15.วิชานิติศาสตร์

            วิชานิติศาสตร์

      http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C
      http://law.stou.ac.th/  
     
http://www.laemtech.ac.th/it/index.php/e-learing/28-2013-04-17-02-43-32/27-2013-04-17-02-48-13  
   -วิชากฏหมายแบ่งออกเป็น  ๖  ชนิด  คือ:-
      ๑.กฏหมายอาญา
      ๒.กฏหมายแพร่ง
      ๓.กฏหมายพาณิชย์
      ๔.กฏหมายหมายชุมชน
      ๕.กฏหมายชาวบ้าน
      ๖.รายการทนายชาวบ้าน

        
ประมวลกฏหมายอาญา
   http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2
   http://law.longdo.com/law/717
   http://nitiphuket2.igetweb.com/articles/216674/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2.html
   http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%28%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%29/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84_%E0%B9%91_-_%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0_%E0%B9%91_-_%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94_%E0%B9%92
  
http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_%28%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%29
  [DOC]กฎหมายคืออะไร
  หลักกฎหมายอาญา
  ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย
  ความหมายของกฎหมายอาญา
  การกระทำคืออะไร ตามความหมายในกฎหมายอาญา - narrate by ...
    การเรียนกฏหมายอาญาจาก Youtube
  https://www.youtube.com/watch?v=DLy_6u-wMIM
           ประมวลกฏหมายแพร่ง
  
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%87
   http://thanyathorn27.blogspot.com/
   http://singkle.blogspot.com/p/blog-page_16.html
   http://preecha39.blogspot.com/2012/04/blog-post.html
   http://www.hotcourses.in.th/subject/civil-law/
   http://www.lawyersthai.com/2010/05/blog-post_07.html
   http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/2133-00/
   http://thantiwa24.blogspot.com/2012/02/blog-post_23.html
  
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amuletstory&month=02-2012&date=22&group=23&gblog=4

             ประมวลกฏหมายพาณิชย์
   http://nawaporn25.blogspot.com/
   http://thanyathorn27.blogspot.com/2012/02/blog-post_22.html
   https://nitistou.wordpress.com/category/41321-%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C-1/
   https://nitistou.wordpress.com/category/41322-%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C-2/
  
http://e-book.ram.edu/e-book/inside/html/dlbook.asp?code=LW433

              เรียนกฏหมายพาณิชย์จาก Youtube
    https://www.youtube.com/watch?v=UKM0A1vLxTw
   
https://www.youtube.com/watch?v=4pUAi1JtRek
               กฏหมายชุมชน
     http://www.codi.or.th/index.php/about-codi/relevant-laws
     https://sites.google.com/site/sangkhmsocial/bth-thi-1-bthna/bth-thi-2-sangkhm-khxng-rea/bth-thi-4-kt-hmay-thi-keiywkhxng-kab-tnxeng-khrxbkhraw-chumchn
     http://www.pcd.go.th/info_serv/reg_relatedlaw.html
     http://www.local.moi.go.th/main_law.htm
     http://www.oknation.net/blog/chomdean/2009/02/28/entry-3
     https://th-th.facebook.com/4lawsForPeople
     http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/1857-00/
    
http://www.ieat.go.th/ieat/index.php/th/2013-10-14-00-58-54

          เรียนกฏหมายชุมชนจาก Youtube
    https://www.youtube.com/watch?v=nIFs8Nhga_U
                 กฏหมายชาวบ้าน
    http://kodmaychawban.blogspot.com/
     http://www.chawbanlaw.com/#axzz3b2FyRxhA
     http://pantip.com/tag/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99
     https://th-th.facebook.com/chawbanlaw
     https://th-th.facebook.com/PruksaPayhaKdhmayChawBan
     http://www.lawyerthai.com/articles/people/
     http://www.lawyerthai.com/articles/people/010.php
    
http://nomadomaha.com/

         กฏหมายชาวบ้านจาก Youtube
     https://www.youtube.com/watch?v=1JLGuFOZBCM
    
https://www.youtube.com/watch?v=OF5g9VQ9NaA
           ทนายชาวบ้าน
     http://aod-lawyer.com/index.php
        รายการทนายชาวบ้านจาก Youtube
     https://www.youtube.com/watch?v=TKZmUrrrqiQ
    
