1.One Noun
https://www.youtube.com/watch?v=rJwVzXxmDmY
สอนไวยกรณ์อังกฤษแบบเข้าใจง่าย
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่องค์การสหประชาชาติมีมติให้ชาวโลกใช้เป็นภาษากลาง ในการพูดจาติดต่อสื่อสารกันทั้งในการพูดการอ่านและการเขียน เพราะฉะนั้นตำราวิชาการต่างๆที่เราจะศึกษาเล่าเรียนกันในปัจจุบันนี้ส่วน มากจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ แทบทั้งสิ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้โลกออนไลน์คือการติดต่อสือสาร กันในระบบอินเตอร์เนทมีอิทธิพลต่อมนุษยชาติมาก ในโลกออนไลน์ ถ้าเราอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้เราก็จะอ่านข้อมูลต่างๆที่เขียนไว้ในเว็บไซต์ ต่างๆไม่ได้ โลกออนไลน์ถ้าเราอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ก็จะท่องอินเตอร์เนทไม่ได้ ถ้าท่านท่องอินเตอร์เนทไม่ได้เราก็จะเปรียบเหมือนกบที่ยังไม่ออกจากกะลา ความรู้และวิชาการที่ดีๆก็ไม่มีโอกาสที่จะได้พบๆแต่ความรู้และวิชาการของ เก่าๆที่ล้าสมัยไปแล้ว
อนึ่งคนไทยส่วนมากมักจะไม่เก่งภาษาอังกฤษบางคนเรียนจบปริญญามาแล้วก็ยังพูด ภาษาอังกฤษไม่ได้เห็นฝรั่งไม่ได้ต้องรีบเดินหนีไปไกลๆเพราะกลัวฝรั่งจะถาม แม้ผู้เขียนตำราเล่มนี้ก็เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาเหมือนกันคือ ในปีพ.ศ.2535 ผู้เขียนไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯวันหนึ่งผู้เขียนไปเที่ยวชมภาพวาดเรื่อง รามเกียรติ์ที่ฝากำแพงวัดพระแก้ว เมื่อเดินดูจนครบทุกภาพแล้วผู้เขียนก็จะเดินออกไปจากวัดพระแก้วในขณะที่ เดินออกไปนั้น ผู้เขียนก็เห็นสาวฝรั่งคนหนึ่งอายุประมาณ 20 ปี เธอเป็นคนสวยมากสวยจนผู้เขียนตะลึงผู้เขียนคิดในใจว่าสาวฝรั่งคนนี้เป็นนาง เอกหนังได้สบายมาก รูปร่างของเธอไม่สูงโด่งเหมือนฝรั่งโดยทั่วๆไปสูงไล่เลี่ยกับคนไทยเรานี้ แหละครับ ข้าพเจ้าไม่เคยนึกมาก่อนว่าเธอจะเดินเข้ามาหา แต่ในทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นเธอเดินตรงเข้ามาหาข้าพเจ้าๆก็นึกขึ้นในใจว่า “เออ! เราเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาก็พองูๆปลาๆถ้าเกิดหล่อนถามประโยคยากๆกับเราๆก็จะ ตอบเธอไม่ได้ เมื่อเราตอบเธอไม่ได้ก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าละอายที่สุด” ด้วยเหตุฉะนี้ผู้เขียนจึงได้เดินหลบหนีเธอไปอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เขียนเสียใจอย่างแก้ไม่หายจนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าผู้เขียนได้พูดคุยกับเธอในตอนนั้นชะตาชีวิตของผู้เขียนจะต้องโชติช่วง ชัชวาลอย่างแน่นอน ผู้ศึกษาทั้งหลายนี้คือเหตุการณ์ที่เป็นบทเรียนสำหรับคนที่ยังพูดภาษา อังกฤษไม่ได้ ก่อนที่ผู้ศึกษาทั้งหลายจะทำการศึกษาตำราเล่มนี้ขอให้ปฏิบัติตัวดังนี้ คือให้ผู้ศึกษาทั้งหลายอ่านตำราเล่มนี้อย่างน้อย 3 รอบ รอบแรกให้อ่านให้รู้ความหมายของตำราเล่มนี้รอบที่สองอ่านให้รู้จุดอ่อนของ ตำราเล่มนี้ว่า
"ตรงไหนผิดตรงไหนควรแก้ไข” รอบที่สามอ่านให้เข้าใจในตำราเล่มนี้อย่างถ่องแท้ทั้งหมด ตรงไหนไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจต้องอ่านทบทวนตรงนั้นหลายๆเที่ยวจนเข้าใจจึง จะผ่านไปได้ ถ้าตรงไหนอ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจก็ให้คัดลอกเอาข้อความตรงนั้นส่งมาสอบถาม ผู้เขียนได้ที่อีเมลนี้:goodman999@outlook.co.th ข้าพเจ้าจะตอบส่งไปให้ทางอีเมล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผัูศึกษาเข้าใจในตำราเล่มนี้แล้วผู้ศึกษาจะต้องทำการ ขยายข้อความในตำราเล่มนี้ให้พิสดารออกไปให้ได้ เช่นในตำราเล่มนี้เขียนประโยคภาษาอังกฤษว่า “This is a book.” เราก็สามารถนำเอาประโยคนี้ไปเขียนขยายออกไปให้ได้ประโยคขึ้นมาใหม่อีก อย่างน้อย 10 ประโยคขึ้นไป เช่น:-
-This is a book.
=นี้คือหนังสือ.
-Is this a book?
=นี้คือหนังสือหรือ?
-Yes, this is a book.
=ใช่, นี้คือหนังสือ.
-No, this is not a book.
=ไม่, นี้ไม่ใช่หนังสือ.
-This book is on the table.
=หนังเล่มนี้อยู่บนโต๊ะ.
-Is this book on the table?
=หนังสือเล่มนี้อยู่บนโต๊ะหรือ?
-Yes, this book is on the table.
=ใช่, หนังสือเล่มนี้อยู่บนโต๊ะ.
-No,this book is not on the table.
=ไม่, หนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่บนโต๊ะ.
-How many books do you have ?
=คุณมีหนังสือกี่เล่ม?
-I have ten books.
=ฉันมีหนังสือ 10 เล่ม.
กรุณาอ่านประโยคที่เขียนขึ้นมานี้ดังๆจนคล่องปากจึงจะผ่านไปได้ถ้าไม่คล่อง ห้ามผ่านไปโดยเด็ดขาด เมื่อผู้ศึกษาปฏิบัติได้เช่นนี้ภาษาอังกฤษก็จะซึมซับเข้าไปในสมองของท่าน โดยอัตโนมัติท่านก็จะพูด,อ่าน,เขียน,และฟังภาษาอังกฤษได้รู้เรื่องอย่างแน่ นอนครับ
บัดนี้ถึงเวลาที่จะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษกันต่อไปแล้วภาษาอังกฤษมีคำที่ใช้ พูดจาอ่านเขียนกันอยู่ 8 คำ ถ้าใครไม่รู้หน้าที่และไม่เข้าใจคำทั้งหลายเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้วต่อให้ เรียนภาษาอังกฤษมาเป็นร้อยเป็นพันปีท่านก็จะไม่เก่งและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ เลย คำทั้ง 8 คำเหล่านี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Parts Of Speech”
Parts Of Speech
-Parts of Speech (พาร์สทฺ อ๊อฟ สพีช แปลว่า "ส่วนแห่งคำพูด) คำที่ใช้พูดอ่านเขียนในภาษาอังกฤษมี 8 คำ คือ:-
1.Noun (นาวน์) คือ คำนาม
2.Pronoun (โพรนาวน์) คือ คำสรรพนาม
3.Verb (เวิร์บ) คือ คำกิริยา
4.Adjective (แอ๊ดเจคทีฟว์) คือ คำคุณศัพท์
5.Adverb (แอ๊ดเวิร์บ) คือ คำกิริยาวิเศษณ์
6.Preposition (เพรพโพะซิชชั่น) คือ คำบุรพบท
7.Conjuction (คอนจังชั่น) คือ คำสันธาน
8.Interjection (อินเทอเจคชั่น) คือ คำอุทาน
Noun
Noun นามแปลว่า "ชื่อ" คือเป็นชื่อของคน,สัตว์, สิ่งของ,และสถานที่
-เป็นชื่อของคน เช่น:-
-Pornchai =พรชัย
-Wanchai =วันชัย
-Udom =อุดม
-Wannipa =วรรณิภา
-Chanisa =ชนิสา
-Noochanat =นุชนารถ
-John =จอห์น
-Mary =แมรี่
-เป้นชื่อของสัตว์ เช่น:-
-pig (พิก) =หมู, สุกร
-dog (ด๊อก) =หมา, สุนัข
-duck (ดั๊คคฺ) =เป็ด
-chicken (ชิคเคิน) =ลูกไก่, ลูกนก, ลูกเป็ด
-bird (เบิร์ด) =นก
-mouse (เม้าส์) =หนู
-crab (แครบ) =ปู
-fish (ฟิช) =ปลา
-elephant (เอลละเฟินทฺ) =ช้าง
-horse (ฮอร์ส) =ม้า
-cow (คาว) =วัวตัวเมีย, แม่วัว
-buffalo (บั๊ฟฟะโล่) =ควาย, กระบือ
-เป็นชื่อของสิ่งของ เช่น:-
-vegetable (เวจจิทะเบิล) =ผัก, พืชผัก
-grass (กราส) =หญ้า
-tree (ทรี) =ต้นไม้
-table (เทเบิล) =โต๊ะ
-chair (แชร์) =เก้าอี้
-book (บุ๊ค) =หนังสือ
-pen (เพน) =ปากกา
-fruit (ฟรุท) =ผลไม้ (อ่านเป็น fru - it จะเขียนไม่ผิด)
-flower (ฟลาวเออะ) =ดอกไม้
-car (คาร์) =รถยนต์
-plane (แพลน) =เครื่องบิน
-gun (กัน) =ปืน
-เป็นชื่อของสถานที่ เช่น:-
-Barnggog (บางกอก) =กรุงเทพ
-Barnglumpu (บางลัมพู) =บางลำภู ชื่อบางๆหนึ่งที่อยู่ในกรุงเทพฯ
-International University Of Morality =มหาวิทยาลัยนานาชาติโมราลิตี้ -Thammasart University (ธัมมะสาท ยูนิเวอร์ซิทิ) =มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ -Barn Chaing (บ้านเชียง) =บ้านเชียง
-Wad Prathatpanom (วัด พระธาตุพะนม) =วัดพระธาตุพนม
หน้าที่ของคำนาม
-คำนามมีหน้าที่ในประโยค 7 ประการ คือ:-
1.เป็น subject คือเป็นประธานของประโยค
2.เป็น object คือเป็นกรรมของกิริยา
3.เป็น object of preposition คือเป็นกรรมของคำบุรพบท
4.เป็น adjective คือเป็นคำคุณศัพท์
5.เป็น pronoun คือทำหน้าที่เป็นคำสรรพนาม
6.เป็น complement คือเป็นคำขยายกิริยาทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์
7.เป็น overlap noun คือเป็นนามซ้อน
คำนามทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
-คำนามทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-Wanchai stands under the tree.
=วันชัยยืนอยู่ใต้ต้นไม้.
-Wanchai เป็นประธานของประโยค
-Chanisa is walking into the supermarket.
=ชนิสากำลังเดินเข้าไปยังร้านซูปเปอร์มาร์เก็ต.
-Chanisa เป็นประธานของประโยค
-Dog likes to bark the stolen.
=สุนัขชอบเห่าขโมย.
-Dog เป็นประธานของประโยค
-Birds like to fly on the sky.
=นกทั้งหลายชอบบินไปบนท้องฟ้า.
-Birds เป็นประธานของประโยค
-Pen used to write the book.
=ปากกาใช้เขียนหนังสือ.
-Pen เป็นประธานของประโยค
-Flowers are beautiful colorful.
=ดอกไม้ทั้งหลายมีสีสันสวยงาม.
-flowers เป็นประธานของประโยค
คำนามทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา
-คำนามทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.นามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมตรง เช่น:-
-The teacher teach many pupils.
=ครูสอนนักเรียนจำนวนมาก.
-pupils เป็นกรรมตรงของ teach
-Anuchin has stabbed his friend.
=อนุชินได้ทำร้ายเพื่อนของเขา.
-friend เป็นกรรมตรงของ stabbed
-The cat displaces to snap the rat.
=แมวไล่ตะครุบหนู.
-rat เป็นกรรมตรงของ snap
-Miss Pratumrat sits to eat the breakfast on her house.
=นางสาวประทุมรัตน์นั่งกินอาหารเช้าบนบ้านของเธอ.
-breakfast เป็นกรรมตรงของ eat
2.นามทำหน้าที่เป็นกรรมรอง เช่น:-
-Dum gave Dang the money to buy the car.
=ดำให้เงินซื้อรถยนต์แก่แดง.
-Dang เป็นกรรมรองของ gave
-Rachel brought Dum the newspaper.
=ราเชลนำเอาหนังสือพิมพ์มาให้แก่ดำ.
-Dum เป็นกรรมรองของ brought
-Show Vinai how you do it.
=จงแสดงวิธีการที่คุณทำมันแก่วินัย.
-Vinai เป็นกรรมรองของ show
-She has sent her friend a letter.
=หล่อนได้ส่งจดหมายแก่เพื่อนของเธอ.
-friend เป็นกรรมรองของ sent
-I shall reveal Viyada a secret website that can teach how to earn up to $400 in one day.
=ฉันจะเปิดเผย เว็บไซต์ลับที่สามารถสอนวิธีการแสวงหาได้ 400 ดอลล่าร์ในหนึ่งวันแก่วิยดา.
-Viyada เป็นกรรมรองของ reveal
คำนามทำหน้าที่เป็นกรรมของคำเพรพโพะซิชชั่น
-คำนามทำหน้าที่เป็นกรรมของคำเพรพโพะซิชชั่น เช่น:-
-I shall go out my house today.
=ฉันจะออกจากบ้านวันนี้.
-house เป็นกรรมของเพรพโพะซิซซั่น out
-We shall go to Bangkok tomorrow.
=พวกเราจะไปกรุงเทพฯวันพรุ่งนี้.
-bangkok เป็นกรรมของคำเพรพโพะวิชชั่น to
-The red cover book is on the table.
=หนังปกสีแดงเล่มนั้นอยู่บนโต๊ะ.
-table เป็นกรรมของคำเพรพโพะซิชชั่น on
-The gold ring is in the box.
=แหวนทองคำอยู่ในกล่อง.
-box เป็นกรรมของคำเพรพโพะซิชชั่น in
-Grungtep is the capital of Thailand.
=กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของประเทศ.
-Thailand เป็นกรรมของคำเพรพโพะซิชชั่น of
-Go up house.
=เชิญขึ้นบ้าน.
-house เป็นกรรมของคำเพรพโพะซิชชั่น up
-Go down from house.
=เชิญลงจากบ้าน.
-house เป็นกรรมของคำเพรพโพะซิชชั่น from
คำนามทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนาม
-คำนามทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนาม เมื่อนำมาขยายคำนามจะต้องวางไว้ข้างหน้าคำนามตัวที่มันขยายเสมอ เช่น:-
-International University Of Morality is online university for the global people.
=มหาวิทยาลัยนานาชาติโมราลิตี้เป็นมหาวิทยาลัยออนไลน์สำหรับคนทั้งโลก.
-International เป็นคำนามที่นำเอาใช้เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนามด้วยกันคือ University
-Bangkok City is the capital of Thailand.
=เมืองบางกอกเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย.
-Bangkok เป็นคำนามที่นำเอามาใช้เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนามด้วยกันคือ City
-She has worked at New York City for ten years.
=หล่อนได้ทำงานที่เมืองนิวยอร์คเป็นเวลา 10 ปี.
-New York เป็นคำนามที่นำเอามาใช้เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนามด้วยกันคือ City
-My younger sister likes to study at Suan Sunanta college.
=น้องสาวของผมชอบที่จะศึกษาที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา.
-Suan Sunanta เป็นคำนามที่นำเอามาใช้เป็นคำคุณศัพท์ขยายคำนามด้วยกันคือ college
-Pornchai Entertainment Company is a company that give fun to many people.
=บริษัทพรชัยการบันเทิงเป็นบริษัทที่ให้ความสนุกสนานแก่คนจำนวนมาก.
**หมายเหตุ:- ข้อ นี้โปรดสังเกตให้ดีมีคำนามที่นำเอามาใช้เป็นคำคุณศัพท์ 2 ตัว คือ Pornchai และ Entertainment โปรดสังเกตการวางตำแหน่งคำนามทั้งสองตัวนี้ให้ดีว่าตัวไหนวางไว้ก่อนตัวไหน วางไว้หลัง คำนามทั้งสองตัวนี้มีหน้าที่ขยายคำนามตัวเดียวกันคือ Company -คำนามที่นำมาใช้เป็นคำคุณศัพท์เพื่อขยายคำนามอาจจะมีมากกว่า 3 ตัวก็ได้ เมื่อมีหลายตัวให้ระวังในเรื่องของการวางตำแหน่งของมันให้ดี ถ้าวางไว้ผิดที่อาจจะแปลไม่ได้คาวมหมายก็ได้
-หลักในการวางตำแหน่งของคำนามที่นำใช้เป็นคำคุณศัพท์เพื่อขยายคำนามมีอยู่ 2 ข้อ คือ:-
1.ถ้ามีคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะอยู่ด้วยให้วางคำนามตัวนั้นไว้ข้างหน้าสุด เช่น:- -Thai Internet Trader
=ผู้ทำการค้าทางอินเตอร์เน็ตที่เป็นคนไทย
-Thai คือคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ
-Nakornpanom Internet system trader
=ผู้ประกอบการค้าทางระบบอินเตอร์เน็ตที่เป็นชาวนครพนม
-Nakornpanom คือคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ
2.คำนามตัวไหนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคำนามที่มันขยายมากที่สุดให้วางไว้ติดกับคำนามตัวที่มันขยายนั้นเสมอ เช่น:-
-Pornchai Entertainment Company
=บริษัทพรชัยการบันเทิง
-entertainment คือคำนามที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคำนาม Company มากที่สุด
-Pornchai คือคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะจึงวางไว้ข้างหน้าสุด
-New Jersey Society Orientation installments
=งวดการปฐมนิเทศของสมาคมนิวเจอร์ซี่
-orientation มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ installments
-society มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ orientation
-New Jersey เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะจึงวางไว้ข้างหน้าสุด
คำนามที่ทำหน้าที่เป็นคำสรรพนามก็ได้
-คำนามที่ทำหน้าที่เป็นคำสรรพนามได้ เช่น:-
Few
-few ทำหน้าที่เป็นคำนามแปลว่า "จำนวนไม่มาก, จำนวนน้อย, ไม่กี่คน" เช่น:-
-There were almost 100 peple, few of whom I had been before.
=มีคนเกือบ 100 คน, ไม่กี่คนที่ฉันได้เคยเห็นมา.
-few ในประโยคนี้ทำหน้าที่เป็นคำนามแต่ใช้เหมือนคำสรรพนาม ข้อนี้ขอให้ผู้ศึกษาโปรดดูให้ดีๆ ถ้าไม่เข้าใจโปรดอย่าผ่านไปโดยเด็ดขาด
-Not all our students go to school, but quite few go.
=ไม่ใช่นักเรียนของพวกเราทั้งหมดไปโรงเรียน แต่ก็ไปค่อนข้างน้อย.
-few คือคำนามที่ใช้เหมือนคำสรรพนาม
-Most people in this room come here everyday, but only few come not this place.
=คนส่วนมากในห้องนี้มาที่นี่ทุกวันแต่มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่ไม่ได้มาสถานที่แห่งนี้.
-few คือคำนามที่ใช้เหมือนคำสรรพนาม
Many
-Many has tried but few men have succeeded.
=หลายคนได้พยายาม แต่ไม่กี่คนที่ได้ประสบความสำเร็จ.
-many คือคำนามที่ใช้เหมือนคำสรรพนาม
-Many is free to philanthropy.
=หลายคนมีอิสระที่จะทำบุญ.
-many คือคำนามที่ใช้เหมือนคำสรรพนาม
Everything
-Everything is fine.
=ทุกอย่างดี.
-Everything คือคำนามที่ใช้เหมือนคำสรรพนาม
-Everything will turn out alright.
=ทุกอย่างจะเปิดออกครับ.
-Everything คือคำนามที่ใช้เหมือนคำสรรพนาม
คำนามที่ทำหน้าที่เป็นคอมพลีเมนท์ของประโยค
-คำนามที่ทำหน้าที่เป็นคอมพลีเมนท์ (complement)ของประโยค คือคำนามที่ทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์ เช่น:-
-I am a boy.
=ผมเป็นเด็กชาย.
-boy คือคำนามที่ทำหน้าที่เป็นคอมพลีเมนท์ที่ทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์
-Your son looked so much like his mother.
=ลูกชายของคุณดูแล้วคล้ายแม่ของเขามาก.
-mother คือคำนามที่ทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์
-You're pretty much in my view.
=คุณเป็นคนสวยมากในสายตาของผม.
