๒.พระราชประวัติรัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๒) ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ทรงได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีทั้งด้านอักษรศาสตร์ โบราณราชประเพณี วิชาการสงคราม และการปก ครอง ทั้งยังทรงใฝ่พระทัยศึกษาพระธรรมวินัย ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ และเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับบรมราชาภิเษก ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ขณะทรงมี พระชนมพรรษาเพียง ๑๖ ปี โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราช การแทนพระองค์ จนทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอีกครั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ เสด็จ ครองราชย์นานถึง ๔๒ ปี สวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๔ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๔ และ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชสมภพเมื่อวันอังคาร ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ตรงกับ เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู ทรงพระนามเดิมว่าสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับผม หรือ พระเกี้ยว สำหรับ ประดับหัวจุกของเด็กไทยโบราณ
พระองค์ทรงมีขนิษฐาร่วมพระสมเด็จพระบรมราชินี ๓ พระองค์ คือ:-
๑. สมเด็จพระเจ้าน้องนางยาเธอเจ้าฟ้าจันทรมณฑลโสภณภควดี ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯเฉลิมพระนามอัฐิ เป็น สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์
๒. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯสถา ปนาขึ้น เป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงศ์
๓. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้น เป็น สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น พระราชโอรสองค์ที่ ๙ ในจำนวนพระราชโอรส ธิดา ทั้งสิ้น ๘๒ พระองค์ ในราชวงศ์จักรี ในขณะพระชันษา ๙ พรรษา ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเณศ วรสุรกาศ ตรงกับ ปีระกา พ.ศ. ๒๔๐๔ ต่อมาอีก ๔ ปี ก็ได้รับสถาปนาเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ต่อมาในปีเถาะ พ.ศ.๒๔๑๑ ได้ทรงกำกับราชการในกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมทหารบกวังหน้าในช่วงซึ่ง
พระองค์ได้ ตามเสด็จพระราชบิดา เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้เกิดประชวรด้วยไข้ป่าอย่างแรงทั้งสองพระองค์ ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จสู่สวรรคต ในขณะซึ่ง สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ มีพระชนมายุเพียง ๑๕ ปี กับ ๑๐ วัน ทั้งยังทรงประชวร ด้วย ไข้ป่าอย่างหนักเกือบจะสิ้นพระชันษาด้วย
ต่อมาพระองค์ได้รับให้สถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี ด้วยที่วัยพระองค์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งตรงกับ วันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ ได้สถาปนากรมหมื่นบวรวิไชยชาญ (พระราชโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ขึ้นเป็น พระมหาอุปราช ต่อมาก็ได้ปรากฏ พระนามว่า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา เมื่อ วันพุธที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๖ และทรงลาผนวช ในวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ แล้วทรงเข้าพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ครั้งที่ สอง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๖
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมเหสี และ เจ้าจอมรวม ๙๒ พระองค์ มีพระราชโอรส ๓๒ พระองค์ พระราชธิดา ๔๔ พระองค์ ประสูติจากพระมเหสี และ เจ้าจอมมารดา เพียง ๓๖ พระองค์ อีก ๕๖ พระองค์ ไม่มีพระราชโอรส ธิดาเลย สำหรับ พระมเหสี ที่สำคัญ จะกล่าวถึง มีดังนี้
๑. สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตนพระบรมราชเทวี
๒. สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี ต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
๓. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระปิยมหาราช ทรงเป็นที่รักเทิดทูนของปวงชนชาวไทย ตลอดที่พระองค์ทรงครองราชย์ ถึง ๔๒ ปี นอกเหนือจากที่พระองค์ ทรงครองราชย์ ถึง ๔๒ ปี นอกเหนือจากที่ยาวนานกว่า พระมหากษัตริย์ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารทุกพระองค์แล้ว พระองค์ยังทรงด้วยพระปรีชาสามารถ อย่างเฉลียวฉลาดพัฒนาฟันฝ่าอุปสรรคนานับประการ ทั้งต่อสู่กับการไล่ล่าเมืองขึ้นของบรรดาชาติมหาอำนาจในยุคนั้น มาได้แม้
จะเป็นการสูญเสียดินแดน ไปบางส่วน แต่พระองค์ทรงไว้ซึ่งความสุขุมพาประเทศชาติของพระองค์รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ น่าทึ่งสำหรับซีกโลกส่วนนี้ของโลก ที่ ประเทศสยามแห่งนี้มิได้ตกเป็นทาสใครด้วยสายตามองทางไกลของพระองค์ ได้ทรงพัฒนานำความเจริญก้าวหน้าเร่งรัดในแขนงวิชาการการศึกษาการปกครอง การศาล การต่างประเทศ การสาธารณูปโภค ทั้งยังทรงสนพระทัยถึงความเป็นอยู่ของประชาชนทรงออกเยียมประชาราษฎร์อยู่เป็นเนืองนิจ พระองค์จึงเป็นที่จงรักภักดี ของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน
การเสด็จยังต่างประเทศ เปรียบเสมือนเปิดประตูสู่โลกกว้างในช่วงของต้นรัชกาล พระองค์ทรงเสด็จสิงคโปร์ ชวา พม่า อินเดีย และ หลายๆ ประเทศในยุโรปถึง ๒ ครั้ง ด้วยกัน คือในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ และในปี พ.ศ.๒๔๕๐ แนวทางความสัมพันธ์ด้วยการทูตของพระองค์ท่านทำให้เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศทั่วยุโรป ข้อพิพาท และ ปัญหาต่างๆก็ได้คลายเบาบางลงความลึกซึ้งพระปรีชาของพระองค์ ได้ทำให้ปัญหาต่างๆทั้งเรื่องของชายแดนไทย-อังกฤษหรือกับฝรั่งเศส ก็ผ่อนคลายในที่สุด
ความล้ำลึกในพระปรีชาสามารถในด้าน วรรณกรรม พระองค์ก็ทรงเป็นได้ทั้ง กวี และ นักประพันธ์ที่มีความสามารถอย่างลึกซึ้ง การแต่งโคลง ฉันท์ บทละครกาพย์ กลอน หรือ ร้อยแก้ว ร้อยกรอง ทั้งที่พระองค์ทรงมีภารกิจอยู่มากมาย แต่ก็ด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ ทรงสนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ดั่งที่ปรากฏงานพระราชนิพนธ์เป็นที่ประจักษ์มีมากกว่า ๓๐ เรื่องซึ่งก็มีบางเรื่องที่มีความหนาถึงกว่า ๕๐๐ หน้าก็มี ดั่งบางพระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งของพระองค์
ความรู้ คู่เปรียบด้วย กำลัง กายเฮย
สุจริต คือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง
ปัญญา ประดุจดัง อาวุธ
คุมสติ ต่างโล่ป้อง อาจแกล้ว กลางสนาม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเก้าเจ้าอยู่หัว ทรงประชวร พระวักกะ (ไต) พิการ กระทั่งเวลา ๒๔ นาฬิกา ๔๕ นาที ของคืนวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระองค์ก็ เสด็จสู่สวรรคต รวมพระชนมายุ ๕๗ พรรษา ทรงเสวยราชย์ ๔๒ ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินสยาม พระราชกรณีกิจสุดคณานับ ยังทั้งประโยชน์ ความเจริญรุ่งเรือง นำชาติให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ พระคุณสุดล้นที่จะพรรณนาจากใจของประชาชนชาวไทยได้หมด พระองค์จึงเป็นที่รักเคารพของคนไทยเสมอมา
สมเด็จพระปิยมหาราช เป็นพระสมัญญาที่พสกนิกรทั้งพระเทศถวายแด่พระองค์ โดยพระสมัญญานี้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้ทรงคิด ซึ่งปรากฏอยู่บนจารึกใต้ฐาน ของพระบรมรูปทรงม้า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรียกว่าพระเกี้ยวเป็นรูปพระจุลมงกุฎเปล่งรัศมี (พระเกี้ยว) ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของ พระบรมนามาภิไธยว่า "จุฬาลงกรณ์" ซึ่งแปลความหมายว่าศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้าง ที่ริมขอบทั้งสองข้างมีพานแว่นฟ้าวางพระแว่น สุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่งวางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรและสมุดตำรานั้นเป็นการเจริญรอยจำลอง พระราชลัญจกร ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นสมเด็จพระชนกนาถ
พระราชกรณียกิจ ด้านสังคม
การปกครอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักปกครองที่ทรงพระปรีชาสามารถ ยิ่งทรงประเพณีการปกครองของไทยอย่างเก่าแต่โบราณมาผสมผสานกับประเพณีการปกครองอย่างนิยมกันในทวีปยุโรป แล้วทรงปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นลำดับ ตามลำดับ ตามสถานการณ์และความเหมาะสม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่พระองค์ทรงดำริและริเริ่มในแผ่นดิน ทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยที่มุ่งหวังให้เท่าเทียมกับประเทศที่เจริญแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พระองค์ทรงมิได้ปฎิบัติพระองค์แบบผูกขาดอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ทรงให้อิสระทางความคิดและทรงแต่งตั้งบุคคลเพื่อถวายความคิดเห็นแก่พระองค์ ทรงโปรดให้แต่งตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๗ และปีเดียวกันทรงตั้งสภาองคมนตรี(Privy Council) ขึ้นเป็นสภาที่ปรึกษาราชการส่วนพระองค์
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๓๕ มีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวงมีเสนาบดีเป็นเจ้ากระทรวง จัดสรรอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน ในปลายรัชกาลได้ปรับปรุงกระทรงใหม่เหลือ ๑๐ กระทรวง
การปกครองในส่วนภูมิภาค โปรดให้จัดตั้งแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๓๗ คือ รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็นมณฑล ซึ่งมีถึง ๑๔ มณฑล แต่ละมณฑลมีจังหวัดคือเมืองในปกครอง ๓-๔ จังหวัดหนึ่งแบ่งเป็น อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ผู้บริหารมณฑล
เรียกว่า "สมุหเทศาภิบาล" หรือข้าหลวงใหญ่ ส่วนผู้บริหารจังหวัดเรียกว่า "ข้าหลวงจังหวัด" ขึ้นตรงต่อข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑล มีนายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ปกครองเขตท้องที่ในจังหวัดทุกมณฑลมีกองทัพมณฑลไว้ป้องกันเหตุร้าย โดยมีแม่ทัพมณฑลขึ้นตรงต่อเสนาบดีกลาโหม ซึ่งมีเสนาบดีกระทรวงดูแลเป็นสัดส่วนขึ้นมาถึงพระมหากษัตริย์ องค์พระผู้เป็นประมุขของประเทศทำให้การปกครองสามารถสร้างเอกภาพได้ นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรับพระราชทานเงินเดือนประจำ และมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองโดยยึดถือความรู้ ความสามารถแทนการสืบสายโลหิต ทั้งเพื่อให้บริหารราชการแผ่นดินเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วพระอาณาเขต
การเลิกทาส
ประเทศไทยนั้นมีการใช้ทาสมาเป็นเวลานานเพื่อใช้ทำกิจการต่างๆ ในบ้านเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่สูงศักดิ์ พระองค์ทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ด้วยทรงพระราชดำริกับเสนาบดีและข้าราชการเกี่ยวกับเรื่องทาส พระองค์ทรงคิดหาวิธีจะปลดปล่อยทาสให้ได้รับความเป็นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อม ทำตามลำดับขั้นตอน
ในปี พุทธศักราช ๒๔๑๗ โปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาสโดยกำหนดเอาไว้ว่าลูกทาสที่เกิดแต่ปีมะโรง พุทธศักราช ๒๔๑๑ อันเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ให้ใช้อัตราค่าตัวเสียใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ พออายุครบ ๘ ปี ก็ให้ตีค่าออกมาให้เต็มตัว จนกว่าจะครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ให้กลับเป็นไทแก่ตัว เมื่อก้าวพันเป็นอิสระแล้วห้ามกลับมาเป็นทาสอีก ทรงพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้คนขายตัวเป็นทาส จึงประกาศยกเลิกบ่อนเบี้ย และขยายระบบการศึกษาให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น
ตลอดรัชกาลได้ทรงพระราชกาลได้ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสหลายฉบับ ออกบังคับใช้ในมณฑลต่างๆ ให้ลูกทาสเป็นไท ประกาศประมวลกฎหมายลักษณะอาญากำหนดบทลงโทษแก่ผู้ซื้อขายทาสให้มีความผิดเช่นเดียวกับโจรปล้นทรัพย์ ทรงกระทำเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเจ้านายและขุนนางในการบำเพ็ญกุศลด้วยการบริจาคพระราชทัรพย์ไถ่ถอนทาส พร้อมพระราชทานที่ทำกินเป็นผลให้ระบบทาสที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาหลายร้อยปี ก็ได้ถูกยกเลิกไปจนหมดสิ้น ด้วยพระราชหฤทัยแน่วแน่และทรงพระราชอุตสาหะ เป็นเวลาถึง ๓๐ ปีก็ทรง ก็ทรงเลิกทาสสำเร็จในพุทธศักราช ๒๔๔๘ สมตามพระราชปณิธานที่ได้ทรงตั้งไว้ พระราชกรณียกิจสำคัญนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของพลเมืองจากทาสมาเป็นสามัญชน มีอิสรภาพทางสังคมเท่าเทียมกัน
การเสด็จประพาสต้น และประพาสหัวเมือง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดการเสด็จประพาสยิ่งนัก ซึ่งจัดเป็นพระราชกรณียกิจเฉพาะพระองค์ เนื่องจากทรงปรารถนาที่จะทรงทำนุบำรุงราษฎร พระองค์ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์แห่งประเทศชาติ ตามพระราชปณิธานที่พระราชทานแก่ประชาชนคราวเสด็จกลับจากประเทศยุโรปว่า " เราตั้งใจอธิษฐานว่า เราจะกระทำการจนเต็มกำลังอย่างสุด ที่จะให้กรุงสยามเป็นประเทศอันหนึ่งซึ่งมีอิสรภาพ และความเจริญ"
