8.วิชาประวัติศาสตร์

 

                  วิชาประวัติศาสตร์

     

           วิชาประวัติศาสตร์

   วิชาประวัติศาสตร์  แบ่งออกเป็น  ๒  ชนิด   คือ:-

     ๑.ประวัติศาสตร์ไทย

     ๒.ประวัติศาสตร์สากล

          ประวัติศาสตร์ไทย

    ประวัติศาสตร์ไทย  แบ่งออกเป็น  ๖  อาณาจักร   คือ:-

      ๑.อาณาจักรสมัยอ้ายลาว

      ๒.อาณาจักรน่านเจ้า

      ๓.อาณาจักรสมัยสุโขทัย

      ๔.อาณาจักรสมัยอยุธยา

      ๕.อาณาจักรสมัยธนบุรี

      ๖.อาณาจักรสมัยรัตนโกสินทร์

                  อาณาจักรสมัยอ้ายลาว

   

           อาณาจักรสมัยอ้ายลาว   
   เมื่อประมาณ ๓๙๐ ปี ก่อนพุทธศักราช  พวกจีนได้ถูกชนชาติ "ตาด"รุกราน พวกตาดได้ล่วงเลยเข้ามารุกรานถึงอาณาจักรอ้ายลาวด้วย  อาณาจักรลุงซึ่งอยู่ทางเหนือ ต้องประสบภัยสงครามอย่างร้ายแรง ในที่สุดก็ต้องทิ้งถิ่นฐานเดิม อพยพลงมาทางนครปา ซึ่งอยู่ทางใต้ ปล่อยให้พวกตาดเข้าครอบครอง "นครลุง" ซึ่งมีอาณาเขตประชิดติดแดนจีน ฝ่ายอาณาจักรจีนในเวลาต่อมาเกิดการจลาจล  พวกราษฎรพากันอพยพหนีภัยสงคราม เข้ามาในนครปาเป็นครั้งแรก  เมื่ออพยพมาอยู่กันมากเข้า ก็มาเบียดเบียนชนชาติไทยในการครองชีพ
   ชนชาติไทยทนการเบียดเบียนไม่ได้ จึงได้อพยพจาก "นครปา" มาหาที่ทำกินใหม่ทางใต้ครั้งใหญ่ เมื่อประมาณ ๕๐ ปี ก่อนพุทธศักราช  แต่อาณาจักรอ้ายลาวก็ยังคงอยู่จนถึงประมาณ ก่อนค.ศ. ๓๖๘ อาณาจักรจีนเกิดมีแคว้นหนึ่ง คือ แคว้นจิ๋น มีอำนาจขึ้นแล้วใช้แสนยานุภาพเข้ารุกรานอาณาจักรอ้ายลาว นับเป็นครั้งแรกที่ไทยกับจีนได้รบพุ่งกัน  ในที่สุดชนชาติไทยก็เสียนครปาให้แก่จีน เมื่อ ก่อน ค.ศ.๓๓๘
   ผลของสงครามทำให้ชาวนครปาที่ยังตกค้างอยู่ในถิ่นเดิม อพยพเข้ามาหาพวกเดียวกันที่อาณาจักรเงี้ยว ซึ่งขณะนั้นยังเป็นอิสระอยู่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของจีน แต่ฝ่ายจีนยังคงรุกรานลงทางใต้สู่อาณาจักรเงี้ยวต่อไป  ในที่สุดชนชาติไทยก็เสียอาณาจักรเงี้ยวให้แก่ พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อก่อน ค.ศ. ๒๑๕  
   ตั้งแต่ พ.ศ. ๔๐๐ - ๖๒๑  เมื่ออาณาจักรอ้ายลาวถูกรุกรานจากจีน ทั้งวิธีรุกเงียบและรุกรานแบบเปิดเผยโดยใช้แสนยานุภาพ จนชนชาติไทยอ้ายลาวสิ้นอิสระภาพ จึงได้อพยพอีกครั้งใหญ่ แยกย้ายกันไปหลายทิศหลายทาง เพื่อหาถิ่นอยู่ใหม่ ได้เข้ามาในแถบ"ลุ่มแม่น้ำสาละวิน ลุ่มแม่น้ำอิรวดี"  บางพวกก็ไปถึงแคว้น "อัสสัม"  บางพวกไปยังแคว้น "ตังเกี๋ย" เรียกว่าไทยแกว  บางพวกเข้าไปอยู่ที่แคว้น "ฮุนหนำ" พวกนี้มีจำนวนค่อนข้างมาก ในที่สุดได้ตั้งอาณาจักรขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๔๐๐  เรียกว่าอาณาจักร "เพงาย"
   ในสมัยพระเจ้าขุนเมือง  ได้มีการรบระหว่างไทยกับจีน หลายครั้งผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ สาเหตุที่รบกันเนื่องจากว่า ทางอาณาจักรจีน พระเจ้าวู่ตี่ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้จัดสมณทูตให้ไปสืบสวนพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียแต่การเดินทางของสมณทูตต้องผ่านเข้ามาในอาณาจักรเพงาย  พ่อขุนเมืองไม่ไว้ใจจึงขัดขวาง ทำให้กษัตริย์จีนขัดเคืองจึงส่งกองทัพมารบ  ผลที่สุดชาวเพงายต้องพ่ายแพ้ เมื่อ พ.ศ. ๔๕๖
   ต่อมาอาณาจักรจีนเกิดการจลาจล  ชาวนครเพงายจึงได้โอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระ จนถึง พ.ศ. ๖๒๑ ฝ่ายจีนได้รวมกันเป็นปึกแผ่นและมีกำลังเข้มแข็ง ได้ยกกองทัพมารุกรานไทย สาเหตุของสงครามเนื่องจากพระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์จีนได้วางแผนการขยายอาณาเขต โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ โดยได้ส่งสมณฑูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศใกล้เคียง สำหรับนครเพงายนั้น เมื่อพระพุทธศาสนาแผ่ไปถึงพ่อขุนลิวเมา ซึ่งเป็นหัวหน้าก็เลื่อมใส ชาวนครเพงายโดยทั่วไปก็ยอมรับนับถือเป็นศาสนาประจำชาติ ด้วยต่างก็ประจักษ์ในคุณค่าของพระธรรมอันวิเศษยอดเยี่ยม 

   นับว่าสมัยนี้ เป็นสมัยสำคัญที่พระพุทธศาสนาได้แผ่เข้ามาถึงอาณาจักรไทย คือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๖๑๒ เมื่อเป็นเช่นนั้นฝ่ายจีนจึงถือว่าไทยต้องเป็นเมืองขึ้นของจีนด้วย จึงได้ส่งขุนนางเข้ามาควบคุมการปกครองนครเพงาย เมื่อทางไทยไม่ยอมจึงเกิดผิดใจกัน ฝ่ายจีนได้กรีฑาทัพใหญ่เข้าโจมตีนครเพงาย นครเพงายจึงเสียอิสระภาพ เมื่อ พ.ศ. ๖๒๑

                  อาณาจักรสมัยน่านเจ้า

   