-pretty คือคำนามที่ทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์
คำนามที่ทำหน้าที่เป็นนามซ้อนของประโยค
-คำนามที่ทำหน้าที่เป็นนามซ้อน (overlap Noun) ของประโยค เช่น:-
-My sister, Ann was a beautiful woman to watch.
=แอนน์น้องสาวของฉันเป็นคนสวยที่น่าจับตามอง.
Overlap Noun
-Overlap Noun คือคำนามหรือกลุ่มคำนามที่เพิ่มเข้ามาขยายคำนามที่มีอยู่แล้วให้ได้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเรียกง่ายๆว่า "นามซ้อน" ไม่ว่าคำนามจะทำหน้าที่เป็นอะไรในประโยคนามซ้อนก็สามารถซ้อนได้ในทุกกรณีย์ เช่น:-
1.คำนามทำหน้าที่เป็นประธาน นามซ้อนสามารถซ้อนได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังของนามตัวนั้นไม่ว่าจะซ้อนข้างหน้าหรือซ้อนข้างหลังจะต้อมมีคอมม่าคั่นเอาไว้เสมอ
-ซ้อนข้างหน้าตัวประธาน เช่น:-
-That beautiful woman, Thanisa is my younger sister.
=ธนิสาผู้หญิงสวยคนนั้นเป็นน้องสาวของฉัน.
-ซ้อนข้างหลังตัวประธาน เช่น:-
-Amontep, that cute boy is my younger brother.
=อมรเทพเด็กชายน่ารักคนนั้นเป็นน้องชายของฉัน.
2.คำนามทำหน้าที่เป็นกรรมก็สามารถซ้อนได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง
-ซ้อนข้างหน้าตัวกรรม เช่น:-
-I saw the pretty girl, Thanatip in the next room.
=ผมธนาทิพย์สาวสวยคนนั้นในห้องถัดไป.
-ซ้อนข้างหลังตัวกรรม เช่น:-
-She beats Tong boy, her pupil in front of the class.
=หล่อนเฆี่ยนเด็กชายต๋องนักเรียนของเธอหน้าชั้นเรียน.
กฏในการวางนามซ้อน
1.ถ้าคำนามนั้นเป็นวลี คือกลุ่มคำ มักจะวางไว้ข้างหลังคำนามตัวที่มันขยายนั้นโดยจะต้องมีคอมม่าคั่นไว้ เช่น:-
-Sutep Wongkomhaeng,the famous singer of Thailand,is now working on the stage.
=สุเทพ วงศ์กำแหง นักร้องผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทยกำลังร้องเพลงอยู่บนเวทีขณะนี้.
-the famous singer of Thailand ทำหน้าที่เป็นนามซ้อน
2.ถ้าคำนามที่นำมาขยายนั้นเป็นอนุประโยค (Noun Clause) ให้วางไว้ข้างหลังคำนามตัวที่มันขยายนั้นโดยมีคอมม่าคั่นเอาไว้ เช่น:-
-Miss.Anongnart, who lives in Bangkok, will travel to England tomorrow.
=นางสาวอนงค์นารถผู้ซึ่งอาสัยอยู่ในกรุงเทพฯจะเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศอังกฤษในวันพรุ่งนี้.
-who lives in Bangkok เป็นอนุประโยคทำหน้าที่เป็นนามซ้อน ขยาย Miss.Anongnaart
3.ในกรณีที่ต้องการเน้นคำนามตัวที่นำเข้ามาขยายนั้นให้มีความหมายเด่นชัดขึ้นให้วางคำนามตัวนั้นไว้ข้างหน้าคำนามตัวที่เป็นคำนามหลักก็ได้ แต่ต้องใส่คอมม่าร์คั่นเอาไว้เสมอ เช่น:-
-Maliwan's sister, Wannipa, was an intelligent student.
=วรรณิภาน้องสาวของมลิวัลย์เป็นนักเรียนที่ชาญฉลาด.
-Maliwan's sister เป็นวลีที่ทำหน้าที่เป็นนามซ้อนขยายคำนามคือ Wannipa
4.ถ้าต้องการจะเน้นความหมายของ วลี (Phrase) นั้นให้มีความหมายเด่นชัดขึ้นให้วางวลีนั้นไว้หน้าคำนามตัวที่มันขยายนั้น และจะต้องมีคอมม่าร์คั่นเอาไว้เสมอข้อนี้จะลืมเสียมิได้โดยเด็ดขาด เช่น:-
-My intelligent sister, Chamaiporn, is now traveling to foreign.
=ชไมพรน้องสาวที่ฉลาดของฉันจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในตอนนี้. 5.เมื่อต้องการจะเน้นความหมายของอนุประโยคที่นำเข้ามาขยายนั้นให้วางเอาไว้ข้างหน้านามตัวที่มันขยายนั้นเสมอ เช่น:-
-Person is precious who lives in the green house,Khoa uncle, had died.
=ลุงขาวบุคคลผู้มีค่าซึ่งอาศัยในบ้านสีเขียวได้ตายไปแล้ว.
ชนิดของนาม
-คำนามแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.countable noun (เคาน์ทะเบิล นาวน์) คือนามที่นับได้
2.uncountable noun (อันเคาน์ทะเบิล นาวน์) คือนามที่นับไม่ได้
นามนับได้
-นามนับได้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.concrete noun (คอนครีท นาวน์) คือนามที่มีรูปร่าง เช่น:-
-man (แมน) แปลว่า “ผู้ชาย”
-girl (เกิร์ล) แปลว่า “เด็กหญิง”
-school (สะคูล) แปลว่า “โรงเรียน”
-university ยูนิเวอซิทิ) แปลว่า “มหาวิทยาลัย”
-bird (เบิร์ด) แปลว่า “นก”
-buffalo (บั๊ฟฟะโล่) แปลว่า “ควาย,กระบือ”
-airplane (แอร์เพลน) แปลว่า “เครื่องบิน”
-car (คาร์) แปลว่า “รถยนต์”
2.abstract noun (แอ๊บสะแทร็คท์ นาวน์) คือนามที่ไม่มีรูปร่าง เช่น:-
-day (เดย์) แปลว่า “วัน”
-month (มันธฺ) แปลว่า “เดือน”
-year (เยียร์) แปลว่า “ปี”
-sadness (แซดเนส) แปลว่า “ความเศร้า”
-thinking (ซิ่งคิ่ง) แปลว่า “ความคิด”
-training (เทรนนิ่ง) แปลว่า “การฝึกฝน”
-happiness (แฮ็พพิเนส) แปลว่า “ความสุข”
นามที่นับไม่ได้
-นามที่นับไม่ได้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.นามที่มีรูปร่าง เช่น:-
-water (วอเทอะ) แปลว่า “น้ำ”
-sugar (ซูก้าร์) แปลว่า “น้ำตาล”
-sand (แซนดฺ) แปลว่า “ทราย”
-rice (ไรซ์) แปลว่า “ข้าว”
-salt (ซอลท์) แปลว่า “เกลือ”
-coffee (คอฟฟี) แปลว่า “กาแฟ”
2.นามที่ไม่มีรูปร่าง เช่น:-
-goodness (กุ๊ดเนส) แปลว่า “ความดี”
-justice (จัสทิค) แปลว่า “ความยุติธรรม
-helping (เฮลพิ่ง) แปลว่า “การช่วยเหลือ”
-learning (เลิร์นนิ่ง) แปลว่า “การเรียนรู้”
-finishing (ฟินิชชิ่ง) แปลว่า “การเสร็จสิ้น”
-teaching (ทิชชิ่ง) แปลว่า “การสอน”
**หมายเหตุ:- คำนามที่นับไม่ได้ถ้าต้องการจะทำให้กลายเป็นนามนับได้จะต้องมีภาชนะเข้ามาประกอบ เช่น:-
-a glass of water =น้ำ 1 แก้ว
-three bags of rice =ข้าว 3 กระสอบ
-ten cubes of soap =สบู่ 10 ก้อน
ชนิดของนามที่นำมาใช้ในไวยกรณ์อังกฤษ
-นามที่นำมาใช้ในไวยกรณ์อังกฤษแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ:-
1.Common Noun (คอมมอน นาวน์) แปลว่า “นามทั่วไป, สามายนาม”
2.Proper Noun (พรอพเพอะ นาวน์) แปลว่า “นามเฉพาะเจาะจง, วิสามายนาม” 3.Material Noun (มะเทียเรียล นาวน์) แปลว่า “นามวัตถุ, วัตถุนาม”
4.Collective Noun (คอลเลคทีฟว์ นาวน์) แปลว่า “นามที่เป็นกลุ่ม, สมุหนาม” 5.Abstract Noun (แอ๊บสะแทรคทฺ นาวน์) แปลว่า “นามที่ไม่มีรูปร่าง, อาการนาม”
Common Noun
-common noun คือนามที่ใช้เรียกชื่อคนสัตว์สิ่งของและสถานที่โดยทั่วไปไม่เจาะจง เช่น:-
-man (แมน) =ผู้ชาย, มนุษย์, บุคคล
-girl (เกิร์ล) =เด็กหญิง, หญิงสาว
-bird (เบิร์ด) =นก
-duck (ดั๊คคฺ) =เป็ด
-day (เด) =วัน
-month (มันธฺ) =เดือน
-pen (เพน) =ปากกา
-chair (แชร์) =เก้าอี้
-car (คาร์) =รถยนต์
-school (สะคูล) =โรงเรียน
-university (ยูนิเวอร์ซิทิ) =มหาวิทยาลัย
Proper Noun
-proper noun คือนามที่ใช้เรียกชื่อคนสัตว์สิ่งของและสถานที่โดยเฉพาะเจาะจงแบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:-
1.เรียกชื่อคน เช่น:-
-Mr.John =นายจอห์น
-Mrs.Mary =นางแมรี่
-Nai Dang =นายแดง
-Narngsaow May =นางสาวเมย์
2.เรียกชื่อสัตว์ เช่น:-
-gold swan (โกลด์ สะแวน) =หงส์ทอง
-serpent (เซอเพนท์) =พญานาค
-eagle (อีเกิล) =นกอินทรีย์
-white elephant (ไวท์ เอลละเฟินท์) =ช้างเผือก
3.เรียกชื่อสิ่งของ เช่น:-
-shirt (เชิร์ท) =เสื้อเชิร์ต
-Mido (มิโด้) =ชื่อนาฬิกามิโด้
-Izusu (อีซูสุ) =ชื่อรถยนต์อีซูสุ
-compaq (คอมแพค) =ชื่อคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ “คอมแพค”
-Thanin (ธานิน) =ชื่อวิทยุยี่ห้อ “ธานินทร์”
4.เรียกชื่อสถานที่ เช่น:-
-Belford (เบลฟอร์ด) =ชื่อของมหาวิทยาลัยออนไลน์ที่มีชื่อเสียงของอเมริกา -Sau Sunanta (สวนสุนันทา) =ชื่อมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
-Sukhothai Thammathirat (สุโขทัยธรรมาธิราช) =ชื่อมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
-Barnggog (บางกอก) =บางกอกชื่อบางๆหนึ่งที่อยูในจังหวัดกรุงเทพมหานคร -Wad Prathatpanom (วัด พระธาตุพนม) =วัดพระธาตุพนม
-วัดพระธาตุพนม เป็น ชื่อของวัดๆหนึ่งที่อยู่ใน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สร้างเมื่อ พ.ศ. ๘ พระมหากัสสปะและพระอรหันต์ 500 รูปเป็นประธานในการก่อสร้าง **หมายเหตุ:- Wad Prathatpanom ที่เขียนอย่างนี้บางคนอาจจะว่าเขียนผิด แต่ข้าพเจ้าเขียนให้ฝรั่งอ่านดูหลายคำ แต่คำนี้ฝรั่งอ่านได้เสียงที่ถูกต้องและใกลัเคียงมากที่สุดกว่าคำอื่น ถ้าไม่เชื่อก็ลองเขียนให้ฝรั่งอ่านดูจะได้หายสงสัย คำเตือนนักเขียนภาษาอังกฤษเป็นไทยทั้งหลาย ท่านอย่าเขียนตามความเข้าใจของตนเองว่าเขียนอย่างนี้ถูกต้องแล้วนั้นคือความเข้าใจที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวงของท่านทำไมข้าพเจ้าจึงพูดเช่นนี้ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านจะกลายเป็นตัวอย่างที่ผิดพลาดให้ลูกหลานที่เกิดมาภายหลังอ่านผิดเข้าใจผิดไปจนตายยากที่จะแก้ไขได้ คำทุกคำที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วถ้าจะให้ถูกต้องๆเขียนให้ฝรั่งอ่านดู ก่อนว่าเสียงฝรั่งอ่านมันใกล้เคียงกับคำศัพท์ที่เราเขียนให้เขาอ่านหรือไม่ เช่น คำว่า “วัด” ถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วจะอ่านออกเสียงได้ใกล้เคียงมากกว่าคำอื่นๆ คำที่อ่านได้ใกล้เคียงกันมีอยู่ 3 คำ คือ:-
-Wad อ่านเป็น วัด ใกล้เคียงมาก
-Wud ,, ,, วัด ใกล้เคียงเหมือนกัน แต่บางคนมักจะอ่านเป็น วุด
-Wat ,, ,, วอท ตัวนี้การออกเสียงใกล้เคียงกับ what คำว่า “วัด” ใช้ตัว ด สะกด ไม่ใช่ ท สะกด ก่อนจะเขียนให้นึกถึงความเป็นจริงของคำศัพท์คำนั้นด้วย ข้าพเจ้าจะใช้คำว่า “Wad” ถ้าใช้คำว่า “Wud” ตัวนี้ บางคนอาจจะอ่านเป็น “วุด” ก็ได้
ลักษณะพิเศษของ Proper Noun
-คำนามที่เป็นพรอพเพอนาวน์มีลักษณะในการใช้เป็นพิเศษ 5 ประการดังนี้
1.คำนามที่เป็น Proper Noun จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใหญ่เสมอ เช่น:- -Thailand England America Japan China Malaysia (มาเลเซีย) -Bangkok London Washington dc Tokyo (โตเกียว) Peking (ปักกิ่ง) Kuala Lumpur (กัวลาลัมเปอร์)
2.คำนามที่เป็นวันและเดือนต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใหญ่เสมอ เช่น:-
Day วัน
-วันในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 7 วัน คือ:-
1.วันอาทิตย์ เขียนเป็น Sunday (ซันเด)
2.วันจันทร์ ,, ,, Monday (มันเด)
3.วันอังคาร ,, ,, Tuesday (ทิวสะเด)
4.วันพุธ ,, ,, Wednesday (เวนสะเด)
5.วันพฤหัสบดี ,, ,, Thursday (เธอสเด)
6.วันศุกร์ ,, ,, Friday (ไฟร์เด)
7.วันเสาร์ ,, ,, Saturday (แซทเทอเด)
Month เดือน
-เดือนในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 12 เดือน คือ:-
1.เดือนมกราคม เขียนเป็น January (แจนยัวรี่)
2.เดือนกุมภาพันธ์ ,, ,, February (เฟบรัวรี่)
3.เดือนมีนาคม ,, ,, March (มาร์ช)
4.เดือนเมษายน ,, ,, April (เอพริล)
5.เดือนพฤษภาคม ,, ,, May (เมย์)
6.เดือนมิถุนายน ,, ,, June (จูน)
7.เดือนกรกฎาคม ,, ,, July (จูไล)
8.เดือนสิงหาคม ,, ,, August (ออกัสทฺ)
9.เดือนกันยายน ,, ,, September (เซพเทมเบอะ)
10.เดือนตุลาคม ,, ,, October (อ๊อคโทเบอะ)
11.เดือนพฤศจิกายน ,, ,, November (โนเวมเบอะ)
12.เดือนธันวาคม ,, ,, Desember (ดีเซมเบอะ)
3.ชื่อของฤดู เป็นได้ทั้ง Common Noun และ Proper Noun เช่น:-
Common Noun Proper Noun
-spring Spring (สะพริง) =ฤดูใบไม้ผลิ
-autumn Autumn (ออทัมน์) =ฤดูไบไม้ร่วง
-winter Winter (วินเทอะ) =ฤดูหนาว
-summer Summer (ซัมเมอะ) =ฤดูร้อน
4.ชื่อของทิศเป็น Common Noun แต่ถ้าหมายถึงภาคต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใหญ่เสมอ เช่น:- ทิศเหนือ เขียนเป็น north (นอร์ธ)
-ทิศใต้ ,, ,, south (เซาธ์)
-ทิศตะวันออก ,, ,, east (อีสท์)
-ทิศตะวันตก ,, ,, west (เวสท์)
-ถ้าเขียนขึ้นตันด้วยตัวอักษรใหญ่จะหมายถึงภาค เช่น:-
-ภาคเหนือ เขียนเป็น North
-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ,, ,, Northeast
-ภาคใต้ ,, ,, South
-ภาคตะวันออก ,, ,, East
5.คำนามที่เป็น proper Noun อาจจะนำมาเขียนเป็น Common Noun ได้เสมอ เช่น:-
-Bangkok is the Venice of the Eeast.
=กรุงเทพฯเป็นเมืองเวนิชแห่ภาคตะวันออก.
-He is a Surapol Sombatcharoen.
=เขาเป็นสุรพล สมบัติเจริญ อีกคนหนึ่ง.