พระองค์ทรงเสด็จประพาสไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ในพระราชอาณาจักร เพื่อตรวจจัดการปกครอง และสำราญพระอริยบถ ซึ่งการเสด็จพระพาสหัวเมืองภายในนั้น พระองค์เสด็จอย่างเป็นทางการมิได้เสด็จเยี่ยงพระมหากษัตริย์เสมอไป บางครั้งก็เสด็จอย่างสามัญชน บางครั้งก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จโดยสารทางรถไฟมิให้ใครรู้ เรียกกันโดยทั่วไปว่า "เสด็จประพาสต้น" ในการเสด็จสมาคมกับราษฎรอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เองนั้น ทำให้ทรงได้พบเห็นการปกครองของข้าราชการที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ออกไปทำงานต่างพระเนตรต่างพระกรรณอีกด้วย
การเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินพระราโชบายโดยหลักสัมพันธไมตรีผ่อนหนักผ่อนเบา ถือเอาแต่สาระประโยชน์เป็นสำคัญ จึงทรงสามารถระงับเหตุการณ์อันเกิดขึ้นในขณะนั้นได้
ส่วนความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ได้ทรงมีพระราชไมตรีกับประเทศออสเตรีย และฮังการี รัสเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ ทรงรักษาความสัมพันธ์กับประเทศทีมีไมตรีกันมาแต่ก่อนแล้วให้ยืนยงมีราชการไปมาต่อกันมากขึ้น แต่งตั้งอัครราชทูตให้ประจำ ณ สำนักต่างๆ เป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๔ แม้จะมีข้อบาดหมางกับบางประเทศด้วยสาเหตุต่างๆ ซึ่งต่างรักษาผลประโยชน์ของตน พระองค์ยังทรงมุ่งหวังผลแห่งการประนีประนอม ยอมตกลงกันโดยไมตรีทำให้พระเกียรติยศแผ่กว้างขวางออกไป เมื่อมีการประชุมนานาประเทศด้วยกิจการใดจึงได้รับเชิญเนืองๆ เช่น การประชุมสากลไปรษณีย์ ณ เมืองเบอร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และการประชุมเรื่องการรักษาความสงบระหว่าง ประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ในรัชกาลของพระองค์ มีพระมหากษัตริย์ตลอดจนเจ้านายต่างประเทศเสด็จเข้ามาเยือนไทยหลายพระองค์ อาทิ สมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ พระเจ้ากรุงรัสเซีย ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร เจ้าชายวัลดิมาร์ และเจ้าชายแอกเซล แห่งเดนมาร์ก เป็นต้น
การเสด็จประพาสต่างประเทศ
ในการเจริญสัมพันธไมตรีประเทศนั้น ความสำคัญประการหนึ่งก็คือ การเสด็จประพาสยังต่างประเทศ ประโยชน์ที่ได้รับนอกจากเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว ยังได้ทอดพระเนตรแบบอย่างอันดีของประเทศนั้นๆ เพื่อนำกลับมาปรับปรุงพัฒนาบ้านเมืองตามความเหมาะสมอีกด้วย
ปีพุทธศักราช ๒๔๑๓ ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านเป็นครั้งแรกทรงเลือกที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปในประเทศเพื่อนบ้านเป็นครั้งแรกทรงเลือก
พระราชกรณียกิจ ด้านสาธารณสุขและสาธารณูปโภค
สาธารณสุข
พุทธศักราช ๒๔๔๐ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งตรา "พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.๑๑๖" โดยมีกระทรวงนครบาลเป็นผู้ดำเนินการเพื่อเป็นตัวอย่างแก่หัวเมืองทั่วไป และโปรดให้ตั้งกรมสุขาภิบาลขึ้น ให้กระทรวงมหาดไทยจัดการสุขาภิบาลในหัวเมืองต่างๆ เริ่มที่ตำบลท่าฉลองจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นแห่งแรก ทรงออกประกาศและตรากฎหมายเกี่ยวกับสุขาภิบาลหลายฉบับ เช่น ประกาศจัดการทำความสะอาดพระนคร ประกาศเกี่ยวกับการเผาศพตามวัดต่างๆ ห้ามทิ้งซากสัตว์ลงในที่สาธารณะ ห้ามขีดเขียนตามกำแพง ให้จัดการทำลายขยะมูลฝอย ฯลฯ และโปรดฯ ให้ตราพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค เป็นต้น
ในเรื่องสิ่งเสพติด ทรงมีพระราชดำริว่า สิ่งเสพติดให้โทษทั้งหลายล้วนนำความเสื่อมโทรมมาสู่ร่างกาย และเป็นความเสียหายอย่างยิ่งแก่บ้านเมือง จึงทรงโปรดให้ออกประกาศห้ามสูบฝิ่นและผสมฝิ่นเป็นยา พระราชบัญญัติกำหนดโทษผู้ทำฝิ่นเถื่อน ในที่สุดโปรดยกเลิกโรงฝิ่นในกรุงเทพฯ ได้ถึง ๔๐๐ กว่าแห่ง เมื่อถึงปลายรัชกาล
การแพทย์และกิจการโรงพยาบาล
พุทธศักราช ๒๔๒๗ พระองค์ทรงดำริที่จะสร้างโรงพยาบาล เพื่อใช้เป็นที่รักษาประชาชน แบบแพทย์แผนใหม่ที่ทันสมัยอย่างในต่างประเทศ เพราะการรักษาแบบยากลางบ้านนั้นล้าสมัยเมื่อเกิดโรคระบาดจะไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายในสมัยก่อน ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๓๑ เปิดดำเนินการโรงพยาบาลขึ้นที่บริเวณพระราชวังหลัง เดิมชื่อโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาพระราชทานนามใหม่ว่า "ศิริราชพยาบาล"
พุทธศักราช ๒๔๓๒ โปรดให้มีการสอนวิชาแพทย์แผนใหม่ และจัดตั้งราชแพทยาลัย มีนายแพทย์จอร์จ แม็คฟาแลนด์(พระอาจวิทยาคม) เป็นผู้อำนวยการ ภายหลังมีแพทย์ประจำตามหัวเมือง และมีการแพทย์ทหารด้วย
พุทธศักราช ๒๔๓๖ ทรงสละราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดตั้งสภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม จัดซื้อเครื่องเวชภัณฑ์ส่งไปช่วยผู้ป่วยในการรบกันในกรณีพิพาทเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงชักชวนสุภาพสตรีในราชสำนักร่วมกันตั้งกองบรรเทาทุกข์เรียกว่า "สภาอุณาโลมแดง" ซึ่งก็คือสภากาชาดไทยในปัจจุบัน
การประปา
พระองค์ทรงเห็นว่าประเทศไทยควรมีน้ำสะอาดเพื่อใช้ในการอุปโภคและบริโภค เนื่องจากใช้น้ำในแม่น้ำลำคลองอาจก่อให้เกิดโรคระบาดดังที่เป็นมาในอดีตได้ในปี ๒๔๕๒ โปรดเกล้าฯให้พระยายมราช(ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาล จัดการประปาในกรุงเทพฯ โดยจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสมาจัดหาน้ำบริโภคที่สะอาดสำหรับประชาชน ในเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๕๒ โปรดให้ทำการเก็บกักน้ำที่คลองเชียงรากน้อย แขลงเมืองปทุมธานี และขุดคลองประปาสำหรับส่งน้ำเข้ามาถึงคลองสามเสน พร้อมกับฝังท่อและติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ ประกอบเป็นการประปาขึ้น แต่มิ
ทันได้เสร็จสมบูรณ์ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน และกิจการนี้มาสำเร็จในสมัยรัชกาลที่ ๖
การไฟฟ้า
พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและมีประโยชน์มาก เมื่อทรงมีโอกาสไปประพาสต่างประเทศได้ทรงทอดพระเนตรกิจการไฟฟ้า และทรงเห็นประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดจากการมีไฟฟ้า จึงทรงริเริ่มให้มีการใช้ไฟฟ้าขึ้นในพระราชอาณาจักร โดยในปีพุทธศักราช ๒๔๒๗ พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี(เจิม แสงชูโต) ซึ่งขณะนั้นเป็นกรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นผู้นำมาใช้คนแรก
พุทธศักราช ๒๔๓๓ ตั้งโรงไฟฟ้าที่วัดเลียบ หรือวัดราชบูรณะ จนกระทั่งถึงพุทธศักราช ๒๔๓๖ ต่อมาเพื่อให้กิจการไฟฟ้าก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาล ได้โอนกิจการให้ผู้ชำนาญด้านนี้ ได้แก่ บริษัทอเมริกัน ชื่อ แบงค็อค อิเลคตริกซิตี้ ซิดิแคท เข้ามาดำเนินงานต่อ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ บริษัทเดนมาร์กได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในการเดินรถรางที่บริษัทได้รับสัมปทานการเดินรถในเขตพระนคร ต่อมาบริษัทต่างชาติทั้ง ๒ บริษัทได้ร่วมกันรับช่วงงานจากกรมหมื่นไวยวรนาถ และก่อตั้งเป็นบริษัทไฟฟ้าสยาม ขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๔๔ นับเป็นการบุกเบิกไฟฟ้าครั้ง สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย ในการเริ่มมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรก
พระราชกรณียกิจ ด้านการศาสนา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ทุกศาสนา ในส่วนศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาประจำชาตินั้นทรงยึดมั่นและเลื่อมใสอย่างลึกซึ้งเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๑ โปรดเกล้าฯ ให้มีการสังคายนา และจัดพิมพ์พระไตรปิฎก เป็นภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก และแจกจ่ายตามพระอารามและหอสมุดต่างๆ ชุดละ ๓๕ เล่ม รวมทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ ชุด ซึ่งเรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ปีพุทธศักราช ๒๔๔๕
โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์เป็นฉบับแรก โปรดเกล้าให้ตั้งมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่วัด มหาธาตุฯ และมหามงกุฎราชวิทยาลัย ที่วัดบวรนิเวศ
ในการเสด็จประพาสอินเดียเมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๔ ยังทรงนำพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยา มาทรงปลูกไว้ที่วัดเบญจมบพิตร และที่วัดอัษฎางคนิมิตร เกาะสีชัง และโปรดให้สร้างวัด ต่างๆ เช่น วัดราชบพิธ เป็นวัดประจำรัชกาล วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดราชาธิวาส วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (บางปะอิน) วัดอัษฎางคมิตร วัดจุฑาทิศ ธรรมสภาราม (เกาะสีชัง จ.ชลบุรี)
สำหรับวัดเก่าที่เสื่อมโทรมนั้นพระองค์ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฎิสังขรณ์วัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดมกุฎกษัตริยาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี วัดสุวรรณดาราม และพระปฐมเจดีย์ ทรงสร้างต่อจากสมด็จพระบรมราชชนกจนแล้วเสร็จในรัชกาลของพระองค์
พระราชกรณียกิจ ด้านการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีว่าประเทศจะเจริญได้ก็ต่อเมื่อ คนในชาติมีความรู้และเป็นพลเมืองดี โปรดให้ทำการฎิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้างและเตรียมงานให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองอย่างทันกาล พระองค์จึงทรงพยายามจัดการศึกษาเพื่อราษฎรทั่วไปอย่างแพร่หลาย เป้าหมายหลักในการจัดการศึกษาในรัชสมัยของพระองค์มีสามประการ คือ เพื่อฝึกคนทำราชการ เพื่อคุณประโยชน์ของประชาชน และเพื่อบำรุงรักษาพระศาสนา
ในระยะแรกระหว่างพุทธศักราช ๒๔๑๔-๒๔๒๗ ได้จัดตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกขึ้นในพระบรมราชวัง เพื่อให้พระราชวงศ์และข้าราชการส่งบุตรหลานของตนเข้าฝึกหัดเพื่อรับราชการ ตั้งโรงเรียนหลวงเพื่อราษฎรแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพารามในพุทธศักราช ๒๔๒๗ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ได้จัดการศึกษาสำหรับประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
ปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมศึกษาธิการ และพุทธศักราช ๒๔๓๕ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นกระทรวงธรรมการ เมื่อการศึกษาขยายตัวเจริญขึ้นตามลำดับด้วยความสนใจของประชาชนที่ต้องการมีความรู้มากขึ้นจึงโปรด ให้โอนโรงเรียนเหล่านั้นให้อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงธรรมการ มีการพิมพ์ตำราสอนพระราชทาน เพื่อเป็นตำรา ในการเรียนการสอนด้วย พุทธศักราช ๒๔๔๐ โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งทุนเล่าเรียนหลวง เปิดโอกาสให้ชนทุกชั้นที่มีความรู้ความสามารถได้ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ และนับตั้งแต่ พุทธศักราช ๒๔๔๑ เป็นต้นมา การศึกษาของชาติทั้งในกรุงและหัวเมือง ก็ได้เจริญขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะปริมาณจำนวนโรงเรียนครูและนักเรียนได้เพิ่มจำนวนขึ้นกว่าเดิมมาก
ส่วนการศึกษาของสตรีนั้น ปี พ.ศ. ๒๔๔๔ พระองค์ทรงโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสตรี ชื่อว่า โรงเรียนบำรุงสตีรวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีอีกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยทรงเห็นว่าการศึกษาของสตรีนั้นเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้น เพราะโลกได้เจริญขึ้นไปมากแล้ว การเรียนจึงจำเป็นสำหรับทุกคนไม่ว่าบุรุษหรือสตรี พระราชกรณียกิจในด้านการศึกษา จึงนับว่าเป็นการปฏิรูปสังคมที่สำคัญยิ่งทางหนึ่งและเป็นการพัฒนาคนอย่างแท้จริง
เหตุการณ์ที่สำคัญ
๑.การเลิกทาส
๒.สงครามปราบฮ่อ
๓.เหตุการณ์ที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน
วิธีการเลิกทาสของรัชกาลที่ ๕
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระพุทธเจ้าหลวง ทรงเป็นรัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบรมราชสมภพ เมื่อวันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๙ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ ๑ ในสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. ๒๔๑๑) รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๔๒ ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน ๑๑ แรม ๔ ค่ำ ปีจอ (๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓) ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา
พระองค์ทรงปกครองอาณาประชา ราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน
สมัย ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศเพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป
ในปี พุทธศักราช ๒๔๑๗ โปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาส
ตลอด รัชกาลได้ทรงพระราชกาลได้ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสหลายฉบับ ออกบังคับใช้ในมณฑลต่างๆ ให้ลูกทาสเป็นไท ประกาศประมวลกฎหมายลักษณะอาญากำหนดบทลงโทษแก่ผู้ซื้อขายทาสให้มีความผิดเช่น เดียวกับโจรปล้นทรัพย์ ทรงกระทำเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเจ้านายและขุนนางในการบำเพ็ญกุศลด้วยการบริจาค พระราชทัรพย์ไถ่ถอนทาสพร้อม พระราชทานที่ทำกินเป็นผลให้ระบบทาสที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาหลายร้อยปี ก็ได้ถูกยกเลิกไปจนหมดสิ้น ด้วยพระราชหฤทัยแน่วแน่และทรงพระราชอุตสาหะ เป็นเวลาถึง ๓๐ ปีก็ทรง ก็ทรงเลิกทาสสำเร็จในพุทธศักราช
