xpd60-5extra

  

     

http://www.solarztook.com/

 http://www.supersolarz.com/

   

                เครื่องพ่นสีแบบพกพา

       

  พ่นสีบ้านเรือน  อาคารสถานที่ต่างๆ  รั้วบ้าน  เก้าอี้และเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ต้องจ้างช่างเป็นช่างมืออาชีพด้วยตนเอง  จงคลิกดูรายละเอียดที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้

   http://www.ucall.in.th/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E

       ภูเขาสีและหินสวย

               ภูเขาสี

  

  ภูเขาสีสวยลูกนี้อยู่ที่เมืองจางเย่  มณฑลกันซู่  ประเทศจีน

   http://www.tvpoolonline.com/content/359800

   https://www.pinterest.com/pin/382946774550717297/

   https://www.youtube.com/watch?v=doRmDt8uQ-4

               หินสวย

       โอปอสวยจากประเทศเอธิโอเปีย

   

                      ราชาโอปอราคา 60  ล้าน

 

 

   

                โอปอเม็ดนี้ราคา ๓๐ ล้านบาท

   

                   ราชินีโอปอ

     https://www.pinterest.com/pin/61150507414608891/?utm_campaign=obpinrecs&e_t=4b30081dce3b4156ae065fda227faa1b&

        หาดทรายแก้วที่สวยที่สุดในโลก

  

  

  

  Glass Breach คือหาดทรายแก้ว อยู่ที่เมือง Fort Bragg  ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นหาดทรายแก้วที่สวยงามที่สุดในโลก  ของประเทศสหรัฐอเมริกา

  https://www.dek-d.com/education/34659/

  http://www.xn--o3cgxbxs1dt1hwd.com/2015/01/glass-beach-california.html


        วิธีทำเกษตรออนไลน์

  https://getkaset.com/

   https://www.kasetkaoklai.com/home/2017/12/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%99

http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/interesting-facts/detail.php?SECTION_ID=611&ID=16346

  https://www.youtube.com/watch?v=ItRSAqcoccc

  https://www.youtube.com/watch?v=qQHcH0tcOJo

  http://www.manager.co.th/Smes/ViewNews.aspx?NewsID=9580000094985

            ข้าวโพดฝักดิบกินได้เลย

    

  https://www.sentangsedtee.com/exclusive/article_73516

  http://www.huafuuinfo.com/2018/03/01/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1-siam-ruby-queen-%E0%B8%82%E0%B9%89-2/

             ทุเรียนจังหวัดเลย

 