Material Noun
-Material Noun (มะเทียเรียล นาวน์) คือนามที่เป็นวัตถุที่มีรูปร่าง แต่นับไม่ได้ แบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ:-
1.นามที่ป็นธาตุ
2.นามที่เป็นสารธรรมชาติ
3.นามที่เป็นของเหลว
4.นามที่เป็นอาหาร
5.นามที่เป็นพืช
นามที่เป็นธาตุ
-นามที่เป็นธาตุ เช่น:-
-gold (โกลดฺ) =ทองคำ
-silver (ซิลเวอะ) =เงิน
-copper (คอพเพอะ) =ทองแดง
-lead (เลด) =ตะกั่ว
-iron (ไอรอน) =เหล็ก
-zinc (ซินคฺ) =สังกะสี
-oxygen (อ๊อคซิเจน) =ก๊าสอ๊อคซิเจน
-hydrogen (ไฮโดรเจน) =ก๊าสไฮโดรเจน
นามที่เป็นสารธรรมชาติ
-นามที่เป็นสารธรรมชาติ เช่น:-
-wood (วูด) =ไมั
-sand (แซนดฺ) =ทราย
-wool (วูล) =ขนแกะ
-paper (เพเพอะ) =กระดาษ
-metal (เมททัล) =โลหะ
-nylon (ไนลอน) =ด้าย ที่ทำด้วยใยสงเคราะห์
-stone (สะโทน) =หิน
-earth (เอิร์น) =ดิน
-glass (กลาส) =แก้ว,กระจก
-brick (บริค) =อิฐ
-cloth (คลอธ) =ผ้า
-wire (ไวเออะ) =ลวด, สายไฟ
-cement (ซีเมนทฺ) =ปูนซีเมนท์
ของเหลว
-ของเหลว เช่น:-
-water (วอเทอะ) =น้ำ
-ice (ไอซ์) =น้ำแข็ง
-ink (อิงค์) =น้ำหมึก
-liquor (ลิคเคอะ) =เหล้า, สุรา
-beer (เบียร์) =เหล้าดีกรีต่ำ
-wine (ไวน์) =เหล้าองุ่น
-dew (ดิว) =น้ำค้าง
-coffee (คอฟฟี่) =กาแฟ
-milk (มิลค์) =นม
อาหาร
-อาหาร เช่น:-
-food (ฟูด) =อาหาร
-breakfast (เบรคฟาสทฺ) =อาหารเช้า
-lunch (ลันชฺ) =อาหารกลางวัน
-dinner (ดินเนอะ) =อาหารเย็น
-bread (เบรด) =ขนมปัง
-butter (บัทเทอะ) =เนย
-sugar (ซูกะ) =น้ำตาล
-meat (มีท) =เนื้อสัตว์, อาหาร
-salt (ซอลทฺ) =เกลือ
พืช
-พืช เช่น:-
-fruit (ฟรุท) =ผลไม้
-rice (ไรซ์) =ข้าว
-wheat (วีท) =ข้าวสาลี
-watermelon (วอเทอะเมลเลิน) =แตงโม
-rambutan (แรมบูทัน) =เงาะ
-durian (ดิวเรียน) =ทุเรียน
-cabbage (แคบบิจ) =กะหล่ำปี, ผักคะน้า
Collective Noun
-Collective Noun (คอลเลคทีฟว์ นาวน์) คือนามที่เป็นหมู่,เหล่า,กลุ่ม,ฝูง,คณะ เช่น:-
-a flock of birds (อะ ฟลอค อ๊อฟ เบิร์ด) =ฝูงนก
-a group of students (อะ กรูพ อ๊อฟ สะทิวเดนทฺซ์) =กลุ่มนักศึกษา
-a flock of sheep (อะ ฟลอค อ๊อฟ ชีพ) =ฝูงแกะ
-a pack of cards (อะ แพค อ๊อฟ คาร์คซ์) =ไพ่หนึ่งสำรับ
-a herd of cattle (อะ เฮิร์ด อ๊อฟ แคทเทิล) =ฝูงวัวควาย
-a bunch of flowers (อะ บันชฺ อ๊อฟ เฟลาเออะ) =ช่อดอกไม้
-an army of soldiers (แอน อาร์มี่ อ๊อฟ โซลเจอะ) =กองทหารบก
-a bunch of keys (อะ บันชฺ อ๊อฟ คีย์) =พวงกุญแจ
-a band of musicians (อะ แบนดฺ อ๊อฟ มิวซิเซียนซ์) =คณะนักดนตรี
-a heap of stones (อะ ฮีพ อ๊อฟ สะโทนซ์) =กองหิน
-a team of football players (อะ ทีม อ๊อฟ ฟุตบอล เพลเออะ) =ชุดนักฟุตบอล
-a pair of shoes (อะ แพร์ อ๊อฟ ชูซ์) =รองเท้าหนึ่งคู่
-a gang of robbers (อะ แก๊ง อ๊อฟ รับเบอะซ์) =หมู่โจรผู้ร้าย
**หมายเหตุ:- คำนามที่อยู่หลัง of ถ้าเป็นนามนับได้จะต้องมีรูปเป็นพหูพจน์เสมอ เช่น:-
-a bunch of keys =พวงลูกกุญแจ
-a box of pens =กล่องปากกา
-a pair of slippers =รองเท้าแตะหนึ่งคู่
-แต่ถ้าเป็นนามนับไม่ได้ต้องมีรูปเป็เอกพจน์คือไม่ต้องเติม s เช่น:-
-two showers of rain =ฝักบัวอาบน้ำฝนสองฝัก
-ten heaps of sand =กองทรายสิบกอง
-five tanks of rice =ข้าวห้าถัง
Abstact Noun
-abstact Noun (แอ๊บสะแทรคท์ นาวน์) คืออาการนาม ได้แก่นามที่มีแต่ชื่อแต่ไม่มีรูปร่าง เช่น:-
-death (เดธ) แปลว่า “ความตาย”
-beauty (บิวทิ) แปลว่า “ความสวยงาม”
-ailment (เอลเมนทฺ) แปลว่า “ความเจ็บป่วย”
-enriched (เอนริชดฺ) แปลว่า “ความร่ำรวย”
-poverty (พอพเวอทิ) แปลว่า “ความยากจน”
-แต่ ถ้าออกเสียงแบบอเมริกาจะออกเสียงเป็น “พอพเวอะดิ” ขอให้ผู้ศึกษาโปรดจำเอาไว้ให้ดี อังกฤษจะออกเสียงตัว t เป็น “ท” แต่อเมริกาจะออกเสียงตัว t เป็น “ด”
-Abstact Noun คือนามที่เป็นอาการนามจะเกิดมาจากคำ 3 ชนิดนี้ คือ:-
1.Abstact Noun ที่เกิดมาจากคำนามทั่วไป เช่น:-
-childhood (ไชดฺฮูด) เกิดมาจาก child (ไชดฺ) =วัยเด็ก, ความเป็นเด็ก
-infancy (อินแฟนซี่) เกิดมาจาก infant (อินแฟนทฺ) =วัยทารก, ระยะแรก
-friendship (เฟรนด์ชิพ) เกิดมาจาก friend (เฟรนดฺ) =มิตรภาพ, ความเป็นมิตร
-boyfriend (บอยเฟรนด์) เกิดมาจาก friend (เฟรนดฺ) =แฟนชาย
-girlfriend (เกิร์ลเฟรนด์) เกิดมาจาก friend (เฟรนดฺ) =แฟนหญิง
2.Abstact Noun ที่เกิดมาจากคำกิริยา เช่น:-
-decision (ดีซิสชั่น) เกิดมาจาก to decide (ทู ดีไซดฺ) =การตัดสินใจ, ความตกลงใจ, การชี้ขาด
-thought (ธอท) เกิดมาจาก to think (ทู ธิงค์) =ความคิด
-Imagination (อิแมจจิเนชั่น) เกิดมาจาก to imagine (อิแมจจิน) =การสร้างมโนภาพ, การจินตนาการ, การนึกเอาเอง
-speech (สะพีช) เกิดมาจาก to speak (ทู สะพีค) =การพูด, คำพูด
-growth (โกรธ์) เกิดมาจาก to grow (ทู โกร) =การเจริญเติบโต
3.Abstact Noun ที่เกิดมาจากคำคุณศัพท์ เช่น:-
-beauty (บิวทิ) เกิดมาจาก beautiful (บิวทิฟุล) =ความสวยงาม
-poverty (พอพเวอะทิ) เกิดมาจาก poor (พัวร์) =ความยากจน
-vacancy (เวแคนซี่) เกิดมาจาก vacant (เวแคนทฺ) =ความว่างเปล่า
-happiness (แฮพพิเนส) เกิดมาจาก happy (แฮพพิ) =ความสุข
-wisdom (วิสดอม) เกิดมาจาก wise (ไวซฺ) =ความฉลาด
Numbers
-Numbers (นัมเบอะ) แปลว่า “พจน์” พจน์คือคำพูด ในภาษาอังกฤษแบ่งพจน์ออกเป็น 2 คือ:-
1.Singular Number (ซิงกิวล่า นัมเบอะ) แปลว่า “เอกพจน์” เช่น:-
-book (บุ๊ค) แปลว่า “หนังสือ”
-pen (เพน) แปลว่า “ปากกา”
-pencil (เพนซิล) แปลว่า “ดินสอ”
-rubber (รับเบอะ) แปลว่า “ยางลบ”
-motorcar (มอเทอะคาร์) แปลว่า “รถยนต์”
-motocycle (มอเทอะไซค์) แปลว่า “รถจักรยานยนต์”
-motorbike (มอเทอะไบค์) แปลว่า “รถมอเตอร์ไซต์”
2.Plural Nnumber (พลูรัล นัมเบอะ) แปลว่า “พหูพจน์” เช่น:-.
-cars (คาร์ซฺ) แปลว่า “รถยนต์หลายคัน”
-Suns (ซันซฺ) แปลว่า “ดวงอาทิตย์หลายดวง”
-doctors (ด๊อคเทอะซฺ) แปลว่า “หมอหลายคน”
-nurses (เนิร์สซิส) แปลว่า “นางพยาบาลหลายคน”
-bananas (บะนะน่าซฺ) แปลว่า “กล้วยหลายใบ”
หลักการเปลี่ยนพจน์ในภาษาอังกฤษ
-หลักการเปลี่ยนพจน์ของนามในภาษาอังกฤษมีหลักปฏิบัติดังนี้
1.นามที่เป็นเอกพจน์เมื่อต้องการให้เป็นพหูพจน์ให้เติม S ที่นามที่เป็นเอกพจน์ตัวนั้น เช่น:-
-pen เติม s กลายเป็น pens
-book ,, ,, books
-dog ,, ,, dogs
-cat ,, ,, cats
-bird ,, ,, birds
2.นามตัวใดถ้าเป็นนามนับไม่ได้จะเติม S ที่คำนามตัวนั้นไม่ได้ เช่น:-
-water เติม s ไม่ได้
-rice ,, s ,,
-sugar ,, s ,,
-coffee ,, s ,,
-soap ,, s ,,
-แต่ ถ้ามีความต้องการจะทำให้เป็นนามนับได้ให้เติมภาชนะในการรองรับคำนามตัวนั้น เข้ามาร่วมด้วย เช่น:-
-three glasses of water =น้ำสามแก้ว
-nine bags of rice =ข้าวเก้ากระสอบ
-five pieces of soap =สบู่ห้าก้อน
-eight bottles of drinking water =น้ำดื่มแปดขวด
3.คำนามที่ลงท้ายด้วย s ss sh ch x z เวลาเปลี่ยนเป็นพหูพจน์ให้เติม es ได้เลย เช่น:-
-bonus เติม es กลายเป็น bonuses (โบนัสซิส) =เงินแถมให้
-glass ,, ,, glasses (กลาสซิส) =แก้ว, กระจก
-fish ,, ,, fishes (ฟิชชิส) =ปลา
-bench ,, ,, benches (เบนชิส) =มานั่ง
-box ,, ,, boxes (บ๊อคซิส) =กล่อง
-buzz ,, ,, buzzes (บัซซิส) =เสียงกระซิบ
4.คำนามที่ลงท้ายด้วย o และข้างหน้าของ o เป็นพยัญชนะ เวลาเปลี่ยนเป็นพหูพจน์ให้เติม es ได้เลย เช่น:-
-hero (ฮีโร่) เติม es กลายเป็น heroes =วีระบุรุษ
-mango (แมงโก่) ,, ,, mangoes =มะม่วง
-tomato (ทะเมโท่) ,, ,, tomatoes =มะเขือเทศ
-echo (เอคโค่) ,, ,, echoes =เสียงก้อง
-motto (มอทโท่) ,, ,, mottoes =คติพจน์
5.ข้อนี้มีข้อยกเว้นพิเศษ:คำนามที่ลงท้ายด้วย o ต่อไปนี้ แม้ข้างหน้าของมันจะเป็นสระหรือพยัญชนะก็ตามเวลาเปลี่ยนเป็นพหูพจน์ให้เติม s ได้เลย เช่น:-
-bamboo (แบมบู) เติม s กลายเป็น bamboos =ไม้ไผ่
-baboo (บาบู) ,, ,, baboos =สุภาพบุรุษฮินดู
-studio(สะทูดิโอ่) ,, ,, studios =ห้องถ่ายภาพยนต์ -cuckoo (คุคคุ) ,, ,, cuckoos =นกดุเหว่า, คนโง่
-radio (เรดิโอ่) ,, ,, radios =วิทยุ
-cameo (แคมมิโอ่) ,, ,, cameos =รูปสลักห้อยคอ
-kilo (คิโล่) ,, ,, kilos =กิโลการชั่งของขาย
-solo (โซโล่) ,, ,, solos =การบรรเลงเพลงเดี่ยว
-piano (พิอาโน่) ,, ,, pianos =เครื่องเปียโน
-folio(โฟลิโอ่) ,, ,, folios =บัญชีรายรับรายจ่าย
-kangaroo(แคงกะรู) ,, ,, kangaroos =จิงโจ้
-zoo (ซู) ,, ,, zoos =สวนสัตว์
-Eskimo (เอสคิโม่) ,, ,, Eskimos =ชนเผ่าเอสกิโม
-dynamo (ไดนาโม่) ,, ,, dynamos =เครื่องกำเนิดไฟฟ้า
-embryo (เอมบริโอ่) ,, ,, embryos =ทารกในครรภ์1-8 อาทิตย์
-zero (ซีโร่) ,, ,, zeros =เลขศูนย์
-photo (โฟโท่) ,, ,, photos =รูปถ่าย
-curio (คิวริโอ่) ,, ,, curios =ของแปลก,ของเก่า,วัตถุโบราณ
-canto (แคนโท่) ,, ,, cantos =บทโคลง
-memo (เมมโม่) ,, ,, memos =การบันทึกความจำ
-casino (คาซิโน่) ,, ,, casinos =โรงการพนัน
-albino(แอลบิโน่) ,, ,, albinos =คนเผือก
-banjo(แบนโจ่ะ) ,, ,, banjos =เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับกีตาร์
-magneto (แม็กนิโท่) ,, ,, magnetos =เครื่องกำเนิดไฟฟ้าประกอบด้วยแกนโลหะรูปกระบอก
-memento (มะเมนโท่) ,, ,, mementos =ของที่ระลึก
-octavo (ออคทาโว่) ,, ,, octavos =หน้ากระดาษหนังสือแผ่นใหญ่
-piccolo (พิคคะโล่) ,, ,, piccolos =ขลุ่ยเสียงแหลม
-quarto (ควอโท่) ,, ,, quartos =ขนาดหนังสือที่เท่ากับ 9 คูณด้วย 12 นิ้ว อนึ่ง เฉพาะนามที่ลงท้ายด้วย o ต่อไปนี้ (เพียง 10 ตัวเท่านั้น) จะเติมแต่ s อย่างเดียวก็ได้ หรือจะเติมทั้ง es ก็ได้ แล้วแต่จะใช้คือใช้ได้ทั้ง 2 วิธี นั่นเอง เช่น:-
-buffalo (บั๊ฟฟะโล่) เติม s หรือ es กลายเป็น buffalos, buffaloes =ควาย
-calico (แคลลิโค่) ,, ,, calicos, calicoes =ผ้าเนื้อหยาบ
-cargo (คาร์โก่) ,, ,, cargos, cargoes =สินค้า -domino (ดอมมิโน่) ,, ,, dominos,dominoes =ลูกโดมิโน่
-grotto (กรอทโท่) ,, ,, grottos, grottoes =ถ้ำ, อุโมงค์
-halo (เฮโล่) ,, ,, halos, haloes =แสงเป็นวงกลม
-lasso (แลสโซ่) ,, ,, lassos,lassoes =เชือกบ่วงบาศ
-mosquito (มัสคิโท่) ,, ,, mosquitos,mosquitoes =ยุง
-portico (พอร์ทิโค่) ,, ,, porticos,porticoes =หลังคาทางเดิน
-proviso (โพระไวโซ่) ,, ,, provisos, provisoes =ข้อแม้, เงื่อนไข
-volcano (วอลเคโน่) ,, ,, volcanos,vocanoes =ภูเขาไฟ
**ข้อยกเว้นพิเศษ : -ส่วนนามที่ลงท้ายด้วย i ให้เติมแต่ s เท่านั้น เช่น:-
-taxi (แท็คซิ) taxis =รถยนต์รับจ้าง
-ski (สะกี) skis =สกี, การเล่นสกี
6.คำนามที่ลงท้ายด้วย y ถ้าจะเปลี่ยนคำนามนั้นให้เป็นพหูพจน์มีหลักในการเปลี่ยนดังนี้
6.1ถ้าข้างหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i เสียก่อนจึงเติม es ได้ เช่น:- -army (อาร์มี่) เติม s กลายเป็น armies =กองทัพบก
-duty (ดิวทิ) ,, ,, duties =ตำแหน่ง, หน้าที่
-lady (เลดิ) ,, ,, ladies =สุภาพสตรี
6.2ถ้าข้างหน้า y เป็นสระไม่ต้องเปลี่ยน y เป็นอะไรให้เติม s ได้เลย เช่น:-
-boy (บอย) เติม s กลายเป็น boys =เด็กชาย
-key (คี) ,, ,, keys =ลูกกุญแจ
-day (เด) ,, ,, days =วัน
6.3ถ้าคำนามตัวนั้นเป็นชื่อเฉพาะไม่ต้องเปลี่ยน y เป็นอะไรทั้งนั้นให้เติม s ได้เลย เช่น:-
-five Mrs.Mary เติม s กลายเป็น five Mrs.Marys =นางแมรี่ทั้ง 5 คน
-three Herrys ,, ,, three Herrys =พี่น้องตระกูลเฮอรี่ทั้งสามคน
7.คำนามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ถ้าจะเปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์จะต้องเปลี่ยน f หรือ fe ให้เป็น v เสียก่อนแล้วจึงเติม es ได้
7.1คำนามที่ลงท้ายด้วย f เช่น:-
-thief (ธีฟ) เติม es กลายเป็น thieves =ขโมย
-huff (ฮัฟ) ,, ,, huves =ความฉุนเฉียว
-elf (เอลฟ์) ,, ,, elves =เทวดาตัวเล็ก, รุกขเทวดา, นางไม้
-duff (ดัฟ) ,, ,, duves =ถ่านหิน
-wolf (วูลฟฺ) ,, ,, wolves =สุนัขป่า
7.2คำนามที่ลงท้ายด้วย fe เช่น:-
-wife (ไวฟ์) เติม es กลายเป็น wives =ภรรยา
-knife (ไนฟ์) ,, ,, knives =มีด
-life (ไลฟ์) ,, ,, lives =ชีวิต
-café (คะเฟ) ,, ,, cafes =ร้านกาแฟ, โรงอาหาร,ภัตตาคารเล็ก (cafe เมื่อเป็นรูปพหูพจน์ให้เติม s เลยไม่ต้องเปลี่ยน)
8.คำนามทั้งหลายเหล่านี้เวลาทำให้เป็นพหูพจน์ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรทั้งนั้นให้เติม s ได้เลย เช่น:-
-brief (บรีฟ) n. =ข้อสรูป
-chief (ชีฟ) n. =หัวหน้า, นาย, ผู้นำ
-cliff (คลิฟ) n. =หน้าผาสูง
-coif (คอยฟ์) n. =หมวกคอยฟ์
-dwarf (ควอร์ฟ) n. =คนแคระ
-fife (ไฟฟ์) n. =ขลุ่ย
-gulf (กัลฟ์) n. =อ่าว
-grief (กรีฟ) n. =ความเศร้าโศก, ความระทมทุกข์
-hoof (ฮูฟ) n. =กีบเท้าสัตว์
-proof (พรูฟ) n. =การพิสูจน์, การทดสอบ, หลักฐาน, พยาน
-reef (รีฟ) n. =หินโสโครก, โขดหินใต้น้ำ, สายแร่
-roof (รูฟ) n. =หลังคา
-serf (เซิร์ฟ) n. =ทาส
-scarf (สะคาร์ฟ) n. =ผ้าพันคอชนิดยาว
-strife (สะไทร์ฟฺ) n. =การทะเลาะวิวาท, การต่อสู้กัน, ความขัดแย้งอย่างรุนแรง
-turf (เทิร์ฟ) n. =สนามหญ้า
-wharf (วอร์ฟ) n. =ท่าเรือ
ข้อยกเว้นพิเศษ
1.staff (สะทาฟ) ถ้าแปลว่า “เสา หรือ หลัก” เมื่อจะเปลี่ยนให้เป็นรูปพหูพจน์ต้องเปลี่ยน ff เป็น v เสียก่อนแล้วจึงเติม es เช่น:-
-staff เป็น staves
2.staff ถ้าแปลว่า “คณะบุคคล” เมื่อจะเปลี่ยนให้เป็นรูปพหูพจน์ให้เติม s ได้เลย เช่น:-
-staff เป็น staffs
3.staff ถ้ามีคำนามมาเชื่อมต่อข้างหน้า เมื่อจะเปลี่ยนให้เป็นรูปพหูพจน์ให้เติม s ได้เลย เช่น:-
-flagstaff (แฟลกสะทาฟ) เป็น flagstaffs = เสาธง
-Telephone Staff (เทลลิโฟน สะทาฟ) เป็น Telephone Staffs =พนักงานโทรศัพท์
หลักการออกเสียงคำนามที่เติม s และ es
-คำนามทั้งหลายที่เติม s และ es มีหลักในการออกเสียงดังนี้
1.คำนามที่ลงท้ายด้วย s, z, x, sh, ch เวลาเติม s หรือ es ให้อ่านออกเสียงเป็น ซิส หรือ เซ็ส เช่น:-
ตัวอย่างการเติม es ข้างหลัง s
-glass (กลาส) เติม es กลายเป็น glasses (กลาสซิศ) =แว่นตา
-grass (กราส) เติม es กลายเป็น grasses (กราสซิส) =หญ้า
-mass (แมส) เติม es กลายเป็น masses (แมสซิส) =มวลสาร
ตัวอย่างการเติม es ข้างหลัง z
-prize (ไพรซฺ) เติม es กลายเป็น prizes (ไพรซิส) =รางวัล
-buzz (บัซ) เติม es กลายเป็น buzzes (บัซซิส) =เสียงกระซิบกระซาบ, ข่าวลือ
-size (ไซซฺ) เติม es กลายเป็น sizes (ไซซิส) =ขนาด, ปริมาณ
ตัวอย่างการเติม es ข้างหลัง x
-box เติม es กลายเป็น boxes (บ๊อคซิส) =กล่อง
-tax (แทคซฺ) เติม es กลายเป็น taxes (แทคซิส) =ภาษี, เงินภาษี
-fax (แฟคซฺ) เติม es กลายเป็น faxes (แฟคซิส) =โทรสาร
ตัวอย่างการเติม es ข้างหลัง sh
-fish (ฟิช) เติม es กลายเป็น fishes (ฟิชิส) =ปลา
-varnish (วานิช) เติม es กลายเป็น varnishes (วานิชิส) =น้ำมันทาให้เป็นเงา
-trash (แทรช) เติม es กลายเป็น trashes (แทรชชิส) =ถังขยะ
ตัวอย่างการเติม es ข้างหลัง ch
-bench (เบนชฺ) เติม es กลายเป็น enches (เบนชิส) =ม้านั่ง
-March (มาร์ช) เติม es กลายเป็น Marches (มาร์ชิส) =เดือนมีนาคม
-dish (ดิช) เติม es กลายเป็น dishes (ดิชิส) =จาน
2.คำนามที่ลงท้ายด้วย ge เวลาเติม s ให้ออกเสียงเป็น ยิส หรือ เย็ส เช่น:-
-page (เพจ) เติม s กลายเป็น pages (เพจยิส) =หน้าหนังสือ
-orange (ออเรนจฺ) เติม s กลายเป็น oranges (ออเรนยิส) =ส้ม
-wage (เวจ) เติม s กลายเป็น wages (เวจยิส) =ค่าจ้าง, เงินเดือน
9.คำนาม 8 ตัวต่อไปนี้เวลาทำให้เป็นรูปพหูพจน์ให้เปลี่ยนแต่สระภายในเท่านั้น เช่น:-
-man (แมน) เปลี่ยนเป็น men (เมน) =ผู้ชาย
-woman (วุแมน) ,, ,, women (วีเมน) =ผู้หญิง
-foot (ฟุท) ,, ,, feet(ฟีท) =เท้า
-tooth (ทูธ) ,, ,, teeth (ทีธ) =ฟัน
-goose (กูส) ,, ,, geese (กีส) =ห่าน
-louse (เลาซฺ) ,, ,, lice (ไลซฺ) =หมัด, เหา
-mouse (เม้าซฺ) ,, ,, mice (ไมซฺ) =หนู (หนูตัวใหญ่)
-dormouse (ดอร์เม้าซ์) ,, ,, dormice (ดอร์ไมซฺ) =หนู (หนูตัวเล็ก) 10.คำนาม 4 ตัวต่อไปนี้เวลาเปลี่ยนให้เป็นรูปพหูพจน์ให้เติมเพียง en หรือ ne ข้างหลังคำนามตัวนั้นเท่านั้น
-คำนามที่เติม en เช่น:-
-ox (อ๊อคซ์ฺ) เติม en กลายเป็น oxen (อ๊อคเซิน) =วัว
-brother (บราเธอะ) เติม en กลายเป็น brothren (บราธเรน) =พี่น้อง
-child (ไชล์ดฺ) เติม en กลายเป็น children (ไชล์เดิร์น) =เด็ก, เด็กๆ
-คำว่า “been” ที่เป็นกิริยาช่องที่ 3 ของ verb to be ก็มาจาก be + en กลายเป็น been แปลว่า “เป็น, อยู่, คือ”
**หมายเหตุ:- brother ถ้าแปลว่า “พี่ชาย” เวลาทำให้เป็นพหูพจน์เติม s ได้เลย
-คำนามที่เติม ne เช่น:-
-cow (คาว) เติม ne กลายเป็น kine (ไคนฺ) =วัว
**คำว่า “done” ในกิริยาช่องที่ 3 ของ verb to do ก็มาจาก do + ne กลายเป็น done (ดัน) แปลว่า “ทำแล้ว”
-vine (ไวน์) =เถาวัลย์
-wine (ไวน์) =เหล้าอะงุ่น, เหล้าที่ทำด้วยผลอะงุ่น
-swine (สะไวน์) แปลว่า “หมู” หมายถึงหมูบ้าน
**หมายเหตุ:- cow เวลาทำให้เป็นรูปพหูพจน์ให้เติม s ได้เลย kine ในสมัยปัจจุบันนี้เลิกใช้ไปแล้ว
11.คำนามที่มีรูปเหมือนกันทั้งเอกพจน์และพหูพจน์มี 14 ตัว คือ:-
11.1 fish (ฟิช) =ปลา
11.2 deer (เดียร์) =กวาง
11.3 sheep (ชิพ) =เรือกำปั่น
11.4 swine (สะไวน์) =หมูบ้าน
11.5 cod (คอด) =ปลาคอด
11.6 salmon (แซลเมิน) =ปลาแซลมอน
11.7 trout (เทราทฺ) =ปลาเทร้า
11.8 herring (เฮอริ่ง) =ปลาเฮอริ่ง
11.9 hippopotamus (ฮิพพะพอททะมัส) =ช้างน้ำ
11.10 snipe (สะไนนฺ) =นกปากซ่อม
11.11 roe (โร) =ก้อนไข่ปลา
11.12 hake (เฮค) =ปลาทะเลชนิดหนึ่ง
11.13 mackerel (แมคเคอเรล) =ปลาว่ายน้ำเร็วชนิดหึ่ง
11.14 grouse (เกราซฺ) =ไก่ป่า
12.คำนามต่อไปนี้มีรูปเป็นพหูพจน์แต่เวลาใช้ๆในรูปของเอกพจน์ เช่น:-
-news (นิวซฺ) =ข่าว
-windows (วินโด้ซฺ) =หน้าต่าง (windows ที่เติม s ตัวนี้ส่วนมากใช้กับคอมพิวเตอร์)
-works (เวิร์คซฺ) =โรงงาน, ผลงาน
-headquarters (เฮดควอร์เทอะซฺ) =สำนักงานใหญ่
-means (มีนซฺ) =วิธี
-twenties (ทะเวนทิซฺ) =วัย 20
-folks (โฟล์คซฺ) = ฝูงชน
-mumps (มัมพ์ซฺ) =โรคคางทูม
-sciences (ไซเอินซฺ) =วิทยาศาสตร์
-statistices (สทะทิสทิคซฺ) =วิชาสถิติ
-politics (พอลลิทิคซฺ) =การเมือง
-ethics (เอธธิคซฺ) =จริยธรรม, ศีลธรรม
-gymnastics (จิมแนสทิคซฺ) =กายบริหาร, พลศึกษา, วิชายิมนาสทิคซ์
-a hundred pounds (อะ ฮันเดรด เพาน์ดฺ) = 100 ปอนด์
-United Nations (ยูไนทิด เนชั่นซฺ) =สหประชาชาติ
-fourties (โฟร์ทิซฺ) =วัย 40
-gallows (แกลโลซฺ) =ตะแลงแกง
-ashes (แอชชิส) =ขี้เถ้า
-alms (อามซฺ) =ทาน, ของบริจาค,ความเมตตา
-summons (ซัมเมินซฺ) =หมายเรียก
-shambles (แซมเบิลซฺ) =โรงฆ่าสัตว์
-mathematics (แมธธะมาทิคซฺ) =คณิตศาสตร์, วิชาเกี่ยวกับตัวเลข
-physics (ฟิซซิคซฺ) =ฟิสิคซ์, วิชาที่เกี่ยวกับพลังงานการเคลื่อนไหว
-economics (อิคคะนอมิคซฺ) =เศรษฐศาสตร์, วิชาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
-civics (ซิฟวิคซฺ) =วิชาหน้าที่พลเมือง
-mechanics (เมคเเคนนิคซฺ) =วิชากลศาสตร์, วิชาเกี่ยวกับช่าง
-tactics (แทคทิคซฺ) =กลวิธี, ลวดลาย, ยุทธวิธี
-United States (ยูไนทิด สะเททซฺ) =สหรัฐ
ตัวอย่าง เช่น:-
-Mathematics is my favorite subject.
=วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาโปรดของฉัน.
-The judge is sued a summons.
=ผู้พิพากษาออกหมายเรียก.
13.คำนามต่อไปนี้มีรูปเป็นพหูพจน์และใช้ในความหมายของพหูพจน์ เช่น:-
-arms (อาร์มซฺ) =อาวุธ
-breeches (บรีชซิส) =กางเกงขี่ม้า
**หมายเหตุ:-ถ้าเอา es ออกจะแปลว่า “ก้น” ถ้าเปลี่ยน e ตัวหลังเป็น a เช่น:-
-breach จะแปลว่า “ฝ่าฝืน” นี่คือวิธีเพิ่มคำศัพท์ให้มากขึ้นแสดงไว้เป็น
ตัวอย่างเล็กน้อยในบทข้างหน้าจะได้เรียนเกี่ยวกับวิธีนี้โดยละเอียด
-bellows (เบลโลซฺ) =เครื่องสูบลม
-billiards (บิลเยิร์ดซฺ) =บิลเลียด (อังกฤษอ่านเป็น “บิลลิออร์ด”)
-bowlings โบว์ลิงซฺ) =โบลิ่ง คือกีฬากลิ้งลูกไม้กลมๆ
-draughts (ดราฟท์ซฺ) =การดึง,การลาก,การถอน
-pajamas (พะจามาซ) = ชุดนอน
-pincers (พินเซอะซฺ) =คีมปากนกแก้ว
- fetters (เฟทเทอะซฺ) =โซ่ตรวน
-nuptials (นัพเชิลซฺ) =การสมรส, การแต่งงาน
-thanks (แซงค์ซฺ) =การขอบคุณ
-assets (แอสเซทซฺ) =ทรัพย์สิน
-scissors (ซิสเซอร์ซฺ) =กรรไกร, ตะไกร
-shorts (ซอร์ทซฺ) =กางเกงขาสั้น
-auspices (ออสะพิซ) =ฤกษ์
-drawers (ดรอเออะซฺ) =ลิ้นชัก
-wages (เวจเยซ) =ค่าจ้าง
-biceps (ไบเซพซฺ) =กล้ามเนื้อแขน
-sheers (เชียร์ซฺ) =กรรไกรยาว
-intestines (อินเทสทินซฺ) =ลำใส้ใหญ่
-clothes (คลอธซฺ) =เสื้อผ้า
-suds (ซัดซฺ) =ฟองสบู่
-goods (กู๊ดซฺ) =สินค้า
-contents (คอนเทนท์ซฺ) =สารบัญ
-spectacles (สะเพคทะเคิลซฺ) =แว่นตา
-eyeglasses (อายกลาสซิส) =แว่นตา
-customs (คัสเทิมซฺ) =ภาษีศุลกากร
-earnings (เอิร์นนิ่งซฺ) =รายได้, การแสวงหา
-embers (เอมเบอะซฺ) =ถ่านที่กำลังคุ
-tongs (ทองซฺ) =คีมด้ามยาว
-trousers, (เทราเซอร์ซฺ) =กางเกงขายาว
-pants (แพนท์ซฺ) =กางเกงขาสั้น, กางเกงชั้นในของสตรี
-shorts (ชอร์ตซฺ) =กางเกงขาสั้น
-jeans (ยีนซฺ) =กางเกงยีนส์
-binoculars (บิน็อคคิวล่าร์ซฺ) =กล้องส่องทางไกล
-sandals (แซนดัลซฺ) =รองเท้าแตะ
-remains (รีเมนซฺ) =ซากที่เหลืออยู่
-credentials (ครีเดนเชิลซฺ) =หนังสือรับรอง
-eyeglasses (อายกลาสซิส) =แว่นตา
-customs (คัสเทิมซฺ) =ภาษีศุลกากร
-earnings (เอิร์นนิ่งซฺ) =รายได้
-embers (เอมเบอะซฺ) =ถ่านที่กำลังคุ
-tongs (ทองซฺ) =คีมด้ามยาว
-trousers, (เทราเซอร์ซฺ) =กางเกงขายาว
-pants (แพนท์ซฺ) =กางเกงขาสั้น, กางเกงชั้นในของสตรี
-shorts (ชอร์ตซฺ) =กางเกงขาสั้น
-jeans (ยีนซฺ) =กางเกงยีนส์
-binoculars (บิน็อคคิวล่าร์ซฺ) =กล้องส่องทางไกล
-sandals (แซนดัลซฺ) =รองเท้าแตะ
-remains (รีเมนซฺ) =ซากที่เหลือ
-credentials (ครีเดนเชิลซฺ) =หนังสือรับรอง
-contents (คอนเทนซฺ) =บัญชีเรื่อง, สารบาญ
-tweezers (ทะวีเซอะซฺ) =คีม, ปากคีบ
-trappings (แทรพพิ่งซฺ) =เครื่องประดับ, สิ่งประดับ
-entrail (เอนเทรนซฺ) =เครื่องใน,ไส้พุง
-giblets (จิบเลทซฺ) =หัวใจ, ตับ,ไต, กระเพาะ
-tidings (ไทดิ้งซฺ) =ข่าว
-riches (ริชชิส) =ความร่ำรวย
-assets (แอสเซทซฺ) =ทรัพย์สิน
-amends (อะเมนด์ซฺ) =ค่าชดใช้, การฟื้นฟูให้คืนสภาพเดิม, การขอขมา
-chattels (แชทเทิลซฺ) =สังหาริมทรัพย์, ทรัพย์เคลื่อนที่ได้
-victuals (วิคทึลซฺ) =เสบียง
-whiskers (วิสเคอะซฺ) =หนวด, หนวดเครา
-eaves (อีฟว์ซฺ) =ชายคา, ชายคาบ้าน
-pantaloons (แพนทะลูนซฺ) =กางเกงขายาว
-bowels (เบาเอิล) =ลำไส้
-annals (แอนนัลซฺ) =หนังสือรายงานประจำปี
-obsequies (ออบซีควิส) =พิธีฝังศพ
-downs (เดานซฺ) =การลดลง, ขนอ่อนใต้ปีกนก, เนินเขา
-thews (ธิวซฺ) =กล้ามเนื้อ, เอ็น
-diggings (ดิกกิ้งซฺ) =สถานที่อยู่อาศัย
-regimentals (เรจจิเมนทัลซฺ) =เครื่องแบบของกรมกองทหาร
-shambles (แชมเบิลซฺ) =โรงฆ่าสัตว์
-chaps (แชพซฺ) =กางเกงหนังของโคบาล
-news (นิวซฺ) =ข่าว
-sweepings (สะวีพิงซฺ) =กว้างขวาง, การปัดกวาด
-clippers (คลิพเพอะซฺ) =ปัตตาเลี่ยน
-dregs (เดรกซฺ) =ขี้ตะกอน
-hustings (ฮัสทิงซฺ) =เวทีหาเสียง
-auspices (ออสะพิคซฺ) =ฤกษ์ดี, การทำนาย, การอุปถัมภ์
-intestines (อินเทสเทินซฺ) =ลำไส้
-remains (รีเมนซฺ) =ซากคน,สัตว์หรือพืช
-theatricals (เธียเอทริเคิลซฺ) =โอ้อวด, นักแสดงละคร
-lees (ลีซฺ) =ตะกอน, กาก
-proceeds (โพรซีดซฺ) =รายได้, ผลกำไร
-environs (เอนไวเรินซฺ) =ชานเมือง, เขตรอบเมือง, สิ่งที่ล้อมรอบ
-credentials (คริเดินเชิลซฺ) =หนังสือรับรอง
-viands (ไวแอนด์ซฺ) =อาหาร
-An item of food. =รายการของอาหาร ตัวอย่างเช่น:-
-The company's earnings have increased for the last five years.
=รายได้ของบริษัท ได้เพิ่มขึ้นในช่วงห้าปีสุดท้าย.
-My trousers are too long.
=กางเกงของฉันยาวเกินไป
คำนามผสม
-คำนามผสมแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ:-
1.คำนามผสมที่เป็นเอกพจน์ ถ้าจะเปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ให้เติม s ที่คำนามที่เป็นตัวหลักได้เลย เช่น:-
-father-in-law เปลี่ยนเป็น fathers-in-law (ฟาเธอะซฺ อิน ลอ) =พ่อตา (พ่อภรรยา),พ่อปู่ (พ่อสามี)
-mother-in-law (มาเธอะ อิน ลอ) mothers-in-law (มาเธอะซฺ อิน ลอ) = แม่ยาย (แม่ของภรรยา), แม่ย่า (แม่สามี)
-son-in-law เปลี่ยนเป็น sons-in-law (ซันซฺ อิน ลอ) =ลูกเขย
-daughter-in-law ,, ,, daughters-in-law (ดอเทอะซฺ อิน ลอ) =ลูกสะใภ้
-step-son ,, ,, step-sons (สะเท็พ ซันซฺ) =ลูกเลี้ยงชาย
-step-daughter ,, ,, step-daughters (สะเท็พ ดอเทอะซฺ) =ลูกเลี้ยงหญิง
-look-on ,, ,, looks-on (ลุคซฺ ออน) =ผู้ดู, ผู้ชม
-passer-by ,, ,, passers-by (พาสเซอะซฺ บาย) =ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา
-maid-servant ,, ,, maid-servants (เมด เซอเวินท์ซฺ) =สาวใช้
-knight-errant ,, ,, knights-errant (ไนท์ซฺ-เออร์เรินทฺ) =อัศวินพเนจร
-court-martial ,, ,, courts-martial (คอร์ทซฺ-มาร์เซิล) =ศาลทหาร
-lady-guest ,, ,, lady-guests (เลดี้-เกสท์ซฺ) =แขกผู้หญิง
-slave-trader ,, ,, slave-traders (สะเลฟ แทรดเดอะ) =นักค้าทาส
-commander-in-chief เปลี่ยนเป็น commanders-in-chief (คอมมานเดอะซฺ อิน ชีฟ) =ผู้บัญชาการ
2.คำนามผสมที่เปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์โดยการเปลี่ยนสระภายใน เช่น:-
-foot-man เปลี่ยนเป็น foot-men (ฟุท แมน) =ทหารราบ, พลเดินเท้า
-washer-man ,, ,, washer-men (วอชเชอะ แมน) =คนซักผ้า
-garden-house ,, ,, garden-houses (การ์เดน เฮาสิซ) =บ้านพักชมสวน
-woman-hater ,, ,, women-hater (วุแมน เฮเทอะ) =คนเกลียดผู้หญิง
3.คำนามผสมเหล่านี้เมื่อต้องการจะเปลี่ยนให้เป็นรูปพหูพจน์ต้องเปลี่ยนที่อักขระภายใน เช่น:-
-man-servant เปลี่ยนเป็น men-servants =บ่าว,คนใช้ชาย
-woman-servant ,, ,, women-servants =คนใช้หญิง
-woman-doctor ,, ,, women-doctors =แพทย์หญิง
-woman-writer ,, ,, women-writers =นักเขียนหญิง
-woman-worker ,, ,, women-workers =กรรมกรหญิง
-lord-justice ,, ,, lords-justices =หัวหน้าผู้พิพากษา
4.คำนามผสมบางประเภทเติม s หรือเปลี่ยนสระภายในตัวที่อยู่ข้างหลังตัวเดียวก็มี เช่น:-
-blackbird เปลี่นเป็น blackbirds (แบล็คเบิร์ด) =นกแบล็คเบิร์ด
-pickup ,, ,, pickups (พิคอั๊พซฺ) =เครื่องเล่นแผ่นเสียง
-drive-in ,, ,, drive-ins (ไดรฟ อินซฺ) =ร้านขายของที่ขับรถเข้าไปซื้อได้
-look-out ,, ,, loook-outs (ลุค เอ้าทฺซฺ) =หอคอยระวังเหตุ
-break-water ,, ,, break-waters (เบรค วอเทอะซฺ) =เขื่อนกั้นน้ำ
-runaway ,, ,, runaways (รันอะเวซฺ) =ผู้หญิงที่หนีตามผู้ชาย
-go-between ,, ,, go-betweens (โก บีทะวีนซฺ) =แม่สื่อ
-workman ,, ,, workmen (เวิร์คแมน) =กรรมกรชาย
-workwoman ,, ,, workwomen (เวิร์ควุแมน) =กรรมกรหญิง
5.คำนามผสมที่เกิดจากการเติม ful เข้ามาข้างหลังแล้วจึงเติม s เช่น:-
-spoonful เปลี่ยนเป็น spoonfuls (สพูนฟุลซฺ) =เต็มช้อน
-boatful ,, ,, boatfuls (โบทฟุลซฺ) =เต็มเรือ
-basketful ,, ,, basketfuls (บาสเกทฟุลซฺ) =เต็มตะกร้า, เต็มกระจาด
-handful ,, ,, handfuls (แฮนด์ฟุลซฺ) =เต็มมือ, เต็มกำมือ, เต็มกอบ
-cupful ,, ,, cupfuls (คับฟุลซฺ) =เต็มถ้วย
คำนามที่มาจากภาษาอื่น
-คำนามในภาษาอังกฤษที่ยืมมาจากภาษาอื่น คือ:-
1.คำนามที่มาจากภาษาละติน เช่น:-
-agendum (อะเจนดัม) เปลี่ยนเป็น agenda (อะเจนดะ) =ระเบียบวาระ
-datum (ดาทัม) เปลี่ยนเป็น data (ดาท้า) =ข้อมูล, สิ่งที่รวบรวมไว้
-dictum (ดิคทัม) ,, ,, dicta (ดิคท้า) =คำกล่าว
-ovum (โอวัม) ,, ,, ova (โอว่า) =รังไข่
-erratum (อิเรทัม) ,, ,, errata (อิเรท้า) =ข้อผิดพลาดในการเขียนและในการพิมพ์
-medium (มีเดียม) ,, ,, media (มีเดีย) =สื่อ, ตัวกลาง
-stadium (สะเทเดี่ยม) ,, ,, stadiums,stadia (สะเทเดีย) =สนามกีฬา
-alumnus (อะลัมนัส) เปลี่ยนเป็น alumni (อะลัมไน) =นักเรียนเก่า,นักศึกษาเก่า (ที่เป็นชาย)
-alumna (อะลัมน่า) ,, ,, alumnae (อะลัมนี) =นักเรียนเก่า, นักศึกษาเก่า (ที่เป็นหญิง)
-focus (โฟคัส) ,, ,, focuses, foci (โฟไค) =ที่รวม, จุดศูนย์รวม
-genius (จีเนียส) ,, ,, genii (จีนิไอ) =อัจฉริยบุคคล
-redius (เรเดียส) ,, ,, redii (เรดิไอ) =รัศมี
-stigma (สะติกมะ) ,, ,, stigmata (สะติกมาท้า) =เกษรตัวเมีย,ความอัปยศอดสู, มลทิน, แผลเป็น, แต้ม
-formula (ฟอร์มิวล่าร์) เปลี่ยนเป็น formulae, formulas (ฟอร์มิวลี, ฟอร์มิวล่าร์ซฺ) =กฏ, หลักสูตร
-larva (ลาร์วา) ,, ,, larvae (ลาร์วี) =ตัวดักแด้
-nebula (เนบิวล่าร์) ,, ,, nebulae (เนบิวลี) = กลุ่มก๊าซ
-genus (จีนัส) ,, ,, genera (เจนเนอระ) = จำพวก, ชนิด, ประเภท
-stamen (สะเทเมน) ,, ,, stamina (สะเทมิน่า) =ความแข็งแรง, ความทรหดอดทน, เกสรดอกไม้ตัวผู้
-index (อินเดคซ์) เปลี่ยนเป็น indices (อินดิซีส) =ดรรชนี,ดัชนี -appendix (อะเพนดิคซ์) ,, ,, appendices (อะเพนดิซีส) =ภาคผนวกท้ายเล่ม, ไส้ติ่ง, ส่วนที่ยื่น,ปุ่ม
-series (ซีรี่ซฺ) ,, ,, series (ซีรี่ซฺ) =ชุด,อนุกรม
-specie (สะพีซี) ,, ,, species (สะพีซีส) =ประเภท,จำพวก, รูปแบบ
-curriculum (เคอริคิวลัม) ,, ,, curricula (เคอริคิวล่า) =หลักสูตร
-maximun (แมคซิมัม) ,, ,, maxima (แมคซิม่า) =มากที่สุด, สูงสุด
-minimum (มินิมัม) ,, ,, minima (มินิม่า) =น้อยที่สุด -spectrum (สะเพคทรัม) ,, ,, spectra (สะเพคทร่า) =คลื่นความถี่
-serum (ซีรัม) ,, ,, sera (ซีร่า) =เซรุ่ม, น้ำเหลือง
-ultimatum (อัลทิเมทัม) ,, ,, ultimata (อัลทิเมท่า) =คำขาด, คำสุดท้าย, ข้อสรูป
2.คำนามที่ยืมมาจากภาษากรีกเปลี่ยนเป็นพหูพจน์ได้รูปดังนี้:-
-axis (แอคซิส) เปลี่ยนเป็น axes (เอเซส) =แกน
-analysis (อะแนลลิซิส) ,, ,, analyses (อะแนลลิเซซ) =การวิเคราะห์
-basis (เบซิส) ,, ,, bases (เบเซส) =หลักเกณฑ์
-crisis (ไครซิส) ,, ,, crises (ไครเซส) =เหตุวิกฤต
-ellipsis (อิลิพซิส) ,, ,, ellipses (อิลิพเซส) =เครื่องหมายเว้นคำ
-hypothesis (ไฮพอธธิซิส) ,, ,, hypotheses (ไฮพอธธิเซส) =การสมมุติฐาน
-synthesis (ซินธีซิส) ,, ,, syntheses (ซินธีเซส) =การสังเคราะห์
-oasis (โอเอซิส) ,, ,, oases (โอเอเซส) =บริเวณที่อุดมด้วยน้ำและต้นไม้ในเลทราย
-parenthesis (พะเรนธิซิส) เปลี่ยนเป็น parentheses (พะเรนธิเซส) =วงเล็บ
-criterion (ไครทีเรียน) ,, ,, criteria (ไครทีเรีย) =สิ่งที่เป็นมาตรฐาน, เกณฑ์
-phenomenon (ฟะนอมมะนอน) เปลี่ยนเป็น phenomena ( ฟะนอมมะน่า) =ปรากฏการณ์, ข้อเท็จจริง 3.คำนามที่ยืมมาจากภาษาฝรั่งเศสเปลี่ยนเป็นพหูพจน์ได้รูปดังนี้:-
-plateau (พเลโท) เปลี่ยนเป็น plateaux (พเลทัคซ์) =ที่ราบสูง
-madam (แมดาม) ,, ,, madames (เมดามซฺ) =คุณนาย, นาง
-monsieur (เมิสเยอ) ,, ,, messieurs (เมสเยอ) =นาย
-bureau (บิวโร) ,, ,, bureaux (บิวลัคซ์) =สำนักงาน (eau อ่านเป็นเสียง "โอ")
-beau (บิว) ,, ,, beaux (บัคซ์) แฟน,คนเจ้าชู้ คำที่คลายกัน:fan, girlfriend, boyfriend, one's beloved, dear, beau ( eau อ่านออกเสียงเป็น "อิว")
4.คำนามต่อไปนี้มีรูปร่างเป็นเอกพจน์ แต่เวลาใช้ให้ใช้ในความหมายของพหูพจน์เสมอ เช่น:-
-poultry (โพลทรี่) =เป็ดไก่ เช่น:-
-The poultry are fed from me well.