๒๔๔๘ สมตามพระราชปณิธานที่ได้ทรงตั้งไว้
ทาสที่กระทำความผิดถูกลงโทษ
พระราชกรณียกิจสำคัญนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของพลเมืองจากทาสมาเป็นสามัญชน มีอิสรภาพทางสังคมเท่าเทียมกัน โดย กำหนดเอาไว้ว่าลูกทาสที่เกิดแต่ปีมะโรง พุทธศักราช ๒๔๑๑ อันเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ให้ใช้อัตราค่าตัวเสียใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้ พออายุครบ ๘ ปี ก็ให้ตีค่าออกมาให้เต็มตัว จนกว่าจะครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ให้กลับเป็นไทแก่ตัว เมื่อก้าวพันเป็นอิสระแล้วห้ามกลับมาเป็นทาสอีก ทรงพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้คนขายตัวเป็นทาส จึงประกาศยกเลิกบ่อนเบี้ย และขยายระบบการศึกษาให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น
ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศเพราะ เหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยนั้นได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป
ประเภทของทาส
ประเภทของทาสมีอยู่ ๗ ประเภทดังนี้
๑. ทาสสินไถ่ คือ ทาสที่ขายตัวเองหรือถูกผู้อื่นขายให้แก่นายเงินต้องทำงานจนกว่าจะหาเงินมา ไถ่ค่าตัวได้ จึงจะหลุดพ้นเป็นไท
๒. ทาสในเรือนเบี้ย คือ ลูกของทาสที่เกิดมาในเวลาที่พ่อ แม่กำลังเป็นทาสอยู่
๓. ทาสได้มาแต่บิดามารดา คือ ลูกทาสที่ได้จากพ่อหรือแม่ของเด็กที่เป็นทาส
๔. ทาสท่านให้ คือ ทาสที่เดิมเป็นของผู้หนึ่งแล้วถูกยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกผู้หนึ่ง
๕. ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ คือ ผู้ที่ถูกต้องโทษต้องเสียค่าปรับแต่ไม่มีเงินให้ แล้วมีนายเงินเอาเงิน มาใช้แทนให้ ผู้ต้องโทษก็ต้องเป็นทาสของนายเงิน
๖. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย คือ ในเวลามีภัยธรรมชาติทำให้ข้าวยากหมากแพง ไพร่บางคน อดอยากไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ต้องอาศัยมูลนายกิน ในที่สุดก็ต้องยอมเป็นทาสของมูลนายนั้น
๗. ทาสเชลยคือ ทาสที่ได้มาจากการรบทัพจับศึกหรือการทำสงคราม เมื่อได้ชัยชนะจะต้อน ผู้แพ้สงครามมาเป็นทาส
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย ๑๔ ตำลึง หญิง ๑๒ ตำลึง แล้วไม่มีการลดต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ ๔๐ หญิงอายุ ๓๐ จึงมีการลดบ้าง คำนวณการลดนี้อายุทาสถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย ๑ ตำลึง หญิง ๓ บาท
แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๗ ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.๒๔๑๑ ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่าเมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว ๘ ตำลึง หญิงมีค่าตัว ๗ ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ ๒๑ ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง
ประเทศไทยนั้นมีการใช้ทาสมาเป็นเวลานานเพื่อใช้ทำกิจการต่างๆ ในบ้านเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่สูงศักดิ์ พระองค์ทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ด้วยทรงพระราชดำริกับเสนาบดีและข้าราชการเกี่ยวกับเรื่องทาส พระองค์ทรงคิดหาวิธีจะปลดปล่อยทาสให้ได้รับความเป็นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อม ทำตามลำดับขั้นตอน
ข้าทาสและไพร่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม ได้กลายเป็นราษฎรสยามและต่างมีโอกาสประกอบ อาชีพหลากหลาย พอถึงปี ๒๔๔๘ ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.๑๒๔ (พ.ศ.๒๔๔๘)
เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไปการซื้อขายทาส เป็นโทษทางอาญา
ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้วให้นายเงิน ลดค่าตัวให้เดือนละ ๔ บาท จนกว่าจะหมด และนี่เป็นพระมหากรุณาทิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน รัชกาลที่ ๕ ที่ทรงให้มีการเลิกทาสนับตั้งแต่นั้นมา ภายหลังประกาศเลิกทาสจนเป็นอิสระภาพ ทั้งนี้การเลิกทาส เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช"
สงครามปราบฮ่อ
สงครามปราบฮ่อ
สงครามปราบฮ่อ เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีรัตนโกสินทร์ศก ๘๔ ถึง ๑๐๙
สาเหตุของการปราบฮ่อ
พ.ศ. ๒๓๙๔ ฮ่อ หรือกองกำลังชาวจีน ที่ต่อต้านราชวงศ์แมนจู ได้ก่อการกบฏโดยเรียกกลุ่มตัวเองว่า กบฏไท่ผิงเทียนกั๋ว เพื่อปลดปล่อยตนเองออก จากการปกครองของราชวงศ์แมนจูที่เป็นใหญ่ยึดครองประเทศจีนอยู่ในขณะนั้น จนเกิดการรบพุ่งกันเป็นการใหญ่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๕ พวกไท้ผิง พ่ายแพ้ต้องหลบหนีไปซุ่มซ่อนตัวตามป่าเขาในมณฑลต่าง ๆ ของจีน ทั้งในมณฑลยูนนาน ฝูเจี้ยน กวางไส กวางตุ้ง เสฉวน และส่วนหนึ่งหลบหนี มายังตังเกี๋ย ทางตังเกี๋ยจึงดำเนินการปราบปรามทำให้พวกฮ่อต้องหนีมาอยู่ที่เมืองซันเทียน
พ.ศ. ๒๔๐๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ขณะนั้นพวกฮ่อภายใต้การนำของ "ปวงนันชี" ซึ่งใช้ธงสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ ได้ซ่องสุมกำลังที่ทุ่งไหหิน และได้ประพฤติตนเป็นโจรเที่ยวปล้นบ้านเมืองในดินแดนสิบสองจุไทและเมืองพวน ซึ่งขณะนั้นถือเป็นอาณาเขตของฝ่ายไทย
การปราบปราม ครั้งแรก
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พวกฮ่อภายใต้การนำของ "ปวงนันชี" ซ่องสุมกำลังที่หลวงพระบาง ทุ่งไหหินอยู่ในเมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง ทาง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลาว เป็นกลุ่มโจรปล้นบ้านเมืองในดินแดนสิบสองจุไทและเมืองพวน ซึ่งขณะนั้นถือเป็นอาณาเขตของฝ่ายไทย
ครั้งที่ ๒
ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ กองกำลังฮ่อได้เตรียมกำลังออกเป็น ๒ ทัพ ทัพที่ ๑ จะเดินทัพลงมาที่เมืองเวียงจันทร์แล้วจะเข้าตีเมืองหนองค่าย(ชื่อเดิมของหนองคาย) ส่วนทัพที่ ๒ จะเดินทัพไปทางหัวเมืองพันห้าทั้งหก จะเข้าตีเมืองหลวงพระบาง พ.ศ.๒๔๑๘ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบข่าวศึกฮ่อ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหาอำมาตย์ (ชื่น กัลยาณมิตร) จัดส่งกองทัพจากกรุงเทพฯ ไปปราบฮ่อที่ได้ยกกำลังล่วงล้ำเข้ามาจนถึงเมืองเวียงจันทน์
ในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ ได้พบบันทึก การสร้างพระกริ่งปวเรศ รุ่น ๑ ครั้งที่ ๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ เรียกกริ่งปราบฮ่อ ร.๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ ในครั้งนี้ช่างสิบหมู่และโหรหลวง เป็นผู้ออกแบบ ลักษณะอักษร "ปราบฮ่อ" อยู่บนฐานชั้น ๒ ติดกับพระโสณี (ตะโพก) ด้านหลัง "ร ๕" ตัว "ร" หล่อติดระหว่างกลางฐาน ๑ และ ๒ ด้านซ้ายของกรีบบัวหลัง เลข " ๕ " หล่อติดแนวเดียวกันทางด้านขวาของกรีบบัวหลัง จำนวนการสร้างไม่ได้กล่าวไว้
ครั้งที่ ๓
ในปี ๒๔๒๖ กองกำลังทหารของไทยได้รับมอบพระกริ่งปวเรศ รุ่น ๑ พ.ศ. ๒๔๒๖ เพื่อความสวัสดี มีชัยปราศจากโรคภัยและกำจัดปัดเป่า อัปมงคล อันตราย ภัยพิบัติต่างๆให้กับกองทหารไทยที่ไปทำศึกสงครามปราบฮ่อ พ.ศ. ๒๔๒๖
พวกฮ่อยกมารุกรานเมืองหลวงพระบางอีก โปรดให้พระยาพิชัย (มิ่ง) พระยาสุโขทัย (ครุธ) คุมกำลังไปช่วยก่อน แล้วให้พระยาราชวรานุกูล (เอก บุญยรัตนพันธุ์) เป็นแม่ทัพยกตามไป ฮ่อได้ข่าวก็ถอยหนีไปปักหลักสู้ที่ค่ายทุ่งเชียงคำ ซึ่งมีแนวกอไผ่แน่นหนาเป็นป้อมปราการ ฝ่ายไทยตาม ไปถึง ก็ยิงปืนใหญ่เข้าใส่ แต่กระสุนติดกอไผ่ ทำอะไรพวกฮ่อไม่ได้ พระ ยาราชวรานุกูล ขัดใจยกกำลังบุกเข้าไปถูกฮ่อยิงด้วยปืนใหญ่เข้าที่ขาบาดเจ็บสาหัส รุกคืบหน้าไม่ได้ ก็ได้แต่ล้อมค่ายเอาไว้สองเดือน ฮ่อเริ่มอดอาหารบาดเจ็บล้มตาย แต่ยังไม่ยอมแพ้ การปราบปรามฮ่อของไทยดำเนินการอยู่
จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๒๘ จึงได้ถอนกำลังจากทุ่งเชียงคำ กลับมายังเมืองหนองคาย เนื่องจากขาดเสบียงอาหาร และแม่ทัพคือพระยาราชวรากูลถูกฮ่อยิงบาดเจ็บ
ครั้งที่ ๔
ธงจุฑาธุชธิปไตย ซึ่งใช้เป็นธงประจำกองทหารสยามในการปราบฮ่อครั้งที่ 4
จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เมื่อครั้งเป็นนายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ แม่ทัพปราบฮ่อฝ่ายไทยใน พ.ศ. ๒๔๒๘-๒๔๓๐ (นั่งทางซ้าย) ถ่ายรูปคู่กับเจ้าราชวงศ์ (คำสุก) แห่งหลวงพระบางที่กองบัญชาการเมืองซ่อน
ในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ร.๕ จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารที่ได้รับการฝึกหัดตามแบบยุโรปขึ้นไปปราบฮ่อ โดยจัดเป็นสองกองทัพคือกองทัพฝ่ายใต้และกองทัพฝ่ายเหนือ
กองทัพฝ่ายใต้มีนายพันเอก พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อในแคว้นเมืองพวน และได้ตั้งกองบัญชาการกองทัพอยู่ที่เมืองหนองคาย แล้วให้พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุนนาค) ยกทัพหน้าไปตีค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ พวกฮ่อได้หนีไปในเขตญวน กองทัพไทยจึงรื้อค่ายฮ่อที่ทุ่งเชียงคำเสีย
กองทัพฝ่ายเหนือมีนายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนาถ (เจิม แสง-ชูโต) เป็นแม่ทัพยกไปปราบฮ่อในแคว้นหัวพันห้าทั้งหก ยกกำลังออกจากกรุงเทพฯ พร้อมอาวุธแบบใหม่นอกจากช้าง ม้า โค ลาต่างและฬ่อ ก็ยังมีลูกแตกหรือลูกระเบิดและปืนกลที่สะดวกแก่การขนย้ายมากกว่าปืนใหญ่ โดยไปชุมนุมทัพที่เมืองพิชัยแล้วเดินทัพต่อไปยังเมืองน่าน แล้วยกกำลังไปถึงเมืองหลวงพระบาง จากนั้นได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่แคว้นหัวพันห้าทั้งหก เมื่อปราบฮ่อ ในแคว้นนี้ได้แล้วจึงได้ยกกำลังไปปราบฮ่อในแคว้นสิบสองจุไท
พ.ศ. ๒๔๒๙ สามารถปราบฮ่อได้ราบคาบแล้วจึงยกกำลังกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๐
ผลของการปราบฮ่อ
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๒๐ พระปทุมเทวาภิบาล (เคน) เป็นเจ้าเมืองหนองคาย ได้เกิดศึกฮ่อขึ้นโดยพวกฮ่อได้ยกกองทัพเข้าตีเมือง เวียงจันทน์ในประเทศลาว แล้วตั้งกองบัญชาการอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ และตระเตรียมเสบียงอาหารไว้เพื่อโจมตี เมืองรายทางต่างๆ เรื่อยมาจนถึงเมืองหนองคาย ซึ่งขณะนั้นพระปทุมเทวาภิบาล (เคน) เจ้าเมืองหนองคายไม่อยู่ ได้มอบให้ท้าวจันทร์ศรีสุราชรักษาเมืองแทน พอได้รับข่าวศึก ก็มิได้มีการตระเตรียมกองทัพไว้สู้ศึก ทำให้ราษฎรพากันอพยพครอบครัวหนีออกจากเมือง ทำให้พวกฮ่อยกกองทัพเข้าเมืองหนองคายส่วนท้าวจันทน์ศรีสุราชได้พาครอบครัวหนีไปอยู่บ้านสามพร้าว จังหวัดอุดรธานี และพระยา พิไสยสรเดช (หนู) เจ้าเมืองโพนพิสัยพร้อมด้วยกรมการเมืองก็พาราษฎรหนีออกจากเมืองไปเช่นเดียวกัน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ทรงทราบข่าวศึกฮ่อยกกองทัพเข้ามาตีเมืองหนองคาย จึงมีพระบรมราชโองการ ให้พระยามหาอำมาตย์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปปราบฮ่อที่เมืองอุบลราชธานีอยู่แล้ว ยกกองทัพเข้าเมืองหนองคายและสั่งให้จับ ท้าวจันทน์ศรีสุราช กับพระยาพิไสยสรเดช ประหารชีวิตเสียทั้งคู่ จากนั้นพระยามหาอำมาตย์ จึงได้เกณฑ์กำลังจากเมือง นครพนม มุกดาหาร เขมราช นครราชสีมา และร้อยเอ็ดมาสมทบกันที่เมืองหนองคาย แล้วยกกองทัพออกไปตีพวกฮ่อจนถึงเมืองเวียงจันทน์ พวกฮ่อพ่ายแพ้ พากันหนีเข้าป่าไปเมื่อบ้านเมืองสงบแล้ว พระยามหาอำมาตย์จึงได้กวาดต้อนผู้คนจากเมืองเวียงจันทน์มาเป็นเชลยลงมาไว้ที่เมืองหนองคาย แล้วจึงยกกองทัพกลับกรุงเทพ ฯ
อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ หน้าศาลากลางจังหวัดหนองคายหลังเดิม
ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๗ พวกฮ่อรวบรวมกำลังกันได้ก็ยกกองทัพเข้าโจมตีเมืองต่างๆ อีกทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนอยู่เนืองๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการให้มหาดไทยเมืองนครราชสีมายกกองทัพไปปราบพวกฮ่อ จนแตกหนีไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองขวาง และทุ่งเชียงคำ
ในปีพุทธศักราช ๒๔๒๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชนุกูล และพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร ยกกองทัพขึ้นไปปราบพวกฮ่อที่ทุ่งเชียงคำ เมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๔ เวลาประมาณ ๒ โมงเช้า การรบถึงขั้น ตะลุมบอลพวกฮ่อสู้ไม่ได้จึงถอยหนีไป พระยาราชนุกูลถูกลูกปืนของข้าศึกแข้งแตกเดินไม่ได้ ในเวลา ๔ โมงเย็น พวกฮ่อรวบรวมกำลังกัน ยกกองทัพมาตีเพื่อยึดค่ายคืนอีกแต่ไม่สำเร็จ กองทัพไทยยกเข้าไปล้อมพวกฮ่อไว้นาน ๗ วัน พวกฮ่อจึงขอเจรจาสงบศึกโดยขอให้ไทย ยกกองทัพกลับ แล้วจะมอบสิ่งของในค่ายฮ่อให้ครึ่งหนึ่ง แต่กองทัพไทยไม่ยอมเพราะไม่ไว้ใจพวกฮ่อ
เพื่อให้การปราบพวกฮ่อเป็นไปอย่างรวดเร็วเด็ดขาด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ "กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม" คุมกองทัพ ขึ้นไปสมทบ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมจึงดำรัสให้พระอมรวิไสยสรเดช (โต บุญนาค) ม.ร.ว.วรุณ พระยาสุริยเดช พระราชวรรินทร์ และพระเจริญราชอาณาเขตยกกองทัพไปสมทบ กองทัพไทยได้เอาปืนใหญ่ยิงเข้าไปในค่ายของพวกฮ่อจนฮ่อแตกหนีไป กองทัพจึงได้ยก กองทัพกลับเมืองหนอง คาย เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ สงบเรียบร้อยแล้ว กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมจึงโปรด ให้สร้างอนุสาวรีย์ปราบฮ่อขึ้นที่ เมืองหนองคาย เพื่อบรรจุอัฐิทหารจากกรม กองต่างๆ ที่เสียชีพเพื่อชาติในครั้งนั้น ดังนี้