        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 14 กันยายน นายบรรพต ยาฟอง นายอำเภอเชียงคาน ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจสวนทุเรียน บนยอดภูเขาห้วยยอดกกทอง  ต.บุฮม อ.เชียงคาน จ.เลย ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกทุเรียนพันธุ์ “คักเลย” ที่มีรสชาติอร่อย จะต่างจากทุเรียนในจังหวัดอื่น ซึ่งมีสโลแกน “กลิ่นหอมหวน นวลหนาใหญ่ ในเม็ดเล็ก” ที่มีความหมาย มีกลิ่นหอมแต่ไม่ฉุน มีพูใหญ่เนื้อหนา แต่มีเมล็ดลีบเล็ก จึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคผลผลิตออกมาไม่พอกับความต้องการของตลาด ในปีนี้เกษตรกรที่ปลูกทุเรียนในจังหวัดเลย ต่างเป็นเศรษฐีใหม่ได้จับเงินล้านกันอย่างถ้วนหน้า ทำให้เกษตรกรต่างแห่ปลูก แม้ต้นพันธุ์จะแพงกิ่งละ 350 บาท ยังมียอดสั่งจองกิ่งพันธุ์ไม่พอจำหน่าย
   นายบรรพต กล่าวว่า บนภูเขาห้วยยอดกกทอง ในตำบลบุฮมเป็นพื้นที่ป่า แต่เป็นป่าที่เสื่อมโทรม ชาวบ้านได้บุกรุกทำกินมากว่า 30-40 ปีมาแล้ว  ส่วนใหญ่จะปลูกผลไม้เกือบทุกชนิดที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ไม่ว่ามะม่วง ฝรั่ง มะละกอ กล้วย ที่ชาวบ้านปลูกและส่งไปต่างประเทศ โดยเฉพาะมะม่วง ในตำบลบุฮม จะเป็นผลไม้ที่ส่งออกมากที่สุดในภาคอีสาน สร้างรายได้ให้กับตำบลบุฮมกว่า 200 ล้านบาทต่อปี บนเขาห้วยยอดกกทอง สภาพดินเป็นภูเขาไฟเก่าจึงทำให้สภาพดินอุดมสมบูรณ์ ประกอบอากาศหนาวทั้งปี จึงมีผลไม้ทุกชนิด ไม่ว่ามังคุด เงาะ ลองกอง ผลไม้ปลูกขึ้นงอกงามดีทุก ชนิด แต่ที่ไม่เห็นปลูกก็แอปเปิลเท่านั้น
   แต่ปีนี้ทุเรียนที่ปลูกบนเขา พันธุ์คักเลยได้รับความนิยม ความอร่อย ผลผลิตไม่พอขาย แม้ผลผลิตออกมากแล้วก็ตามและผลผลิตจะออกช้ากว่าที่อื่น จะสุกก็ประมาณต้นเดือนสิงหาคม ในบนภูเขาจะมีเกษตรกรปลูกทุเรียนรายใหญ่ 4 ราย ปีนี้ต่างมีรายได้เฉพาะขายทุเรียนไม่น้อยกว่าล้านบาทในแต่ละสวน อย่างสวนของนายปราโมทย์ พันจันทร์ ปลูก 10 ไร่ ผลผลิตออกมา 11 ตัน ขายเฉพาะหน้าสวนอย่างเดียวโลละ 100 บาท ปีนี้ได้กอดเงินล้านไปแล้ว หรือแม้แต่พึ่งปลูกผลผลิตออกปีแรกของนายคำฮู้ ไชยบุตร ปลูกแค่ 40 ต้น ผลผลิตออกมา 3 ตัน ขายโลละ 100 บาทเหมือนกันจึงทำให้เกษตรกรในจังหวัดเลยไม่ว่าจาก อ.นาแห้ว อ.ภูเรือ อ.ภูกระดึง ที่มีสภาพเป็นภูเขาต่างหันมาปลูกทุเรียนกันจำนวนมาก ดูได้จากการสั่งกิ่งพันธุ์แต่ละสวนไม่น้อยกว่า 2-3 พันต้น ราคากิ่งพันธุ์เริ่มที่กิ่งเล็ก 150 บาทจนถึงกิ่งใหญ่ 350 บาท แม้ปีนี้ผลผลิตทุเรียนจะหมดไปช่วงต้นเดือน
กันยายน แต่ก็มีคนสั่งจองไว้ล่วงหน้าไว้รอกินปีหน้าส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างจังหวัดที่สั่งจอง     ที่มา มติชนออนไลน์

  

   https://www.youtube.com/watch?v=jE9De7GZD_g

   https://www.youtube.com/watch?v=N4izSuM7ec4\

   https://www.youtube.com/watch?v=ifDxIcJLPZg

   https://www.youtube.com/watch?v=xOAAac6s47I

    http://news.ch7.com/detail/237274 

           ทุเรียนหมอนทอง อ.ด่านซ้าย จ.เลย

   