https://www.youtube.com/watch?v=-xqZ_-iZEx4

กฎหมายจาก Longdo Dictionary

   http://law.longdo.com/lawindex/%E0%B8%81#

               คดีหมิ่นประมาท

 
                              คดีหมิ่นประมาท
   กฎหมาย "หมิ่นประมาท" ทางอาญา เครื่องมือพื้นฐาน "ปิดปาก"
 ความผิดฐาน "หมิ่นประมาท" เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้กันบ่อยครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง และมีคนแสดงความคิดเห็นแตกต่างกัน หรือมีการ "ด่ากัน" โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนมีพื้นที่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของตัวเอง การระบายความรู้สึกด้านลบ การใช้เหตุผลวิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันในประเด็นต่างๆ สามารถทำได้ง่ายตลอดเวลา และเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คดีความฐานหมิ่นประมาทเกิดขึ้นได้ง่าย และมีปริมาณมากขึ้นด้วย
   เมื่อคนรับรู้ว่า ตัวเองถูกโจมตีด้วยข้อความต่างๆ และอยากใช้กฎหมายตอบโต้ ความผิดฐานหมิ่นประมาทจะถูกมองเห็นก่อนในฐานะเครื่องมือที่พื้นฐานที่สุด และสามารถหยิบใช้ได้กับแทบทุกกรณี ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายไทยมีทั้งโทษทางอาญาซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา และมีทั้งการหมิ่นประมาททางแพ่งซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิย์ การหมิ่นประมาททั้งสองประเภทมีองค์ประกอบแตกต่างกันและมีวิธีการดำเนินคดีเพื่อเอาผิดที่แตกต่างกัน ดังนี้
    หมิ่นประมาททางอาญา ยังมีข้อยกเว้นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ประมวลกฎหมายอาญา กำหนดความผิดฐานหมิ่นประมาทไว้ใน มาตรา 326 โดยมีมาตรา 328 เป็นบทเพิ่ม
โทษที่ใช้กันบ่อย ดังนี้
    "มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
    "มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทําโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทําให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทําโดยการกระจายเสียง หรือการ กระจายภาพ หรือโดยกระทําการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท"
    จะเห็นว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ต้องมี "บุคคลที่สาม" เป็นผู้รับสารด้วย การด่ากันต่อหน้าเพียงสองคนยังไม่ใช่ความผิดฐานหมิ่นประ มาท และเนื้อหาที่จะเป็นความผิดได้ต้องมีลักษณะที่จะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ โดยกฎหมายไม่ได้กำหนดว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทต้องเป็นการพูดความเท็จ การพูดความจริงที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายก็ยังเป็นความผิดได้เช่นกัน แต่หากเป็นคำด่าลอยๆ ที่ทุกคนฟังแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกเกลียดชังผู้ถูกกล่าวถึงก็อาจไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท
    ถ้าหากการหมิ่นประมาททำผ่านสื่อไม่ว่า สื่อประเภทใดๆ รวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ ก็จะต้องใช้มาตรา 328 เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เมื่อเป็นการ "หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา" ก็จะมีโทษเพิ่มสูงขึ้น คดีหมิ่นประมาทส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจะกระทำผ่านสื่ออย่างใดอย่าหนึ่ง และเมื่อมาตรา 326 ถูกหยิบมาใช้ ก็มักจะมาคู่กันกับมาตรา 328 ด้วย
 อย่างไรก็ดี ความผิดฐานหมิ่นประมาททางอาญา ยังมีข้อยกเว้นอยู่มาก เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย ดังนี้
 "มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต
     (1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
     (2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
     (3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทํา
     (4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุมผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท"
      "มาตรา 330 ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่า เป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประ โยชน์แก่ประชาชน"
 จะเห็นได้ว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญายังมีข้อยกเว้นความรับผิดให้สำหรับการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ซึ่งข้อยกเว้นที่ยกขึ้นอ้างได้อย่างกว้างขวางและใช้คุ้มครองผู้ต้องหาได้บ่อยที่สุดคือ ข้อยกเว้นตาม มาตรา 329 (3) หากเป็นการแสดงความเห็นติชม วิพากษ์วิจารณ์ ในลักษณะที่ประชาชนทั่วไปต่างก็กระทำกันเป็นปกติวิสัย แม้ว่า อาจจะเป็นการใส่ความบุคคลอื่นให้เสียหายอยู่บ้างก็ตาม ก็ยังได้รับการยกเว้นไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งข้อยกเว้นข้อนี้เองที่ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจรัฐ หรือการวิจารณ์สิ่งที่ไม่ถูกต้องในสังคมได้รับความคุ้มครอง
   นอกจากนี้ในมาตรา 330 ยังยกเว้นให้อีกชั้นหนึ่งสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ และเป็นการพูดความจริง หรือเป็นกรณีที่ผู้ที่พูดนั้นเชื่อโดยสุจริตว่า สิ่งที่พูดเป็นความจริง ถ้าหากแสดงความคิดเห็นภายในกรอบนี้แม้จะเป็นความผิดแต่ก็ไม่ต้องรับโทษ
   การบัญญัติความผิดฐานหมิ่นประมาทไว้เป็นความผิดทางอาญา และกำหนดโทษจำคุกและโทษปรับ ทำให้
การดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาททางอาญาสามารถทำได้สองช่องทาง คือ ช่องทางแรก ผู้เสียหายที่เห็นว่า ตัวเอง
ถูกหมิ่นประมาทยื่นฟ้องคดีเองต่อศาล และหาทนายความดำเนินคดีด้วยตัวเอง หรือช่องทางที่สอง คือ การแจ้ง
ความต่อตำรวจ ให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้รวบรวมหลักฐานและดำเนินคดีให้ โดยให้พนักงานอัยการของรัฐเป็นผู้
ทำสำนวนคดีและส่งฟ้องต่อศาล ซึ่งไม่ว่า จะเลือกช่องทางใดเนื่องจากความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นความผิด
ต่อส่วนตัว ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ริเริ่มคดีด้วยตัวเอง หากผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดี รัฐก็ริเริ่มการดำเนิน
คดีฐานหมิ่นประมาทเองไม่ได้
          1154 หมิ่นประ มาทแพ่ง
   หมิ่นประมาททางแพ่ง ต้องฟ้องเอง เรียกค่าเสียหายเองได้
   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในหมวดของการ "ละเมิด" กำหนดเรื่องการหมิ่นประมาทไว้ ดังนี้
    "มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง
หรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขา โดยประการอื่นก็ดี
ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตน
มิได้รู้ว่า ข้อความนั่นไม่จริงแต่หากควรจะรู้ได้
   ผู้ใดส่งข่าวสาส์นอันตนมิได้รู้ว่า เป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสาส์นนั้นมีทางได้เสียโดยชอบใน
การนั้นด้วยแล้ว ท่านว่า เพียงที่ส่งข่าวสาส์นเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่"
 จะเห็นได้ว่า การหมิ่นประมาทบุคคลอื่นนอกจากจะเป็นความผิดอาญาแล้วก็ยังมีกฎหมายแพ่งกำหนดเรื่องนี้ไว้
เช่นกัน การไขข่าวให้คนอื่นเสียชื่อเสียงถือเป็นการทำ "ละเมิด" ต่อผู้อื่น ใครก็ตามที่หมิ่นประมาทบุคคลอื่นก็ยัง
สามารถถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งได้ด้วย ลักษณะของคดีแพ่ง คือ เมื่อศาลตัดสินว่ากระทำความผิด กระทำผิดต้องจ่าย
ค่าเสียหายชดใช้ทดแทนให้กับผู้เสียหาย
  องค์ประกอบของการกระทำที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง แตกต่างจากการหมิ่นประมาทตาม
กฎหมายอาญา เพราะการจะเป็นความผิดทางแพ่งต้องพูดสิ่งที่ "ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง" เท่านั้น หากพูดสิ่งที่
เป็นความจริงจะไม่สามารถเป็นความผิดได้เลย โดยหลักการของกฎหมายแพ่งหากแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่
ไม่เป็นความจริงโดยที่ไม่รู้ว่าไม่จริง และการแสดงความคิดเห็นนั้นเป็นเพราะมีส่วนได้เสียในเรื่องนั้นๆ ด้วย
แล้ว ก็ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
 
การดำเนินคดีทางแพ่ง ต่างจากการดำเนินคดีทางอาญา คือ ไม่มีตำรวจ อัยการ หรือกระบวนการของรัฐเข้า
มาดำเนินคดีให้ หากผู้เสียหายต้องการได้รับการชดเชยความเสียหายก็ต้องฟ้องคดีด้วยตัวเอง หรือหาทนาย
ความมาช่วยเหลือด้วยตัวเอง เมื่อผู้เสียหายยื่นฟ้องคดีต่อศาลต้องวางเงินค่าธรรมเนียมต่อศาลด้วย และในการ
ดำเนินคดีแพ่งจำเลยจะไม่ต้องถูกควบคุมตัว ไม่ต้องเผชิญหน้ากับโทษจำคุกที่เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้น
ฐาน
  ตัวอย่างคดี "ปิดปาก" การแสดงความคิดเห็น ด้วยกฎหมายหมิ่นประมาท
 ตั้งแต่ปี 2550-2560 เมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์กันบนโลกออนไลน์ แล้วคนที่ถูกวิจารณ์ไม่สามารถยอมรับคำ
วิจารณ์ได้ก็จะนำ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) มาเป็นเครื่องมือหลักเพื่อดำเนินคดีตอบโต้การแสดง
ความคิดเห็นที่ไม่ต้องการได้ยิน ข้อหามาตรา 14(1) มีโทษสูงกว่าความผิดฐานหมิ่นประมาท คือ จำคุกไม่เกิน
ห้าปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท แต่ต่อมามีการแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) และประกาศใช้ใน
ปี 2560 โดยเขียนใหม่ให้ชัดขึ้นว่า ไม่ให้ใช้กฎหมายนี้ดำเนินคดีควบคู่กับความผิดฐานหมิ่นประมาท
  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเป็นเวลากว่าสองปี การดำเนินคดีต่อการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ด้วย พ.ร.บ.
คอมพิวเตอร์ฯ ก็ลดลงในบางแง่มุม โดยผู้ที่ต้องการดำเนินคดีหันมาใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาเป็น
หลักเพื่อตอบโต้การแสดงความคิดเห็น หลายคดีที่นำกฎหมายมาตรา 326, 328 มาเป็นเครื่องมือฟ้องคดี ก็
เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นการฟ้องคดีเพื่อตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ บางกรณีเป็น
เพียงการฟ้องเพื่อ "รักษาหน้าตา" เท่านั้น หรือบางกรณีก็ฟ้องเพื่อต้องการ "ปิดปาก" ไม่ให้ประชาชนมีโอกาส
มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และสร้างภาระทางคดีความเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับคนที่เคลื่อนไหวในประเด็น
สำคัญๆ
 
คดีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสาธารณะส่วนใหญ่ เมื่อฟ้องคดีก็ไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผู้ต้องหาถูกศาลสั่งลงโทษ แต่
อาจจะนำไปสู่การเจรจากัน และถอนฟ้องภายหลัง หรือบางกรณีศาลสั่งไม่รับฟ้อง หรือหลายกรณีศาลพิพากษา
ให้ยกฟ้อง ตัวอย่างเช่น
   1. บริษัททุ่งคำฟ้องนักข่าวเยาวชนและไทยพีบีเอส สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (ThaiPBS) เผยแพร่ ราย
การนักข่าวพลเมือง ตอน ค่ายเยาวชนฮักบ้านเจ้าของ เมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2558 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับผลกระ
ทบต่อสิ่งแวดล้อมของการทำเหมืองแร่ทองคำในอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย บริษัท ทุ่งคำ เจ้าของประทานบัตร
เหมืองแร่ แจ้งความดำเนินคดีกับวันเพ็ญ หรือพลอย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ปรากฏเสียงอยู่ในราย
การ ต่อสถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี และยื่นฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย ในความผิดฐานหมิ่น
ประมาทด้วยการโฆษณา ขณะเดียวกันก็ยื่นฟ้องสถานีไทยพีบีเอส นักข่าว และผู้บริหารสถานี ต่อศาลอาญา
ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่อมามีการเจรจาและถอนฟ้องกันไป
   2. โรงงานน้ำตาลฟ้องชาวบ้านกลุ่มรักษ์น้ำอูน
   วันที่ 11 พฤศจิกายนและ 16 ธันวาคม 2559 ชาวบ้านกลุ่มรักษ์น้ำอูนเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อองค์การ
บริหารส่วนตำบลอุ่มจาน ขอให้ระงับการดำเนินการบุกเบิกพื้นที่โครงการโรงงานน้ำตาลทราย และโรงไฟฟ้า
ชีวมวล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทางสาธารณะ และลำรางสาธารณะ  ต่อมาบริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด
ผู้เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลยื่นฟ้องสมาชิกกลุ่มรักษ์น้ำอูนรวม 21 คนในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ท้ายที่สุดก่อนเริ่มการไต่สวนมูลฟ้อง บริษัทโจทก์ตัดสินใจยื่นขอถอนฟ้องเพื่อความสมานฉันท์
   3. กอ.รมน. ภาคใต้ ฟ้องนักสิทธิมนุษชน  กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคสี่ส่วนหน้า
(กอ.รมน. 4 สน.) แจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท กับพรเพ็ญ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม,
สมชาย ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และอัญชนา นักกิจกรรมกลุ่มด้วยใจ จากการจัดทำ และเผยแพร่ราย
งานสถานการณ์การซ้อมทรมานปี 2557 – 2558 ซึ่งมีข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่เคยถูกควบคุมตัวในค่าย
ทหารและเล่าเรื่องการถูกซ้อมทรมาน ต่อมามีการจัดประชุมหารือร่วมกัน และ กอ.รมน. รับปากว่าจะถอนฟ้อง
   4. กฟผ. ฟ้องเอ็นจีโอค้านโรงไฟฟ้า
   ประสิทธิ์ชัย นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว วิจารณ์โครงการก่อสร้างโรง
ไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ และการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขาถูกดำเนิน
คดีจากการโพสต์สองครั้ง คือ โพสต์ในวันที่ 26 ธันวาคม 2559 และวันที่ 13 มกราคม 2560 โดย กฟผ. เป็น
ผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
   5. ฟาร์มไก่ ธรรมเกษตร vs ลูกจ้างชาวพม่า 14 คน
   ในปี 2559 คนงานชาวพม่า 14 คน เปิดโปงเรื่องราวการละเมิดสิทธิแรงงาน และยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรรม
การสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า ขณะทำงานกับนายจ้างในฟาร์มเลี้ยงไก่ ต้องทำงานตั้งแต่ 07.00-17.00 น. และ
ทำงานล่วงเวลาตั้งแต่ 19.00-05.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกฟาร์ม และได้ค่าจ้างราย
วันให้เพียงวันละ 230 บาท นายจ้าง คือ บริษัท ธรรมเกษตร ฟ้องคนงานทั้ง 14 คน ฐานหมิ่นประมาทและแจ้ง
ข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน จำเลยต่อสู้คดีและศาลพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยนอกจากคดีนี้ บริษัท ธรรม
เกษตร ยังตัดสินใจดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทกับบุคคลต่างๆ อีกรวมกันแล้วหลายคดี เป็นมหากาพย์ยาวนาน
ต่อเนื่อง
   6. กกต. ฟ้องนักกิจกรรม ชุมนุมหยุดโกงเลือกตั้ง
   พะเยาว์, สิรวิชญ์ และพริษฐ์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกันจัดกิจกรรมต้านโกงเลือกตั้ง เพื่อเรียก
ร้องความโปร่งใสของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ในการทำกิจกรรมมีการชูป้าย เช่น #หยุดโกง
เลือกตั้ง #RespectMyVote และ #เห็นหัวกูบ้าง พร้อมกับการตะโกนขับไล่ กกต. อ่านแถลงการณ์เรียกร้อง
ให้ กกต. เปิดผลคะแนนเลือกตั้งรายหน่วย และเปิดโต๊ะให้ประชาชนร่วมลงชื่อถอดถอน กกต. ภายหลัง กกต.
แจ้งความให้ดำเนินคดีและพวกเขาสามคนถูกเรียกตัวเพื่อไปรับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการ
โฆษณา ดูคดีอื่นๆ ที่ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทต่อการแสดงความเห็นในประเด็นสาธารณะได้ คลิกที่นี่
   ปัญหาการใช้หมิ่นประมาททางอาญา สร้างภาระให้จำเลยเกินจำเป็น  ที่ผ่านมามีตัวอย่างให้เห็นหลายกรณีที่
มีผู้หยิบเอาข้อหา "หมิ่นประมาททางอาญา" มาใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายตอบโต้กับการแสดงความคิดเห็น
ในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากได้ยิน แม้ข้อหานี้จะมีระวางโทษไม่สูงมาก และมีบทยกเว้นความรับผิดค่อนข้างกว้าง แต่
ในการเอาตัวผู้ที่แสดงความคิดเห็นเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีก็มีต้นทุนสูง ส่งผลให้ผู้ที่เคลื่อนไหวในประเด็น
สาธารณะต้องมีต้นทุนติดตัวสูง เป็นการสร้างภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การต่อสู้คดี และสร้างความ
หวาดกลัวให้กับคนที่ต้องการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นสาธารณะ อย่างมีประสิทธิภาพพอสม
ควร
 