-กรมทหารอาสาวิเศษ
-กรมแปดเหล่า
-กรมฝรั่งแม่นปืน
-กรมทหารมาลา
-กรมสัสดี
-กรมเรือต้น
-กรมทหารมหาดเล็ก
กรมการหัวเมืองที่ด้านข้างอนุสาวรีย์ ทั้ง ๔ ด้านได้จารึกอักษรไว้ ๔ ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอักฤษ ภาษาจีนและภาษาลาว มีข้อความว่า ปางนี้จักแสดง พจน์พร้อมผู้ภักดี ในอนุสาวรีย์ ไว้เป็นที่ระลึกตาม ผู้กอปรด้วยภักดี ดังอาภรณ์ประดับงาม ชีพมลายขจรนาม ปรากฏเกียรตินิรันดร สูญสุริย์จันทร จึงจะสูญซึ่งความดี วายชีพทำการกิจ โดยความสวามี ภักดีต่อชุลี ละอองบาททบมาลย์ ปวงปราชญ์คงจักซ้อง ศรับแล้วสาธุการ นับว่าเป็นทัยสูญ ขมีขลาดขยาดขย่อน องอาจต่อราชกิจ มิได้คิดแต่ความมรณ์ คณะเทพไตรสร จักชูช่วยอำนวยผล นำขันธ์เสวยสุข นฤทุกข์บ่ได้ยล สุขขกิจ
จงจักดล ประโลกยับแปรปรวน สุดท้ายมีคำจารึกไว้ว่า "อนุสาวรีย์นี้ได้เปิดแต่ศักราช ๑๒๔๗ ควบ ๑๒๔๘ พุทธศักราชล่วงแล้ว"
อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ เป็นอนุสรณ์สถานที่กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ได้โปรดให้จัดสร้างขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของเหล่าทหารจากกรมกองต่างๆ ที่เสียสละชีวิต เพื่อป้องกันประเทศชาติในการปราบพวกฮ่อครั้งนั้น ประกอบด้วย กรมทหารอาสาวิเศษ กรมแปดเหล่า กรมฝรั่งแม่นปืน กรมทหารมาลา
กรมสัสดี กรมเรือต้น กรมทหารมหาดเล็กและกรมการหัวเมือง โดยตั้งอยู่ที่ด้านข้างทางทิศตะวันตก ของสถานีตำรวจภูธรเมืองหนองคาย ในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๙๒ จังหวัดหนองคายได้รับงบประมาณทำการบูรณปฏิสังขรณ์อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ โดยได้ย้ายมาก่อสร้างองค์ใหม่ ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดหนองคาย(หลังเก่า)มีลักษณะเป็นศิลปะประยุกต์ แบบทรงสี่เหลี่ยม ก่ออิฐถือปูน มีฐานเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม กว้าง ๔ เมตร สูง ๑๐.๑๐ เมตร ยอดทรงกรวยเหลี่ยมปลายแหลม และได้คัดลอกข้อความจากอนุสาวรีย์องค์เดิมมาไว้ทั้ง ๔ ด้าน โดยในวันที่ ๕ มี นาคม ของทุกปี จังหวัดหนองคาย จะประกอบพิธีบวงสรวง ขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวจังหวัดหนองคาย และเป็นการระลึกถึงวีรกรรมอันหาญกล้าของบรรพบุรุษ ที่ต่อสู้ปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากการรุกรานของพวกฮ่อ
เหตุการณ์ที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน
การเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสในรัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓)
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จนถึงไทยต้องเสียดินแดนไปเป็นอันมาก เวลานั้นเป็นยุคที่อังกฤษ และฝรั่งเศสกำลังขยายอาณานิคมออกมาทางเอเชีย อังกฤษได้พม่าแล้ว กำลังแผ่อิทธิพลอยู่ในมลายู ฝรั่งเศสก็มีอำนาจเหนือเวียดนาม และเขมร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ ไทยทำสัญญายอมรับว่า เขมรและเกาะกง เป็นของฝรั่งเศส เมืองไทยอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจทั้งสอง ฝรั่งเศสต้องการดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง อ้างว่า ส่วนนี้เคยเป็นของเวียดนาม ฝรั่งเศสเข้าครอบครองสิบสองจุไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ เมื่อได้ยกกอง
ทหารเข้ามาในเขตนี้อ้างจะช่วยไทยปราบพวกฮ่อ แต่มิได้ถอยกองทหารออกไปอีกเลย ใน พ.ศ. ๒๔๓๕ นาย ออกุสต์ ปาวี (Auguste Pavie) ได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุลฝรั่งเศส ประจำกรุงเทพฯ สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสยกกองทหารจากพนมเปญขึ้นมาทางแม่น้ำโขงแล้วรุกเข้ามา ในเขตฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ปักธงชาติฝรั่งเศสขึ้น ที่ทุ่งเชียงคำ คนไทยชักธงลงมาฉีกทิ้งเสีย ทูตฝรั่งเศสยื่นบันทึกถึงรัฐบาลไทยว่า เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพื่อคุ้มครองคนในบังคับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสต้องนำเรือรบเข้ามาในน่านน้ำไทยหนึ่งลำ อังกฤษอ้างสถานการณ์ไม่ปลอดภัย นำเรือเข้ามาบ้าง วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ฝรั่งเศสส่งเรือรบ ๒ ลำคุ้มกันเรือสินค้าเข้ามาถึงปากน้ำ ทางป้อมพระจุลจอมเกล้าส่งสัญญาณถาม เรือรบฝรั่งเศสไม่ตอบ เวลานั้นพระยาชลยุทธโยธิน (อังเดร ดู เปลซิส เดอ ริเชอลิเออ Andre du Plesis de Ri- chelieu ชาวเดนมาร์ก) เป็นผู้บัญชาการทหารเรือไทยอยู่ที่นั่นด้วย ทางป้อมยิงปืนยับยั้ง เกิดการยิงโต้ตอบกันขึ้น เรือสินค้าฝรั่งเศสถูกปืนเกยตื้น และเรือรบฝรั่งเศสยิงถูกเรือ "มกุฎราชกุมาร" ของไทยเสียหาย ครั้งนั้น มีทหารบาดเจ็บ และเสียชีวิต นาย ออกุสต์ ปาวี ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลหลายข้อให้ตอบภายใน ๔๘ ชั่วโมง
รัฐบาลไทยโดยสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ เป็นผู้แทนตอบไปว่า ข้ออื่นๆ เช่น ให้ไทยชดใช้ค่าเสียหายนั้น ไทยตกลง แต่ข้อที่ว่า ให้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสนั้น ฝรั่งเศสไม่มีหลักฐาน หรืออำนาจอันชอบธรรมอันใด ปาวีถือว่า ไทยปฏิเสธจึงนั่งเรือรบออกปากน้ำไป แล้วประกาศปิดอ่าวไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ การปิดอ่าว ทำให้กระทบกระเทือนถึงเรือชาติอื่นๆ ด้วย และอังกฤษก็สงวนท่าที ไม่แสดงว่า จะช่วยเหลือไทยอย่างใด ไทยเกรงชาติอื่นจะเข้าแทรกแซงจึงต้องยอมฝรั่งเศส ฝรั่งเศสเลิกปิดอ่าววันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ และตกลงทำสัญญากัน เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ไทยเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสครั้งนี้ ประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร
หลังจากการทำสัญญากับฝรั่งเศสแล้ว ไทยปฏิบัติตามทุกข้อ แต่ฝรั่งเศสก็ไม่ยอมคืนจันทบุรีที่ยึดไว้เป็นประกัน ยังคงยึดไว้อีก ๑๐ ปีต่อมา ก่อนฝรั่งเศสจะถอนทหารออกไป ไทยได้ทำสัญญายกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง และทางใต้ ตรงข้ามเมืองปากเซให้ฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ ฝรั่งเศสกลับไปยึดเมืองตราดไว้แทน ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากตราด หลังจากที่ไทยยอมยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสตามสัญญาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ พร้อมกับสัญญานี้ ได้ตกลงกันเรื่องอำนาจศาล คือ ให้มีศาลต่างประเทศ ผู้พิพากษาเป็นคนไทย แต่กงสุลมีอำนาจถอนคดีไปพิจารณาในศาลกงสุลได้
อนึ่ง ใน พ.ศ. ๒๔๕๒ ไทยได้ทำสัญญาทำนองเดียวกันนี้กับอังกฤษ คนในบังคับอังกฤษทั้งหมด ขึ้นศาลต่างประเทศ และไทยยอมยก กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และเกาะใกล้เคียงให้อังกฤษ ในการติดต่อกับต่างประเทศในรัชกาลนี้ ไทยได้ที่ปรึกษาราชการ คือ นาย เอ็ดเวิร์ด สโตรเบล (Edward Strobel) ชาวอเมริกัน และเมื่อเขาถึงแก่ กรรม ผู้ช่วยของเขาชื่อนาย เจนส์ ไอ เวสเตนการ์ด (Jens I. Westengard) ต่อมาได้เป็น พระยากัลยาณไมตรีคนแรก ก็ได้ตำแหน่งที่ปรึกษาสืบมา เอส จี แมคฟาร์แลนด์ มิชชันนารีอเมริกัน ท่านและครอบครัวได้ทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้แก่เมืองไทยในด้านการแพทย์และการศึกษา เขียนโดย นายทองใบ แตงน้อย ป.ม. ๒๕๐๖
แม้ว่าความสัมพันธ์กับชาวต่างประเทศ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเป็นผลให้ไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์หลายประการ ดังกล่าวมาแล้ว แต่ยังมีความสัมพันธ์ อีกรูปหนึ่ง ที่เป็นผลดีต่อไทยอย่างมาก ได้แก่ การที่ชาวต่างประเทศเข้ามาช่วยปรับปรุงบ้านเมือง และงานแขนงต่างๆ ให้เจริญขึ้น ตามแบบประเทศตะวันตก
ที่ปรึกษาราชการชาวต่างประเทศที่เข้ามารับราชการในประเทศไทย สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีจำนวนมาก เช่น ปรากฏว่า ใน พ.ศ. ๒๔๕๐ มีถึง ๒๔๗ คน ในจำนวนนี้มีชาวอังกฤษมากที่สุด ชาติอื่นๆ ก็มี เช่น เดนมาร์ก อิตาเลียน ฝรั่งเศส อเมริกัน โปรตุเกส เยอรมัน ฮอลันดา รุสเซีย เบลเยียม นอรเว สเปน ชาติเหล่านี้ทำหน้าที่ต่างกันไปตามถนัด เช่น ชาวอังกฤษ ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการคลัง การค้า ภาษี มหาดไทย เกษตรกรรม ชลประทาน การศึกษา การรถไฟ ชาวเดนมาร์ก รับผิดชอบเกี่ยวกับการทหารเรือและตำรวจ ชาวอิตาเลียนมุ่งไปทางสถาปัตย
กรรม วิศวกรรม ดูแลงานสำนักพระราชวัง ชาวฝรั่งเศส ส่วนใหญ่เชี่ยวชาญทางกฎหมาย
งานในหน้าที่ของที่ปรึกษาราชการชาวต่างประเทศแบ่งออกเป็นหลายตำแหน่ง ได้ แก่ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการทั่วไป ที่ปรึกษาประจำกระทรวง ประจำกรมกองต่างๆ และข้าราชการประจำ สำหรับที่ปรึกษาราชการแผ่นดินนั้นมีอำนาจสิทธิ์ขาดมาก ควบ คุมประสานงานและแนะนำกิจการทั่วๆ ไป ทุกหน่วยงาน ส่วนที่ปรึกษาราชการอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นที่ปรึกษาประจำกระทรวง หรือเป็นเจ้ากรม อธิบดีตามกรมกองต่างๆ คอย ช่วยเหลือแนะนำหรือบริหารกิจการงานเมือง ทั้งส่วนที่ปรับปรุง และที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามแบบแผนในเมืองยุโรป ซึ่งคนไทยยังไม่มีความรู้ความชำนาญพอจะจัดการ
ด้วยตนเองได้ พร้อมกันนั้น ก็ได้ช่วยฝึกงาน ให้คนไทยไว้รับช่วงกิจการต่อไป
ที่ปรึกษาราชการชาวต่างประเทศที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ไทยในด้านต่างๆ ใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอาทิเช่น
-เจ้าพระยาอภัยราชา (โรลัง จัคแม็งส์) (Rolyn Jacquemins) ชาวเบลเยียม เป็นที่ ปรึกษาราชการทั่วไป เชี่ยวชาญทางกฎหมายระหว่างประเทศ
-นายเอ็ดเวิร์ด สโตรเบล (Edward Strobel) ชาวอเมริกัน ที่ปรึกษาราชการทั่วไป
-พระยากัลยาณไมตรี (เจนส์ ไอเวอร์สัน เวสเตนการ์ด) (Jens Iverson Westengard) ชาวอเมริกัน ที่ปรึกษาราชการทั่วไป
-นายเฮนรี อาลาบาสเตอร์ (Henry Alabaster) ชาวอังกฤษ เป็นที่ปรึกษากฎหมาย
-พระยาชลยุทธโยธิน (อังเดร ดู เปลซิส เดอ ริเชอลิเออ) (André du plésis de Richelieu) ชาวเดนมาร์ก ได้ช่วยวางรากฐานกองทัพเรือไทย
-พลตรีพระยาวาสุเทพ (จี เชา) (G. Schau) ชาวเดนมาร์ก ช่วยจัดระเบียบกรมตำรวจ
-ศาสนาจารย์ เอส จี แมคฟาร์แลนด์ (S.G. Mcfarland) ชาวอเมริกัน อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ
-เอส จี แมคฟาร์แลนด์ มิชชันนารีอเมริกัน ท่านและครอบครัวได้ทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้แก่เมืองไทยในด้านการแพทย์และการศึกษา
เอส จี แมคฟาร์แลนด์ มิชชันนารีอเมริกัน ท่านและครอบครัวได้ทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้แก่เมืองไทย ในด้านการแพทย์และการศึกษา
-นายดับบลิว จี จอห์นสัน (W.G. Johnson) และนาย อี เอส สมิธ (E.S. Smith) ครูโรงเรียนสวนกุหลาบ
-นายริชาร์ด จัคส์ เกิร์กแพตริก (Richard Jacques Kirkpatrick) ชาวเบลเยียม ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงยุติธรรม
-พระยามหิธร (โตกีจิ มาซาโอะ Tokiji Masao) ชาวญี่ปุ่น ผู้ช่วยที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรม
-นายวิลเลียม อัลเฟรด คุณะติลเก (William Alfred Kunatelake) ชาวลังกา ช่วย งานกรมอัยการ ต่อมาได้เป็นเจ้ากรมอัยการ ได้รับพระราชทาน
บรรดาศักดิ์เป็นพระยาอรรถการประสิทธิ์ ต้นสกุล คุณะดิลก
-นายยอร์จ ปาดูซ์ (George Padoux) ชาวฝรั่งเศส ที่ปรึกษาในการร่างกฎหมาย ประธานกรรมการร่างกฎหมาย
-นายเรอเน กียอง (René Guyon) ชาวฝรั่งเศส ที่ปรึกษาในกระทรวงยุติธรรม ในปลายรัชกาล และรับราชการต่อมาอีกหลายสิบปี จนเปลี่ยนชื่อเป็น
ไทยว่า นายพิชาญ บุลยง
-นายเอช สเลด (H. Slade) ชาวอังกฤษ ช่วยงานในกรมป่าไม้ ต่อมาได้เป็นเจ้ากรมป่าไม้
-นายเอฟ เอช ไจลล์ (F.H. Giles) ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร ต้นสกุล จิลลานนท์
อธิบดีกรมสรรพากรคนแรก
-นายดับบลิว เอ เกรแฮม (W.A. Graham) ชาวอังกฤษ นาย ซี ริเวตต์ คาร์นัค (C. Rivett Carnac) และนาย ดับบลิว เจ เอฟ วิลเลียมสัน
(W.J.F. Williamson) ที่ปรึกษากระทรวงการคลัง
-นายเจ โฮมัน แฟน เดอ ไฮเด (J. Homan Van De Heide) ชาวฮอลันดา ที่ปรึกษาการ ชลประทาน ผู้เป็นเจ้าของโครงการ เขื่อนเจ้าพระยา
หรือที่เรียกกันในประวัติกระทรวงเกษตรฯ ว่า "สกีมชัยนาท"
-พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรุสเซีย ครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑
-พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสแห่งรุสเซีย ครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑
-พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับนานาประเทศ ทั้งในเอเชียและยุโรป โดยการเสด็จเยือน
ประเทศต่างๆ หลายครั้ง ได้เสด็จ สิงคโปร์ ชวา (อินโดนีเซีย) มลายู อินเดีย พม่า ในตอนต้นรัชกาล ต่อมาก็ได้ เสด็จประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง
คือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ และ พ.ศ. ๒๔๕๐ นับว่าได้ผลดี ยิ่งทั้งในด้านทางการเมือง การเชื่อมสัมพันธไมตรี และในรัชกาลนี้ไทยได้ทำสัญญาทางไมตรี
กับประเทศอื่นๆ เพิ่มอีก มี รุสเซีย สเปน ออสเตรีย ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น
โปรดคลิกดูรายละเอียดที่ลิ้งค์นี้
http://www.rungnapa-astro.com/Saranaru-ok/ThaiTerritory-Lost.htm
บุคคลสำคัญในสมัยรัชกาลที่ ๕