  หมอนทองที่เมืองเลย! ลุงปลูก 'ทุเรียน' เองกับมือแต่ไม่เคยได้ชิมสักคำ โดย ไทยรัฐออนไลน์ 19 พ.ค. 2561 15:24 ปลูกเองกับมือแต่ไม่
เคยได้ชิมสักคำ!   ชาวสวนที่ อ.ด่านซ้าย จ.เลย ทดลองปลูก 'ทุเรียนหมอนทอง' ที่นำมาจากจันทบุรี พบเนื้อหอม กรอบ อร่อย ไม่เละ ลูกค้าสนใจต่อ
คิวซื้อเพียบ    นายหวัน โพลำเนา อายุ 61 ปี บ้านเลขที่ 2 หมู่ 9 ต.นาดี อ.ด่านซ้าย จ.เลย เจ้าของต้นทุเรียนหมอนทองรายแรกของ อ.ด่านซ้าย เล่าว่า ลูกชายตน
เองไปซื้อพันธุ์ทุแท้จากจันทบุรี มาปลูกไว้บริเวณรอบบ้านร่วม 10 ต้น แต่ต้นทุเรียนตายเกือบหมดเหลือ 2 ต้นที่รอดมา ปลูกมาแล้ว 5-6 ปี ให้ผล
ผลิตเป็นปีที่สองแล้ว
  ทั้งนี้ ปีแรกยังไม่มาก มาปีนี้ดูแลอย่างดี ต้นหนึ่งออกผลทุเรียนประมาณ 50-60 ผล เลือกคัดสรรผลที่ดีส่วนไม่ดีเด็ดทิ้งไป แต่ละลูกมีน้ำหนัก
ลูกละประมาณ 5-7 กรรม  มาคนมาจับจองตั้งแต่ออกผลใหม่ๆ จนหมดแล้ว เพราะคนที่เคยมาซื้อไปกินบอกว่าทุเรียนที่นี้ไม่เหมือนทุเรียนหมอนทองที่อื่น
  "ทุเรียนที่เราปลูกลูกใหญ่ เนื้อเยอะ พูใหญ่ มีรสชาติหอม อร่อย กรอบ ไม่หวานมาก กำลังพอดี และที่สำคัญเนื้อไม่เละ ซึ่งเราจะขายในราคากิโลละ
120 บาท เป็นราคา ท้องตลาดที่ขายกัน สร้างรายได้นับหมื่นบาท ตั้งแต่ผมปลูกมาก็ยังไม่เคยได้กินเลย"
    ขณะที่ นายสมัคร เชื้อบุญจันทร์ อายุ 50 ปี เจ้าของสวนเกษตรกร ที่บ้านหัวนายูง ต.ด่านซ้าย ทดลองปลูกต้นทุเรียนหมอนทอง 20 ต้น มากว่า
1-2 ปี ซึ่งยังไม่ได้ให้ผลผลิต เล่าว่า การเอาทุเรียนมาปลูกที่ด่านซ้าย ปลูกยากมาก อากาศที่นี้ไม่เหมือนที่อื่นหน้าร้อนร้อนจัด หน้าหนาวก็หนาวมาก
ต้องทำซุ้มปิดบัง  แดดและน้ำค้างไม่ให้แดดเผาหรือน้ำค้างเกาะใบทุเรียน ไม่เช่นนั้นใบจะเน่าตาย ให้น้ำก็ต้องพอดีไม่มากไปหรือน้อยไป
   อย่างไรก็ตาม มีเกษตรกรในพื้นที่ทดลองปลูก ลองผิดลองถูก มาหลายรายแล้ว ก็ไม่ประสบความสำเร็จต้นล้มตายหมด ซึ่งภาครัฐไม่เคยมาให้
ความรู้หรือมาดูแต่อย่างไร  ซึ่งที่บ้านหมากแข้ง ต.กกสะทอน ปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองจำนวน 3-4 ราย ประมาณ 20 กว่าไร่
   ท้งนี้ จะมีบางต้นที่มีลูกแล้วปีนี้เริ่มทยอยออกลูก และที่บ้านหัวนา ต.กกสะทอน อ.ด่านซ้าย ก็เริ่มปลูกกันมากขึ้น เก็บผลผลิตขายได้ประมาณ
50,000-100,000 บาท  คาดว่าอีก 5-10 ปี อ.ด่านซ้าย จะมีการปลูกทุเรียนหมอนทองนับพันต้นและเป็นขายส่งทุเรียนอีกด้วย

    https://www.thairath.co.th/content/1286086
 

           เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ

  

   https://www.thairath.co.th/tags/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A9

  https://www.thairath.co.th/content/270955

         

                                  ไร่กาแฟ

          

        

   http://suzuki-coffee.com/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-arabica-robusta/