        อาณาจักรสมัยน่านเจ้า
   ตามบันทึกของจีนโบราณกล่าวไว้ว่า นอกจากน่านเจ้าจะเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว ยังมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างสูง  ทางด้านการปกครองได้จัดแบ่งออกเป็น ๙ กระทรวง คือ
     ๑.กระทรวงว่าการทหาร
     ๒.กระทรวงจัดการสำมะโนครัว
     ๓.กระทรวงราชประเพณี
     ๔.กระทรวงยุติธรรม
     ๕.กระทรวงมหาดไทย
     ๖.กระทรวงโยธา
     ๗.กระทรวงพาณิชย์
     ๘.กระทรวงการคลัง
     ๙.กระทรวงการต่างประเทศ
   มีเจ้าพนักงานสำหรับสอบคัดเลือกผู้เข้ารับราชการ  กองทหารก็จัดเป็น หมู่ หมวด กองร้อย กองพัน มีธงประจำกอง  ทหารแต่งกายด้วยเสื้อกางเกงทำด้วยหนังสัตว์ สวมหมวกสีแดงมียอด ถือโลห์หนังแรด มีหอกหรือขวานเป็นอาวุธ หากใครมีม้าก็เป็นทหารม้าทรัพย์ สินของรัฐมียุ้งฉางสำหรับเสบียงของหลวง มีโรงม้าหลวง มีการเก็บภาษีอากร มีการแบ่งปันที่นาให้ราษฎรตามส่วน  อาชีพทั่วไปของราษฎรคือการเพาะปลูก เมื่อรู้จักปลูกฝ้ายก็มีการทอผ้า นอกจากนั้นก็มีอาชีพขุดทอง
   ศาสนาประจำชาติ  ส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  รวมทั้งนับถือศาสนาเดิมที่นับถือบรรพบุรุษ   การศึกษา  ชนชาติไทยในสมัยน่านเจ้ามีภาษาใช้ประจำชาติโดยเฉพาะแล้ว  แต่เรื่องของตัวหนังสือเรายังไม่สามารถทราบได้ว่ามีใช้หรือยัง
   ชนชาติต่าง ๆ ในแหลมสุวรรณภูมิก่อนที่ไทยจะอพยพมาอยู่ ชนชาติดั้งเดิม และมีความเจริญน้อยที่สุดก็คือพวก นิโกรอิด (Negroid) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ พวกเงาะ เช่น เซมัง ซาไก (Sakai) ปัจจุบันชนชาติเหล่านี้มีเหลืออยู่น้อยเต็มที  แถวปักษ์ใต้อาจมีเหลืออยู่บ้าง ในเวลาต่อมาชนชาติที่มีอารยธรรมสูงกว่า เช่น มอญ  ขอม  ละว้า  ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน
   ขอม  มีถิ่นฐานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแหลมสุวรรณภูมิ  ในบริเวณแม่น้ำโขงตอนใต้ และทะเลสาบเขมร
   ละว้า  มีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นดินแดนตอนกลางระหว่างขอมและมอญ
   มอญ  มีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี
   ทั้งสามชาตินี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ตั้งแต่รูปร่าง หน้าตา ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นชนชาติเดียวกันมาแต่เดิม
    -อาณาจักรละว้า  เมื่อประมาณ พ.ศ. ๗๐๐ ชนชาติละว้าซึ่งเข้าครอบครองถิ่นเจ้าพระยา ได้ตั้งอาณาจักรใหญ่ขึ้นสามอาณาจักรคือ
    -อาณาจักรทวาราวดี  มีอาณาเขตประมาณตั้งแต่ราชบุรี ถึงพิษณุโลก มีนครปฐมเป็นเมืองหลวง
    -อาณาจักรโยนกหรือยาง  เป็นอาณาจักรทางเหนือในเขตพื้นที่เชียงราย และเชียงแสน มีเงินยางเป็นเมืองหลวง
    -อาณาจักรโคตรบูรณ์  มีอาณาเขตตั้งแต่นครราชสีมาถึงอุดรธานี มีนครพนมเป็นเมืองหลวง
     อารยธรรมที่นำมาเผยแพร่  แหลมสุวรรณภูมิได้เป็นศูนย์กลางการค้าของจีน และอินเดียมาเป็นเวลาช้านาน จนกลายเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมผสม ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณนี้ เป็นเหตุดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาอาศัย และติดต่อค้าขาย  นับตั้งแต่ พ.ศ. ๓๐๐ เป็นต้นมาได้มีชาวอินเดียมาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งพวกที่หนีภัยสงครามทางอินเดียตอนใต้ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช
กษัตริย์แห่งแคว้นโกศลได้กรีฑาทัพไปตีแคว้นกลิงคราฎร์  ชาวพื้นเมืองอินเดียตอนใต้ จึงอพยพเข้ามาอยู่ที่พม่า ตลอดถึงพื้นที่ทั่วไปในแหลมมลายู และอินโดจีน อาศัยที่พวกเหล่านี้มีความเจริญอยู่แล้ว จึงได้นำเอาวิชาความรู้และความเจริญต่าง ๆ มาเผยแพร่ คือ:-
     ๑.ศาสนาพุทธ  พระพุทธศาสนา ซึ่งเหมาะสมในทางอบรมจิตใจ  ให้ความสว่างกระจ่างในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ  สันนิษฐานว่า พุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่เป็นครั้งแรกโดย พระโสณะ และพระอุตระ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย
     ๒.ศาสนาพราหมณ์  มีความเหมาะสมในด้านการปกครอง ซึ่งต้องการความศักดิ์สิทธิ์ และเด็ดขาด ศาสนานี้สอนให้เคารพในเทพเจ้าทั้งสามคือพระอิศวร  พระพรหม  และพระนารายณ์
     ๓.นิติศาสตร์  ได้แก่การปกครอง ได้วางแผนการปกครองหัวเมืองตลอดจนการตั้งมงคลนาม ถวายแก่พระมหากษัตริย์ และตั้งชื่อเมือง
     ๔.อักษรศาสตร์  พวกอินเดียตอนใต้ได้นำเอาตัวอักษรคฤณฑ์เข้ามาเผยแพร่  ต่อมาภายหลังได้ดัดแปลงเป็นอักษรขอม และอักษรมอญ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย โดยดัดแปลงจากอักษรขอม เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๓
    ๕.ศิลปศาสตร์  ได้แก่ฝีมือในการก่อสร้าง แกะสลัก ก่อพระสถูปเจดีย์ และหล่อพระพุทธรูป 

             ยุคอิทธิพลขอม

  

       ยุคอิทธิพลขอม
    ประมาณปี พ.ศ. ๖๐๑ โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นชาวอินเดียได้สมรสกับนางพญาขอม และต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ครอบครองดินแดนของนางพญาขอม จัดการปกครองบ้านเมืองด้วยความเรียบร้อย  ทำนุบำรุงกิจการทหาร ทำให้ขอมเจริญขึ้นตามลำดับ มีอาณาเขตแผ่ขยายออกไปมากขึ้น  ในที่สุดก็ได้ยกกำลังไปตีอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของละว้าไว้ได้  แล้วถือโอกาสเข้าตีอาณาจักรทวาราวดี
   ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐  กษัตริย์พม่าผู้มีความสามารถองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าอโนธรามังช่อ  ได้ยกกองทัพมาตีอาณาจักรมอญ  เมื่อตีอาณาจักรมอญไว้ในอำนาจได้ แล้วก็ยกทัพล่วงเลยเข้ามาตีอาณาจักรทวาราวดี  และมีอำนาจครอบครองตลอดไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อำนาจของขอมก็สูญสิ้นไป  แต่เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าอโนธรามังช่อ อำนาจของพม่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็พลอยเสื่อมโทรมดับสูญไปด้วย เพราะกษัตริย์พม่าสมัยหลังเสื่อมความสามารถ และมักแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน เปิดโอกาสให้แว่นแคว้นต่าง ๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้น ตั้งตัวเป็นอิสระได้อีก