๑.สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
๒.สมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
๓.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์
๔.เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
๕.พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒
๖.พระยากัลยาณไมตรี
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
นายพลเอก มหาอำมาตย์เอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๕๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม พระองค์ยังทรงเป็นต้นราชสกุลดิศกุล
ประสูติ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๕๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาชุ่ม ภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ พระองค์ได้รับพระราชทานพระนามจากสมเด็จพระบรมชนกนาถในวันสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ โดยมีรายละเอียดว่า
"สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยามผู้พระบิดา ขอตั้งนามกุมารบุตรที่เกิดแต่ชุ่มเล็กเป็นมารดานั้น และซึ่งคลอดในวันเสาร์ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอจัตวาศกนั้น ว่าดังนี้ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร นาคนาม ขอจงเจริญชนมายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ สรรพสิริสวัสดิพิพัฒนมงคลทุกประการ สิ้นกาลนานต่อไปเทอญ"
ชาววังโดยทั่วไป เรียกกันว่า "เสด็จพระองค์ดิศ" โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำเอานามของพระอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ โรจนดิศ) ซึ่งเป็นพระอัยกาของพระองค์และเป็นบิดาของเจ้าจอมมารดาชุ่มมาตั้งพระราชทาน เนื่องจากทรงพระราชดำริว่าท่านเป็นคนซื่อตรง
ทรงศึกษา
พระองค์ทรงเริ่มเรียนหนังสือไทยชั้นต้นจากสำนักคุณแสงและคุณปาน ราชนิกุล ในพระบรมมหาราชวัง ทรงศึกษาภาษาอังกฤษในโรงเรียนหลวง ซึ่งมีมิสเตอร์ ฟรานซิส ยอร์ช แพตเตอร์สัน เป็นพระอาจารย์
พ.ศ. ๒๔๑๘ เมื่อมีพระชนม์ได้ ๑๓ พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และประทับจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร
พ.ศ. ๒๔๒๐ ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยตรีทหารมหาดเล็ก บังคับกองแตรวง
พระชนมายุได้ ๑๕ ปี
รับราชการ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจด้านต่าง ๆ และทรงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงขนาดตรัสชมว่า ทรงเป็นเสมือน "เพชรประดับพระมหาพิชัยมงกุฎ"
ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ได้สนองพระเดชพระคุณตลอดมา ตราบจนชราทุพพลภาพ ไม่สามารถทำราชการหนักในตำแหน่งต่อไปอีก จึงกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในปี พ.ศ.๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงสถาปนาเป็นเสนาบดีที่ปรึกษา
สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เริ่มประชวรด้วยโรคพระหทัย (หัวใจ) พิการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ จึงเสด็จกลับมารักษาพระอาการประชวรประเทศไทย พระอาการทรงและทรุดเรื่อยมาจนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ที่วังวรดิศ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รวมพระชันษาได้ ๘๑ ปี
พระกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงฉายกับ เจ้าจอมมารดาชุ่ม ในรัชกาลที่ ๔
พ.ศ. ๒๔๒๒ ได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยโท ผู้บังคับการทหารม้า ในกรมทหารมหาดเล็กและในปีเดียวกันนี้ได้รับพระราชทานยศเป็น นายร้อยเอก ราชองค์รักษ์ประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระชนมายุได้ ๑๗ ปี
พ.ศ. ๒๔๒๓ ได้รับพระราชทานยศเลื่อนเป็นนายพันตรี ผู้สนองพระบรมราชโองการ ว่าการกรมทหารมหาดเล็ก
พ.ศ. ๒๔๒๔ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปสังกัดกรมทหารปืนใหญ่ ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า "กรมกองแก้วจินดา" ทรงจัดตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
พ.ศ. ๒๔๒๕ ผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระ อุปัชฌาย์ และประทับจำพรรษาที่วัดนิเวศธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พ.ศ. ๒๔๒๘ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปเป็นผู้บังคับการทหารมหาดเล็ก และได้รับพระราชทานยศเป็นนายพันโท
พ.ศ. ๒๔๒๙ โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฎ และทรงประกาศแต่งตั้งให้ดำรงพระอิสริยยศ เป็น "กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ"
พ.ศ. ๒๔๓๐ โปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก
พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้รับพระราชทานยศนายพลตรี
พ.ศ. ๒๔๓๒ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากงานฝ่ายทหารไปปฏิบัติงานทางพลเรือน ทรงเป็นผู้กำกับ กรมธรรมการ
พ.ศ. ๒๔๓๓ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นอธิบดีกรมศึกษาธิการ
พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๕๘ โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
พ.ศ. ๒๔๔๒ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "กรมหลวงดำรงราชานุภาพ"
พ.ศ. ๒๔๕๔ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "กรมพระดำรงราชานุภาพ"
พ.ศ. ๒๔๕๘ ดำรงตำแหน่งนายกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร
พ.ศ. ๒๔๖๖ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมุรธาธร และเป็นนายพลเอก
พ.ศ. ๒๔๖๘ ดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๔๖๙ ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภา
พ.ศ. ๒๔๗๒ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นโบราณคดีชั้นยอดของกรุงรัตนโกสินทร์
พระโอรสและพระธิดา
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับพระธิดา คือหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย หม่อมเจ้าหญิงพิไลยเลขา และหม่อมเจ้าหญิงพัฒนายุ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นต้นราชสกุลดิศกุล มีหม่อม ๑๑ ท่าน ได้แก่
-หม่อมเฉื่อย (สกุลเดิม: ยมาภัย)
-หม่อมนวม (สกุลเดิม: โรจนดิศ)
-หม่อมลำดวน (สกุลเดิม: วสันตสิงห์) ธิดาหลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ (สิงโต วสันตสิงห์)
-หม่อมแสง (สกุลเดิม: ศตะรัตน์) ธิดาพระดำรงราชานุภาพ
-หม่อมเจิม (สกุลเดิม: สนธิรัตน์) ธิดาพระยาอุไทยมนตรี (ทิม สนธิรัตน์)
-หม่อมอบ (สกุลเดิม: สุขไพบูลย์)
-หม่อมหลวงใหญ่ (เดิม: หม่อมหลวงลำดวน อิศรเสนา) ธิดาหม่อมเทวาธิราช (หม่อมราชวงศ์แดง อิศรเสนา)
-หม่อมหยาด (สกุลเดิม: กลัมพากร) ธิดาพระจำนงค์อักษร (เปลี่ยน กลัมพากร)
-หม่อมเป๋า
-หม่อมเยื้อน
-หม่อมเพิ่ม (สกุลเดิม: สุขไพบูลย์)
โดยมีพระโอรสธิดารวมทั้งหมด ๓๗ องค์ เป็นชาย ๑๔ องค์ หญิง ๒๑ องค์ และไม่ปรากฏว่าเป็นหญิงหรือชาย ๒ องค์
สมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
-พระอิสริยยศ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
-ฐานันดรศักดิ์ พระองค์เจ้าชั้นเอก
-ราชวงศ์ ราชวงศ์จักรี
ข้อมูลส่วนพระองค์
-ประสูติ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓
-สิ้นพระชนม์ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
-พระบิดา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
-พระมารดา เจ้าจอมมารดาโหมด ในรัชกาลที่ ๕
-พระชายา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์
-หม่อม หม่อมกิม อาภากร ณ อยุธยา
-หม่อมแฉล้ม อาภากร ณ อยุธยา
-หม่อมเมี้ยน อาภากร ณ อยุธยา
-หม่อมช้อย อาภากร ณ อยุธา
-หม่อมแจ่ม อาภากร ณ อยุธยา
นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ -๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖) มีพระนามเดิมว่า "พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นต้นราชสกุล อาภากร" เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงได้รับสมัญญานามว่า "องค์บิดาของทหารเรือไทย"
พระองค์ทรงเป็นผู้วางรากฐานการบริหารงานของกองทัพเรือ ทรงได้รับการเชิดชูในหมู่ทหารเรือเรียกขานพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย" หรือ "หมอพร" และ "พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย" ต่อมาในปี ๒๕๓๖ มีประกาศกองทัพเรือขนานพระนามพระองค์ว่า "พระบิดาของกองทัพเรือไทย"และใน ปี ๒๕๔๔ แก้ไขเป็น "องค์บิดาของทหารเรือไทย"
ภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ได้มีการจัดสร้างศาลและพระอนุสาวรีย์พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ รวมทั้งสิ้น ๒๑๗ แห่งทั่วประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หรือที่พระตำหนักที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร
พระประวัติ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่าพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นพระองค์แรกที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ผู้บัญชาการทหารเรือวังหลวง มีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรองค์อรรคยุพา (สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์) และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส (พระนามเดิม:พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์) พระองค์นับเป็นพระภาดา (ลูกพี่ลูกน้อง) กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยพระมารดาของพระองค์กับพระมารดาของพระนางเจ้าสุวัทนาเป็นพี่น้องกัน
การศึกษา
ทรงเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อมีพระชันษาได้ ๑๓ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษพร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้น ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ต่อจากนั้นทรงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยทหารเรือ โรงเรียนปืนใหญ่ และโรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก รวมเวลาที่ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ๖ ปีเศษ
รับราชการ
พระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่วังนางเลิ้งเดิม (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ศูนย์พณิชยการพระนคร) เสด็จกลับประเทศไทย ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๓ จึงได้รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโท (ปัจจุบันเทียบเท่า นาวาตรี) ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่ "กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์" ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ และทรงดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ใน พ.ศ. ๒๔๔๙ พระองค์ได้ทรงแก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ ทรงจัดเพิ่มเติมวิชาสำคัญสำหรับชาวเรือ เพื่อให้เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว สามารถเดินเรือทางไกลในทะเลน้ำลึกได้ คือวิชาดาราศาสตร์ ตรีโกณมิติ พีชคณิต อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต
ทรงเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่นคง และกองทัพเรือจึงยึดถือวันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ"
พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระองค์ออกจากราชการอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ
จากตำราไทย ทรงเขียนตำราสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และรับรักษาโรคให้ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่า ทรงคิดแต่เพียงค่าครูเท่านั้น ทรงเรียกพระองค์เองว่า "หมอพร"
พ.ศ. ๒๔๖๐ ประเทศไทยได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และกองทัพเรือยังขาดผู้มีความรู้ความสามารถ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ เสด็จกลับเข้ารับราชการในตำแหน่ง เจ้ากรมจเรทหารเรือ และดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือในปี พ.ศ. ๒๔๖๑
พ.ศ. ๒๔๖๒ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงพิเศษออกไปจัดหาซื้อเรือในภาคพื้นยุโรป เรือที่จะจัดซื้อนี้ได้รับพระราชทานนามว่า "เรือรบหลวงพระร่วง" ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ นำเรือรบหลวงพระร่วงเดินเรือข้ามทวีปจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร ด้วยพระองค์เอง
พ.ศ. ๒๔๖๓ มีพระบรมราชโองการให้เลื่อนพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ ขึ้นเป็นกรมหลวงมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิงหนาม ทรงศักดินา ๑๕๐๐๐ ฯลฯ (คำ "เขตร์" ในพระนามเปลี่ยนเป็น "เขต" ด้วย)
ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เล็งเห็นการไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ สร้างเป็นฐานทัพเรือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ เนื่องจากทรงเห็นว่า อ่าวสัตหีบเป็นอ่าวที่มีขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อมยิงตอร์ปิโด มีเกาะน้อยใหญ่รายล้อม สามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เมื่อเรือภายนอกแล่นผ่าน บริเวณ นี้จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย
พ.ศ. ๒๔๖๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เสด็จในกรมฯ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ต่อจากจอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นับเป็นดำแหน่งทางราชการตำแหน่งสุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระองค์
สิ้นพระชนม์
ศาลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่หาดทรายรี ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ซึ่งชาวชุมพรได้สร้างขึ้นเป็น
อนุสรณ์แห่งการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
หลังจากทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือได้ไม่นาน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้กราบถวายบังคมลาเพื่อเสด็จออกไปรักษาพระองค์ (ลาป่วย) ณ มณฑลสุราษฎร์ เป็นเวลา ๑ เดือน เนื่องจากประชวรเรื้อรังด้วยโรคประจำพระองค์มาเป็นเวลานาน โดยประทับพักรักษาพระองค์อยู่ที่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ระหว่างนั้นทรงถูกฝนและประชวรด้วยพระโรคไข้หวัดใหญ่ พระอาการได้ทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ เวลา ๑๑ นาฬิกา 40 นาทีสิริพระชันษาได้ ๔๒ ชันษา ๕ เดือน
กองทัพเรือไทยได้ถือเอาวันที่ ๑๙ พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็น "วันอาภากร" มวยไทย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นผู้มีความสามารถด้านมวยไทย และในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นผู้ฝึกสอนให้กับนักมวยต่างจังหวัด ทั้ง นายทับ จำเกาะ, นายยัง หาญทะเล, นายตู้ ไทยประเสริฐ และนายพูน ศักดา ซึ่งเป็นนักมวยที่มีฝีมือชาวโคราช
งานศิลปะ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ยังมีความสามารถในด้านศิลปะ โดยพระองค์ได้ทรงเขียนภาพพุทธประวัติไว้ที่ผนังโบสถ์ของวัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท อันเป็นภาพเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าพบปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นผลงานที่ยังคงปรากฏสืบมาจนถึงปัจจุบัน และได้รับการ กล่าวขานว่าเป็นผลงานที่มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งงานพระนิพนธ์ เพลงดอกประดู่ (เพลงสัญลักษณ์ของกองทัพเรือไทย) เพลงเดินหน้า (เดิมแบ่งเป็น ๒ เพลง ชื่อ "เกิดมาทั้งทีมันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น" และ "เกิดมาทั้งทีมันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย") สันนิษฐานว่าทรงพระนิพนธ์ขึ้นในช่วงที่ทรงออกจาก ราชการในสมัยต้นรัชกาลที่ ๖ เพลงดาบของชาติ ทรงพระนิพนธ์ไว้เป็นโคลงสี่สุภาพ เพลงสรรเสริญพระบารมี สำนวนขับ ร้องของทหารเรือ (ขึ้นต้นว่า "ข้าวรพุทธเจ้า เหล่ายุทธพลนาวา...") พระคัมภีร์ อติสาระวรรค โบราณะกรรม และปัจจุบันนะกรรม เป็นสมุดข่อยตำราแพทย์ไทยแผนโบราณที่ทรงเขียนด้วยพระองค์เองเมื่อ พ.ศ. 2458
ชีวิตส่วนพระองค์
ทางด้านชีวิตส่วนพระองค์ อภิเษกสมรสกับ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระธิดาใน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ กรุณาพระราชทานน้ำสังข์ในพิธีอภิเษกสมรส ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง แต่ในภายหลัง พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ ทรงน้อยพระทัยพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ และปลงชีพพระองค์เองด้วยยาพิษ
พระโอรสพระธิดา
-พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์
-หม่อมเจ้าเกียรติ อาภากร ประสูติและถึงชีพิตักษัยในวันเดียวกัน ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๖
-พลโท พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เสกสมรสกับ กอบแก้ว วิเศษกุล (หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา)
-พลอากาศโท หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร ทรงเสกสมรสกับ หม่อมราชวงศ์หญิง
ไพเราะ กฤดากร
-หม่อมราชวงศ์หญิงทิพไพเราะ อาภากร สมรสกับ สุคนธ์ ศรโชติ
-อรทิพย์ ศรโชติ สมรสกับ กฤษณ์ วสีนนท์
-นีติบุตร วสีนนท์
-รวคนธ์ ศรโชติ
-ภัทเรก ศรโชติ
-หม่อมราชวงศ์หญิงดารณี อาภากร สมรสกับ วิบูลย์ วัฒนายากร
-สลีลา วัฒนายากร
-สิทธิ วัฒนายากร
-หม่อมกิม ธิดานายตั๊น ซุ่นเพียว
-หม่อมเจ้าหญิงจารุพัตรา อาภากร ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อเสกสมรสกับ
หลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) ฯลฯ
ประวัติหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
หลวงปู่ศุข
วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ท่านเป็นอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
นามเดิม :- ศุข นามสกุล เกษเวช (ต่อมาลูกหลานได้ใช้ เกษเวชสุริยา ก็มี)
เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีวอก พ.ศ. ๒๓๙๐ ที่บ้านมะขามเฒ่า ( เรียกกันในสมัยนั้น ปัจจุบันเรียก บ้านปากคลอง ) ตำบลมะขามเฒ่า
อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท
โยมบิดา - มารดา :- ชื่อ นายน่วม และนางทองดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลมะขามเฒ่า
มีบุตรและธิดา ด้วยกัน ๙ คน คือ:-
๑. หลวงปู่ศุข
๒. นางอ่ำ
๓. นายรุ่ง
๔. นางไข่
๕. นายสิน
๖. นายมี
๗. นางขำ
๘. นายพลอย
๙. หลวงพ่อปลื้ม
ปัจจุบันยังมีลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี
หลวงปู่ศัุขนั้น ท่านมีลุงคนหนึ่งชื่อ แฟง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางเขน จังหวัดพระนคร ( ในสมัยนั้น ) มีอาชีพ ทำสวน ไม่มีบุตรหรือธิดา จึงได้มาขอหลานจากโยมบิดามารดาหลวงปู่ศุขไปเลี้ยง โยมท่านก็อนุญาตให้เลือกเอา ลุงแฟงก็เลือกเอาคนโต หรือ เรียกว่าคนหัวปี คือ หลวงปูศุข เข้าใจว่าขณะนั้นอายุประมาณ ๑๐ ขวบ เมื่อหลวงปู่ศุขไปอยู่กับลุงแฟง เจริญเติบโตที่ตำบลบางเขน
เมื่อหลวงปู่ศุข อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่
น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน
คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญและกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้ เพราะขาดการทะนุบำรุงเท่าที่ควร
หลวงปู่ศุข ท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนอายุได้ ๑๘ ปี ได้ภรรยาชื่อ นางสมบูรณ์ และเกิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวช
สุริยา
หลวงปู่ศุข ท่านครองเพศฆราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ ๒๒ ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขนหรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี
อุปสมบท :-
การอุปสมบทของหลวงปู่ศุขนั้น ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ที่วัดโพธิ์บางเขน ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโพธิ์ทองล่าง ) โดยมี พระครูเชย จนฺทสิริ วัดโพธิ์บางเขน เป็น พระอุปัชฌาย์ พระถายมเป็นพระคู่สวด การอุปสมบทนี้มีลุงแฟงเป็นผู้อุปการะทั้งสิ้น ส่วนโยมบิดามารดาไม่ได้มาร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก จากชัยนาทถึงกรุงเทพฯ ก็กินเวลาอย่างน้อย ๒ ถึง ๓ วัน จึงจะถึง
พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาธุระมีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคมก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ฯ ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากอุปัชฌาย์ของท่านมาพร้อมกับอาจารย์เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่า วัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน
เมื่อได้อุปสมบทแล้วอยู่กับพระอุปัชฌาย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน และวิชาอาคมต่าง ๆ จากสำนักที่มีชื่อเสี่ยงโด่งดังในสมัยนั้นจนชำนาญดีแล้ว จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้านเกิดของท่าน โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชื่อวัดอู่ทอง ปัจจุบันนี้เรียกว่า วัดปากคลอง ชาวบ้านแถวนั้นมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น เพื่อที่ว่าจะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้นมาจนท่านมรณภาพ ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น ได้เริ่มพัฒนาในท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองด้วยจากวัดร้างที่ไม่มีอะไรเลย จนถึง พุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส เป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ ยังมีพระอุโบสถและมณฑป ปรากฏให้เห็นอยู่
ส่วนการอบรมสั่งสอนนั้นท่านได้แนะแนวการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ให้เห็นคุณและโทษของผลการปฏิบัติตนในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมเป็นส่วนมาก
หลวงปู่ฯ ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้ชราภาพลงตามอายุขัย และความเจ็บไข้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในบิดามารดาของท่านจึงได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆ ที่วัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองมะขามเฒ่า หรือบริเวณต้นแม่น้ำท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพของวัดอู่ทองขณะนั้นได้เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ขยับขยายออกมา
ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างกุฏิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัยไปพลางก่อน
สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ๆ ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดการฌาปนกิจศพ และในงานนี้เอง หลวงปู่ฯ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้ม รัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฏอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกันไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฏ การณ์ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างในชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่จะแวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้น ท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระของหลวงปู่ฯ จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกันไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงบังเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อนพระวัดปากคลอง เนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าจะไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า “เอ็งมีลูกกี่คน?” ท่านจะให้ครบทุกคน
กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจาการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดี่ยวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าแม่ขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจรที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็นเสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า”
เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯฝากตัวเป็นศิษย์ :-
อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลัง คงกระพันชาตรี มีอีกมากมาย อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้วได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน และเป็นที่ต้องอัธยาศัยซึ่งกันและกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ อาจารย์ เพื่อจักได้ศึกษาทางมหาพุทธาคม และปรากฏว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงพ่อเองก็หมดความรู้ จึงได้ให้เสด็จในกรมฯ ไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัด
พิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้นและได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถ ซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้
หลวงปู่ศุข ท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง
( ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด
เมื่อหลวงปู่ศุข ท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้ก็คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่ทางกรมศิลป์ยกย่องว่าเสด็จในกรมฯ ทรงมีฝีมือในการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธเจ้าชนะมาร ในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤาษีปัญจวัคคีเมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเลิกทรมานการหันมากินอาหาร ก็นึกว่า พระองค์คงจะถ้อถอยละความเพียรแล้ว จึงพากันผละหนีพระองค์ไปนั้น เสด็จในกรมฯ ท่านเขียนใบหน้าของฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดอารมณ์ที่
ยิ้มเยาะเย้ยหยันอย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์ เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก
ฝีมือของเสด็จในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือภาพเขียนสีน้ำมันเป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนขึ้นในขณะที่หลวงปู่มีอายุมากแล้วจึงต้องเดินสามขา
ศิลปวัตถุในพุทธศาสนาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า นอกจากพระอุโบสถแล้วยังมีมณฑปจตุรมุขประดิษฐ์บานรอยพระพุทธบาท ประตูทั้ง ๔ บานนั้นแกะด้วยไม้สัก แกะลวดลายลึกถึงสามชั้น เคยมีคนสมคบกันเอาบานประตูมณฑปจตุรมุขออกขาย เอาลงมากรุงเทพฯ เตรียมใส่เรือกระแชงในคลองมหานาคเพื่อออกต่างประเทศ ด้วยดวงวิญญาณในหลวงปู่ศุขท่านผูกพันอยู่กับศาสนาวัตถุที่ท่านสร้างเอาไว้ในบวรพุทธศาสนา ท่านจึงเข้าประทับทรงจากหิ้งบูชาจังหวัดนครสวรรค์ รับเอาท่านแม่ทัพที่นครสวรรค์ (ขออภัยผู้เขียนจำชื่อท่านไม่ได้) และมารับเอาท่านนายอำเภอประจำจังหวัดชัยนาทในขณะนั้น คือ คุณสุธี โอบอ้อม แล้วนั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ร่างทรงหลวงปู่ฯ ได้พาคณะลดเลี้ยวเข้าครอกเข้าซอยจนมาถึงเรือกระแชงที่บรรทุกบาน