 
1156
 
 
ข้อเสียของการใช้ข้อหาตามกฎหมายอาญา คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งตำรวจและอัยการ รวมทั้งศาล จะถูก
"ยืมมือ" ให้เข้ามาเป็นเครื่องมือที่ทำงานให้กับผู้เสียหาย ทั้งกระบวนการออกหมายเรียกผู้ต้องหา ออกหมายจับ
การตั้งข้อหา การสอบสวน การสั่งฟ้อง และการพิจารณาคดี ล้วนเดินหน้าไปโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยที่ผู้ริเริ่ม
คดีเพียงแค่ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงมาแจ้งความแล้วที่เหลือก็ไม่ต้องลงทุนอะไรด้วยตัวเองอีก แต่ในทาง
ตรงกันข้าม กระบวนการเหล่านี้ทำให้ผู้ถูกกล่าวหามีภาระต้องเดินทางมารายงานตัวหลายครั้ง และต้องหาทนาย
ความมาช่วยเหลือทางกฎหมาย พร้อมแสวงหาหลักฐานมาต่อสู้คดีด้วยตัวเอง โดยไม่มีองค์กรของรัฐช่วยเหลือ
ซึ่งก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างมาก อาจเรียกได้ว่า เป็นการกลั่นแกล้งโดยอาศัยกระบวนการ
ยุติธรรม หรือ Judicial Harrasment
 
นอกจากนี้ในกระบวนการทางอาญา เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ผู้ต้องหาส่วนใหญ่จะต้องยื่นประกันตัว ซึ่งในคดีหมิ่น
ประมาทต้องใช้หลักทรัพย์ระหว่าง 50,000-100,000 บาท หากไม่สามารถหาหลักทรัพย์มาได้จะต้องถูก
ควบคุมตัวในเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดี และหากไม่มีทนายความ หรือไม่มีเวลาและทรัพยากรเตรียมตัว
ต่อสู้คดีที่เพียงพอก็อาจแพ้คดี และถูกสั่งลงโทษจำคุกหรือลงโทษปรับได้ นอกจากนี้การตกเป็นผู้ต้องหาในคดี
อาญา ยังส่งผลกระทบด้านชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ทางสังคมของผู้ถูกดำเนินคดีเมื่อต้องเดินทางไปขึ้นโรงพัก
หรือขึ้นศาลด้วย ซึ่งกลายเป็นว่า ฝ่ายผู้แสดงความคิดเห็นต้องแบกรับภาระต้นทุนที่หนักกว่าฝ่ายผู้เสียหายมาก
 
จากสภาพการณ์ในคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผู้ที่ริเริ่มดำเนินคดีหมิ่นประมาทมักจะเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าในสังคม
เช่น เป็นหน่วยงานของรัฐ เป็นนายจ้าง เป็นนายทุนที่มีเงินทุนมหาศาล เป็นคนมีความรู้กฎหมายหรือมีฐานะ
ทางสังคม ขณะที่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ และถูกดำเนินคดีมักจะเป็นผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า เช่น นักเคลื่อนไหวทาง
การเมือง เอ็นจีโอด้านสิทธิ หรือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการต่างๆ หลายครั้งการดำเนิน
คดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาททางอาญา ก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาความยุติธรรมหรือลงโทษคนที่กระทำ
ความผิด แต่เพียงถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อ "ปิดปาก" การแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน
 
และผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินคดีหมิ่นประมาททางอาญา หากศาลพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อยกเว้นใน
มาตรา 329 ก็ไม่ได้หมายความว่า ฝ่ายโจทก์แพ้หรือเนื้อหาที่พูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ทำให้ใครเสียหาย
เสมอไป เพราะแม้จะเป็นความเท็จที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายแต่เมื่อเข้าข้อยกเว้นศาลก็ยังต้องยกฟ้อง หรือถ้าหาก
ศาลพิพากษาให้ลงโทษ ก็ไม่ได้หมายความว่า เนื้อหาที่พูดนั้นเป็นเท็จเสมอไป เพราะการพูดความจริงก็ยังเป็น
ความผิดได้ ผลของคดีอาญาฐานหมิ่นประมาทจึงไม่ได้เป็นประโยชน์กับการต่อสู้ในทางสาธารณะของฝ่ายใด
เลย
และการเอาผู้ที่แสดงความคิดเห็นไปลงโทษทางอาญา ด้วยการปรับหรือจำคุก ก็ไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาความขัด
แย้งที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกัน และไม่ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายได้รับการแก้ไขเยียวยาแต่อย่างใด
 
 
ทางออกที่ดีกว่าการใช้ข้อหาหมิ่นประมาททางอาญา คือ การชี้แจงความจริง
 
เมื่อการนำข้อหาหมิ่นประมาททางอาญามาใช้ดำเนินคดีไม่ได้แก้ปัญหาได้ตรงจุดเสมอไป ซ้ำร้ายยังสร้างภาระแก่ผู้ที่แสดงความคิดเห็น สร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรต่อการพูดคุยกันด้วยเหตุผลในสังคม สำหรับผู้ที่รู้สึกว่า กำลังถูกผู้อื่นกล่าวหาอย่างไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมทำให้ได้รับความเสียหาย ยังมีทางเลือกอื่นที่อาจเลือกใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินคดีทางอาญาได้ ดังนี้
 
1. ชี้แจงความจริง
 
สำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม มีทางเลือกที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง คือ การชี้แจงสิ่งที่เชื่อว่า เป็นความจริง หรืออธิบายความคิดเห็นของตัวเองแลกเปลี่ยนกับผู้ที่กล่าวหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยของสื่อสังคมออนไลน์ ที่เปิดพื้นที่ให้ทุกคนสื่อสารได้อย่างเท่าเทียมกัน และเปิดพื้นที่ให้มีการแสดงความคิดเห็นตอบโต้กันหรือ "คอมเม้นต์" ได้ การเลือกใช้พื้นที่ลักษณะเดียวกันสื่อสารอีกแง่มุมหนึ่งกลับไปจะทำให้ผู้รับสารมีข้อมูลและมุมมองจากทุกฝ่าย เพื่อนำไปช่างน้ำหนักและเลือกเชื่อเองได้ ซึ่งแก้ปัญหาได้ถูกต้องตรงจุดกว่า และยังส่งผลดีต่อบรรยากาศการแลกเปลี่ยนพูดคุยในประเด็นสาธารณะด้วยเหตุผลและสันติวิธี
 
เว้นเสียแต่ว่า บางครั้งการกล่าวหาอาจเกิดขึ้นจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่า เช่น เป็นบุคคลมีชื่อเสียงหรือได้รับความเชื่อถือทางสังคม หรือเป็นสื่อมวลชนที่มีเครื่องมือสื่อสารที่มีอิทธิพลอยู่ในมือ หากผู้เสียหายไม่มีช่องทางที่จะสามารถสื่อสารอีกแง่มุมหนึ่งไปยังผู้รับสารคนอื่นๆ ได้ทัน ก็อาจเลือกใช้มาตราการอื่นๆ ประกอบด้วยได้
 