=เป็ดไก่ได้รับการเลี้ยงดูจากฉันเป็นอย่างดี.
-cattle (แคทเทิล) =วัวควาย เช่น:-
-The cattle are in the stall.
=วัวควายอยู่ในคอก.
-mankind (แมนไคนดฺ) =มนุษย์, คน เช่น:-
-There are many mankind in China.
=มีมนุษย์เป็นจำนวนมากในประเทศจีน.
-clergy (เคลอจิ) =พระสงฆ์
-In this temple, there are four clergy.
=ในวัดนี้มีพระสงฆ์ 4 รูป.
-people (พีเพิล) =ประชาชน, พลเมือง, ประชากร, คน
-In the world there are several people.
=ในโลกนี้มีประชากรมากหลาย.
-vermin (เวอมิน) =หนูหมัด เช่น:-
-This house, there are many vermin.
=บ้านหลังนี้มีหนูหมัดมาก.
5.people และ fish มีข้อยกเว้นพิเศษคือถ้าหมายถึงเผ่าพันธุ์สามารถเติม s ได้ เช่น:-
-In the world, there are many peoples.
=ในโลกนี้มีคนหลายเชื้อชาติ.
-In the sea there are many kinds of fishes.
=ในทะเลมีปลาหลายชนิด.
6.คำนามที่เป็น อาการนาม และ คำนามที่นับไม่ได้จะเติม s ไม่ได้ เช่น:-
-information (อินฟอร์เมชั่น) =ข้อมูล, ข่าวสาร, ความรู้
-furniture (เฟอร์นิเชอะ) =เครื่องเรือน, เครื่องตกแต่งบ้าน
-work (เวิร์ค) =งาน
-equipment (อีควินเมินทฺ) =เครื่องมือ, เครื่องอุปกรณ์
-advice (แอ๊ดไวค์) =คำแนะนำ, ข้อตักเตือน, ข้อคิดเห็น
-knowledge (โนว์เลด) =ความรู้
-progress (โพรเกรส) =ความเจริญก้าวหน้า
** หมายเหตุ:- work ถ้าเติม s จะมีความหมายได้ 2 อย่าง คือ:-
1.หมายถึงผลงาน เช่น:-
-The works of Soontorn Phu.
=ผลงานนี้ของสุนทรภู่.
2.หมายถึงโรงงาน เช่น:-
-The works will open in the next month.
=โรงงานนี้จะเปิดในเดือนหน้า.
พิเศษ:-writing (ไรทิ่ง) แปลว่า "งานเขียน" แต่ถ้าเติม s จะหมายถึงงานเขียนหลายชิ้น เช่น:-
-I have writings. =ผมมีงานเขียนหลายชิ้น.
7.คำนามต่อไปนี้เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์แต่มีรูปอย่างนี้ชนิดเดียว คือ:-
-deer (เดียร์) =กวาง
-sheep (ชีพ) =แกะ
-swine (สะไวน์) =หมูบ้าน
-series (ซีรีซ์) =ชุด, อนุกรม
-fish (ฟิช) =ปลา
-species (สะพีซี) =ชนิด, จำพวก, ประเภท
-means (มีนซฺ) =วิธีการ, เครื่องมือ, ทรัพย์สินจำนวนมากมาย
8.คำนามต่อไปนี้เมื่อมีรูปเป็นเอกพจน์จะมีความหมายเป็นอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามีรูปเป็นพหูพจน์จะมีความหมายเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือ:-
8.1 air (แอร์) แปลว่า "อากาศ" ถ้ามี article นำหน้าจะแปลว่า "ลักษณะท่าทาง" แต่ถ้าเติม s เป็นนามพหูพจน์จะหมายถึง "ความหยิ่งยะโส" เช่น:-
-air ถ้าเป็นเอกพจน์แปลว่า "อากาศ" เช่น:-
-Today is very good air. =วันนี้อากาศดีมาก.
-air แปลว่า "ลักษณะท่าทาง" เช่น:-
-The woman has an air well.
=ผู้หญิงคนนี้มีลักษณะท่าทางดี.
-airs ถ้าเป็นพหูพจน์แปลว่า "ความหยิ่งยะโส" เช่น:-
-Airs are a mark of bad people.
=ความหยิ่งยะโสเป็นเครื่องหมายของคนไม่ดี.
8.2 colour,color (คัลเลอะ) แปลว่า "สี" แต่ถ้าเติม s จะเป็นนามพหูพจน์แปลว่า "ธงชาติ, ธงประจำกองทหาร" เช่น:-
-A colour puts on the table.
=สีวางอยู่บนโต๊ะ.
-Thailand's colours have three colours.
=ธงชาติของประเทศไทยมี 3 สี.
-colour ตัวนี้เขียนแบบอังกฤษ
-color ตัวนี้เขียนแบบอเมริกา
**หมายเหตุ:- ขอ ให้ผู้ศึกษาโปรดสังเกตคำว่า "colour" ให้ดีจะ,มีคำอยู่ 2 คำมาผสมกัน คือ col และ our
-col (คอล) แปลว่า "ช่องเขา"
-our (เอาเออะ) แปลว่า "ของพวกเรา" เป็นคำสรรพนามบุรุษที่ 1
-นี้คือวิธีจำคำศัพท์แบบง่ายๆโดยไม่ต้องท่องจำนักเรียนจะได้เรียนในบทที่ว่า ด้วย "วิธีกระจ่ายคำศัพท์ให้มากขึ้นโดยไม่ต้องท่องจำ"
8.3 custom (คัสทอม) แปลว่า "ธรรมเนียม, ประเพณี"
-custom ถ้าเป็นเอกพจน์แปลว่า "ธรรมเนียม" เช่น:-
-Our custom is to worship.
=ธรรมเนียมของพวกเราคือการกราบไหว้บูชา.
-customs ถ้าเป็นพหูพจน์เติม s จะหมายถึง "ภาษีอากรขาเข้า" เช่น:-
-This year's customs are rubbish.
=ภาษีอากรขาเข้าของปีนีแย่มาก.
8.4 copper (คอพเพอะ) แปลว่า "ทองแดง"
-copper ถ้าเป็นเอกพจน์แปลว่า "ทองแดง" เช่น:-
-Copper has many uses for production of electrical cables.
=ทองแดงมีประโยชน์มากในการผลิตสายไฟฟ้า.
-coppers ถ้าเป็นพหูพจน์แปลว่า "เหรียญ หรือ สตางค์" เช่น:-
-Coppers made with copper.
=เหรียญทั้งหลายทำด้วยทองแดง.
8.5 force (ฟอร์ส) แปลว่า "กำลัง, แรง, อำนาจ, อิทธิพล, กองทัพ"
-force ถ้าเป็นเอกพจน์แปลว่า "กำลัง" เช่น:-
-My force is still good complete.
=กำลังของผมยังคงสมบูรณ์ดี.
-force ถ้าเป็นพหูพจน์แปลว่า "กองทัพทั้งสามเหล่า, กองกำลัง" เช่น:-
-The forces have attacked the enemy.
=กองกำลังได้เข้าโจมตีศัตรู.
8.6 good (กู๊ด) แปลว่า "ดี"
-good ถ้าเป็นเอกพจน์แปลว่า "ความดี" เช่น:-
-Her good is very much.
=ความดีของหล่อนมีมาก.
-goods ถ้าเป็นพหูพจน์แปลว่า "สินค้า" เช่น:-
-These goods are very damaged.
=สินค้าเหล่านี้เสียหายมาก.
8.7 effect (เอฟเฟ็คท์) แปลว่า "ผลประโยชน์"
-effect ถ้าเป็นเอกพจน์แปลว่า "ผล, ผลประโยชน์" เช่น:-
-His effect had been destroyed entirety.
=ผลประโยชน์ของเขาได้ถูกทำลายไปหมดสิ้นแล้ว.
-effects ถ้าเป็นพหูพจน์จะหมายถึง "ทรัพย์สิน" เช่น:-
-Her effects were stolen out.
=ทรัพย์สินของเธอถูกขโมยไป.
8.8 ground (เกราน์ดฺ) แปลว่า "พื้นดิน,ดิน"
-ถ้าเป็นเอกพจน์จะหมายถึง "พื้นดิน" เช่น:-
-Uneven ground crops do not thrive.
=พื้นดินไม่ราบเรียบปลูกพืชไม่เจริญเติบโต.
-ถ้า grounds มีรูปเป็นพหูพจน์จะหมายถึง "เหตุผล" เช่น:-
-She has grounds enough to not associate with this friend again.
=หล่อนมีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่คบค้าสมาคมกับเพื่อนคนนี้อีก.
8.9 iron (ไอเอิร์น) แปลว่า "ธาตุเหล็ก, เหล็ก, เตารีด"
-iron ถ้าเป็นนามเอกพจน์จะหมายถึง "เหล็ก" เช่น:-
-Iron is in the ground.
=เหล็กอยู่ในพื้นดิน.
-irons ถ้าเป็นนามพหูพจน์หมายถึง "โซ่, ตรวน" เช่น:-
-There are irons on the neck of elephants.
=มีโซ่ตรวนอยู่บนคอช้างทั้งหลาย.
8.10 physic (ฟิซซิค) แปลว่า "ยา, ยาระบาย"
-physic ถ้าเป็นนามเอกพจน์หมายถึง "ยา" เช่น:-
-This physic (=medicine) can cure many things.
=ยาขนานนี้สามารถรักษาโรคได้หลายอย่าง.
-physics ถ้าเป็นนามพหูพจน์หมายถึง "วิชาฟิซิกส์" เช่น:-
-Physics are the study of physical.
=วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่ศึกษาทางกายภาพ.
8.11 quarter (ควอร์เทอะ) แปลว่า "เศษหนึ่งส่วนสี่, หนึ่งในสี่"
-quater ถ้าเป็นนามเอกพจน์หมายถึง "หนึ่งในสี่ส่วน" เช่น:-
-She drinks a quarter of water of glass.
=หล่อนดื่มน้ำหนึ่งในสี่ส่วนของแก้ว.
-quaters ถ้าเติม s เป็นนามพหูพจน์หมายถึง "ที่อยู่อาศัย"
-Have you comfortable quarters?
=คุณมีที่อยู่สะดวกสบายดีหรือ?
8.12 spectacle (สะเพคทะเดิล) แปลว่า "ภาพ, ปรากฏการณ์"
-spectacle ถ้าเป็นนามเอกพจน์หมายถึง "ภาพ" เช่น:-
-Sad spectacle happen to me.
=ปรากฏการณ์ที่น่าเศร้าบังเกิดขึ้นแก่ฉันแล้ว.
-spectacles ถ้าเป็นนามพหูพจน์หมายถึง "แว่นตา"
-Where are your spectacles?
=แว่นตาของคุณอยู่ที่ไหน?
8.13 spirit (สะพิริท) แปลว่า "วิญญาณ, จิตใจ, น้ำใจ, หัวใจ
-spirit ถ้าเป็นนามเอกพจน์หมายถึง "วิญญาณ, น้ำใจ" เช่น:-
-Her spirit has went out body.
=วิญญาณของเธอได้ออกจากร่างกายไปแล้ว.
-He has spirit as sport.
=เขามีน้ำใจเป็นนักกีฬา.
-spirits ถ้าเป็นนามพหูพจน์หมายถึง "ภูต, ผี, ปีศาจ" เช่น:-
-Spirits often refractory to at night.
=ปีศาจทั้งหลายมักจะทนไฟในเวลากลางคืน.
8.14 water (วอเทอะ) แปลว่า "น้ำ"
-water ถ้าเป็นนามเอกพจน์หมายถึง "น้ำ" เช่น:-
-Water in the glass has not very much.
=น้ำในแก้วนั้นมีไม่มาก.
-waters ถ้าเป็นนามพหูพจน์หมายถึง "บ่อ, สระ,หนอง,คลอง,บึง,แหล่งน้ำ" เช่น:-
-In this village, there are very much waters.
=ในหมู่บ้านนี้มีสระมาก.
8.15 คำนามที่มีรูปเป็นเอกพจน์มีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามีรูปเป็นพหูพจน์มีความหมายอีกอย่างหนึ่งยังมีอีกเป็นจำนวนมาก เช่น:-
เอกพจน์ พหูพจน์
-advice (แอดไวซ์) =คำแนะนำ advices (แอดไวซิส) =รายงาน
-sand (แซนดฺ) =ทราย sands (แซนด์ซฺ) =หาดทราย
-return (รีเทิร์น) =การกลับ returns (รีเทิร์นซฺ) =ผลกำไร, ผลตอบแทน
-minute (มินิท) =นาที minutes (มินิทซฺ) =รายงานการประชุม,บันทึกความจำ
-domino (ดอมมินอ) =เสื้อดอมินอ dominoes (ดอมมินอซฺ) =การเล่นต่อแต้มโดมิโน
-compass (คอมพัส) =เข็มทิศ compasses (คอมพัสซิส) =วงเวียน
-beef (บีฟ) =เนื้อวัว beeves (บีฟซฺ) =เนื้อวัวหลายชิ้น
-metal (เมทัล) =โลหะ metals (เมทัลซฺ) =โลหะทั้งหลาย
-dump (ดัมพฺ) =ที่ทิ้งเศษขยะมูลฝอย dumps (ดัมพ์ซฺ) =ความหดหู่
-content (คอนเทนทฺ) =ความพอใจ cntents (คอนเทนซฺ) = สิ่งที่บรรจุ,เนื้อหาสาระ,สารบาญ
-barrack (บาร์แรคคฺ) =กุฏิ,กระท่อม barracks (บาร์แรคคซฺ) =ค่ายทหาร
-auspice (ออสพิส) =นิมิตร,ฤกษ์ดี auspices (ออสพิซิส) =การอุปถัมภ์
-vesper (เวสเพอะ) =ดาวพระศุกร์ vespers(เวสเพอะซฺ) =การสวดมนต์เย็น, เพลงยามเย็น
9.นามต่อไปนี้คือ: foot, light, wood, powder, practice, stone มีรูปได้ 2 พจน์ คือ:-
9.1 foot (ฟุท) ถ้าเป็นเอกพจน์แปลว่า "เท้า, 12 นิ้ว, ปลาย, เชิง, ทหารราบ" เช่น:-
-เท้า เช่น:-
-One foot has 5 inches.
=เท้าข้างหนึ่งมี 5 นิ้ว.
-12 นิ้ว เช่น:-
-Foot is one creep.
=12 นิ้วเป็น 1 คืบ.
-ปลาย เช่น:-
-The foot of tree is wither.
=ปลายของต้นไม้เหี่ยวเฉา.
-เชิง เช่น:-
-Foot of the mountain is prone.
=เชิงของภูเขาลูกนี้ลาดชัน.
-ทหารราบ เช่น:-
-This foot is very courageous. (เคอเรเจียส)
=ทหารราบกองนี้เก่งกล้าสามารถมาก.
-foot ถ้าเป็นพหูพจน์จะมีรูปเป็น feet (ฟีท) แปลว่า "เท้า (ทั้งสอง), 12 นิ้ว" เช่น:-
-Your both feet are dirty.
=เท้าทั้งสองข้างของคุณมันสกปก.
9.2 light (ไลทฺ) ถ้าเป็นเอกพจน์ แปลว่า "แสงสว่าง, ตะเกียง,ดวงไฟ" เช่น:-
-The light has very brightness.
=ดวงไฟดวงนั้นมีแสงสว่างมาก.
-lights (ไลล์ซฺ) ถ้าเป็นพหูพจน์ แปลว่า "ตะเกียงหลายดวง, ดวงไฟหลายดวง" เช่น:-
-Lights are shining in the cave.
=ดวงไฟหลายดวงกำลังส่องแสงสว่างอยู่ในถ้ำ.
9.3wood (วูด) ถ้าเป็เอกพจน์ แปลว่า "ป่า, ไม้" เช่น:-
-This wood has trees dense.
=ป่านี้มีต้นไม้หนาแน่น.
-woods ถ้าเป็นพหูพจน์ แปลว่า "ป่าทั้งหลาย" เช่น:-
-Woods make land wet.
=ป่าทั้งหลายทำให้แผ่นดินชุ่มชื่น.
9.4 practice (แพรคทิค) ถ้าเป็นเอกพจน์ แปลว่า "การฝึกหัด, การฝึกฝน, การปฏิบัติ, กิจวัตร. กิจการ" เช่น:-
-Practice regularly cause maneuverability. (man-neu-ver-ability)
=การฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอทำให้เกิดความคล่องแคล่ว.
-practices ถ้าเป็นพหูพจน์ แปลว่า "นิสัย, การกระทำ" เช่น:-
-She has practices very good.
=เธอมีนิสัยดีมาก.
9.5 powder (เพาเดอะ) ถ้าเป็นเอกพจน์ แปลว่า "ผง, ยาผง, แป้ง, ดินปืน"" เช่น:-
-The powder is made from the roots of the plant.
=ผงที่ทำจากรากของพืช.