  https://www.77jowo.com/contents/o1/116414

                     กาแฟขี้ชมด

           เที่ยว“ ไร่กาแฟขี้ชะมด” ระบบเปิดดูนานาสัตว์น่ารักสนุกได้ทั้งครอบครัว
   หลาย ๆ คนที่ชอบกิน“ กาแฟ”จะรู้ได้อย่างไรว่ากาแฟที่ได้จากการปรุงด้วยกาแฟจะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไปอย่างมากมาย"กาแฟขี้ชะมด"จากที่"ไร่กาแฟขี้ชะมด"จ. นครพนมยิ่งมี เอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
    ต้นกาแฟโรบัสต้า
   ต้นกาแฟโรบัสต้า
   “ ไร่กาแฟขี้ชะมด”ตั้งอยู่ที่บ้านต้าย ต. โพนจานอ. โพนสวรรค์จ. นครพนมการแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่โดยส่วนใหญ่จะมีโซนร้านกาแฟโซนไร่และ
สวนสัตว์เรียกว่าเป็น“ ไร่กาแฟที่มากกว่าไร่กาแฟ”ทุกคนในครอบครัวจะสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้
   กาแฟที่ได้จากการปรุงด้วยเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเช่นกันกาแฟที่ได้รับการตกแต่งใหม่มีความสวยงาม ด้านข้างของตัวร้านจะมีบ่อน้ำที่เด็ก ๆ สามารถลงไปถถีบเรือเป็ดได้ด้วยรสชาติของกาแฟที่มีรสชาติไม่เหมือนใครและจะมีกลิ่นหอมของกาแฟที่ไม่เหมือนใครและเมื่อไหร่ก็จะมีกลิ่นหอมชวนให้กินคอคอแน่นอน  โดย“ กาแฟขี้ชะมดสด”จะอยู่ที่แก้วละ 500 บาทหรือไม่ก็มีขวดแบบเต็ม ๆ ละ 50 บาทให้ได้กันแล้วยังมีสบู่กาแฟจำหน่ายอีกด้วย แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบกินกาแฟขี้ชะมดหรือไม่ กินกาแฟเลยก็สามารถสั่งเมนูอื่น ๆ ได้ และระหว่างที่พ่อแม่กำลังดื่มกาแฟกับที่เด็ก ๆ จะได้ชม"สวนสัตว์"ที่มีทั้งสิงโตขาวอัลปาก้าหรือจะนั่งรถม้าชมบรรยากาศรอบ ๆ ไร่กาแฟเพลิน ๆ
แต่ไฮไลท์ของที่นี่จะอยู่ที่"ไร่กาแฟขี้ชะมด"การรับน้ำจากเขื่อนกั้นน้ำของนายเกียรติศักดิ์คำวงศาหรือ"เฟลม"วัย 24 ปีนักศึกษาจากคณะการสร้างธุรกิจและการบริหารจัดการองค์กร (BUSEM) มหาวิทยาลัยกรุงเทพที่ ได้ใช้วิชาความรู้ที่ได้ศึกษา มาพัฒนาต่อยอดไร่กาแฟขี้ชะมดจนกลายเป็นธุรกิจ
    ในนามผลิตภัณฑ์ “BlueGold คอฟฟี่”ที่ส่งจำหน่ายไกลถึงต่างออกประเทศเฟลมได้เล่าถึงความสามารถเป็นมา องไร่กาแฟขี้ชะมดให้ฟังว่า“ ก่อนหน้าที่จะทำไร่กาแฟขี้ชะมดนี้ต้องเสียไปแล้ว 50 ล้านบาทผมขอเลือกเรียนต่อทางสายอาชีพโดยเลือกเรียนต่อ จึงเรียนรู้สายนี้เพื่อช่วยแม่ผู้คุมงานอ่านแบบอนุโมทนาประมูลแทนแม่ในช่วง 3 ปีที่เรียนสายนี้ผมช่วยแม่ปลดตัวให้ได้ทั้งหมดและรับตำแหน่งให้ได้”
 จากนั้นจึงเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยในการสร้างธุรกิจและการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (โรงเรียนการเป็นผู้ประกอบการและการจัดการ: BUSEM) เพราะเขาสอนให้เป็นกิจการที่เราได้ลงมือทำจริงๆในช่วงที่เรียนปีที่ 2 -3 จึงหันกลับมามองสิ่งที่มี อยู่คือไร่กาแฟจึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจังได้ทั้งอาจารย์และแม่ช่วยกันคิดจนสุดท้ายสรุปที่กาแฟขี้ชะมด ” “ที่เลือกแบบนี้เพรา ว่าตลาดต่างประเทศมีความต้องการสูง ในการรับซื้อเมล็ดกาแฟที่ขายปลีกกิโลกรัมละ 5 หมื่นบาทขายส่ง 2-3 หมื่นบาทและในประเทศไทยก็ยังไม่ค่อย มีกาแฟขี้ชะมดให้กินมากนัก
  เมื่อได้รับข้อสรุปแล้วได้ลงมือทำทุกอย่างตั้งแต่การเลี้ยงชะมดเก็บขี้ชะมดมาทำความสะอาดเพื่อที่จะกินเหล้าเต้าหู้เก็บไว้เพื่อคนที่อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวไม่ใช่แค่ไร่กาแฟอย่างเดียว " “ สิ่งที่ทำให้กาแฟขี้ชะมดของที่แตกต่างจากที่อื่น ๆ ก็คือเราจะเลี้ยงชะมดด้วยระบบเปิดที่ไม่ได้รับ ส่งกาแฟให้เขากิน แต่จะปล่อยชะมดไว้ในไร่กาแฟให้พวกเขาได้เลือกกินกาแฟจากต้นสดๆแล้วก็พอแล้วเขาก็ออกมาแล้วประดิษฐ์เข้ามาเก็บขี้ชะมดหรือกากกาแฟ
   สำหรับกาแฟที่ใช้ในการเพาะปลูกในพื้นที่จังหวัดนครปฐมที่มีอากาศแห้งไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นกาแฟที่ไม่ต้องใช้สารเคมีในการปลูก แต่จะใช้ปุ๋ยคอกแทนการไม่ได้อย่างแน่นอน จากนั้นชะมดที่กินข้าวกาแฟจะได้รับเพียงไม่กี่เดือนและจะได้รับในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคมทำให้ราคา กาแฟชนิดนี้สูงกว่าแบบอื่น ๆ ได้ ค่อนข้างละเอียดอ่อน”
   หากใครสนใจมาชิมกาแฟขี้ชะมด สดๆและเที่ยวที่ไร่กาแฟขี้ชะมด  “BlueGold คอฟฟี่”สามารถมาได้ที่บ้านต้าย  ต. โพนจานอ. โพนสวรรค์
จ. นครพนมหรือโทร 09-5938-0950