   ในระหว่างนี้ พวกไทยจากน่านเจ้า ได้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อพม่าเสื่อมอำนาจลง คนไทยเหล่านี้ก็เริ่มจัดการปกครองกันเองในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฝ่ายขอมนั้นเมื่อเห็นพม่าทอดทิ้งแดนละว้าเสียแล้ว ก็หวลกลับมาจัดการปกครองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกวาระหนึ่ง โดยอ้างสิทธิแห่งการเป็นเจ้าของเดิม อย่างไรก็ตามอำนาจของขอมในเวลานั้นก็ซวดเซลงมากแล้ว แต่เนื่องจากชาวไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ยังไม่มีอำนาจเต็มที่  
   ขอมจึงบังคับให้ชาวไทยส่งส่วยให้ขอม พวกคนไทยที่อยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ ไม่กล้าขัดขืน ยอมส่งส่วยให้แก่ขอมโดยดี จึงทำให้ขอมได้ใจ และเริ่มขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือ ในการนี้เข้าใจว่าบางครั้งอาจต้องใช้กำลังกองทัพเข้าปราบปราม บรรดาเมืองที่ขัดขืนไม่ยอมส่งส่วย ขอมจึงสามารถแผ่อำนาจขึ้นไปจนถึงแคว้นโยนก
   ส่วนแคว้นโยนกนั้น ถือตนว่าไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของขอมมาก่อน จึงไม่ยอมส่งส่วยให้ตามที่ขอมบังคับ ขอมจึงใช้กำลังเข้าปราบปรามนครโยนกได้สำเร็จ  พระเจ้าพังคราช กษัตริย์แห่งโยนกลำดับที่ ๔๓ ได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเวียงสีทอง

            แคว้นโยนกเชียงแสน

   

    แคว้นโยนกเชียงแสน
   ดังได้ทราบแล้วว่าโอรสของพระเจ้า พีล่อโก๊ะ องค์หนึ่ง ชื่อพระเจ้าสิงหนวัติ ได้มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นทางใต้ ชื่อเมืองโยนกนาคนคร เมืองดังกล่าวนี้อยู่ในเขตละว้า หรือในแคว้นโยนก เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๑๑๑  เป็นเมืองที่สง่างามของย่านนั้น   ในเวลาต่อมาก็ได้รวบรวมเมืองที่อ่อนน้อมตั้งขึ้นเป็นแคว้น ชื่อโยนกเชียงแสน มีอาณาเขตทางทิศเหนือตลอดสิบสองปันนา  ทางใต้จดแคว้นหริภุญชัย  มีกษัตริย์สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมา จนถึงสมัยพระเจ้าพังคราชจึงได้เสียทีแก่ขอมดังกล่าวแล้ว
   อย่างไรก็ตาม พระเจ้าพังคราชตกอับอยู่ไม่นานนัก ก็กลับเป็นเอกราชอีกครั้งหนึ่ง  ด้วยพระปรีชาสามารถของพระโอรสองค์น้อย คือ พระเจ้าพรหม  ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นนักรบ และมีความกล้าหาญ  ได้สร้างสมกำลังผู้คน ฝึกหัดทหารจนชำนิชำนาญ แล้วคิดต่อสู้กับขอม ไม่ยอมส่งส่วยให้ขอม  เมื่อขอมยกกองทัพมาปราบปราม ก็ตีกองทัพขอมแตกพ่ายกลับไป และยังได้แผ่อาณาเขตเลยเข้ามาในดินแดนขอม  ได้ถึงเมืองเชลียง และตลอดถึงลานนา ลานช้าง แล้วอัญเชิญพระราชบิดา กลับไปครองโยนกนาคนครเดิม  แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่าชัยบุรี ส่วนพระองค์เองนั้นลงมาสร้างเมืองใหม่ทางใต้ชื่อเมืองชัยปราการ ให้พระเชษฐา คือ เจ้าทุกขิตราช ดำรงตำแหน่งอุปราช  นอกจากนั้นก็สร้างเมืองอื่น ๆ เช่น เมืองชัยนารายณ์  นครพางคำ  ให้เจ้านายองค์อื่น ๆ ปกครอง
   เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพังคราช พระเจ้าทุกขิตราช ก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี  ส่วนพระเจ้าพรหม และโอรสของพระองค์ก็ได้ครองเมืองชัยปราการต่อมา  ในสมัยนั้นขอมกำลังเสื่อมอำนาจจึงมิได้ยกกำลังมาปราบปราม  ฝ่ายไทยนั้น แม้กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็คงยังไม่มีกำลังมากพอที่จะแผ่ขยาย อาณาเขตลงมาทางใต้อีกได้ ดังนั้นอาณาเขตของไทยและขอมจึงประชิดกันเฉยอยู่
   เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพรหม  กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาอ่อนแอและหย่อนความสามารถ ซึ่งมิใช่แต่ที่นครชัยปราการเท่านั้น  ความเสื่อมได้เป็นไปอย่างทั่วถึงกันยังนครอื่น ๆ เช่น ชัยบุรี ชัยนารายณ์ และนครพางคำ ดังนั้นในปี พ.ศ. ๑๗๓๑  เมื่อมอญกรีฑาทัพใหญ่มารุกรานอาณาจักรขอมได้ชัยชนะแล้ว ก็ล่วงเลยเข้ามารุกรานอาณาจักรไทยเชียงแสน  ขณะนั้นโอรสของพระเจ้าพรหม คือ พระเจ้าชัยศิริ ปกครองเมืองชัยปราการ ไม่สามารถต้านทานศึกมอญได้ จึงจำเป็นต้องเผาเมือง เพื่อมิให้พวกข้าศึกเข้าอาศัย แล้วพากันอพยพลงมาทางใต้ของดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่งมาถึงเมืองร้างแห่งหนึ่งในแขวงเมืองกำแพงเพชร ชื่อเมืองแปป ได้อาศัยอยู่ที่เมืองแปปอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่ง  เห็นว่าชัยภูมิไม่สู้เหมาะ เพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครปฐมจึงได้พักอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ส่วนกองทัพมอญ หลังจากรุกรานเมืองชัยปราการแล้ว ก็ได้ยกล่วงเลยตลอดไปถึงเมืองอื่น ๆ
   ในแคว้นโยนกเชียงแสน จึงทำให้พระญาติของพระเจ้าชัยศิริ ซึ่งครองเมืองชัยบุรี ต้องอพยพหลบหนีข้าศึกเช่นกัน ปรากฎว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วม บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมดแล้ว  พวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสียแรง เสียเวลา และทรัพย์สินเงินทองเพื่อ ที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ ดังนั้นพวกมอญจึงยกกองทัพกลับ เป็นเหตุให้แว่นแคว้นนี้ว่างเปล่า ขาดผู้ปกครองอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างที่ฝ่าย
ไทย กำลังระส่ำระสายอยู่นี้ เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอุปราชอยู่ที่เมืองละโว้ ถือสิทธิ์เข้าครองแคว้นโยนก แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้นให้ส่งส่วยให้แก่ขอม ความพินาศของแคว้นโยนกครั้งนี้ ทำให้ชาวไทยต้องอพยพแยกย้ายกันลงมาเป็นสองสายคือ สายของพระเจ้าชัยศิริ อพยพลงมาทางใต้ และได้อาศัยอยู่ชั่วคราวที่เมืองแปปดังกล่าวแล้ว ส่วนสายพวกชัยบุรีได้แยกออกไปทางตะวันออกของสุโขทัย จนมาถึงเมืองนครไทย
   จึงได้เข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองนั้นด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสม  เพราะเป็นเมืองใหญ่ และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ  ผู้คนในเมืองนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไทย อย่างไรก็ตามในชั้นแรกที่เข้ามาตั้งอยู่นั้น ก็คงต้องยอมขึ้นอยู่กับขอม ซึ่งขณะนั้นยังมีอำนาจอยู่
   ในเวลาต่อมา เมื่อคนไทยอพยพลงมาจากน่านเจ้าเป็นจำนวนมาก  ทำให้นครไทยมีกำลังผู้คนมากขึ้น ข้างฝ่ายอาณาจักรลานนาหรือโยนกนั้น เมื่อพระเจ้าชัยศิริทิ้งเมืองลงมาทางใต้ แล้วก็เป็นเหตุให้ดินแดนแถบนั้นว่างผู้ปกครองอยู่ระยะหนึ่งแต่ในระยะต่อมาชาวไทยที่ค้างการอพยพ อยู่ในเขตนั้นก็ได้รวมตัวกัน ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นหลายแห่งตั้งเป็นอิสระแก่กัน  บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นที่นับว่าสำคัญ มีอยู่สามเมืองด้วยกัน
คือ นครเงินยาง อยู่ทางเหนือ นครพะเยา อยู่ตอนกลาง และเมืองหริภุญไชย อยู่ลงมาทางใต้  ส่วนเมืองนครไทยนั้นด้วยเหตุที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ปลายทางการอพยพ และอาศัยที่มีราชวงศ์เชื้อสายโยนกอพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นที่นิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอื่น จึงได้รับยกย่องขึ้นเป็นพ่อเมืองที่ตั้งของเมืองนครไทยนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับเมืองบางยาง  ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีเมืองขึ้นและเจ้าเมืองมีฐานะเป็นพ่อขุน
   เมื่อบรรดาชาวไทย เกิดความคิดที่จะสลัดแอก ของขอมครั้งนี้  บุคคลสำคัญในการนี้ก็คือ พ่อขุนบางกลางท่าว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดได้ร่วมกำลังกันยกขึ้นไปโจมตีขอม จนได้เมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมไว้ได้ เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๐๐  การมีชัยชนะของฝ่ายไทยในครั้งนั้น นับว่าเป็นนิมิตหมายเบื้องต้น แห่งความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทย  และเป็นลางร้ายแห่งความเสื่อมโทรมของขอม เพราะนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา ขอมก็เสื่อมอำนาจลงทุกที จนในที่สุดก็สิ้นอำนาจไปจากดินแดนละว้า แต่ยังคงมีอำนาจปกครองเหนือลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนใต้อยู่