-ถ้าเป็นพหูพจน์ แปลว่า "ความรีบด่วน" เช่น:-
-The powders too much make easy error .
=ความรีบด่วนมากเกินไปทำให้เกิดความผิดพลาดง่าย.
10.คำนามเหล่านี้คือ:cloth, cow, die, fish, genius, penny, index, staff, stamen ถ้าเป็นเอกพจน์จะมีรูปเดียว แต่ถ้าเป็นพหูพจน์จะมีหลายรูป เช่น:-
10.1 cloth (คลอธ) ถ้าเป็นเอกพจน์ แปลว่า "ผ้า" เช่น:-
-The cloth has beautiful tracery.
=ผ้าผืนนี้มีลวดลายสวยงาม.
-cloth ถ้าเป็นพหูพจน์จะมีหลายรูปเช่น:-cloths clothes
-cloths or clothes เช่น:-
-These clothes will bring to sell in United states country.
=เสื้อผ้าทั้งหลายเหล่านี้จะนำไปขายในประเทศสหรัฐอเมริกา.
10.2 cow (คาว) ถ้าเป็นเอกพจน์ แปลว่า "วัวตัวเมีย, แม่วัว" เช่น:-
-A cow calve out to be a male.
=แม่วัวคลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้.
-cows ถ้าเป็นพหูพจน์จะมี 2 รูป คือ: 1.cows 2. kine (ไคน์) แปลว่า "แม่วัวหลายตัว" เช่น:-
-Kine are grazing grasses in the field edge.
=แม่วัวทั้งหลายกำลังเล็มหญ้าอยู่ในชายทุ่ง.
10.3 die (ได) v.แปลว่า "ตาย" n. แปลว่า "แม่พิมพ์, เบ้าเท, ลูกเต๋า"
-die เป็น verb เช่น:-
-My bird is died yesterday.
=นกของฉันมันตายเมื่อวานนี้.
-die เป็นนามเอกพจน์ เช่น:-
-Die is damaged then.
=แม่พิมพ์ชำรุดแล้ว.
-die ถ้าเป็นนามพหูพจน์เป็นได้ 2 รูป คือ: 1.dies 2. dice (ไดซ์) แปลว่า "ลูกเต๋าหลายลูก"
-There are three dice on the cup.
=มีลูกเต๋า 3 ลูกบนถ้วยนั้น.
10.4 fish (ฟิช) แปลว่า "ปลา"
-fish เป็นนามเอกพจน์ แปลว่า "ปลา" เช่น:-
-A died fish float above the water.
=ปลาตายลอยขึ้นมาเหนือน้ำ.
-fish ถ้าเป็นพหูพจน์เป็นได้ 2 รูป คือ: 1.fish 2.fishes (ฟิซิส) แปลว่า "ปลาหลายตัว" เช่น:-
-In that pus there are fishes.
=ในหนองนั้นมีปลาอยู่หลายตัว.
10.5 genius (gen-ius จีเนียส) แปลว่า "อัจฉริยบุคคล, ผู้ปราชญ์เปลื่อง, ปีศาจ"
-genius เป็นนามเอกพจน์ เช่น:-
-This genius has very knowledge.
=อัจฉริยบุคคลผู้นี้มีความรู้มาก.
-I want to be a genius.
=ข้าพเจ้าต้องการที่จะเป็นนักอัจฉริยคนหนึ่ง.
-genius ถ้าเป็นนามพหูพจน์จะมีได้ 2 รูป คือ: geniuses (จีเนียสซิส), genii (จีนีไอ) เช่น:-
-This village has very rampant genii.
=หมู่บ้านนี้มีปีศาจอาละวาดหลายตนมาก.
10.6 penny (เพนนี) แปลว่า "1 ส่วน 100 ของปอนด์" -penny ถ้าเป็นนามเอกพจน์ แปลว่า "เศษ 1 ส่วน 100 ของเงินปอนด์" เช่น:-
-1 penny is one section hundred of pound.
=1 เพนนีเป็นเศษหนึ่งส่วนร้อยของเงินปอนด์.
-penny ถ้าเป็นนามพหูพจน์จะมีรูปได้ 2 อย่าง คือ:
1.pennies (เพนนีซฺ)
2.pence (เพนซฺ) แปลว่า "เหรียญเพนนีหลายเหรียญ, เงินหลายเพนนี"
เช่น:-There are pennies in the bag.
=มีเหรียญเพนนีอยู่หลายเหรียญในถุงใบนั้น.
10.7 index (อินเดคซฺ) แปลว่า "ดรรชนี, สารบัญ, คำนำ, นิ้วชี้"
-index ถ้าเป็นนามเอกพจน์ แปลว่า "ดรรชนี" เช่น;-
-This book doesn't has index.
=หนังสือเล่มนี้ไม่มีดรรชนี.
-index ถ้าเป็นพหูพจน์จะมี 2 รูป คือ1.indexes (อินเดคซิส) 2.indices (อินดิซิส) แปลว่า "สารบัญทั้งหลาย" เช่น:-
-Indices in this book do not tidy.
=สารบัญทั้งหลายในหนังสือเล่มนี้ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย.
10.8 staff (สะทาฟ) แปลว่า "เสา, เสาธง, ไม้เท้า, ไม้ตะพด, ตะบอง"
-staff ถ้าเป็นนามเอกพจน์มีรูปเดียว คือ: staff เช่น:-
-This staff is the oldest thing.
=ไม้เท้านี้เป็นของเก่าแก่ที่สุด.
-staff ถ้าเป็นนามพหูพจน์จะมี 2 รูป คือ: 1.staffs 2.staves (สะทาฟว์ซฺ) แปลว่า "ไม้เท้าหลายอัน" เช่น:-
-There are many staves in the museum.
=มีไม้เท้าอยู่หลายอันในพิพิธภัณฑ์นั้น.
10.9stamen (สะเทเมน) แปลว่า "เกสรตัวผู้"
-stamen ถ้าเป็นนามเอกพจน์มีรูปเดียว คือ:stamen เช่น:-
-A stamen uses in propagation. (พรอพพะเกชั่น คือการแพร่พันธุ์)
=เกสรใช้ประโยชน์ในการแพร่พันธุ์.
-stamen ถ้าเป็นนามนามพหูพจน์จะมี 2 รูป คือ: 1.stamens 2.stamina (สะเทมิน่า) แปลว่า "เกษรตัวผู้, ความแข็งแรง, ความทรหดอดทน" เช่น:-
-Stamina are a source of power.
=ความแข็งแรงทั้งหลายเป็นที่มาของอำนาจ.
**statement เป็นเอกพจน์ statements เป็นพหูพจน์ แปลว่า "งบดุลบัญชี" คำนามที่มีลักษณะพิเศษ
-คำนามที่เป็นเชื้อชาติที่ลงท้ายด้วย ss se s มีรูปเป็นเอกพจน์แม้จะทำให้เป็นพหูพจน์ก็ไม่ต้องเติม s เช่น:-
-a Swiss (อะ สวิส) =ชาวสวิสคนเดียว
-four Swiss (โฟร์ สวิส) =ชาวสวิส 4 คน
-a Japanese (อะ เจแปนนีส) =ชาวญี่ปุ่นคนเดียว
-five Japanese (ไฟฟ์ เจแปนนีส) =ชาวญี่ปุ่น 5 คน
-a Chinese (อะ ไนนีส) =คนจีนคนหนึ่ง
-hundred Chinese (ฮันเดรด ไนนีส) =คนจีน 100 คน
-a Laos (อะ ลาวส์) =คนลาวคนเดียว
-ten Laos (เทน ลาวส์) =คนลาว 10 คน
-คำนามที่เป็นเชื้อชาติถ้าไม่ลงท้ายด้วย ss se s เวลาทำให้เป็นรูปพหูพจน์จะต้องเติม s เสมอ เช่น:-
-a Thai (อะ ไธ) =คนไทยคนเดียว
-nine Thais (ไนน์ ไธ) =คนไทย 9 คน
-a Pilipino (อะ ฟิลลิปิโน) =คนฟิลิปปินส์คนหนึ่ง
-three Filipinoes (ธรี ฟิลลิปิโนสฺ) =คนฟิลิปปินส์ 3 คน
-คำนาม 4 ตัวเหล่านี้ ถ้ามีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังไม่ต้องเติม S คึอ:-
1.vanlue (แวลลิว) แปลว่า "ราคา, มูลค่า"
-ถ้าไม่มีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังต้องเติม S เช่น:-
-twelve dollars =เงิน 12 ดอลล่าร์
-twenty-nine days =29 วัน
-seven miles =7 ไมล์
-six years =6 ปี
-ถ้ามีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังไม่ต้องเติม S เช่น:-
-a twenty dollar bill =ธนบัตร 20 ดอลล่าร์
-a thirty day month =เดือนหนึ่งมี 30 วัน
-a three hundred and sixty-five day is a year =365 วันเป็น 1 ปี (ข้อนี้เป็นตัวอย่างของการใช้คำคุณศัพท์หลายตัวขยายคำนามตัวเดียวคือ day)
2.weight (เวท) แปลว่า "น้ำหนัก"
-ถ้าไม่มีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังต้องเติม S เช่น:-
-12 kilograms (kg) =น้ำหนัก 12 กิโลกรัม
-ถ้ามีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังไม่ต้องเติม S เช่น:-
-12 kg potato =มันฝรั่งน้ำหนัก 12 กิโลกรัม
3.time (ไทม์) แปลว่า "เวลา"
-ถ้าไม่มีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังต้องเติม S เสมอ เช่น:-
-At 09 hours 10 minutes 5 seconds. =เวลา 9 โมง 10 นาที 5 วินาที
-ถ้ามีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังไม่ต้องเติม S เช่น:-
-At 10 :25 :55 o'clock =เวลา 10 นาฬิกา 25 นาที 55 วินาที
-Sun, 02 February 2014 06:43:54 =วันอาทิตย์,02 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 เวลา 06 นาฬิกา 43 นาที 54 วินาที่
4.measure (เมชเชอะ) แปลว่า "ปริมาณที่วัดได้, การวัด, การประเมิน"
-ถ้าไม่มีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังต้องเติม S เช่น:-
-35 miles =35 ไมล์
-200 kilometers =200 กิโลเมตร
-ถ้ามีคำอื่นมาขยายอยู่ด้านหลังไม่ต้องเติม S เช่น:-
-150 kilometer distance =ระยะทาง 150 กิโลเมตร
-300 kilometer long Street =ถนนยาว 300 กิโลเมตร
-proper noun คือนามที่เป็นชื่อเฉพาะบางครั้งอาจจะเติม S ก็ได้เมื่อต้องการจะเน้นความกล้าหาญของเขา เช่น:-
-We are indebted to king Taksins the great, who restored the independence of Thailand.
=พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของพระเจ้าตากสินมหาราชที่พระองค์ได้กอบกู้ เอกราชคืนให้แก่ชาติไทย.
-การเติม S ที่ชื่อของบุคคลบางครั้งอาจหมายถึงผลงานของเขาก็ได้ เช่น:-
-Soonthorn Phues แต่ในปัจจุบันมักจะเขียนดังนี้ "Soonthorn Phue's" แปลว่า "ผลงานของสุนทรภู่"
-family name, surname, last name คำนามทั้ง 3 ตัวนี้เป็นชื่อของนามสกุล ถ้านามสกุลหมายถึงบุคคลทั้งหลายในครอบครัวจะต้องเติม S เช่น:-
-The Duangmalais are going for vacationing at seaside.
=ผู้คนในตระกูลดวงมาลัยจะไปพักผ่อนหย่อนใจที่ชายทะเล.
-ถ้าชื่อของบุคคลนำหน้าด้วยคำนำหน้าต่อไปนี้คือ: Mrs. Mr. Miss. Dr. จะเติม S ที่คำนำหน้าเหล่านี้หรือที่นามสกุลก็ได้ เช่น:-
-Misss Anongnart Duangmalais examines as the first of the country.
=นางสาวอนงค์นาถ ดวงมาลัย สอบได้ที่หนึ่งของประเทศ.
-Mr.William Browns is a good-natured man.
=นายวิลเลียม บราวน์ซฺ เป็นคนมีอัธยาศัยดี.
**หมายเหตุ:- Mr. ย่อมาจาก Mister (มิสเทอะ) แปลว่า "นาย"
-Mrs. ,, ,, Missis (มิสซิส) แปลว่า "นาง"
-Miss ไม่มีคำย่อ Miss (มิส) แปลว่า "นางสาว"
-Dr. ย่อมาจาก Doctor (ด๊อกเทอะ) แปลว่า "หมอ"
วิธีสังเกตกิริยาของคำนาม
1.ถ้านามเป็นเอกพจน์ กิริยาก็ต้องเป็นเอกพจน์ด้วย เช่น:-
-Veerachai is a good man.
=วีรชัยเป็นคนดี.
-Chanisa is a beautiful woman.
=ชนิสาเป็นคนสวย.
-Her friend goes to meet her.
=เพื่อนของเธอไปพบเธอ.
2.ถ้าคำนามเป็นพหูพจน์ กิริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์ไปด้วย เช่น:-
-Her friends are a good person.
=เพื่อนทั้งหลายของเธอเป็นคนดี.
-People are good and bad.
=คนทั้งหลายมีทั้งดีและชั่ว.
3.คำนามตั้งแต่สองคำขึ้นไปและเชื่อมต่อด้วย and จะมีกิริยาเป็นรูปพหูพจน์เสมอ เช่น:-
-Naiyanet and her boyfriend will go to foreign in the next month.
=นัยเนตรและแฟนของเธอจะเดินทางไปต่างประเทศในเดือนหน้า.
-Merit and sin are one kind of action.
=บุญและบาปเป็นกรรมชนิดหนึ่ง.
4.คำนามเอกพจน์ที่เชื่อมต่อกันด้วย and ถ้าข้างหลัง and ไม่มี article นำหน้า ถือว่าเป็นสิ่งเดียวกันมีรูปเป็นเอกพจน์ เช่น:-
-The owner and manager has very ability. (ข้อนี้เจ้าของและผู้จัดการเป็นบุคคลคนเดียวกัน)
=เจ้าของและผู้จัดการมีความสมมารถมาก.
-The owner and the manager are upstairs. (ข้อนี้เจ้าของและผู้จัดการเป็นคนละคน)
=เจ้าของและผู้จัดการอยู่ชั้นบน.
-A singer and dancer is dancing joyfully. (นักร้องและนักเต้นรำเป็นคนเดียวกัน)
=นักร้องและนักเต้นกำลังเต้นรำอย่างสนุกสนาน.
-A singer and a dancer are singing pleasantly. (นักร้องและนักเต้นรำเป็นคนละคน)
=นักร้องและนักเต้นรำกำลังร้องเพลงอย่างเพลิดเพลิน.
5.คำนามเอกพจน์ที่เป็นสิ่งเดียวกันแม้เชื่อมต่อกันด้วย and ก็เป็นสิ่งเดียวกัน เช่น:-
-Butter and bread is food alike.
=เนยและขนมปังต่างก็เป็นอาหารเหมือนกัน.
-แต่ถ้าเรานึกว่ามันเป็นคนละส่วนกันมันก็จะกลายเป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Rice and water is favourite food. (เป็นชนิดเดียวกัน)
=ข้าวและน้ำเป็นอาหารโปรด.
-Rice and water are what we want it. (เป็นคนละชนิด)
=ข้าวและน้ำเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการมัน.
6.คำเชื่อม 8 ตัวเหล่านี้ทำหน้าที่เชื่อมคำเหมือน and กิริยาก็ให้ถือเอาตามประธานตัวหน้า คือ:-
6.1 with (วิธ) แปลว่า "ด้วย, กับ, ร่วมกับ, เกี่ยวกับ" เช่น:-
-I will go with you.
=ฉันจะไปกับคุณ.
6.2 together with (ทูเกธเธอะ วิธ) แปลว่า "พร้อมกับ" เช่น:-
-I together with wife shall departure tomorrow.
=ผมพร้อมกับภรรยาจะออกเดินทางไปในวันพรุ่งนี้.
6.3 along with (อะลอง วิธ) แปลว่า "พร้อมด้วย" เช่น:-
-I, along with you would end up together in the near future.
=ผมพร้อมด้วยคุณน่าจะลงเอยกันได้ในไม่ช้านี้.
6.4 as well as (แอ๊ส เวล แอ๊ส) แปลว่า "ตลอดจน, เช่นเดียวกับ" เช่น:-
-Anurach has went at Wad Pragaew as well as her.
=อนุราชได้ไปที่วัดพระแก้วเช่นเดียวกับเธอ.
6.5 including (อินคลูดิ๋ง) แปลว่า "รวมทั้ง" เช่น:-
-We including family shall travel in India.
=พวกเรารวมทั้งครอบครัวจะไปท่องเที่ยวในประเทศอินเดีย.
6.6in addition to (อิน แอ๊ดดิชั่น ทู) แปลว่า "นอกจาก" เช่น:-
-They, in addition to you then no one can make it.
=พวกเขาทั้งหลายนอกจากคุณแล้วไม่มีใครสามารถทำมันได้.
**หมายเหตุ:- คำเชื่อมต่อทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเชื่อมต่อคำนามอยูหน้าประโยคมักจะมีคอมม่าร์มาคั่น เช่น:-
-Students, together with me will go to party today.
=นักศึกษาทั้งหลายพร้อมกับผมจะไปงานเลี้ยงวันนี้.
-แต่ถ้าอยู่กลางประโยคและอยู่ท้ายประโยคไม่มีคอมม่าร์มาคั่น
-อยู่กลางประโยค เช่น:-
-Students in this room in addition to Miss Chamaiporn have ate food.
=นักศึกษาทั้งหลายในห้องนี้นอกจากนางสาวชไมพรได้รับประทานอาหารแล้ว.
-อยู่ท้ายประโยค เช่น:-
-Everyone in the village is not conjunctivitis in addition to you.
=ทุกคนในหมู่บ้านนี้ไม่เป็นโรคตาแดงนอกจากคุณ.
7.คำนามที่เป็น clause (อนุประโยค) และคำนามที่เป็น phrase (วลี) ที่นำมาขยายประธาน กิริยาของประโยคก็ให้ถือตามประธานตัวหลักของประโยค เช่น:-
-Miss Nuchaba Siengtip who is the best beautiful woman in this village is a good woman.
=นางสาวนุชบา เสียงทิพย์ ซึ่งเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในหมู่บ้านนี้เป็นคนดี. (ข้อนี้มีอนุประโยคเข้ามาขยายประธาน)
-who is the best beautiful woman in this village. ส่วนนี้เป็นอนุประโยค
-One of the students goes to play sport.
=ในบรรดานักศึกษาทั้งหลายนักศึกษาคนหนึ่งไปเล่นกีฬา. (ข้อนี้มีคำวลีเข้ามาขยายประธานคือ one)
8.คำนามที่เชื่อมต่อด้วยคำเชื่อมต่อ 4 ตัวเหล่านี้ กิริยาของประธานให้ถือตามประธานตัวหลัง เช่น:-
8.1 or (ออร์) แปลว่า "หรือ" เช่น:-
-I or you are an authority in this land.
=ผมหรือคุณเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนนี้.
8.2 either........or (อีเธอะ ออร์) แปลว่า "หรือไม่" เช่น:-
-He will give the money either to his son or daughter.
=เขาจะให้เงินแก่ลูกชายหรือไม่ก็ลูกสาวของเขา.
-Either you or I am wrong.
=ไม่คุณก็ฉันผิด.
8.3 neither..........nor (นีเธอะ นอร์) แปลว่า "ไม่....ไม่" เช่น:-
-I neither know nor care her.
=ฉันไม่รู้ไม่ได้ดูแลเธอ.
-Neither my father nor I am going to the meeting.
=ทั้งพ่อของฉันและฉันจะไม่ไปประชุม.
8.4 not only........but (นอท ออนลี่ บัท) แปลว่า "ไม่เพียง...แต่" เช่น:- -Not only money but gold we want also.
=ไม่เพียงแต่เงิน ทองคำพวกเราก็ต้องการเหมือนกัน.
9.ถ้า ในประโยคมีประธานสองตัวคือ ตัวหนึ่งเป็นเอกพจน์และอีกตัวหนึ่งเป็นพหูพจน์ให้วางประตัวที่เป็นพหูพจน์ ไว้ด้านหลัง กิริยาของประธานต้องถือตามประธานตัวที่อยู่ข้างหน้า เช่น:-
-Either Arunee or her friends has to win.
=ทั้งอรุณีหรือเพื่อนของเธอต้องชนะ.
10.ถ้าในประโยคนั้นมีประธานสองตัวประธานตัวหนึ่งเป็น I นิยมวาง I ใว้ข้างหลัง เช่น:-
-Either you or I have to reach to goal.
=ไม่ว่าคุณหรือผมต้องไปให้ถึงเป้าหมาย.
คำสรรพนามทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นเอกพจน์ทั้งสิ้น
1.everyone (เอฟวรี่วัน) แปลว่า "ทุกคน" เช่น:-
-Everyone in this place is prepared to go.
=ทุกคนในสถานที่แห่งนี้เตรียมพร้อมที่จะไป.
2.everybody (เอฟวรี่บอดิ) แปลว่า "ทุกคน, ใครๆ" เช่น:-
-Everybody can not transgress this rule.