2. รายงานต่อผู้ดูแลระบบ
 
สำหรับผู้ที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม อาจใช้วิธีการรายงานปัญหาที่พบไปยังผู้ให้บริการพื้นที่ออนไลน์ เช่น ผู้ดูแลเฟซบุ๊ก, กูเกิ้ล, ทวิตเตอร์ พร้อมอธิบายเหตุผลประกอบ ซึ่งผู้ให้บริการแต่ละรายจะมีกฎระเบียบสำหรับผู้ใช้เป็นของตัวเองแตกต่างกันไป และแน่นอนว่า การแก้ปัญหาจะไม่ได้เร็วและทันท่วงทีเสมอไป เพราะผู้ให้บริการแต่ละรายก็ต้องเคารพสิทธิของผู้ใช้บริการทุกคนในฐานะ "ลูกค้า" และต้องตัดสินใจอย่างละเอียดรอบคอบ แต่หากผู้ใช้รายใดที่ถูกรายงานบ่อยๆ ด้วยพฤติกรรมการใส่ความผู้อื่นแบบเดิมๆ ก็อาจจะถูกผู้ให้บริการตักเตือน ปิดกั้นการเข้าถึง ตั้งค่าอัลกอริทึ่มให้ผู้ใช้คนอื่นเห็นน้อย ลบเนื้อหาบางโพสต์ หรือปิดบัญชีผู้ใช้นั้นไป
 
บางครั้งผู้ที่ส่งรายงานอาจไม่ได้รับรู้ว่า ผู้ให้บริการพื้นที่ออนไลน์ได้ดำเนินการหรือมีระบบการเก็บรวบรวมและตัดสินใจต่อปัญหาที่ได้รับรายงานจากผู้ใช้อย่างไรบ้าง เพราะเป็นหลักการที่ผู้ให้บริการจงใจไม่เปิดเผย แต่การส่งรายงานก็เป็นเรื่องที่ไม่มีต้นทุนใดๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองและทำได้ง่ายกว่าการริเริ่มฟ้องคดี
 
3. การใช้คดีหมิ่นประมาททางแพ่ง
 
หากผู้ที่ถูกกล่าวหาเห็นว่า การถูกวิจารณ์นั้นเป็นความเท็จและก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างมากจริงๆ โดยต้องการใช้กฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือทวงถามความยุติธรรม การต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความจริงโดยเลือกการดำเนินคดีทางแพ่งนั้น เป็นทางเลือกที่แก้ปัญหาได้ตรงจุดกว่า เพราะในกระบวนการพิจารณาคดีแพ่ง จะไม่สร้างภาระให้กับจำเลยมาจนเกินไป จำเลยจะไม่ต้องขอประกันตัวและไม่เสี่ยงติดคุก การต่อสู้คดีจะเน้นที่การพิสูจน์ความจริงระหว่างทั้งสองฝ่าย หากสิ่งที่พูดไม่เป็นความจริงก็จะเป็นความผิด แต่ถ้าสิ่งที่พูดเป็นความจริงก็ไม่เป็นความผิด โดยไม่มีฝ่ายใดอาศัยเจ้าหน้าที่รัฐให้ตัวเองได้เปรียบ หรือเข้ามาเป็นเครื่องมือดำเนินคดีแทน
 
และผลสุดท้ายของคดีหากพิสูจน์ได้ว่า มีการหมิ่นประมาทให้ผู้อื่นเสียหายที่เป็นความผิดทางแพ่ง ผู้กระทำผิดก็มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นตัวเงิน หรือการประกาศโฆษณาคำพิพากษาต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นการแก้ไขเยียวยาสิทธิในชื่อเสียงเกียรติคุณให้กับผู้เสียหายได้อย่างตรงจุดมากกว่าการเอาตัวจำเลยไปเข้าเรือนจำ หากผู้เสียหายต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการดำเนินคดีไปมากก็สามารถเรียกร้องให้ผู้ที่แพ้คดีชดใช้คืนได้ด้วยเช่นกัน
          
         ไวยาวัจกร
          ความหมายของ ไวยาวัจกร
    ไวยาวัจกร หมายถึง ผู้ทำกิจธุระแทนภิกษุหรือสงฆ์, ผู้จัดการขวนขวายแทนภิกษุหรือสงฆ์
    ไวยาวัจกร หมายถึง ผู้ทำกิจธุระแทนสงฆ์, ผู้ช่วยขวนขวายทำกิจธุระ, ผู้ช่วยเหลือรับใช้พระ

    ไวยาวัจกรตามพระวินัย
    ตามพระวินัย มีไวยาวัจกร ที่ปรากฏในสิกขาบทที่ ๑๐ จีวรวรรคที่ ๑ นิสัคคิยปาจิตตีย์ ๓ ความว่า "ถ้าใคร ๆ นำทรัพย์มาเพื่อค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็นไวยาวัจกรของเธอ ถ้าภิกษุต้องการจีวร ก็พึงแสดงคนวัดหรืออุบาสกว่า ผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ครั้นเขามอบหมายไวยาวัจกรนั้นแล้ว สั่งภิกษุว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาเขาแล้วทวงว่า เราต้องการจีวรดังนี้ได้ ๓ ครั้ง ถ้าไม่ได้จีวร ไปยืนแต่พอเขาเห็นได้ ๖ ครั้ง ถ้าไม่ได้ ขืนไปทวงให้เกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ได้มา ต้องนิสัคคิยปาจิตตีย์
    ถ้าไปทวงและยืนครบกำหนดแล้วไม่ได้จีวรจำต้องไปบอกเจ้าของเดิมว่าของนั้นไม่สำเร็จประโยชน์แก่ตน ให้เขาเรียกเอาของเขาคืนมาเสีย

    อธิบายความตามวินัยมุข ๔ เล่ม ๑ กัณฑ์ที่ ๖ สิกขาบทที่ ๑๐ ว่า อนึ่ง พระราชาก็ดี ราชอำมาตย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี คฤหบดีก็ดี ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปด้วยทูตเฉพาะภิกษุว่า เจ้าจงจ่ายจีวร ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้แล้ว ยังภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร ถ้าทูตนั้น เข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้ นำมาเฉพาะท่าน ขอท่านจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ภิกษุนั้น พึงกล่าวต่อทูตนั้นอย่างนี้ว่า พวกเราหาได้รับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่ พวกเรารับแต่จีวรอันเป็นของควรโดยกาล ถ้าทูตนั้นกล่าวต่อภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกรของท่านมีหรือ ภิกษุผู้ต้องการจีวร พึงแสดงชนผู้ทำการในอาราม หรืออุบาสก ให้เป็นไวยาวัจกร ด้วยคำว่า คนนั้นแลเป็นไวยาวัจกรของพระภิกษุทั้งหลาย ถ้าทูตนั้น สั่งไวยาวัจกรนั้นให้เข้าใจแล้ว เข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า คนที่ท่านแสดงเป็นไวยาวัจกรนั้น ข้าพเจ้าสั่งให้เข้าใจแล้ว ท่านจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครองจีวรตามกาล
    ภิกษุผู้ต้องการจีวร เข้าไปหาไวยาวัจกรแล้ว พึงทวงพึงเตือน ๒-๓ ครั้ง ว่า เราต้องการจีวร ภิกษุทวงอยู่ เตือนอยู่ ๒-๓ ครั้ง ยังไวยาวัจกรนั้นให้จัดจีวรสำเร็จได้การให้สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นดี ถ้าให้สำเร็จไม่ได้ พึงเข้าไปยืนนิ่งต่อหน้า ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก ยังไวยาวัจกรนั้นให้จัดจีวรสำเร็จได้ การให้สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นดี ถ้าให้สำเร็จไม่ได้ถ้าเธอพยายามให้ยิ่งกว่านั้น ยังจีวรนั้นให้สำเร็จ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ถ้าให้สำเร็จไม่ได้พึงไปเองก็ดี ส่งทูตไปก็ดี ในสำนักที่ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรมา เพื่อเธอ บอกว่า ท่านส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปเฉพาะภิกษุใด ทรัพย์นั้นหาสำเร็จประโยชน์น้อยหนึ่งแก่ภิกษุนั้นไม่ ท่านจงทวงเอาคืนทรัพย์ของท่าน ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย. นี้เป็นสามีจิกรรม.(คือการชอบ) ในเรื่องนั้น