                อาณาจักรสมัยสุโขทัย

   
        อาณาจักรสุโขทัย
   การก่อตั้งกรุงสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยก่อตั้งขึ้นประมาณ พ.ศ. ๑๗๘๐ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงพระนามเดิมว่า พ่อขุนบางกลางหาว ทรงสถาปนาสุโขทัยขึ้นมา สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชนชาติไทย โดยขยายเขตการปกครองออกไปอย่างกว้างขวาง สุโขทัยเป็นราชอาณาจักรของชาติไทย อยู่ประมาณ ๒๐๐ ปี จึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑
   อาณาจักรสุโขทัย ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ และที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง มีอาณาเขตดังนี้  เดิมที สุโขทัย เป็นสถานีการค้าของแคว้นละโว้ (ลวรัฐ) ของอาณาจักรขอม บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ กับเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง (ประเทศลาว) คาดว่าเริ่มตั้งเป็นสถานีการค้าในราวพุทธศักราช ๑๗๐๐ ในรัชสมัยของพระยาธรรมิกราช กษัตริย์ละโว้ โดยมีพ่อขุนศรีนาวนำถม เป็นผู้ปกครองและดูแลกิจการภายในเมืองสุโขทัย และศรีสัชนาลัย ต่อมาเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสวรรคต ขอมสบาดโขลญลำพงซึ่งเป็นคล้ายๆกับผู้ตรวจราชการจากลวรัฐ เข้าทำการยึดอำนาจการปกครองสุโขทัย จึงส่งผลให้ พ่อขุนผาเมือง (พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถม) เจ้าเมืองราด และ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ตัดสินพระทัยจะยึดดินแดนคืน การชิงเอาอำนาจจากผู้ครองเดิมคือ อาณาจักรขอม เมื่อปี พ.ศ. ๑๗๘๑ และสถาปนาเอกราช ให้กรุงสุโขทัยขึ้นเป็นรัฐอิสระ โดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐใด  และพ่อขุนผาเมือง ก็กลับยกเมืองสุโขทัย ให้พ่อขุนบางกลางหาวครอง พร้อมทั้ง พระแสงขรรค์ชัยศรี และพระนาม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงพระราชทานให้ พ่อขุนผาเมืองก่อนหน้านี้ โดยคาดว่า เหตุผลคือพ่อขุนผาเมืองมีพระนางสิขรเทวีพระมเหสี (ราชธิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗) ซึ่งพระองค์เกรงว่าชาว
สุโขทัยจะไม่ยอมรับ แต่ก็กลัวว่าทางขอมจะไม่ไว้ใจจึงมอบพระนามพระราชทาน และพระแสงขรรค์ชัยศรี ขึ้นบรมราชาภิเษก พ่อขุนผาเมืองให้เป็นกษัตริย์ เพื่อเป็นการตบตาราชสำนักขอม
   หลังจากมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี และมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แล้ว พระองค์ทรงดูแลพระราชอาณาจักร และบำรุงราษฏรเป็นอย่างดี  พระมหากษัตริย์พระองค์ที่สาม พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถทั้งในด้านนิรุกติศาสตร์ การปกครอง กฎหมาย วิศวกรรม ศาสนา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น ผลงานของพระองค์ที่ปรากฏให้เห็น อาทิ ศิลาจารึกที่ค้นพบในสมัยของพระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่อธิบายถึงความเป็นมา ลีลาชีวิตของชาวสุโขทัยโบราณ น้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ การพิพากษาอรรถคดี ฯลฯ  นอกจากนี้ยังมีผลงานทางวิศวกรรมชลประทาน คือ เขื่อนสรีดภงค์ที่เป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามแล้ง มีการทำท่อส่งน้ำจากตัวเขื่อนมาใช้ในเมือง
     พระมหากษัตริย์ที่ทรงทำนุบำรุงศาสนามากที่สุดคือ พระเจ้าลิไท ในรัชสมัยของพระองค์มีการสร้างวัดมากที่สุด  กษัตริย์พระองค์สุดท้ายในฐานะรัฐอิสระ คือ พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) ต่อจากนั้น อาณาจักรได้ถูกแบ่งส่วนออกเป็นของอาณาจักรอยุธยา และอาณาจักรล้านนา จนในที่สุด อาณาจักรทั้งหมด ก็ถูกรวมศูนย์ เข้าเป็นดินแดน  

   สวนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) แห่งอาณาจักรอยุธยา สุโขทัยถูกแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน
   - พระยาบาล (บรมปาลมหาธรรมราชา) ครองพิษณุโลก
   - พระยาราม ครองสุโขทัย
   - พระยาเชลียง ครองเชลียง
   - พระยาแสนสอยดาว ครองกำแพงเพชร
    พื้นที่อานาจักรสมัยสุโขทัย
   ๐ทิศเหนือ จดเมืองแพร่ (ปัจจุบันคือแพร่) เป็นเมืองปลายแดนด้านเหนือสุด
   ๐ทิศใต้ จดเมืองพระบาง (ปัจจุบันคือนครสวรรค์) เป็นเมืองปลายแดนด้านใต้
   ๐ทิศตะวันตก จดเมืองฉอด (ปัจจุบันคือแม่สอด) เป็นเมืองชายแดนที่จะติดต่อเข้าไปยังอาณาจักรมอญ
   ๐ทิศตะวันออก จดเมืองสะค้าใกล้แม่น้ำโขงในเขตภาคอีสานตอนเหนือ

          บุคคลสำคัญในสมัยสุโขทัย

   ๑.พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

   ๒.พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

   ๓.พญาลิไท

             พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

  

                พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย  เสวยราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึงปีใดไม่ปรากฏ พระนามเดิมคือพ่อขุนบางกลางหาว มีมเหสีคือนางเสือง มีพระราชโอรส ๓ พระองค์ พระราชธิดา ๒ พระองค์ พระราชโอรสองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ส่วนพระราชโอรสองค์ที่ ๒ และ ๓ คือพ่อขุนบานเมืองและพ่อขุนรามคำแหงทรงครองราชย์ต่อมาตามลำดับ เดิมพ่อขุนบางกลางหาวทรงเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่ใดไม่ปรากฏ แต่ข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่าอยู่ใต้เมืองบางยางลงไป มีผู้เสนอความเห็นว่าพ่อขุนบางกลางหาวน่าจะอยู่แถวกำแพงเพชร
   ก่อนราชวงศ์พระร่วงอาณาจักรสุโขทัยมีราชวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถุมครองอยู่ ในรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถุมซึ่งเริ่มประมาณ พ.ศ. ๑๗๖๒ อาณาจักรสุโขทัยครอบคลุมถึงเมืองฉอด (ใกล้แม่น้ำเมย) ลำพูน น่าน พิษณุโลก ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยตกอยู่ใต้อำนาจขอมสบาดโขลญลำพง จนกระทั่งพ่อขุนผาเมืองโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถุมทรงร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาวขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงไป   พ่อขุนบางกลางหาวทรงยึดเมืองศรีสัชนาลัยได้และทรงเวนเมืองให้พ่อขุนผาเมือง พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์สุโขทัย พ่อขุนผาเมืองซึ่งเป็นพระชามาดา (ลูกเขย)ของกษัตริย์ขอมทรงยกพระนามศรีอินบดินทราทิตย์ซึ่งพระองค์ได้รับมาจากกษัตริย์ขอมมอบให้แก่พ่อขุนบางกลางหาว แต่พ่อขุนบางกลางหาวทรงใช้พระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ บางทีอาจจะทรงเห็นว่าพระนามเดิมมาจากคำ อินทรปัต + อินทร + อาทิตย์ แสดงว่าอยู่ใต้
อินทรปัตซึ่งเป็นเมืองหลวงของขอม (ดังปรากฏในจารึกหลักที่ ๒) ก็เป็นได้
   การที่พ่อขุนผาเมืองทรงยกสุโขทัยและอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์ อาจจะทรงเห็นว่าสุโขทัยในขณะนั้นเป็นเมืองเล็กกว่าศรีสัชนาลัย หรืออาจจะเป็นเพราะว่านางเสือง พระมเหสีของพ่อขุนบางกลางหาวเป็นพระภคินี (พี่สาว) ของพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางหาวจึงทรงมีสิทธิที่จะได้ครองเมืองก่อนพ่อขุนผาเมืองก็เป็นได้
   พ่อขุนผาเมืองเป็นเจ้าเมืองราด มีพระอนุชาคือพระยาคำแหงพระรามครองเมืองสระหลวงสองแคว (พิษณุโลก) โอรสของพระยาคำแหงพระราม คือ มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี เมื่อเป็นฆราวาสมีฝีมือในการสู้รบ ได้ชนช้าชนะหลายครั้ง รู้ศิลปศาสตร์หลายประการ ขณะอายุ ๓๐ ปีมีบุตรแต่เสียชีวิต มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีจึงออกบวช ได้ไปปลูกต้นโพธิ์ สร้างพิหาร อาวาส และซ่อมแซมพระศรีรัตนมหาธาตุทั้งในและนอกประเทศ
เช่น พม่า อินเดีย และลังกา
   อนึ่ง เมืองราดตั้งอยู่ที่ใดมีผู้สันนิษฐานไว้ต่างๆ กันสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าเมืองราดน่าจะอยู่ที่เพชรบูรณ์และเมืองลุมคือเมืองหล่มเก่าแต่ผู้เขียน(ประเสริฐ ณ นคร) วางตำแหน่งเมืองราดเมืองสะค้าและเมืองลุมบาจายไว้ที่ลุ่มแม่น้ำน่านด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
   จากจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่าเมืองราดเมืองสะค้าและเมืองลุมบาจายเป็นกลุ่มเมืองที่อยู่ใกล้กันพ่อขุนผาเมืองอยู่เมืองราดและกษัตริย์น่านมีพระนามว่า ผานอง ผากองและผาสุมแต่กษัตริย์เมืองอื่นไม่ใช้“ผา”นำหน้าพระนามเลยพ่อขุนผาเมืองจึงน่าจะเป็นกษัตริย์น่าน(คือเมืองราดนั่นเอง)นอกจากนี้ยังมีพระราชโอรสของกษัตริย์น่านมีพระนามว่า บาจาย อาจจะแสดงว่าน่านมีอำนาจเหนือบาจายแบบพระนามกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์แสดงว่ากรุงเทพฯมีอำนาจเหนือราชบุรีนั่นเอง
   อีกประการหนึ่ง จารึกหลักที่ ๘ กล่าวถึงไพร่พลของพระเจ้าลิไทยว่ามีทั้งชาวสระหลวงสองแควพระบางฯลฯเริ่มตั้งแต่เมืองทางทิศตะวันออกของสุโขทัยแล้วกวาดไปทางใต้ทางทิศตะวันตกทางทิศเหนือจนกลับมาจบที่ทิตะวันออกตามเดิมจารึกหลักอื่นเช่นหลักที่ ๓๘ และจารึกวัดอโสการาม  (หลักที่๙๓) ก็ใช้ระบบเดียวกันโดยถือตามพระพุทธศาสนาว่าตะวันออกเป็นทิศหน้าแล้ววนตามเข็มนาฬิกาเริ่มจากสระหลวงสองแควคือพิษณุโลกไป
ปากยม(พิจิตร)พระบางไปชากังราวสุพรรณภาวกำแพงเพชรรวม ๓ เมืองที่กำแพงเพชรบางพาน(อำเภอพานกระต่ายกำแพงเพชร)ต่อไปจะถึงราดสะค้า ลุมบาจายซึ่งจะอยู่ระหว่างทิศเหนือกวาดมาทางทิศตะวันออกของสุโขทัยและย่อมจะอยู่เหนือสระหลวงสองแควขึ้นไป จารึกหลักที่ ๑ วางลุมบาจายและสะค้าไว้ระหว่างพิษณุโลกกับเวียงจันทน์
   อีกประการหนึ่ง ตอนพ่อขุนผาเมืองยกมาช่วยพ่อขุนบางกลางหาวรบกับขอมสบาดโขลญลำพงที่สุโขทัยถ้าหากพ่อขุนผาเมืองอยู่แถวเพชรบูรณ์คงจะมาช่วยไม่ทันสินชัยกระบวนแสงจากคณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรพบใบลานที่วัดช้างค้ำเมืองน่านกล่าวถึงเหตุการณ์สมัยรัชกาลที่ ๒ ว่า เจ้าผู้ครองน่านขึ้นตามแม่น้ำน่านไปถึงอำเภอท่าปลา (ปัจจุบันคือจังหวัดอุตรดิตถ์) ใกล้ห้วยแม่จริม“เมืองราดเก่าหั้น”แสดงว่าสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยังทราบกันดีว่าเมืองราดอยู่บนแม่น้ำน่านใกล้อำเภอท่าปลา

               พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

    

          พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
    พ่อขุนรามคำแหง มหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ ที่ได้ทรงริเริ่มประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมา แล้วทราบไหมคะว่า ประเทศไทยได้กำหนดวันพ่อขุนรามคำแหงขึ้นด้วย ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๗ มกราคมของทุกปี เพื่อจัดกิจกรรมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่มีต่อประชาชนชาวไทย ซีเคร็ตจะพาผู้อ่านมาย้อนประวัติความเป็นมาของ พ่อขุนรามคำแหง
   พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสวยราชย์ประมาณ พ.ศ.๑๘๒๒  ถึงประมาณ พ.ศ.๑๘๔๑  ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย พระองค์ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยขึ้นเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาวไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมากว่า ๗๐๐ ปี พ่อขุนรามคำแหงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง
   ในขณะที่พระองค์มีพระชนมายุ ๑๙ พรรษา ได้เสด็จเข้าร่วมกองทัพกับพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ผู้เป็นบิดา ไปป้องกันเมืองตากและได้สู้รบกับขุนสามชน จนได้รับชัยชนะ ด้วยความกล้าหาญในครั้งนั้นทำให้พ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระราชทานนามให้ว่า รามคำแหง ที่มีความหมายว่า รามผู้กล้าหาญเข้มแข็งในการรบ ภายหลังเมื่อประมาณ พ.ศ.๑๘๒๒ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็ได้ขึ้นครองกรุงสุโขทัยสืบต่อมา
   รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง เป็นยุคที่กรุงสุโขทัยเฟื่องฟูและเจริญขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก ระบบการปกครองภายในก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพ มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ไพร่ฟ้าประชาชนอยู่ดีกินดี สภาพบ้านเมืองก้าวหน้าทั้งทางเกษตร การชลประทาน การอุตสาหกรรม และการศาสนา อาณาเขตของกรุงสุโขทัยได้ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล
   เมื่อ พ.ศ.๑๘๒๖ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้ ทำให้อนุชนสามารถศึกษาความรู้ต่าง ๆ ได้สืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน ตัวหนังสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีลักษณะพิเศษกว่าตัวหนังสือของชาติอื่นซึ่งขอยืมตัวหนังสือของอินเดียมาใช้ คือพระองค์ได้ประดิษฐ์พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์เพิ่มขึ้นให้สามารถเขียนแทนเสียงพูดของคำภาษาไทยได้ทุกคำ และได้นำสระและพยัญชนะมาอยู่ในบรรทัดเดียวกัน
โดยไม่ต้องใช้พยัญชนะซ้อนกัน ทำให้เขียนและอ่านหนังสือไทยได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นมาก นับว่าพระองค์ทรงพระปรีชาล้ำเลิศ และทรงเห็นการณ์ไกลอย่างหาผู้ใดเทียบเทียมได้ยาก
   ในด้านของการปกครอง เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากเมืองสุโขทัยได้ ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยเป็นแบบพ่อปกครองลูก ดังข้อความในจารึกหลักที่ ๑  ว่า “เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกูกูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกูกูไปท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้
งวงได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู”
   ข้อความดังกล่าวแสดงการนับถือพ่อแม่ และถือว่าความผูกพันในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ ครอบครัวทั้งหลายรวมกันเข้าก็เป็นเมืองหรือรัฐ มีเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัว พระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวใหญ่ ปกครองพลเมืองเสมือนเป็นลูกหลาน ช่วยให้มีที่ทำกิน คอยป้องกันมิให้คนถิ่นอื่นมาแย่งชิงถิ่น ถ้าลูกหลานทะเลาะวิวาทกัน ก็ตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม
   ยิ่งกว่านั้น พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ยังทรงใช้พระพุทธศาสนา เป็นเครื่องช่วยในการปกครอง โดยได้ทรงสร้างพระแท่นมนังศิลาบาตรขึ้น ให้พระเถรานุเถระแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันพระ ส่วนวันธรรมดาพระองค์เสด็จประทับเป็นประธานให้เจ้านายและข้าราชการปรึกษาราชการร่วมกัน เมื่อประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาและประพฤติปฏิบัติแต่ในทางที่ดีที่ชอบ การปกครองก็จะสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น
   ทั้งนี้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน จึงได้มีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ท่านไว้เพื่อสักการะ ณ บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ จังหวัดสุโขทัย โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ประกอบพิธีอัญเชิญดวงพระวิญญาณของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จากศาลพระแม่ย่าไปสถิต ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ แล้วทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกา ยน  พ.ศ.๒๕๒๙
   ถัดมาประมาณสามปีคือ ปี พ.ศ.๒๕๓๑ สำนักงานสภาจังหวัดสุโขทัย ได้มีหนังสือเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้มีการกำหนด วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้น โดยถือเอาวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงประกอบพระราชพิธีและทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ เป็น วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

   บุคคลสำคัญในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

                     มะกะโท

     