ประตูมณฑปเตรียมขนออกนอกได้อย่างทันท่วงที ยึดเอาบานประตูทั้ง ๔ บาน คืนกลับไป ขณะนั้นยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าพานิชวนาราม อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท และยังไม่ได้ส่งคืนวัดปากคลองมะขามเฒ่า เพราะเหตุอะไรนั้น ชาวจังหวัดชัยนาทเขาทราบกันดี
ปัจจุบันชาวจังหวัดชัยนาทผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ได้ร่วมกันสร้างรูปหุ่นขี้ผึ้งไว้ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า เพื่อจะได้ทำการสักการบูชาโดยทั่วกัน กรมทหารเรือเห็นความสำคัญ จึงได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมณฑป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำให้ประชาชนทั้งใกล้และไกลต่างจังหวัด หลั่งไหลมาสักการะบูชาทุก ๆ วันมิได้ขาด วัดปากคลองมะขามเฒ่า จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาทต่อไป
เรื่องทรงเจ้าเข้าผีนี้ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ แต่ที่ทรงจริงๆ นั้นมันมีน้อย อย่างในกรณีดวงวิญญาณหลวงปู่ศุขประทับทรงแล้วซอกแซกลงมาจากนครสวรรค์ ถึงกรุงเทพฯ เกือบ ๓๐๐ กม. แล้วยังพาคณะเข้าครอกตรอกซอยจนถึงเรือกระแชงที่จอดลอยลำอยู่ในคลองมหานาคนั้นมันเป็นการเดินทางที่สลับวับซ้อนและวกวนน่าดู แต่ร่างทรงก็พาคณะไปจนพบและยึดบานประตูกลับคืนมาได้นั้น มันเป็นเหตุการณ์อันมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และบานประตูมณฑปทั้ง ๔ บานดังกล่าวแล้วนั้น ทั้งเสด็จในกรมฯ และหลวงปู่ศุขได้ช่วยกันสร้างเป็นชิ้นสุดท้าย ระบุปี พ.ศ. ๒๔๖๕ อยู่ที่ซุ้มหน้ามณฑปอีกด้วย
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯ ติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯ ได้สร้างกุฏิอาจารย์ไว้กลางสระที่วังนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิคตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่าจากลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ฯ มาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์ หลวงปู่ศุขท่านขอพ่อแม่มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ฯ ท่านก็เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่
แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด ๑ ปี หลวงปู่ศุขท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ ๑ ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมท่านจะกระทำพิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น ๓ วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามจะไหว้ครูทางวิทยายุทธ์พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืนกับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุมากแล้วสุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยจะได้ลงมา
จากการที่ผู้เขียนได้เคยศึกษาตำราอักขระเลขยันต์จากอาจารย์ท่านมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ผู้สืบสายมาจากท่านใบฎีกายัง วัดหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ซึ่งเป็นฐานาในหลวงปู่ศุข และเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงปู่ศุขรูปหนึ่ง ตำราอักขระเลขยันต์ซึ่งคุณหมอสำนวน ปาลวัฒน์วิไชย แห่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ใช้เวลาค้นคว้าและรวบรวมพระเครื่องในหลวงปู่ศุข ตลอดจนประวัติและเรื่องราวของ ท่านตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ได้นำออกมาตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือรวมเล่มขนาดหนานั้น ได้ตีพิมพ์ตำราอักขระเลขยันต์ของหลวงปู่ศุขที่สอน
ให้กับลูกศิษย์ของท่างลงไปด้วย และบางตอนบางหน้ายังเป็นลายมือของหลวงปู่อีกด้วย นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผู้ที่สนใจจริงๆ แต่ทว่าในตำราอักขระเลขยันต์ของท่านนั้นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งมีอยู่ในตำรามหาพุทธาคมที่เราได้ร่ำเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่างเช่นการเรียนสูตรสนธ์จากคัมภีร์รัตนมาลา ในพระอิติปิโส ๕๖ พระคาถาห้องพระพุทธคุณ ลงเป็นยันต์เกราะเพชรหรือตาข่ายเพชร ยันต์พระไตรสรณาคมน์ตลอด จนคัมภีร์นะ ๑๐๘ และ นะพินธุ หรือ นะปฐมกัลป์ หรือ นะโมพุทธายะใหญ่ และยันต์ประจำตัวของท่านที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำก็คือ ตัวพุทธมวันโลก ที่ท่านใช้จารลงที่หลังพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่าน นอกจากนั้นยังลงด้วยยันต์สามลง มะ อะ อุ ที่ขมวดยันต์ลงหลังรูปถ่ายของท่าน เรียกว่า ยันต์เพชรหลีกน้อย นอกจากนั้นท่านจะนิยมหนุนหรือล้อมด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ นะ มะ พะ ทะ
อนึ่งการที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลังได้ประสิทธิมีฤทธิ์มีเดชทั้งๆ ที่ใช้อักษรเลขยันต์พื้นๆ นั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้นกล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้ง ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิ ฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือ และการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกิดผล ด้วยการใช้พลัง หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ของขลัง พิธีกรรม หรือหลีกลี้ลับ บังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจน การผูกหุ่นพยนต์
ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้ เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็คงเป็นใบมะขาม หัวปลีก็คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟางก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่ด้วยอำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง
จากหนังสือ “พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เรื่องพระใบมะขาม” ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุข ขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ. ๒๔๕๙) ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
“เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่นเงิน ทอง นาก ให้ลง
คาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง
ข้าพเจ้าถามว่าการค้าขาย จะให้ลงว่ากระไร?
หลวงพ่อบอกว่า “นะชาลิติ”
บางคนขอเมตตา ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?
หลวงพ่อพูดติดตลกว่า “เมตยายไม่เอาหรือ เอาแต่เมตตาเท่านั้นหรือ?”
คนขอจึงบอกขอเมตตาอย่างเดียว ข้าพเจ้าถามว่า จะให้ลงว่ากระไร?
ท่านบอกว่า “นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู”
ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร”
หลวงพ่อบอกว่า “มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา”
ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั่นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม แล้วท่านเสกเป่าไปที่ศีรษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมที่ไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุกก็ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฏฐากรูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า “ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ”
อนึ่ง ท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี ไม่ใคร่พูดจา นั่งสงบอารมณ์เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้า
ถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น “เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯ เห็นจนยอมเป็นศิษย์ จริงไหมหลวงพ่อ”
หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า “ลวงโลก” แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่าอะไรอีก
หลวงพ่อพูดต่อไปว่า “เวลานี้กรมหลวงชุมพรฯ ไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯนี้ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้”
หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) พุทธสรมหาเถรเป็นเวลาสิบวันเศษ ได้ทราบว่าสมเด็จเรียนวิทยาคมกับหลวงพ่ออีกด้วย
มรณภาพ :-
ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วันสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิง
อนึ่ง การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริง
นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่หลงเหลืออยู่บ้าง จากการไต่ถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านซึ่งส่วนมากจักล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การที่ท่านได้รับรู้จากการเขียนของ “ท่านมหา” ซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ ดังกล่าวแล้วนั้นคงจักทำให้ท่านมองเห็นสภาพของหลวงปู่ศุข ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร
มหาเสวกโท เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นเจ้าเมืองพระตะบองต่อจาก
บิดา และเป็นสมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลบูรพา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นตระกูล "อภัยวงศ์" ท่านเป็นพระอัยกา (ปู่) ในพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ และเป็น พระมาตามไหยกา (ทวด) ในสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
ประวัติ
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๐๔ ที่เมืองพระตะบอง เป็นบุตรคนโตของเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย อภัยวงศ์) กับท่านผู้หญิงทับทิม (ธิดาเจ้าพระยามหาเสนา (น้อย) ลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) ต้นสกุลบุนนาค) บิดาได้นำเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศึกษาราชการในสำนักสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จนได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นข้าราชการกรมมหาดเล็ก มีบรรดาศักดิ์เป็นนายรองเล่ห์อาวุธรองหุ้มแพรมหาดเล็ก ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระอภัยพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยราชการเจ้าเมืองพระตะบองอยู่กับเจ้าคุณบิดา
เมื่อเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย) ถึงแก่อสัญกรรม จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาคทาธรธรณินทร์ ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง สืบแทนบิดา ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๖ พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (ดั่น) สมุหเทศาภิบาลมณฑลเขมรถึงแก่อนิจกรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นทั้งสมุหเทศาฯ มณฑลบูรพา ควบกับผู้สำเร็จฯ เมืองพระตะบองทั้งสองตำแหน่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร บรมนเรศร์สวามิภักดิ์ สมบูรณ์ศักดิ์สกุลพันธ์ ยุตธรรม์สุรภาพอัธยาศรัย อภัยพิริยบรากรมพาหุ" มีตำแหน่งในราชการกระทรวงมหาด ไทย ถือศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่ เช่นเดียวกับเจ้าพระยาทั้งหลาย และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา
ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ในขณะที่ไทยมีกรณีพิพาทอินโดจีนกับประเทศฝรั่งเศส ต้องแลกมณฑลบูรพากับเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศส ท่านตัดสินใจทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งที่ฝรั่งเศสชวนท่านปกครองเมืองพระตะบองต่อ แต่ท่านกลับอพยพครอบครัวและบุตรหลานมาเป็นข้าราชการธรรมดา มาลาออกมาอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้ทรงพระมหากรุณาพระราชทานนามสกุลแก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) และผู้สืบเชื้อสายต่อจากนั้นไปว่า "อภัยวงศ์" หลังจากนั้นท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ให้ประเทศชาติและจังหวัดปราจีนบุรีมากมาย เช่น บริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล และที่สำคัญคือได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดแก้วพิจิตรที่เมืองปราจีนบุรี โดยเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างและออกแบบเอง และนับเป็นวัดประจำสกุล "อภัยวงศ์"
ด้านอุปนิสัยส่วนตัว เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ชอบที่จะประกอบอาหารรับประทานด้วยตนเอง โดยส่วนมากจะเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร จนกลายเป็นตำรับตกทอดมายังลูกหลานภายในตระกูลและกิจการในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประพาสเมืองปราจีน บุรี ก็ได้ยังเสวยพระกระยาหารที่ท่านเป็นผู้ปรุงอีกด้วย
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองปราจีนบุรี เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ สิริอายุ ๖๑ ปี ได้รับพระราชทานโกศ โดยได้เชิญศพไปตั้งบนตึกที่ท่านสร้างไว้ และได้รับพระราชทานเพลิงศพที่เมรุวัดแก้วพิจิตร และเชิญอัฐิไปบรรจุไว้ที่ฐานพระอภัยวงศ์ ในพระอุโบสถ วัดแก้วพิจิตร เมื่อพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) ถึงแก่อนิจกรรม จึงเชิญอัฐิและอังคารมาไว้เคียงข้างอัฐิของท่านเจ้าพระยาฯ