=ใครๆก็ไม่สามรถฝ่าฝืนกฏข้อนี้ไปได้.
3.everything (เอฟวรี่ซิง) แปลว่า "ทุกสิ่ง, ทุกอย่าง" เช่น:-
-Everything is non-finite thing.
=ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่แน่นอน.
4.someone (ซัมวัน) แปลว่า "บางคน" เช่น:-
-Someone likes to tour at Wad Pragaew. (Wat Phra Kaew ตัวนี้เขียนผิด)
5.somebody (ซัมบอดี้) แปลว่า"บางคน, คนนั้นคนนี้, ใครต่อใคร" เช่น:-
-Somebody says that "She is a bad woman".
=ใครต่อใครก็พูดว่า "หล่อนเป็นคนไม่ดี"
6.something (อังกฤษ ออกสียงเป็น "ซัมซิง" อเมริกาออกเสียงเป็น "ซัมธิ่ง) แปลว่า "บางสิ่งบางอย่าง" เช่น:-
-Something does not appropriate for you. (appropriat อ่านว่า "อะพรอพเพรียท =เหมาะสม) =บางสิ่งบางอย่างก็ไม่เหมาะสมสำหรับคุณ.
7.anyone (เอนิวัน) แปลว่า "คนหนึ่งคนใด, ใครๆ" เช่น:-
-Anyone in this room is not honest person.
=คนหนึ่งคนใดในห้องนี้เป็นคนไม่ซื่อสัตย์.
8.anybody (เอนิบอดิ) แปลว่า "ใครต่อใคร" เช่น:-
-Anybody loves her in the party tonight.
=ใครต่อใครก็รักเธอในงานเลี้ยงคืนนี้.
9.anything (เอนิซิง) แปลว่า "สิ่งใด, สิ่งใดก็ตาม" เช่น:-
-Anything in this box is broken thing all.
=สิ่งใดก็ตามในกล่องนี้เป็นของเสียทั้งหมด.
10.no one (โนวัน) แปลว่า "ไม่มีใคร" เช่น:-
-No one is too old to learn.
=ไม่มีใครที่จะแก่เกินเรียน.
11.nobody (โนบอดิ) แปลว่า "ไม่มีใคร" เช่น:-
-Nobody is evil all.
=ไม่มีใครชั่วร้ายทั้งหมด.
12.anything (เอนิซิง) แปลว่า "อะไรก็ตาม, ทุกสิ่งทุกอย่าง, สิ่งใด" เช่น:-
-Anything is not stable, that thing is suffering.
=สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์.
13.each (อีช) แปลว่า "แต่ละ" เช่น:-
-Each of us should stop honoring what is unfortunate thing.
=พวกเราแต่ละคนควรจะเลิกนับถือสิ่งที่เป็นอัปมงคล.
-Each coin is worth 1000 baht.
=เหรียญแต่ละเหรียญมีค่าหนึ่งพันบาท.
14.thing (อังกฤษอ่านว่า "ซิง" อเมริกาอ่านว่า "ธิง") n. แปลว่า "สิ่ง, สิ่งของ" คำนามที่ใช้แทนกันได้เช่น matter, material, object, article เช่น:-
-Thing at is in the box there is several kind.
=สิ่งของที่อยู่ในกล่องนั้นมีหลายชนิด.
15.another (อะนัธเธอะ) แปลว่า "สิ่งอื่น, อันอื่น, คนอื่น, อย่างอื่น" เช่น:-
-Another does not hope, it is impossible.
=คนอื่นอย่าหวังมันเป็นไปไม่ได้.
16.other (อัธเธอะ) แปลว่า "คนอื่น คนอื่นๆ สิ่งอื่น อันอื่น ของอื่น อย่างอื่น " เช่น:-
-The other is not in that room.
=คนอื่นไม่ได้อยู่ในห้องนั้น.
17.many (เมนิ) แปลว่า "มากมาย, มาก, หลาย" เช่น:-
-Many time I have been there. (many ทำหน้าที่เป็นนาม)
=หลายครั้งที่ผมได้อยู่ในที่นั่น.
18.either (อีเธอะ) แปลว่า "อย่างใดอย่างหนึ่ง"
-Choose either one or the other.
=จงเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรืออื่นๆ.
-If you don't go skiing, I won't, either.
=ถ้าคุณไม่ไปเล่นสกี, ฉันก็จะไม่ไปเช่นกัน.
19.neither (นีเธอะ) แปลว่า "ไม่ทั้งสองอย่าง" เช่น:-
-Neither of them dances well.
=บรรดาเขาทั้งหลายทั้งสองคนเต้นรำไม่ดีเลย.
คำอธิบายศัพท์
-everyone แปลว่า "ทุกคน" สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของที่ใช้แทนตัวมักจะใช้ their ไม่ใช้ his หรือ her แต่กิริยาที่ใช้กับ everyone ต้องเป็นรูปเอกพจน์ไม่ใช่พหูพจน์ เช่น:-
-Everyone is making their house.
=ทุกคนกำลังสร้างบ้านของพวกเขา.
-ถาม: everyone เป็นเพศอะไร?
-ตอบ: everyone เป็นเพศรวมคือ sumgender มีทั้งเพศชาย, เพศหญิง, และกระเทย รวมอยู่ด้วยกัน ถ้าในภาษาบาลีเรียกว่า "นะปุงสะกะลิงค์ คือไม่ใช่ทั้งเพศชายและเพศหญิง" เพราะฉะนั้นคำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ everyone จึงต้องเป็น their จะเป็น his หรือ her ไม่ได้
-gender (เจนเดอะ) แปลว่า "เพศ หรือ ลิงค์"
-sumgender (ซัมเจนเดอะ) แปลว่า "เพศรวม คือทั้งเพศชายและเพศหญิงอยู่ด้วยกัน"
-the other หมายถึง "สิ่งที่เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียว" เช่น:-
-The other of those students only who is left.
=บรรดานักเรียนทั้งหลายเหล่านั้นนักเรียนอื่นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
-another หมายถึง "อันใดอันหนึ่ง ในหลายสิ่งที่เหลืออยู่" เช่น:-
-Another was placed in these files.
=อย่างอื่นที่ถูกนำมาวางลงในแฟ้มเอกสารเหล่านี้.
-Another that is not about this story to go away.
=คนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้หนีไป.
-none (นัน) แปลว่า "ไม่มี" ตัวนี้เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
-none เป็นได้ 4 อย่าง คือ:-
1.noun เป็นนามแปลว่า "สิ่งไม่สำคัญ, สิ่งที่ไม่มีตัวตน, ผู้ไม่มีชื่อเสียง"
2.pronoun เป็นสรรพนามแปลว่า "ไม่มีใคร"
3.adjective เป็นคำคุณศัพท์แปลว่า "ไม่สำคัญ, ไม่จำเป็น"
4.adverb เป็นคำกิริยาวิเศษณ์แปลว่า " ไม่ ,ไม่มีเลย,ไม่ใช่"
-เอกพจน์ เช่น:-
-None of us is taken out.
=บรรดาพวกเราไม่มีใคระถูกนำออกไป.
-พหูพจน์ เช่น:-
-None of those answers are correct.
=บรรดาคำตอบเหล่านั้นไม่มีคำตอบไหนถูกเลย.
-None said anything.
=ไม่มีใครพูดอะไรเลย.
-None are ready to go.
=ไม่มีใครพร้อมที่จะไป.
-คำคุณศัพท์ 6 ตัวเหล่านี้ใช้ขยายนามที่เป็นพหูพจน์เท่านั้น คือ:-
1. all (ออล) แปลว่า "ทั้งหมด" เช่น:-
-All my friends were there.
=เพื่อนทั้งหลายของฉันทั้งหมดอยู่ที่นั้น.
2.both (โบ๊ธ) แปลว่า "ทั้งสอง, ทั้งคู่" เช่น:-
-Both actors have appeared on stage before.
=นักแสดงทั้งสองได้ปรากฏตัวบนเวทีมาก่อน.
3.a few (อะ ฟิว) แปลว่า "สองสาม" เช่น:-
-A few hens are hatching eggs in nests.
=แม่ไก่สองสามตัวกำลังฟักไข่อยู่ในรัง.
4.many (เมนิ) แปลว่า "มาก" เช่น:-
-Many persons have lived in the building.
=คนจำนวนมากได้อาศัยอยู่ในอาคารนั้น.
5.several (เสพวะรัล) แปลว่า "มากมาย, มากหลาย, หลาย" เช่น:-
-Several people in my village like to help others.
=ประชาชนหลายคนในหมู่บ้านของฉันชอบช่วยเหลือคนอื่น.
6.some (ซัม) แปลว่า "บางอย่าง, บางอัน, บางส่วน, บางชิ้น" เช่น:-
-Some cars made not standard to driver.
=รถยนต์บางคันสร้างไม่ได้มาตรฐานที่จะขับขี่.
-Some people believe others unless you will do not finish.
=บางคนเชื่อว่าคนอื่นนอกจากคุณแล้วจะทำไม่สำเร็จ.
หลักการพิจารณาพจน์ของคำนามที่มีลักษณะการใช้เป็นพิเศษ
-คำนามต่อไปนี้มีลักษณะการใช้ได้ 2 พจน์คือเอกพจน์และพหูพจน์
-class (คลาส) แปลว่า "ชั้น, ระดับ, ชนิด, ประเภท"
-class ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-This class of school there is three levels.
=ชั้นของโรงเรียนนี้มี 3 ระดับ.
-class ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-These four class are really difficult to pass.
=สี่ชั้นเหล่านี้ยากจริงๆที่จะผ่านไปได้.
-family (แฟมมิลี่) แปลว่า "ครอบครัว, สกุล, ตระกูล"
-family ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-This family is happy.
=ครอบครัวนี้มีความสุข.
-family ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-There were several families still difficult.
=ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ยังคงลำบาก.
-group (กรุ๊พ) แปลว่า "กลุ่ม,หมู่, พวก, เหล่า"
-group ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-This group is really very bad.
=พวกนี้เลวมากจริงๆ.
-group ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-The group are waiting for you. Hurry to find them now.
=หมู่นั้นกำลังรอคุณอยู่. จงรีบไปพบพวกเขาด่วน.
-team (ทีม) แปลว่า "คณะ, ชุดนักกีฬา, หน่วย, กอง"
-team ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-The team is heading to Grungtep.
=คณะนั้นกำลังมุ่งหน้าไปยังกรุงเทพฯ.
-team ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-The team play a football well.
=นักกีฬาชุดนั้นเล่นฟุตบอลได้ดี.
-committee (คอมมิทที) แปลว่า "คณะกรรมการ"
-committee ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-The committee is selfish person.
=กรรมการชุดนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว.
-committee ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-The committee are meeting in the hall.
=คณะกรรมการชุดนั้นกำลังประชุมกันอยู่ในห้องโถง.
-jury (จัวรี่) แปลว่า "คณะลูกขุน"
-jury ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-The jury verdicts a case.
=คณะลูกขุนตัดสินคดี.
-jury ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Each jury have verdict case very different.
=คณะลูกขุนแต่ละคนได้ตัดสินคดีที่แตกต่างกัน.
-goverment (กัฟเวิร์นเมินทฺ) แปลว่า "รัฐบาล"
-government ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-This government administrates country well.
=รัฐบาบชุดนี้บริหารประเทศดี.
-government ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-The government have reacted very slowly to the crisis.
=รัฐบาลทั้งหลายได้ตอบสนองช้ามากต่อวิกฤตกาณ์
-fleet (ฟลีท) แปลว่า "กองทัพเรือ, ขบวนรถยนต์"
-fleet ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-The fleet has confronted with an enemy.
=กองทัพเรือได้เผชิญหน้ากับข้าศึก.
-fleet ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-The fleet of the protest are moving to the government's seat.
=ขบวนของผู้ประท้วงกำลังเคลื่อนย้ายไปสู่ทำเนียบของรัฐบาล.
-crew (ครู) แปลว่า "ลูกเรือ"
-crew ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-The crew is left in the sea.
=ลูกเรือถูกละทิ้งในทะเล.
-crew ใช้เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Crew are facing big waves.
=ลูกเรือทั้งหลายกำลังเผชิญกับคลื่นลูกใหญ่.
-parent (แพเรนทฺ) แปลว่า "พ่อหรือแม่, พ่อแม่"
-parent ใช้เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-Her parent is going to the temple.
=พ่อแม่ของเธอกำลังไปวัด.
-parent ถ้าทำให้เป็นรูปพหูพจน์ต้องเติม S ที่ parents ด้วย เช่น:-
-Thier parents are a sick.
=พ่อแม่ของพวกเขาเป็นไข้.
-people (พีเพิล) แปลว่า "ประชาชน, คน, พลเมือง" เป็นได้พจน์เดียวคือ พหูพจน์ เช่น:-
-People in this country are good education.
=ประชนในประเทศนี้มีการศึกษาดี.
-All people in this world are under the rule of four truth are nativity, senility, pain, death.
=ทุกคนในโลกนี้อยู่ใต้กฏของความจริง 4 ข้อคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย.
-all (ออล) แปลว่า "ทั้งหมด"
-All of these money will be yours when I had died.
=เงินเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นของคุณเมื่อฉันได้ตายไปแล้ว.
พจน์ของสรรพนามที่เป็นเครือญาติ
-คำสรรพนามที่เป็น relative pronoun จัดเป็นพจน์ตามคำนามที่มันขยาย เช่น:-
-who (ฮู) แปลว่า "ผู้, ที่, ผู้ที่, ผู้ซึ่ง" ขยายนามหรือสรรพนามได้ 2 พจน์ คือ:-
1.ขยายนามที่เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-I met a person who is a good example of society.
=ข้าพเจ้าได้พบเห็นบุคคลผู้ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม.
2.ขยายนามที่เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Children who live in the house have good healthy.
=พวกเด็กๆที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นมีสุขภาพดี.
3.who ใช้ขยายคำสรรนามก็ได้คือใช้ได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น:-
-We, who are the wrong people will not receive this job.
=พวกเราผู้ที่เป็นคนผิดจะไม่รับงานนี้.
-He who has a bad habit is very dangerous.
=เขาผู้ที่มีนิสัยไม่ดีเป็นอันตรายมาก.
**ข้อควรจำ:- ข้อให้สังเกตดูตัวกิริยาของประโยคที่อยู่ข้างหลัง who กิริยาของประโยคตัวนี้จะเปลี่ยนไปตามประธานของประโยคตัวที่อยู่ข้างหน้า who ไม่ว่าตัวประธานจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ก็ตาม who ก็ขยายได้ทั้งนั้น กิริยาจะไม่เปลี่ยนไปตาม who
4.which (วิช) ถ้าใช้กับประโยคคำถามแปลว่า "อันไหน" ถ้าใชัเป็นคำเชื่อมต่อแปลว่า "ที่"
-which ใช้กับประโยคคำถามเป็นโพรนาวน์ เช่น:-
-Which bird do you like?
=คุณชอบนกตัวไหน?
-Which one is your book?
=หนังสือของคุณคือเล่มไหน?
-Which of those houses do you live in?
=บรรดาบ้านทั้งหลายเหล่านั้นบ้านหลังไหนที่คุณอาศัยอยู่?
-which ใช้เป็นคำเชื่อมต่อ แปลว่า “ที่” เช่น:-
-The pen, which I use, is black.
=ปากกาที่ข้าพเจ้าใช้เป็นสีดำ.
-He wears a ring, which is very expensive.
=เขาสวมแหวนที่มีราคาแพงมาก.
-The car, which you bought yesterday, is expensive.
=รถยนต์ที่คุณซื้อเมื่อวานนี้มีราคาแพง.
5.what (วอท) แปลว่า "อะไร, สิ่งที่"
-what ถ้าใช้กับประโยคคำถามที่เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ แปลว่า "อะไร" เช่น:-
-What is that?
=นั่นคืออะไร?
-What is your name?
=ชื่อของคุณคืออะไร?
-What is on the floor?
=อะไรอยู่บนพื้น?
-What are flying in the sky?
=อะไรกำลังบินอยู่ในท้องฟ้า?
-what ถ้าใช้เป็นคำเชื่อมต่อ แปลว่า "สิ่งที่" เช่น:-
-What I want it is in the cave.
=สิ่งที่ผมต้องการมันอยู่ใน้ถ้ำ.
-This is not what I want.
=นี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ.
-I know what you are doing.
=ผมรู้จักสิ่งที่คุณกำลังกระทำ.
-I don’t understand what you are talking about.
=ผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพูดถึง.
**หมายเหตุ:-
-what ถ้าวางไว้เป็นตัวแรกของประโยคให้แปลว่า "อะไร"
-what ถ้าวางไว้กลางประโยคให้แปลว่า "สิ่งที่"
- ตัวอย่างของประโยคให้ดูข้างบน
-What I want it is in the cave.
=สิ่งที่คุณต้องการมันอยู่ในถ้ำ.
-what ในประโยคนี้ถึงแม้จะวางเอาไว้ข้างหน้าประโยคแต่ไม่แปลว่า "อะไร" แปลว่า "สิ่งที่" เพราะ what ตัวนี้ไม่ใช่เป็นประโยคคำถามแต่ทำหน้าที่เป็นกรรมของ want ที่วางเอาไว้ข้างหน้าประโยคเพราะต้องการเน้นถึงสิ่งที่ต้องการให้เห็นเด่น ชัดว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่ ข้อนี้ขอให้ผู้ศึกษาโปรดสังเกตและทำความเข้าใจให้ดี
6.that (แดธ)
-ถ้าเป็นคำสันธาน แปลว่า "ที่, ว่า, ซึ่ง, เพราะ, กระนั้น" เช่น:-
-that แปลว่า "ที่" เช่น:-
-He is the tallest man that I’ve ever seen.
=เขาเป็นคนสูงที่สุดที่ผมได้เคยพบเห็น.
-that แปลว่า "ว่า" คำที่นำมาใช้ได้คล้ายกัน ( whether, as for, as to) เช่น:-
-She told me that she was fine.
=หล่อนบอกผมว่า "หล่อนสบายดี".
-that แปลว่า"ซึ่ง" เช่น:-
-Rotten fruit is in the basket that is taken to leave.
=ผลไม้เน่าอยู่ในตะกร้าซึ่งถูกนำไปเททิ้ง.
-that แปลว่า "เพราะ" คำที่นำไปใช้ได้คล้ายกัน (because, for, as) เช่น:- -He does not go to find you that he's afraid your friend will attack.
=เขาไม่ไปพบคุณเพราะเขากลัวว่าเพื่อนของคุณจะทำร้าย.
-that แปลว่า "กระนั้น" (nonetheless, yet) เช่น:-
-He made several good that he was punished.
=เขาทำดีหลายอย่างถึงกระนั้นเขาก็ยังถูกลงโทษอยู่.
-ถ้าเป็นคำสรรพนาม แปลว่า "ที่, โน้น, สิ่งนั้น, อย่างนั้น, อันนั้น"
-that แปลว่า "ที่" (that, which) เช่น:-
-The book that puts on green table is her book.
=หนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะสีเขียวเป็นหนังสือของเธอ.
-that แปลว่า "โน้น" เช่น:-
-It is that.
=มันอยู่โน้น.
-that แปลว่า "สิ่งนั้น" เช่น:-
-What is that?
=สิ่งนั้นคืออะไร?
-that แปลว่า "อย่างนั้น" เช่น:-
-He does that, it is wrong.
=เขาทำอย่างนั้นมันไม่ถูก.
-that แปลว่า "ผู้นั้น" (same) เช่น:-
-Who is that?
=ผู้นั้นเป็นใคร.
-that แปลว่า "อันนั้น" ( that one) เช่น:-
-This is mine, that is hers.
=อันนี้เป็นของฉัน, อันนั้นเป็นของเธอ.-
-ถ้าเป็นคุณศัพท์ แปลว่า "นั่น, นั้น, โน่น, เช่นนั้น"
-that แปลว่า "นั่น" (those) เช่น:-
-That thing is over far that will receive.
=สิ่งนั้นอยู่ไกลเกินไปที่จะได้รับ.
-that แปลว่า "นั้น" เช่น:-
-That cock is white.
=ไก่ตัวผู้นั้นสีขาว.
-that แปลว่า "โน่น" (those) เช่น:-
-That bird is flying away.
=นกตัวโน่นกำลังบินหนีไป.
-that แปแลว่า "เช่นนั้น" (such, suchlike, then) เช่น:-
-Making that, it is not good.
=การกระทำเช่นนั้นมันไม่ดี.
กฏพิเศษเกี่ยวกับการใช้นาม
1.adverb คือกิริยาวิเศษณ์ 2 ตัวนี้คือ: there และ here กิริยาที่เกี่ยวกับกิริยาวิเศษณ์ 2 ตัวนี้จะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ให้ดูที่ตัวประธานที่อยู่ข้างหลังของมัน
-there (แฑร์)adv. แปลว่า "ที่นั่น, ตรงนั้น"
-ถ้าใช้ร่วมกับ verb to be จะแปลว่า "มี"
-ถ้าเป็นเอกพจน์จะมีรูปเป็น there is เช่น:-
-There is a pupil in the room.
=มีนักเรียนหนึ่งคนอยู่ในห้องนั้น.