            มะกะโท
    มะกะโท ลูกมะกะนาย พี่ มะกะตา แห่งเมือง เมาะตะมะ
    หงสาวดี เมืองหลวงของมอญ ที่ มะกะโท บรรบุรุษมอญสร้างไว้
   มะกะโท เป็นลูก มะกะนาย มีน้องหนึ่งคน ชื่อ มะกะตา บ้านเดิม อยู่เมาะตะมะ
   มะกะโท เป็นมอญหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในพงศาวดารไทยสมัยพระร่วง สุโขทัย หรือ พ่อขุนรามคำแหง
   บ้านเดิมอยู่ แขวงเมือง เมาะตะมะ แล้ว เดินทางมาค้าขายที่ สุโขทัย ระหว่างทาง เกิดปาฏิหารย์ ฟ้าผ่าโดนไม้คานหัก เกิดสงสัยเลยให้โหรทำนาย โหรบอก เป็นเรื่องดี เอาเงินมากองท่วมหัว แล้วจะทำนายให้  คนจะเป็นใหญ่มักมีปาฏิหารย์
   มะกะโท ไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่ด้วย ความฉลาด มองเห็นจอมปลวกสูงท่วมหัว จัดการถอดแหวนจากนิ้ว วางบนจอมปลวกถวายยกครู
  โหรปลื้ม ไอ้หมอนี่เก่ง ฉลาด เลยบอกว่า อนาคตจะเป็นใหญ่อย่าค้าขายเลยให้ไปรับราชการ ฉลาดหัวไวเอาตัวรอดเก่งต้องไปรับราชการจะรุ่ง
ไปอาศัย เป็นคนเลี้ยงช้างในวัง พระร่วงสุโขทัย(พ่อขุนรามคำแหง) คอยให้หญ้าช้าง
   วันหนึ่ง พระร่วงเจ้าเสด็จโรงช้าง เห็นมะกะโท ขยันขันแข็ง แอบนึกชอบใจ พอคายหมากบ้วนออกไปบนพื้น เห็น เบี้ยอันนึงตกที่พื้น เลย บอกว่า "เจ้ามอญน้อยจงเก็บเอาเบี้ย นี้เอาไว้เถิด"
มะกะโท จึงเก็บเอาเบี้ยตามรับสั่ง คนจะเจริญอย่าหมิ่นเงินน้อย
   แต่เงินเบี้ยเดียว น้อยเกินไปทำอะไรก็ไม่ได้ อย่ากระนั้นเลยเอาไปซื้อพันธุ์ผักกาดมาปลูกไว้ ดีกว่า แต่เจ้าของร้านพันธุ์ผักกาด บอกว่า เบี้ยเดียวนี้ มันน้อยเกินไป ตวงเม็ดผักกาดให้ไม่ได้  มะกะโท ก็เลยบอกว่า เบี้ยเดียว ขอไม่มาก ขอเอาแค่ จุ่มนิ้วลงไป ติดขึ้นมาแค่ไหนเอาแค่นั้น เจ้าของพันธุ์ ผักกาด ก็คิดว่า จุ่มมือ มันจะติดได้ซักเม็ดมั้ย ก็ว่า เอาเถอะ ขายให้ก็ได้  มะกะโท เอานิ้วมือ จุ่มน้ำลาย แล้ว แล้วก็จิ้มลง ตะกร้าเม็ดผักกาด
(เม็ดผักกาดมันเล็กจิ๋วๆ) ก็ติดนิ้วขึ้นมาหลายเม็ดอยู่มีทุนน้อยต้องฉลาดพลิกแพลงจะได้เอาตัวรอดได้
   มะกะโทได้เมล็ดผักกาด ก็เอามาปลูก เอาขี้ช้างเป็นปุ๋ย จนงอกงามเติบโต  วันหนึ่ง พระร่วงเสด็จมาดูช้างอีก มะกะโท เลยเอาผักกาดที่ปลูกมาถวายพระร่วง  ท่านตรัสถามว่า "เอ็งได้พันธุ์ผักกาด นี้ มาจากไหน"
   มะกะโท ก็เล่าให้ฟัง ว่าเอาเบี้ยพระราชทานนั้นไปซื้อ มาอย่างไร  พระเจ้าข้า
พระร่วงได้ฟัง บ๊ะ ถูกใจ ไอ้มอญนี้ ฉลาด กตัญญู ขยัน เลย นำตัวไปเลี้ยงไว้ในวัง
ไต่เต้าจากตำแหน่งเล็กๆ จนถูกใจ พระร่วง จนได้แต่งตั้งเป็นขุนวังเก่งฉลาดขยันแล้วต้องหัดรู้จักประจบนายถึงจะได้ดี
   ต่อมาเกิดมีกบฏ ที่หัวเมืองชายแดน พระร่วงเจ้ายกทัพออกไปปราบกบฏ สั่งให้มะกะโท ขุนวังอยู่เฝ้าพระนคร  ในตอนนี้ มะกะโท ขุนวัง กับ องค์หญิง สุวรรณเทวี ธิดาของพระร่วงได้ แอบ ปิ๊งกันอยู่ พวก ข้าหลวงในวังก็รู้ แต่เห็น พระร่วง โปรดมะกะโทมาก เลยไม่มีใครกล้าฟ้อง รักแท้ไม่มีฐานันดรกั้นหรืออยากโตไวต้องจีบลูกนายหว่า
   ฝ่ายมะกะโท กับ ราชธิดา กุ๊กกิ๊กกันแล้ว กลัวกลับมา พระร่วงจะลงโทษ ก็เลยพากันวิวาห์เหาะ แอบหนีกลับ เมาะตะมะก่อนพระร่วงเสด็จกลับ เมื่อพระร่วงเจ้าทรงปราบปรามเสร็จแล้วก็กลับมา ทราบข่าวมะกะโทกับพระธิดา กลับไม่ทรงพิโรธอย่างที่พากันคาดคิด
กลับตรัสว่า"เจ้า มอญน้อย ผู้นี้มีลักษณะดี นานไปภายหน้าจะมีบุญได้เป็นใหญ่ เรารักใคร่เหมือนลูก  ถ้าเราจะสาปแช่ง มัน หรือยกทัพ ตามไปจับมาลงโทษก็ทำได้ แต่จะเป็นเวรกรรมแก่เรา แล เสียเกียรติยศ เป็นที่อัปยศแก่นานาประเทศ
   เจ้ามอญน้อยพาธิดาเราไป ถ้าต่อไป ตั้งตัวเป็นใหญ่ได้เมื่อใด ก็คงจะต้องแต่งตั้งให้ธิดาเราเป็นใหญ่ยิ่งขึ้น จะเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมืองทั้งสองฝ่าย
   เพราะเหตุนี้ เราจึงจะอวยพรแก่มอญน้อยแลธิดาเรา อย่าให้มีภัยอันตรายใดๆ ให้เกิดความสุข ความเจริญด้วยกันเถิด " คนเป็นใหญ่ต้องคิดไกล
ให้อภัยผู้น้อย
   คำอวยพรของพระร่วงเจ้าผู้มีวาจาสิทธิ์ ได้ส่งผลแก่มะกะโทต่อมา  พวกชาวบ้านชาวเมืองต่างพากัน ยำเกรงรักใคร่ในมะกะโทและพระราชธิดาพากันมาสวามิภักดิ์มากขึ้นทุกที  มะกะโทนั้นเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด จึงช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้ ชาวบ้านทั้งหลาย จน อยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า  เมื่อบารมีมากขึ้น ก็เกลี้ยกล่อมทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ในรามัญประเทศ (แคว้นมอญ ทางตอนใต้ของพม่า) ให้ร่วมสามัคคีรวมน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียว
กันแล้วมะกะโทก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ครองราชย์สมบัติ ณ เมืองเมาะตะมะ
   แม้มะกะโท จะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์มอญก็ ยังไม่ทำพิธีราชาภิเษก  แต่ส่งสารและเครื่องราชบรรณาการไปถวายสมเด็จพระร่วงเจ้า ณ กรุงสุโขทัย แจ้งข่าวการตั้งตัวเป็นใหญ่ พร้อมทั้งขอพระราชทานอภัยโทษที่พาลูกสาว พระองค์ท่านหนีมา  พระร่วงเจ้า ทราบข่าว แล้ว ถูกใจที่ลูก เขยตัวแสบ ที่พาราชธิดาหนี ได้เป็นใหญ่สมใจ เลย อวยชัยให้พร พร้อมกับ พระราชทานพระนามให้มะกะโทว่า “พระเจ้าวาริหู” หรือ “ฟ้ารั่ว”
หมายถึงหล่นมาจากฟ้า  กตัญญูอ่อนน้อมพาตัวรอดและได้ดี
    ในประวัติศาสตร์พม่า มะกะโท มีชื่อว่า มะกะทู ว่ากันว่า มะกะทู มีพ่อ เป็นไทย แม่เป็นมอญ เกิดที่เมืองสะเทิม  ตอนพม่าปราบกบฏพวกมอญ มะกะทูได้หนีมาอยู่กรุงสุโขทัย เข้ารับราชการกับพ่อขุนรามคำแหง และได้เป็นนายกองช้าง และ ได้พาพระราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหงหนีไป เมาะตะมะ เช่นกัน
   มะกะทูได้เกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองเมาะตะมะให้เป็นกบฏ ต่อพม่า แต่เจ้าเมืองเมาะตะมะ โปรพม่า ไม่ยอม มะกะทู เลยจัดการยึดอำนาจ แล้ว สังหารเจ้าเมือง เมาะตะมะ ประกาศตัวเป็นกษัตริย์แห่งเมาะตะมะ ทรงพระนามว่า “วาเรรุ” ซึ่งแปลว่า “กษัตริย์ที่หล่นมาจากฟ้า”
และต่อมาก็ได้ ปราบพระเจ้าตละพญา เจ้าเมืองหงสาวดี ได้ครอบครองดินแดนพม่าตอนใต้ไว้ได้ทั้งหมดจนมาถึงยุค ตะเบงชะเวตี้ที่มี จะเด็ดหรือ บุเรงนองกะยอดินนรธา ผู้ชนะสิบทิศ ที่ตามตะละแม่กุสุมา ไปถึงหงสาวดี ยึดหงสาฯ ได้ราบคาบจนมอญ ลูกหลานมะกะโท เสื่อมอำนาจ ตกมาอยู่ใต้การปกครองของ อาณาจักร ตองอู ของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ และ บุเรงนอง นั้นแล