    ไวยาวัจกรที่ปรากฏในวินัยมุข เล่ม ๒ กัณฑ์ที่ ๒๐ กล่าวว่า "ที่กัลปนา คือที่นาที่สวนและที่อย่างอื่นอีก
    อันทายกผู้เจ้าของบริจาคไว้เพื่อเป็นค่าปัจจัยบำรุงสงฆ์ เช่นเรียกในบัดนี้ว่าที่ธรณีสงฆ์ในบาลี แสดงครุภัณฑ์ ไม่ได้กล่าวถึง แต่ในบาลีเภสัชชขันธกะกล่าวไว้แต่ไม่ชัดความดังนี้ พืชของบุคคลอันเพาะปลูกในพื้นที่ของสงฆ์ เจ้าของพึงให้ส่วนแล้วบริโภค นี้ก็ได้แก่ที่นาหรือที่สวนมีคนเช่าถือ เสียค่าเช่าให้แก่สงฆ์. ที่กัลปนานี้ อนุโลมเข้าในบทอารามวัตถุ เป็นครุภัณฑ์ ของอันเกิดขึ้นในที่นั้นหรือจะเรียกว่าค่าเช่าก็ตามที่ทายกผู้ถวายไม่ได้ กำหนดเฉพาะปัจจัย ต้องการด้วยปัจจัยอย่างใด จะน้อมไปเพื่อปัจจัยอย่างนั้น ควรอยู่ที่ทายกผู้ถวายกำหนดเฉพาะ เสนาสนปัจจัย ต้องน้อมเข้าไปในเสนาสนะเท่านั้น.
    ถ้าไวยาวัจกรสงฆ์ดูแลทำที่กัลปนานั้นเอง ไม่ได้ให้มีผู้เช่าถือ จ่ายผลประโยชน์อันเกิดในที่นั้น ให้แก่ผู้ทำผู้รักษาตามส่วนได้อยู่. ผู้ทำผู้รักษามีกรรมสิทธิ์ในของอันเกิดขึ้น ณ ที่นั้น เท่าส่วนอันตนจะพึงได้. อีกฝ่ายหนึ่ง ในบาลีเภสัชชขันธกะนั้นเองกล่าวว่า พืชของสงฆ์เพาะปลูกในที่ของบุคคล พึงให้ส่วนแล้วบริโภค น่าจะได้แก่การที่ไวยาวัจกรสงฆ์เช่านาหรือสวนของคนอื่นทำเป็นของสงฆ์ เช่นนี้ ท่านยอมให้จ่ายผลประโยชน์ของสงฆ์ให้ เป็นค่าเช่า ค่าถือแก่เจ้าของที่ การเช่นนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีสักรายหนึ่ง มีแต่บุคคลเช่าที่ของสงฆ์ทั้งนั้น"

    ไวยาวัจกรตามกฎกระทรวง
    ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
    ข้อ ๖ ให้เจ้าอาวาสจัดให้ ไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ของวัดซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทินให้ทำบัญชีเงินรับจ่ายและคงเหลือ ทั้งนี้ให้เจ้าอาวาสตรวจตราดูแลให้ เป็นไปโดยเรียบร้อยและถูกต้อง
    ข้อ ๗ ในกรณีที่วัด เจ้าอาวาสไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ของวัดถูกฟ้องหรือถูกหมายเรียกเข้าเป็นโจทก์ ร่วมหรือจำเลยร่วม ในเรื่องที่เกี่ยวกับการดูแลรักษา และจัดการศาสนสมบัติของวัดให้เจ้าอาวาสแจ้งต่อกรมการศาสนา หรือ ศึกษาธิการจังหวัด ที่วัดตั้งอยู่ให้ทราบไม่ช้ากว่าห้าวัน นับแต่วันรับหมาย

    ไวยาวัจกรตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
    มาตรา ๒๓ การแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระภิกษุอันเกี่ยวกับ ตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตำแหน่งอื่นๆ และไวยาวัจกรให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม
    มาตรา ๔๕ ให้ถือว่าพระภิกุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา

    ไวยาวัจกรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
    กรณีที่มีการมอบหมายให้ไวยาวัจกรดูแลรักษาและจัดการทรัพย์สินของวัด ไวยาวัจกรมีฐานะเป็น "ตัวแทน" ของวัดในการจัดการทรัพย์สินของวัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (พ.ศ. ๒๕๓๕)

    ไวยาวัจกรตามประมวลกฎหมายอาญา
    ไวยาวัจกรมีฐานะเป็น "เจ้าพนักงาน" ตามประมวลกฎหมายอาญาจึงได้รับการคุ้มครองและควบคุมตามประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้
    มาตรา ๑๓๖ ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    มาตรา ๑๔๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือ จำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท

         หน้าที่ของไวยาวัจกร
    ๑. หน้าที่เบิกจ่ายนิตยภัต
    ๒. หน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดตามที่เจ้าอาวาสมอบหมายเป็นหนังสือ

    หน้าที่ไวยาวัจกรประเภทที่ ๑ ได้แก่หน้าที่เบิกจ่ายนิตยภัตจากส่วนราชการที่ได้ตั้งนิตยภัตถวายแก่พระภิกษุในวัดนั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้ ไวยาวัจกรจะต้องได้รับหนังสือมอบหมายจากเจ้าอาวาส เพื่อนำไปแสดงเป็นหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการผู้จ่ายนิตยภัต ตามระเบียบของทางราชการ
    ส่วนหน้าที่ไวยาวัจกรประเภทที่ ๒ คือ หน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดซึ่งต้องมีหนังสือมอบหมายของเจ้าอาวาสเป็นหลักฐาน เนื่องจากศาสนสมบัติของวัดมีอยู่มากมายหลายชนิด บางส่วนสำหรับใช้ในการพระศาสนาและบางส่วนก็มิได้ใช้ในการพระศาสนา นอกจากนี้ วิธีการดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัด ก็อาจกระทำได้หลายวิธีด้วยกัน
    ฉะนั้น ทรัพย์สินส่วนใดจะมอบหมายให้ไวยาวัจกรจัดการโดยวิธีใดจึงจำเป็นต้องมี "หนังสือ" มอบหมายของเจ้าอาวาสเป็นหลักฐาน ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกและป้องกันมิให้เกิดข้อบกพร่อง หรือข้อยุ่งยากในการปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกร
    ในการปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรประเภทที่ ๒ ถึงแม้ว่าจะได้รับหนังสือมอบหมายจากเจ้าอาวาสเป็นหลักฐานไว้แล้วก็ตาม ไวยาวัจกรจะดำเนินการไปโดยอิสระตามความพอใจของตนก็หาไม่ จะต้องจัดการให้เป็นไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติในมาตรา ๔๐ วรรค ๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ กล่าวคือ ต้องให้เป็นไปตาม "วิธีการ" ที่กำหนดในกฎกระทรวง
    โดยนัยนี้ ถ้าไวยาวัจกรปฏิบัติการใดๆ โดยไม่ได้รับหนังสือมอบหมายจากเจ้าอาวาสก็ดี หรือได้รับหนังสือมอบหมายจากเจ้าอาวาสแล้ว แต่กระทำไปโดยมิชอบด้วยวิธีการตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงก็ดี ต้องถือว่าได้กระทำไปโดยนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่ของตนแล้วแต่กรณี หากเกิดข้อบกพร่อง หรือเสียหายขึ้นด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว ไวยาวัจกรจะต้อง "รับผิดชอบ" ในความบกพร่องหรือความเสียหายนั้น
    โดยนัยเดียวกัน ถ้าเจ้าอาวาสมอบหมายให้ไวยาวัจกรปฏิบัติการใดๆ โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ ตามที่บัญญัติไว้ในข้อ ๒ นี้แล้ว หากเกิดข้อบกพร่องหรือเสียหายขึ้นด้วยเหตุดังกล่าวแล้วเจ้าอาวาสจะต้องร่วม "รับผิดชอบ" ในความบกพร่องหรือความเสียหายนั้นด้วย