   https://m.mgronline.com/travel/detail/9600000127593

 

          มะขามป้อมสีชมพู

   

   https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_53657

       ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของมะขามป้อม
   ต้น เป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลาง สูงประมาณ 7 เมตร เปลือกค่อนข้างเรียบเกลี้ยง
ใบ เป็นใบเดี่ยว สีเขียว เรียงตัวอยู่ตรงข้ามกัน และอยู่ชิดกัน เรียงอยู่บนกิ่งย่อยขนาดเล็ก (มองดูคล้ายลักษณะเป็นใบประกอบ) รูปขอบขนาน
เรียงสลับ กว้าง 0.25-0.5 เซนติเมตร ยาว 0.8-12 เซนติเมตร เส้นแขนงใบไม่ชัดเจน ก้านใบสั้นมาก       
   ดอก ขนาดเล็ก แยกเพศ มีดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ปะปนกันจำนวนมาก แต่อยู่บนกิ่งหรือต้นเดียวกัน มีกลีบเลี้ยง 6 กลีบ ดอกสีขาวหรือขาวนวล ดอกเพศผู้ มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ฐานรองดอกมีต่อม 6 ต่อม ดอกเพศเมียมีฐานรองดอกเป็นรูปถ้วย ขอบถ้วยหยัก รังไข่มี 3 ช่อง หลอดท่อรังไข่ปลายแยกเป็น 2 แฉก ไม่เท่ากัน
   ผล ทรงกลม เนื้อหนา 1.2-2 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน ผลแก่มีสีเขียวอ่อนค่อนข้างใส มีเส้นริ้วๆ ตามยาว มี 6 เส้น เนื้อผลรสฝาดเปรี้ยว
ขมและอมหวาน เปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมี 6 เส้น เมล็ดมี 6 เมล็ด สีน้ำตาลดำ
       การใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ
   เปลือกจากลำต้น ใช้เปลือกที่แห้งแล้วบดให้เป็นผงละเอียดโรยแก้บาดแผลเลือดออก และแผลฟกช้ำ
   ใบ ใช้ใบสดมาต้ม ดื่มแก้บวมน้ำ นำมาตำพอกหรือทาบริเวณแผลผื่นคัน มีน้ำหนอง น้ำเหลือง และผิวหนังอักเสบ
   ผล ใช้ผลสดกินเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพและสมุนไพรพื้นบ้าน เป็นยาบำรุงทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้ไอ แก้หวัด ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามไรฟันและคอแห้งซึ่งรายละเอียดยังมีอีก จะได้นำไปกล่าวไว้ในช่วงท้ายของบทความนี้
   ผลแห้ง บดให้เป็นผง ชงดื่มแก้ตกเลือด ท้องเสีย โรคบิด แก้โรคดีซ่าน และโรคโลหิตจาง
   ราก ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้โรคเรื้อน แก้ความดันโลหิตสูง และแก้ท้องเสีย

 

 

 

 

 

เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 139,923