                       พญาลิไท

     
    พญาลิไท หรือพระยาลิไท หรือพระศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๑ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าเลอไท และเป็นพระนัดดาของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ราชวงศ์พระ ร่วง ครองกรุงสุโขทัย เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๐ - พ.ศ. ๑๙๑๒ (๑๙๑๔) ก่อนขึ้นครองราชสมบัติทรงดำรงตำแหน่งอุปราช ครองเมืองศรีสัชนาลัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๘๓ - พ.ศ.๑๘๙๐ ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ เมื่อพระยางั่วนำถม พระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติ ณ กรุงสุโขทัย ได้เสด็จสวรรคตได้เกิดการจราจลชิงราชสมบัติกรุงสุโขทัยขึ้น พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ทรงสามารถยกกองทัพมาปราบปรามศัตรูได้หมดสิ้น และเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราช วงศ์พระร่วงเฉลิมพระนามว่า ศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช
   เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง ได้ส่งกองทัพจากศรีอยุธยามาโจมตี และยึดเมือง พิษณุโลก (สองแคว) ไว้ได้ ทำให้อาณาจักรสุโขทัยเกิดความไม่มั่นคง และไม่ปลอดภัย เพราะเมืองพิษณุโลกอยู่ใกล้กับสุโขทัยมาก ดังนั้น พระมหาธรรมราชาที่๑ (พระยาลิไท) จึงทรงส่งคณะราชฑูต ไปขอเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)และได้ขอเมืองพิษณุโลกคืนจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ซึ่งก็ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ หลังจากนั้นพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ก็ทรงเสด็จไปประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก เป็นเวลา ๗ ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๐๕ - พ.ศ. ๑๙๑๒ เพื่อป้องกันมิให้ทางกรุงศรีอยุธยา ส่งกองทัพไปรุกรานกรุงสุโขทัยและทรงมอบให้พระขนิษฐาองค์หนึ่งของ พระองค์ปกครอง กรุงสุโขทัยแทน
   ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เสด็จสวรรคต พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ได้เสด็จกลับไปครองกรุงสุโขทัยดังเดิม
     ผลงานของพญาลิไท
   ๑. ด้านการเมืองการปกครอง ทรงรวบรวมราชอาณาจักรสุโขทัยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และขยายพระราชอำนาจออกไปได้เมืองระหว่างแควจำปาสักกับแม่น้ำปิง จนจดแม่น้ำน่านทาง ทิศเหนือ มาไว้ในราชอาณาจักรสุโขทัย
   ๒. ด้านศาสนา พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ทรงมีบทบาทสำคัญในการทำนุบำรุงและเผยแพร่พระพุทธศาสนา กล่าวคือ ได้ส่งพระสงฆ์ออกไปเผยแพร่ พระพุทธศาสนายังที่ต่าง ๆ เช่น ที่เมืองเชียงใหม่ พิษณุโลก อยุธยา และหลวงพระบาง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมพระเจดีย์เมืองนครชุม (กำแพงเพชร) พ.ศ. ๑๙๐๒ ทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกุฏ ซึ่งอยู่นอกเมืองสุโขทัย พ.ศ. ๑๙๐๔ โปรดให้สร้างวัด ป่า
มะม่วง (สุโขทัย) พระองค์ทรงมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ได้ผนวชเป็นสามเณรในพระราชมณเฑียร และผนวชเป็นพระภิกษุที่วัดป่ามะม่วง ในกรุงสุโขทัย ทรงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีขนาดเท่ากับองค์พระพุทธเจ้า ถวายพระนามว่า พระศรีศากยมุนีประดิษฐานที่พระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุโขทัย
   ๓. ด้านภาษาและวรรณคดี พระองค์ทรงมีความเชี่ยวชาญในด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพิเศษ ดังมี หลักฐานปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ทรงนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ.๑๘๘๘ ครั้งยังดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช ครองเมืองศรีสัชนาลัย หนังสือไตร ภูมิพระร่วงนี้ ซึ่งเป็นวรรณคดี ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา นับเป็นวรรณคดีไทยชั้นเยี่ยมเล่มแรกของไทย และทรงโปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่องราว
ต่าง ๆ ในรัชสมัยของพระองค์ลงในแผ่นศิลา โดยเฉพาะศิลาจารึกกรุงสุโขทัยหลักที่ ๔ ซึ่งมีคุณค่ายิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในสมัยสุโขทัย และประวัติศาสตร์ เมืองพิษณุ โลกเป็นอย่างยิ่งพระราชกรณียกิจขณะทรงประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก
   พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ทรงประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก เป็นเวลา ๗ ปี ได้ทรงสร้างเมืองพิษณุโลก และพระราชวังขึ้น ทางฝั่งตะวันตกของ แม่น้ำน่าน คือ พระราชวังจันทน์ ทรงสร้างปูชนียสถานและปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ ทรงสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หล่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็น พระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำต้นโพธิ์จากลัง
กามาปลูกไว้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พิษณุโลก จากพระราชกรณียกิจที่พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (พระยาลิไท) ได้ทรงกระทำแล้ว นับว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกที่ทรงวางรากฐาน และสร้าง ความเจริญในจังหวัดพิษณุโลก

            

    

 

  

 
 

เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 140,120