         ความรับผิดชอบของไวยาวัจกร
    โดยที่ไวยาวัจกร มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติของวัดอันเป็นทรัพย์สินของ "พระศาสนา" นอกจากจะมีบทบัญญัติกำหนดขอบเขตแห่งอำนาจหน้าที่ไวยาวัจกร พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร ตลอดจน "ความรับผิดชอบ" ในหน้าที่ของไวยาวัจกรไว้เป็นพิเศษอีกส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับความรับผิดชอบของข้าราชการฝ่ายบ้านเมือง ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการทรัพย์สินแผ่นดินหรือของ "ชาติ" ซึ่งแยกออก พิจารณาได้เป็น ๒ ส่วน คือ
    ๑. ความรับผิดชอบในทางแพ่ง
    ๒. ความรับผิดชอบในทางอาญา

    ส่วนความรับผิดชอบของไวยาวัจกรในข้อที่ ๑ คือ ความรับผิดชอบในทางแพ่งนั้น หมายถึงความรับผิดชอบในฐานะที่ไวยาวัจกรเป็น "ตัวแทนของวัด" ซึ่งเป็นนิติบุคคล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๑ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
    ถ้าไวยาวัจกรกระทำการใดๆ โดยมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่ของไวยาวัจกรหรือมิชอบด้วยสิทธิหน้าที่ของวัด หากเกิดความเสียหายแก่วัดหรือบุคคลภายนอกก็ตาม ไวยาวัจกรผู้นั้นต้องรับผิด ต้องรับใช้ความเสียหายนั้นแก่วัด หรือบุคคลภายนอกแล้วแต่กรณี ตามประมวลผลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ ๑๕ ตัวแทน
    ความรับผิดชอบของไวยาวัจกรในข้อที่ ๒ คือ ความรับผิดชอบในทางอาญานั้น หมายถึง ความรับผิดชอบ ในฐานที่ไวยาวัจกรเป็น "เจ้าพนักงาน" ตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มีความว่า
    "มาตรา ๔๕ ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา"
    ตามบทบัญญัติในมาตรา ๔๕ ซึ่งยกฐานะของไวยาวัจกรให้เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญาเช่นนี้ มิใช่มีความมุ่งหมายแต่เพียง "ควบคุม" การปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรเท่านั้น ยังมีความมุ่งหมายเพื่อ "คุ้มครอง" การปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะในประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติแยกความผิดเกี่ยวกับเจ้าพนักงานไว้เป็น ๒ ลักษณะ คือ ความผิดเกี่ยวกับความยุติธรรมและความผิดทั้ง ๒ ลักษณะยังแบ่งออกเป็น ๒ หมวด คือ
    ๑. ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
    ๒. ความผิดต่อเจ้าหน้าที่พนักงาน

    นอกจากนี้ยังได้บัญญัติความผิดเกี่ยวกับเรื่องเจ้าพนักงานไว้ในลักษณะและหมวดอื่นๆ อีกในประมวลกฎหมายอาญา แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องและสำคัญเท่านั้น
    โดยนัยนี้ถ้ามีผู้ใดกระทำผิดต่อไวยาวัจกรผู้กระทำตามหน้าที่ต้องด้วยกรณีอย่างไรอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในหมวดที่ว่าด้วยความผิดต่อเจ้าพนักงาน หรือในลักษณะหรือหมวดอื่นๆ แล้ว ก็ต้องมี ความผิดและรับโทษทางอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในกรณีนั้นๆ ขอนำตัวอย่างมาประกอบการพิจารณาเฉพาะแต่เพียงบางกรณี ตัวอย่าง เช่น ผู้ใดดูหมิ่นไวยาวัจกร ซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องมีความผิดฐาน "ดูหมิ่น" เจ้าพนักงานตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๖
    โดยนัยเดียวกัน ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดกระทำผิดต่อหน้าที่ของตนต้องด้วยกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในหมวดความผิดต่อเจ้าหน้าที่เจ้าพนักงาน หรือในลักษณะและหมวดอื่นๆ แล้ว ก็ต้องมีความผิดและรับโทษทางอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในกรณีนั้นๆ ตัวอย่าง เช่น ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของวัด อันอยู่ในความครอบครองของตนตามหน้าที่ต้องมีความผิดฐานเจ้าพนักงาน "ยักยอก" ทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๗ หรือ ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ของตนโดยทุจริต เป็นการเสียหายแก่วัด ต้องมี ความผิดฐานเจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่และตำแหน่งหน้าที่ในทาง "ทุจริต" ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๑ หรือ
    ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ต้องมีความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดย "มิชอบ" หรือโดยทุจริตตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๗ มีความว่า
    มาตรา ๑๕๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ต้องระหว่างโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


การแต่งตั้งไวยาวัจกร
    เนื่องจากไวยาวัจกรต้องรับภาระปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียของวัดและพระศาสนาอยู่หลายประการ เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อบกพร่องเสียหายในการปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรดังกล่าวมาแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งไวยาวัจกรไว้เป็นพิเศษ ซึ่งแยกสาระสำคัญออกพิจารณา ได้เป็น ๔ ส่วน คือ
    ๑. หลักเกณฑ์การแต่งตั้งไวยาวัจกร
    ๒. วิธีการแต่งตั้งไวยาวัจกร
    ๓. การแต่งตั้งไวยาวัจกรหลายคน
    ๔. การแต่งตั้งผู้รักษาการในตำแหน่งไวยาวัจกร