-ถ้ามีรูปเป็นพหูพจน์จะมีรูปเป็น there are เช่น:-
-There are ten eggs on the basket.
=มีไข่อยู่ 10 ใบบนตะกร้า.
-here (เฮีย)adv. แปลว่า "ที่นี่, ตรงนี่" เช่น:-
-Here comes she!
=หล่อนมาที่นี่ !
-Here we are at last!
=พวกเราอยู่ที่นี่สุดท้ายแล้ว !
-Ah, here's the book I've been looking for.
=อ้า, นี่คือหนังสือที่ข้าพเจ้าได้กำลังค้นหา.
2.ชื่อของหนังสือและชื่อของบทความ ต้องเป็นรูปเอกพจน์เสมอ
-ชื่อของหนังสือ เช่น:-
-Internet Travel was written by Pornchai Duongmalai.
=การเดินทางท่องเที่ยวทางอินเตอร์เน็ตเขียนโดย พรชัย ดวงมาลัย.
-ชื่อของบทความ เช่น:-
-Pornchai Duongmalai's "Tip for internet surfing" is a well-written treatise.
=เคล็ดลับสำหรับการท่องอินเตอร์เน็ตของพรชัย ดวงมาลัย เป็นบทความที่เขียนดี. 3.จำนวนเงินและมาตราต่างๆแม้จะมากกว่าหนึ่งก็จัดเป็นเอกพจน์เสมอ
-จำนวนเงิน เช่น:-
-ten dollars =เงิน 10 ดอลล่าร์
-thousand baths =เงิน 1000 บาท
-ten thousand baths =เงิน 10000 บาท
**จงสังเกตดูที่ ten thousand ten thuosand แมัจะเป็นเงินมากก็จะไม่เติม S ที่ ten thousand เลย -มาตราต่างๆ เช่น:-
-twenty miles =ระยะทาง 20 ไมล์
-two hundred gilometers (บางคนเขียนเป็น Kilometer ) =ระยะทาง 200 กิโลเมตร
-twelve inches is a creep =12 นิ้วเป็น 1 คืบ.
4.infinitive with to, infinitive with out to, gerund พร้อมทั้งคำขยายจัดเป็นเอกพจน์ทั้งสิ้น
-infinitive with to คืออิฟินิทีฟว์ที่มี to เช่น:-
-To read a book every day is a good habit.
=การอ่านหนังสือทุกวันเป็นนิสัยที่ดี.
-I want to make a house beautifully.
=ข้าพเจ้าต้องการสร้างบ้านให้สวยงาม.
**want to make ตรงนี้เป็น infinitive with to เพราะมี to เข้ามากั้นระหว่าง want กับ make
-infinitive with out to คืออินฟินิทีฟว์ที่ไม่มี to เช่น:-
-She must go to school quickly.
=หล่อนจำต้องไปโรงเรียนโดยเร็ว.
**must go ตรงนี้เป็น infinitive with out to คือไม่ต้องมี to เข้ามากั้นระหว่าง must กับ go
-gerund คือ คำกิริยา + ing ที่ทำให้กลายเป็นคำนาม เช่น:-
-reading คือ การอ่าน
-thinking คือ การคิด
-talking คือ การพูด
-learning คือ การเรียน
-teaching คือ การสอน คำนามทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นเอกพจน์ทั้งสิ้นโปรดจำไว้ให้ดี
5.เศษส่วนของคำนามที่เป็นเอกพจน์ต้องเป็นรูปเอกพจน์และเศษส่วนของคำนามที่เป็นพหูพจน์ต้องเป็นพหูพจน์เสมอ
-เศษส่วนของคำนามที่เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-Five-tenths of the school has made successful.
=เศษ 5 ส่วน 10 ของโรงเรียนได้สร้างเสร็จไปแล้ว.
6.article the + adjective มีความหมายเป็นพหูพจน์เสมอ เช่น:-
-the rich =พวกคนรวย
-the poor =พวกคนจน
-the bad =พวกคนเลว
-the good =พวกคนดี
-the big =พวกคนใหญ่
-the small =พวกคนเล็ก
จงเปรียบเทียบการอ่านออกเสียงของคำนามเหล่านี้
เขียนแบบเก่า เขียนแบบใหม่
Bangkok Barnggog =บางกอก
Wat Phra Kaew Wad Pragaew =วัดพระแก้ว
Apasra Hongsakula Apasara Hongsagul =อาภัสรา หงศ์สกุล Thaksin Shinawatra Tugsin Shinnawat =ทักษิณ ชินวัตร
**หมายเหตุ:- การเขียนแบบใหม่นี้ เป็นการเขียนที่ข้าพเจ้าได้เขียนให้ฝรั่งอ่านดูปรากฏว่าฝรั่งอ่านได้ใกล้เคียงมากที่สุด
Gender
-Gender (เจนเดอะ), บางครั้งใช้ sex (เซคซฺ) แปลว่า "เพศ" แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ:-
1.Masculine Gender (แมสคิวลิน เจนเดอะ), บางครั้งใช้ male (เมล) แปลว่า "เพศชาย" เช่น:-
-man (แมน) แปลว่า "ผู้ชาย"
-father (ฟาเธอะ) แปลว่า "พ่อ"
-brother (บราเธอะ) แปลว่า "พี่ชาย, น้องชาย"
-bachelor (แบชชะเลอะ) แปลว่า "ชายโสด, อัศวินหนุ่ม, ผู้ได้รับปริญญาตรี"
-boyfriend (บอยเฟรนดฺ) แปลว่า "แฟน, แฟนผู้ชาย"
-boy (บอย) แปลว่า "เด็กชาย"
-Pornchai แปลว่า "พรชัย"
2.Feminine Gerder (เฟมมินิน เจนเดอะ), บางครั้งใช้ female (ฟีเมล) แปลว่า "เพศหญิง" เช่น:-
-woman (วุแมน) แปลว่า "ผู้หญิง"
-mother (มาเธอะ) แปว่า "แม่"
-maid (เมด) แปลว่า "หญิงโสด"
-sister (ซิสเทอะ) แปลว่า "พี่สาว, น้องสาว"
-girl (เกิร์ล) แปลว่ "เด็กหญิง"
-girlfriend (เกิร์ลเฟรนดฺ) แปลว่า "แฟน, แฟนผู้หญิง"
-Chanisa แปลว่า "ชนิสา"
3.Common Gender (คอมมอน เจนเดอะ) แปลว่า "เพศรวม คือทั้งชายและหญิงอยู่ในเพศเดียวกัน" เช่น:-
-parent (แพเรินทฺ) แปลว่า "พ่อแม่"
-child (ไชล์ดฺ) แปลว่า "เด็กชายหญิง"
-teacher (ทีเชอะ) แปลว่า "ครูชายหญิง"
-farmer (ฟาร์เมอะ) แปลว่า "ชาวไร่ชายหญิง, ชาวนาชายหญิง"
-gardener (การ์เดนเนอะ) แปลว่า "ชาวสวนชายหญิง" ถ้าสำเนียงของอังกฤษจะออกเสียงเป็น "การ์ดเนอะ"
-worker (อังกฤษ:เวิอร์เคอะ, อเมริกา:เวิร์คเกอะ) แปลว่า "กรรมกรชายหญิง"
4.Neuter Gender (นูเทอะ เจนเดอะ) แปลว่า "ไม่มีเพศ" หมายถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น:-
-home (โฮม) แปลว่า "บ้าน, เรือน, บ้านเกิดเมืองนอน"
-building (บิลดิง) แปลว่า "ตึก, อาคาร"
-tree (ทรี) แปลว่า "ต้นไม้"
-chair (แชร์) แปลว่า "เก้าอี้"
-table (เทเบิล) แปลว่า "โต๊ะ"
-pen (เพน) แปลว่า "ปากกา"
-mango (แมงโก) แปลว่า "มะม่วง"
หลักการเปลี่ยนเพศในภาษาอังกฤษ
-ในภาษาอังกฤษมีหลักการในการเปลี่ยนเพศอยู่ 3 ประการ คือ:-
1.เปลี่ยนให้เป็นคำใหม่ทั้งหมด เช่น:-
คน
Male (เมล) เพศชาย Female (ฟีเมล) เพศหญิง
-boy (บอย) =เด็กชาย เปลี่ยนเป็น girl (เกิร์ล) =เด็กหญิง
-man (แมน) = ผู้ชาย ,, ,, woman (วุแมน) =ผู้หญิง
-yentleman (เยนเทิลแมน) =สุภาพบุรุษ เปลี่ยนเป็น lady (เลดี้) =สุภาพสตรี
-husband (ฮัสแบนดฺ) =สามี เปลี่ยนเป็น wife (ไวฟ์) =ภรรยา
-king (คิง) =พระราชา ,, ,, queen (ควีน) =พระราชินี
-nephew (เนฟฟิว) =หลานชาย เปลี่ยนเป็น granddaughter (แกรนดอเทอะ) =หลานสาว
-son (ซัน) =ลูกชาย ,, ,, daughter (ดอเทอะ) =ลูกสาว
-uncle (อังเคิล) =ลุง, น้า, อาผู้ชาย,, ,, aunt (อ๊านทฺ) =ป้า, น้า, อาผู้หญิง, น้าสะใภ้, น้าสาว, ซิ้ม
-father's brother (อาผู้ชาย) คือน้องชายของพ่อ เปลี่ยนเป็น morther's sister (น้าสาว)คือน้องสาวของแม่
-mother's brother (น้าชาย) คือน้องชายของแม่ เปลี่ยนเป็น father's sister (อาผู้หญิง) คือน้องสาวของแม่
-aunt's husband (ลุง) คือสามีของป้า เปลี่ยนเป็น uncle's wife (ป้า) คือภรรยาของลุง
-older brother =พี่ชาย เปลี่ยนเป็น older sister =พี่สาว
-younger brother =น้องชาย ,, ,, younger sister =น้องสาว
-wizard (วิซาร์ด) =พ่อมด ,, ,, witch (วิทชฺ) =แม่มด
สัตว์
-boar (บอร์) =หมูป่าตัวผู้ เปลี่ยนเป็น sow (โซ) =หมูป่าตัวเมีย
-bull (บุล) =วัวตัวผู้ ,, ,, cow (คาว) =วัวตัวเมีย
-bullock (บุลล็อค) =ลูกวัวตัวผู้ ,, ,, heifer (เฮฟเฟอะ) =ลูกวัวตัวเมีย
-colt (โคลทฺ) =ลูกม้าตัวผู้ ,, ,, filly (ฟิลลี่) =ลูกม้าตัวเมีย
-cock (ค็อค) =ไก่ตัวผู้ ,, ,, hen (เฮ็น) =ไก่ตัวเมีย
-drone (โดรน) =ผึ้งตัวผู้ ,, ,, bee (บี) =ผึ้งตัวเมีย
-drake (เดรค) =เป็ดตัวผู้ ,, ,, duck (ดั๊ค) =เป็ดตัวเมีย
-ram (แรม) =แกะตัวผู้ ,, ,, ewe (ยิว) =แกะตัวเมีย
**หมายเหตุ:- hen ถ้าเติม t เข้ามาข้างหน้าจะเป็น then แปลว่า "แล้ว, แล้วก็
-their แปลว่า “ของพวกเขา” ถ้าเอา t ตัวหน้าออกจะเป็น heir (แฮร์) แปลว่า “ทายาท” นี้หลักในการเพิ่มคำศัพท์ใหม่ ผู้ศึกษาจะได้เรียนในบทข้างหน้า
2.การเปลี่ยนเพศโดยการเติม ess, ine, a, en, ster ลงไปที่ท้ายคำนามที่เป็นเพศชาย เช่น:-
-คน เติม ess เช่น:-
Male Female
-author (ออเธอะ) เติม ess กลายเป็น authoress (ออเธอะเรส) =นักเขียน, นักประพันธ์
-baron (บาร์เริน) ,, ,, baroness (บาร์เรินเนส) =ยศขุนนางขั้นต่ำสุดของอังกฤษ
-count (เคาทฺ) ,, ,, countess (เคาเทส) =ขุนนางในยุโรปมีศักดิ์เท่ากับท่านเอิร์ลของอ้งกฤษ
-giant (ไจอันทฺ) ,, ,, giantess (ไจอันเทส) =ยักษ์ - ยักษิณี
-God (ก๊อด) ,, ,, Goddess (ก๊อดเดส) =พระเจ้าผู้ชาย, พระเจ้าผู้หญิง
-governor (กัฟเวิร์นเนอะ) เติม ess กลายเป็น governess (กัฟเวิร์นเนส) =ข้าหลวง, ผู้ว่าราชการจังหวัด
-heir (แฮร์) ,, ,, heiress (แฮเรส) =ทายาทชาย, ทายาทหญิง
-host (ฮอสทฺ) ,, ,, hostess (ฮอสเทส) =เจ้าของบ้านชาย, เจ้าของบ้านหญิง
-Jew (ยิว) ,, ,, Jewess (ยิว อิส) =ชายยิว - หญิงยิว
-patron (เพทรอน) ,, ,, patroness (เพทรอนเนส) =ผู้อุปถัมภ์ชาย - ผู้อปถัมภ์หญิง
-peer (เพียร์) ,, ,, peeress (เพียเรส) =ขุนนางชั้นหนึ่งชาย - ขุนนางชั้นหนึ่งหญิง
-poet (โพะเอิท) เติม ess กลายเป็น poetess (โพะอิทิส) =นักกวีชาย -นักกวีหญิง
-prince (พรินซฺ) ,, ,, princess (พรินเซส) =เจ้าชาย - เจ้าหญิง
-shepherd (เซฟเฟิร์ด) ,, ,, shepherdess (เซฟเฟิร์ดดิส) =ชายเลี้ยงแกะ - หญิงเลี้ยงแกะ
-viscount (ไวส์เคาทฺ) ,, ,, viscountess (ไวส์เคาเทส) =นายอำเภอชาย, นายอำเภอหญิง
-Negro (นิโกร) ,, ,, Negress (นิเกรส) =นิโกรชาย, นิโกรหญิง
-abbot (แอบเบิท) ,, ,, abbotess แอบเบิทเทส) =เจ้าอาวาส, ชีเจ้าวัด
-emperor (เอมเพอเรอะ),, ,, emperess (เอมเพอเรส) =พระเจ้าจักรพรรดิ - จักรพรรดินี
-lad (เเลด) ,, ,, lass (แลส) =เด็กหนุ่ม - เด็กสาว
-mister (มิสเทอะ) ,, ,, mistress (มิสเทรส) =นายผู้ชาย - นายผู้หญิง, เมียน้อย
-murderer (เมอร์เดอเรอ) เปลี่ยนเป็น murderess (เมอเดอเรส) =ฆาตกรชาย,ฆาตกรหญิง
-traitor (เทรเทอะ) ,, ,, traitress (เทรเทรส) =ชายทรยศ - หญิงทรยศ
-sorcerer (ซอร์เซอเรอะ) ,, ,, sorceress (ซอร์เชอเรส) =หมอผีชาย - หมอผีหญิง
-actor (แอ๊คเทอะ) ,, ,, actress (แอ๊คเทรส) =นักแสดงชาย - นักแสดงหญิง
-director (ไดเรคเทอะ) ,, ,, directress (ไดเรคเทรส) =ผู้อำนวยการชาย - ผู้อำนวยการหญิง
-enchantor (เอนซานเทอะ) ,, ,, enchantress (เอนชานเทรส) =หมอเสน่ห์ชาย - หมอเสน่ห์หญิง
-duke (ดยุด) ,, ,, duchess (ดัชเชส) =ขุนนางชั้นสูงชาย - ขุนนางชั้นสูงหญิง
-widower (วิดโด่เออะ) ,, ,, widow (วิดโด่) =พ่อหม้าย - แม่หม้าย
-สัตว์ เติม ess เช่น:-
Male Female
-lion (ไลออน) เติม ess กลายเป็น lioness (ไลอะนิส) =สิงโตตัวผู้ - สิงโตตัวเมีย
-tiger (ไทเกอะ) ,, ,, tigress (ไทเกรส) =เสือตัวผู้ - เสือตัวเมีย
ine
-การเติม ine เช่น:-
-hero (ฮีโร่) เติม ine กลายเป็น heroine (ฮีโร่อีน) =วีรบุรุษ - วีรสตรี
a
-การเติม a เช่น:-
-signor (ซินยอ) เติม a กลายเป็น signora (ซินยอร่า) =คำนำหน้าชื่อชาวอิตาลี่
-sultan (ซัลเทิน) ,, ,, sultanna (ซัลเทินน่า) =สุลต่านชาย - สุลต่านหญิง
ren
-การเติม en เช่น:-
-child (ไชล์ดฺ) เติม ren กลายเป็น children (ชีลเดรน) =เด็ก เป็นได้ทั้งหญิงและชาย
ster
-การเติม ster เช่น:-
-stateman (สะเททแมน) =รัฐบุรุษ เติม ster กลายเป็น minister (มินนิสเทอะ) =รัฐมนตรี
3.เปลี่ยนโดยวิธีการเติมคำประกอบลงไปข้างหน้าหรือข้างหลังคำนามต้วนั้น เช่น:-
Male Female
-he-goat (ฮีโกท) =แพะตัวผู้ she-goat (ชีโกท) =แพะตัวเมีย
-billy-goat (บิลลี่โกท) =แพะตัวผู้ nanny-goat (แนนนี่โกท) =แพะตัวเมีย
-peacock (พีคอค) =นกยูงตัวผู้ peahen (พีเฮ็น) =นกยูงตัวเมีย
-cock-sparrow (คอคสะแพโร) =นกกระจอกตัวผู้ hen-sparrow (เฮ็นสะแพโร) =นกกระจอกตัวเมีย
-bride-groon (ไบรดฺ กรูน) =เจ้าบ่าว bride (ไบรดฺ) =เจ้าสาว
-grand-son (แกรนด์ซัน) =หลานชาย grand-daughter (แกรนด์ดอเทอะ) =หลานสาว
-tom-cat (ทอมแค๊ท) =แมวตัวผู้ tib-cat (ทิบแค๊ท) =แมวตัวเมีย
-man-servant (แมนเซอแวนทฺ) =คนใช้ชาย maid-servant (เมดเซอเวินทฺ) =คนใช้หญิง
-land-lord (แลนด์ลอร์ด) =เจ้าของที่ชาย land-lady (แลนด์เลดี้) =เจ้าของที่หญิง
-bull-calf (บุลคาล์ฟ) =วัวตัวผู้ cow-calf (คาวคาล์ฟ) =วัวตัวเมีย
-grand-father (แกรนด์ฟาเธอะ) =ปู่ grandmother (แกรนด์มาเธอะ) =ย่า
-bull-elephant (บุลเอลละเฟินทฺ) =ช้างตัวผู้ cow-elephant (คาวเอลละเฟินทฺ) =ช้างตัวเมีย
วิจารณ์คำศัพท์
คำศัพท์ที่ข้าพเจ้าจะเอามาวิจารณ์มีอยู่ 4 คำ คือ:-
1.he-goat แพะตัวผู้
2.she-goat แพะตัวเมีย
3.bull-elephant ช้างตัวผู้
4.cow-elephant ช้างตัวเมีย
ดูคำศัพท์ที่นำมาเชื่อมกันรู้สึกว่าจะไม่ค่อยจะกลมกลืนเท่าไหร่นัก
he-goat เอา he มาเชื่อมกับ goat มันลักลั่นกันจริงๆเพราะ he เป็นสรรพนามที่ใช้แทนคนเมื่อเอามาเชื่อมกับสัตว์มันไม่กลมกลืนกันเลย ถ้าจะให้กลมกลืนกันให้เอา male มาเชื่อมจะเหมาะสมที่สุด เช่น:-
-male แปลว่า "ตัวผู้" ถ้าเอามาเชื่อมกับ goat ก็จะได้คำศัพท์ใหม่คือ Male-goat แปลว่า "แกะตัวผู้"
-she-goat ก็เช่นเดียวกันให้เอา female ซึ่งแปลว่า "ตัวเมีย" มาเชื่อมก็จะได้คำศัพท์ใหม่คือ Female-goat แปลว่า "แกะตัวเมีย"
ส่วน คำว่า "bull-elephant และ cow-elephant เอาวัวมาเชื่อมกับช้างมันไม่เหมาะสมกันเลยมองดูแล้วมันไม่กลมกลืนกันเลย ถ้าจะให้กลมกลืนกันต้องเอา male และ female มาเชื่อมจึงจะเหมาะสมกลมกลืนกัน เช่น:-
Male-elephant แปลว่า "ช้างตัวผู้" Female-elephant แปลว่า "ช้างตัวเมีย" เมื่อผสมกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะได้คำศัพท์ดังนี้:-
1.male-goat =แพะตัวผู้
2.female-goat =แพะตัวเมีย
3.male-elephant =ช้างตัวผู้
4.female-elephant =ช้างตัวเมีย
จงคลิกเปิดล้งค์เกี่ยวนามข้างล่างนี้ขึ้นมาอ่านประกอบ
http://cmiller-2ndgradetech.blogspot.com/2014/09/nouns-nouns-more-nouns.html
กรุณาคลิกหน้าที่ 2 ที่แถบข้างบน
เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด
กรุณาใส่ข้อความ …