หลักเกณฑ์การแต่งตั้งไวยาวัจกร
    คฤหัสถ์ที่ได้รับการคัดเลือกและแต่งตั้งให้เป็นไวยาวัจกร ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร ต้องมีคุณสมบัติตามข้อ ๖
ข้อ ๖ คฤหัสถ์ผู้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
    (๑) เป็นชาย มีสัญชาติไทย นับถือพระพุทธศาสนา
    (๒) มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปีบริบูรณ์
    (๓) เป็นผู้มีหลักฐานมั่นคง
    (๔) เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ไวยาวัจกรได้
    (๕) เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองตามระบบรัฐธรรมนูญ
    (๖) ไม่เป็นผู้ที่มีร่างกายทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือมีโรคเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
    (๗) ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี เช่น มีความประพฤติเสเพล เป็นนักเลงการพนัน เสพสุราเป็นอาจิณ หรือติดยาเสพติดให้โทษ
    (๘) ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
    (๙) ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษให้ออกจากราชการ หรือองค์การของรัฐบาล หรือบริษัทห้างร้านเอกชน ใน ความผิดหรือมีมลทินมัวหมองในความผิดเกี่ยวกับการเงิน
    (๑๐) ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษจำคุก เว้นแต่ความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
    เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติในข้อ ๖ โดยตลอดแล้ว จะเห็นได้ว่าได้กำหนด "คุณสมบัติ" ของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งไวยาวัจกรไว้มากถึง ๑๐ ประการ ทั้งนี้ โดยมีเหตุผลและความมุ่งหมายอันสำคัญอยู่หลายประการ แต่ถ้าจะกล่าวโดยสรุปแล้ว ก็เพื่อให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่ตำแหน่งหน้าที่ไวยาวัจกร ซึ่งแยกพิจารณาโดยสังเขป ได้ดังนี้
    (๑) เนื่องจากในการปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกร จะต้องมีการติดต่อประสานงานกับบุคคล "หลายฝ่าย" เช่น เจ้าอาวาสและบรรพชิตในวัดนั้นฝ่ายหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องฝ่ายหนึ่ง ตลอดถึงประชาชนทั่วไปอีกฝ่ายหนึ่ง จึงจำเป็นต้องกำหนด "คุณสมบัติ" เกี่ยวกับเรื่องเพศ วัย สัญชาติ ศาสนา หลักฐานการครองชีพ ความรู้ความสามารถความคิดเห็นทางการเมือง รวมทั้งมีร่างกายและจิตใจอันสมบูรณ์ ดังที่ได้บัญญัติไว้ตั้งแต่ประการที่ ๑ ถึงประการที่ ๖ ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งหมายเพื่อให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนั้นให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย
    (๒) นอกจากนี้ ไวยาวัจกรยังมีหน้าที่อันสำคัญอีกส่วนหนึ่งกล่าวคือ มีหน้าที่ต้องรับ เก็บรักษา และเบิกจ่าย "เงินศาสนสมบัติ" ของวัดเป็นจำนวนมากตามที่เจ้าอาวาสมอบหมาย จึงจำเป็นต้องกำหนดคุณสมบัติเกี่ยวกับเรื่อง "ความประพฤติ" มิให้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่เคยมีความผิดเสียหายเกี่ยวกับการเงิน ตลอดถึงไม่เคยถูกลงโทษจำคุกเพราะกระทำผิดอาญามาก่อน ดังที่ได้บัญญัติไว้ตั้งแต่ประการที่ ๗ ถึงประการที่ ๑๐ ทั้งนี้ โดยมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผู้ที่มีเกียรติเป็นที่เชื่อถือไว้ว่างใจ และเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตบกพร่องเสียหายแก่ทรัพย์สินของวัดและระพุทธศาสนา
    ฉะนั้น ในเรื่อง "คุณสมบัติ" ของไวยาวัจกรทั้ง ๑๐ ประการ ตามที่บัญญัติไว้ในข้อ ๖ นี้ จึงจัดเป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกและแต่งตั้งไวยาวัจกร เพราะถ้าปรากฏว่าผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกรนั้น "บกพร่อง" จากคุณสมบัติเพียงประการใดประการหนึ่ง การแต่งตั้งย่อมไม่เป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมาย
    นอกจากนี้ยังต้องดำเนินการให้ชอบด้วย "วิธีการ" แต่งตั้งตามที่บัญญัติไว้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะได้พิจารณาในลำดับต่อไป
          วิธีการแต่งตั้งไวยาวัจกร
    เนื่องจากมีบทบัญญัติกำหนดคุณสมบัติของไวยาวัจกรไว้เป็นหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งดังกล่าวแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติกำหนด "วิธีดำเนินการ" แต่งตั้งไวยาวัจกรไว้อีกส่วนหนึ่ง เพื่อควบคุมการแต่งตั้งให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ ๗ มีความว่า
    ข้อ ๗ ในการแต่งตั้งไวยาวัจกรของวัดใด ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้นปรึกษาสงฆ์ในวัดพิจารณาคัดเลือกคฤหัสถ์ผู้มีคุณสมบัติตามควมในข้อ ๖ เมื่อมีมติเห็นชอบในคฤหัสถ์ผู้ใดก็ให้เจ้าอาวาสสั่งแต่งตั้งคฤหัสถ์ผู้นั้นเป็นไวยาวัจกร โดยอนุมัติของเจ้าคณะอำเภอ ในการแต่งตั้งไวยาวัจกร เพื่อความเหมาะสมจะแต่งตั้งไวยาวัจกรคนเดียว หรือหลายคนก็ได้ ในกรณีที่ไวยาวัจกรหลายคน ให้เจ้าอาวาสมอบหมายหน้าที่การงาน ให้แก่ไวยาวัจกรแต่ละคนเป็นหนังสือ
    ตามความในมาตรา ๓๗ (๑) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ บัญญัติหน้าที่เจ้าอาวาสไว้ว่า "บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นได้ด้วยดี" และวิธีจัดการศาสนสมบัติของวัดซึ่งกำหนดในกฎกระทรวง ก็เป็นวิธีการอันละเอียดและเหมาะสมแก่คฤหัสถ์ ที่บัญญัติให้มีไวยาวัจกรก็เพื่อให้ช่วยงานเจ้าอาวาสในการนี้ ซึ่งเจ้าอาวาสจะมอบหมายเป็นหนังสือ ขอแนะแนวปฏิบัติ ดังนี้
    หลักเกณฑ์การแต่งตั้ง ให้แต่งตั้งในเมื่อไวยาวัจกรว่างลงหรือที่มีอยู่ไม่เพียงพอกับปริมาณงาน เฉพาะที่ไวยาวัจกรว่างลง จะแต่งตั้งผู้รักษาการในตำแหน่งไวยาวัจกรเป็นการชั่วคราวก่อนก็ได้ การแต่งตั้งไวยาวัจกรนั้น กำหนดคุณสมบัติอันเป็นหลักเกณฑ์ไว้หลายอย่าง เช่น เป็นชาย มีสัญชาติไทย นับถือพระพุทธศาสนา มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๕ ปีบริบูรณ์ เป็นต้น (ตามข้อ ๖ กฎ ๑๘)
    วิธีแต่งตั้ง ให้เจ้าอาวาสปรึกษาสงฆ์ในวัดพิจารณาคัดเลือกคฤหัสถ์ผู้มีคุณสมบัติตามกฎมหาเถรสมาคมเพื่อขออนุมัติแต่งตั้ง มติแห่งการปรึกษานั้น ต้องเห็นพ้องกัน เมื่อปรึกษาแล้วให้ขออนุมัติจากเจ้าคณะอำเภอโดยเสนอผ่านเจ้าคณะตำบล รับอนุมัติแล้วจึงแต่งตั้ง เมื่อแต่งตั้งแล้ว ต้องรายงานการแต่งตั้งต่อเจ้าคณะอำเภอและแจ้งนายอำเภอเพื่อแจ้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และควรแจ้งให้สงฆ์และทายกทายิกาวัดนั้นทราบด้วย
    ข้อพิเศษ การแต่งตั้งไวยาวัจกร ต้องให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ จึงเป็นการแต่งตั้งที่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องทำหนังสือมอบหมายการงานให้รับปฏิบัติและถ้าแต่งตั้งแทนคนเดิม ต้องสั่งให้ไวยาวัจกรคนเดิมหรือทายาทมอบหมายการงานพร้อมด้วยทรัพย์สินและหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้นั้นให้แก่ไวยาวัจกรคนใหม่ด้วย

  

 

 

 

 

 

 

 

    เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 139,923