ได้รับพระราชทานสดับปกรณ์อัฐิและน้ำสุคนธ์สรงอัฐิในทุกวันสงกรานต์จากพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เมื่อพระนางฯ สิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ก็ทรงพระราชทานมาสรงทุกวันสงกรานต์ และถ้าว่างจากพระภารกิจทั้งสองพระองค์ก็จะมาบำเพ็ญพระกุศลพระราชทานแก่เจ้าพระยาอยู่เนืองๆ
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) หรือ พระยายมราช (แบน) เป็นแม่ทัพคนหนึ่งในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้มีพระบรมราชโองการสั่งยกทัพไปช่วยเขมรเพื่อป้องกันการรุกรานจากญวน โดย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสรยศเป็น เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งได้ขอตัวพระยายมราช (แบน) ไปด้วย ด้วยเป็นนายทหารฝีมือดี เมื่อเสด็จนำกองทัพไปถึงเมืองกัมพูชาแล้ว พระยาสรรค์ก่อกบฏขึ้นในกรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกต้องรีบนำทัพกลับเพื่อจัดการกบฏ แต่ทางกัมพูชานี้ได้ทิ้งไว้ให้พระยายมราช (แบน) เป็นผู้ดูแล ไม่นานนัก เมื่อเสด็จมาถึงและได้ปราบดาภิเษกเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าแล้ว ส่วนพระยายมราช (แบน) ก็ติดราชการอยู่ที่เมืองกัมพูชาอยู่
ต่อมา นักองค์เอง เจ้านายฝ่ายเขมร ในเวลานั้นอายุเพียง ๕ ขวบ เป็นผู้มีสิทธิ์ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเขมร พระยายมราช (แบน) คิดว่าหากปล่อยไว้คงเกิดการฆ่าฟันขึ้นอีก จึงให้พระยาเขมรและขุนนางฝ่ายไทยคุมตัวนักองค์เองขึ้นมาทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าที่กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าก็ได้ทรงรับนักองค์เองเป็นราชบุตรบุญธรรม แล้วมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้เลื่อนยศของพระยายมราช (แบน) เป็น เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) ได้เป็นผู้ปกครองเขมร และถิอเป็นต้นตระกูล "อภัยวงศ์"
และเมื่อถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตระกูลอภัยวงศ์ต่อว่า ได้ปกครองเมืองในประเทศกัมพูชาเรื่อยมา โดยมีเจ้าเมืองผู้ปกครองพระตะบองคนสุดท้าย คือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ตอนนั้นยังไม่มีนามสกุล โดยในช่วงกลางสมัยรัชกาล ฝรั่งเศสได้เข้ามายึดประเทศกัมพูชา แล้วเรียกร้องให้ไทยคืนดินแดนที่ไทยได้มาจากกัมพูชาให้แก่กัมพูชาเสีย ซึ่งความจริง คือ ให้แก่ฝรั่งเศสเพราะฝรั่งเศสเข้ามาปกครองกัมพูชา
ในที่สุดไทยต้องยอมเสียพระตะบอง, เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส ทำให้คนไทยที่อยู่ที่นั่นจำนวนมาก ต้องเลือกว่าจะอยู่หรือจะกลับถ้าอยู่ก็ต้องเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทยอีกต่อไปแล้ว
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์จึงได้ตัดสินใจอพยพครอบครัว พาลูกเมีย ขนของด้วยเกวียนเป็นร้อย ๆ เล่ม ช้าง, ม้าอีกมากมาย เดินทางรอนแรมผ่านป่าทึบมาหลายวัน จากพระตะบองกลับประเทศไทย โดยเดินทางเข้าทางเมืองปราจีนบุรี จึงได้พักผู้คนบริวารและพาหนะที่นี่ ไม่ได้พาเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะที่กรุงเทพฯไม่มีราชการอะไรที่จะต้องเข้าไป ทั้ง ๆ ที่ตัวท่านก็มีบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ แถวสะพานยศเส ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เดิม
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) อดีตเสนาบดีกระทรวงเกษตรพาณิชการ และผู้บัญชาการกรมทหารบก จอมพลฉแรม ทับพุ่ม เป็นหลานปราบกฎบทเมืองอ่างทองโดยคนเมืองอินทบุรี
ประวัติ
จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี มีชื่อเดิมว่า เจิม เป็นชาวฝั่งธนบุรี เกิดเมื่อ วันที่ ๒๘ พ.ศ. ๒๓๙๔ เป็นบุตรของพระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง ชูโต) กับคุณหญิงเดิม บุนนาค และเป็นหลานปู่ของพระยาสุรเสนา (สวัสดิ์ ชูโต) เนื่องจากมารดาถึงแก่กรรม ท่านเจิมจึงได้บวชเณรที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับมารดา จึงมีโอกาสเรียนหนังสือที่วัดพิชัยญาติ
กระทั่ง อายุ ๑๕ ปี ได้เข้าเรียน ที่สำนักสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่สมุหกลาโหม หลังจากเรียนจนชำนาญ ได้เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเมื่อครั้งที่เสด็จเสวยราชสมบัติแรกๆ ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมทหารมหาดเล็ก เพื่อฝึกสอนวิชาทหาร ท่านเจิมจึงได้รับบรรจุเป็นมหาดเล็กหมายเลข ๑ นอกจากนี้ ยังโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งเป็นกองทหารองครักษ์ ซึ่งต่อมาเป็นกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในปัจจุบัน
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เมื่อครั้งเป็นจมื่นสราภัยสฤษดิ์การ อุปทูต ณ เมืองปัตตาเวีย ครั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๔ เจิม แสงชูโต ได้รับยศนายร้อยตรี ตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยที่ ๖ มีบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงศัลยุทธสรกรร" และตามเสด็จประพาสอินเดีย จึงได้เปลี่ยนบรรดาศักดิ์ใหม่เป็น "หลวงศัลยุทธวิธีการ" โดยต่อมา ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น "จมื่นสราภัยสฤษดิ์การ" เนื่องจากเป็น อุปทูตไปยังเมืองปัตตาเวีย
ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๔๒๑ รัฐบาลไทยกับกงสุลอังกฤษเกิดข้อบาดหมางกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เป็นราชทูตออกไปยังประเทศอังกฤษ และจมื่นสราภัยสฤษดิ์การเป็นอุปทูตร่วมคณะ จนกระทั่งเรื่องราวสงบเรียบร้อย จึงได้รับความดีความชอบ เลื่อนเป็น "จมื่นไวยวรนาถ"
ปี พ.ศ. ๒๔๒๖ เกิดเหตุโจรผู้ร้ายชุกชุมที่เมืองสุพรรณบุรี จมื่นไวยวรนาถได้รับมอบหมายให้ไปปราบ ซึ่งสามารถปราบได้สำเร็จ รวมทั้งปราบโจรผู้ร้ายจากทางหัวเมืองตะวันออกด้วย ในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ยังได้รับหน้าที่ให้เป็นแม่ทัพปราบฮ่อที่หัวเมืองลาว และในปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ได้รับหน้าที่ไปปราบฮ่ออีกครั้งหนึ่ง โดยคิดค้นและผลิตลูกระเบิดขึ้นใช้ในการรบ จนกระทั่งปราบฮ่อได้สำเร็จราบคาบ
จมื่นไวยวรนารถได้ริเริ่มวางแผนการ ก่อตั้งโรงไฟฟ้าขึ้นใช้ในกองทัพบก และเชิญชวนให้มีการเข้าหุ้นตั้งโรงไฟฟ้า ซึ่งท่านนำไฟฟ้ามาใช้ ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ มีการจัดตั้งโรงไฟฟ้า ที่วัดเลียบ จนกระทั่งกิจการไฟฟ้าก้าวหน้ามากขึ้น เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ประชาชนทั่วไป ได้รับความสะดวกสบาย และมีไฟฟ้าใช้กันเรื่อยมา นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งโรงทหารหน้า (ปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของกระทรวงกลาโหม) โดยแต่เดิม เป็นที่ตั้งของฉางหลวงเก่าด้วย
ภายหลัง จากการปราบกบฏฮ่อ ได้สำเร็จถึง ๒ ครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ จึงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตร และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ จึงได้รับการโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ดำรงศักดินา ๑๐๐๐๐ ต่อมาได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพ ไปปราบกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ซึ่งก่อการจลาจลที่หัวเมืองเหนือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี รับใช้ราชการ มาจนกระทั่งสมัยรัชการที่ ๖ โดยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี และได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "แสงชูโต" ซึ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้ทรงพระราชทานยศให้เป็น "จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี" ในฐานะที่มีคุณงามความดีต่อประเทศชาติ
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีเมื่อครั้งเป็นเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลปราจีนบุรี ท่านได้ยกตำแหน่ง ต.ศรีราชา ใน อ.บางพระ จ.ชลบุรี ขึ้นเป็น อ.ศรีราชา และลด อ.บางพระ เป็น ต.บางพระ สังกัด อ.ศรีราชา ท่านจึงถือเป็นผู้ก่อตั้งอำเภอศรีราชา
จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ป่วยด้วยโรคตับอ่อนพิการ ถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ เย็นวันรุ่งขึ้น สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสด็จพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ประกอบโกศไม้สิบสองตั้งบนชั้น ๒ ฉัตรเบญจา ๑๐ คัน พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมมีกำหนด ๑๕ วัน ต่อมาวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ
ในการพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันต่อมา เวลา ๗.๐๐ น. เจ้าภาพจึงเก็บอัฐิ
ต่อมาค่ายสุรศักดิ์มนตรี จังหวัดลำปาง ได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ ในการเป็นแม่ทัพสำคัญ ที่ได้ยกพลไปปราบกบฏเงี้ยว และได้มาพัก ณ บริเวณค่าย สุรศักดิ์มนตรีแห่งนี้ โดยได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๔เทศบาลเมืองศรีราชาและประชาชน ชาวศรีราชานำโดย นายอำเภอในสมัยนั้นได้ร่วมกันหล่ออนุสาวรีย์เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีขึ้นเพื่อประดิษฐานบริเวณหน้าที่ว่าการเทศบาลและที่มุขทิศตะวันตกพระอุโบสถวัดศรีมหาราชา
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒
พระเจ้านิโคลัสที่ ๒
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ พระราชสมภพ พ.ศ ๒๔๑๑ สวรรคต พ.ศ ๒๔๖๑
(ซาร์ Tsar มาจากคำว่า Caesar แปลว่าประมุข,จักรพรรดิแห่งรัสเซีย)
เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 และเจ้าหญิงแด็กมาร์แห่งเดนมาร์ก
เจ้าหญิงแด๊กมาร์เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ แห่งเดนมาร์ก
ผู้ได้ฉายาว่า พ่อตาแห่งยุโรป เพราะพระราชธิดาได้ไปเป็นสะใภ้ในราชสำนักทั่วยุโรป
หลายพระองค์ เช่น พี่สาวของเจ้าหญิงแด็กมาร์คือเจ้าหญิงอเล็กซานดร้าเป็นพระสุณิสา(สะใภ้)ในควีนวิคตอเรียแห่งอังกฤษ พระเจ้าซาร์จึงสนิทกับราชสำนักอังกฤษ
.....ส่วนพระมเหสีของพระองค์คือเจ้าหญิงอเล็กซานดร้า(ฝรั่งชื่อมักซ้ำกัน)ก็เป็นพระธิดาใน แกรนด์ดยุค หลุยส์ที่ ๔ แห่งเฮสส์และไรน์(ในเยอรมัน) กับเจ้าหญิงอลิซแห่งอังกฤษเจ้าหญิงอลิซเป็นพระราชธิดาในควีนวิคตอเรีย พี่สาวเจ้าหญิงอเล็กซานดร้าเป็นย่าของเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระพระราชสวามีของ ควีนอลิซาเบธที่ ๒ แห่งอังกฤษ ฉะนั้นบุคคลทั้งหมดนี้จึงเป็นพระญาติกันหมด เมื่อพระเจ้าซาร์และครอบครัวถูกสังหารและภายหลังมีการพิสูจน์ดีเอ็นเอจึงได้นำเส้นผม ของเจ้าชายฟิลิปมาพิสูจน์ เพราะเป็นพระญาติกันนั่นแล พระเจ้านิโคลัสที่ ๒ จักรพรรดินีอเล็กซานดร้า พระมเหสีและพระราชโอรส-ธิดา คือ เจ้าหญิงโอลก้า,เจ้าหญิงทาเทียน่า,เจ้าหญิงมาเรีย,เจ้าหญิงอนาสตาเซีย,เจ้าชายอเล็กเซย์ (ร.๕ รับเสด็จซาเรวิชนิโคลัสเมื่อเสด็จมาสยาม พ.ศ ๒๔๓๔)
.....พระเจ้าซาร์เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งรัสเซีย เมื่อครั้งเป็นมกุฏราชกุมาร
หรือซาเรวิช แกรนด์ ดุ๊ก นิโคลัส เคยเสด็จมาสยามในพ.ศ ๒๔๓๔ ประทับอยู่วังสราญรมย์ใกล้วัดพระแก้ว ได้เสด็จไปทอดพระเนตรการคล้องช้างที่อยุธยาและประทับที่วังบางปะอินด้วยรวมเวลาอยู่ในสยาม ๕ วัน ราชสำนักสยามโดยการนำของร.๕ ทรงจัดการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ จนมีประโยคฮิตสมัยนั้น เวลาใครจัดงานใหญ่โตมักจะพูดว่า ราวกับรับซาเรวิช
.....ต่อมาเมื่อ ร.๕ เสด็จประพาสยุโรป พ.ศ ๒๔๔๐ ได้เสด็จไปยังราชสำนักรัสเซียและได้รับการถวายการต้อนรับอย่างดีเหมือนพระญาติสนิท มีงานเลี้ยงฉลองทุกวันจนเสด็จจากไป ร.๕ ฉายพระรูปกับพระเจ้าซาร์ รูปนี้ได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสและประเทศยุโรปอื่นๆ ทำให้ฝรั่งเศสเกรงใจสยาม ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
.....ยุคนั้น ร.๕ ส่งพระราชโอรสไปศึกษาในยุโรปหลายพระองค์
พระเจ้าซาร์จึงออกปากขอดูแลเจ้าชายสยามสักพระองค์หนึ่ง ร. ๕ จึงส่งเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯไปพักอยู่ในราชสำนักรัสเซีย
(ในกระทู้ผีเคยบอกแล้วว่าเจ้าฟ้าจักรพงษ์เป็นทูลหม่อมทวดของฮิวโก้วงสิบล้อ)
(เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯฉายพระรูปกับอาจารย์วิชาทหารและนักเรียนไทยชื่อนายพุ่ม)
(เจ้าฟ้าจักรพงษ์ทรงเสกสมรสกับสตรีรัสเซีย เด็กตรงกลางคือพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นเสด็จตาของฮิวโก้)
.....อวสานของราชวงศ์โรมานอฟ เมื่อพ.ศ ๒๔๖๑ เกิดการปฏิวัติในรัสเซียโดยกบฏบอลเชวิค จับพระเจ้าซาร์และครอบครัว ไปกักขังไว้ในบ้านหลังหนึ่งในเยคาทารินเบิร์ก เขตไซบีเรียกลางดึกของคืนวันที่ ๑๗ กรกฏาคม ๒๔๖๑ ด้วยคำสั่งของเลนินผู้นำในการปฏิวัติ ยาคอฟ ยูรอฟสกี้ หัวหน้าหน่วยเชกา (ต้นกำเนิดของเคจีบี) พร้อมทหารอีก ๑๒ คน
นำตัวพระเจ้าซาร์ครอบครัวและคนรับใช้ไปที่ห้องใต้ดินอาคารอิมปาตีฟ
จัดให้ยืนนั่งเรียงแถวแล้วระดมยิงอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนเสียชีวิตทั้งหมด
.....จากนั้นทหารนำศพขึ้นรถบรรทุกและทิ้งไว้ในเหมืองร้าง แต่ต่อมาก็นำศพกลับมาทำลายอีก
เพราะเกรงว่าถ้ามีผู้พบศพราชวงศ์โรมานอฟ โดยเฉพาะศพของเจ้าชายอเล็กเซย์แล้ว
จะมีการปลุกกระแสประชาชนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านบอลเชวิค
ภายหลังมีข่าวลือว่าเจ้าหญิงอนาสตาเซียยังไม่ตาย โดยมีหญิงคนหนึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย
เธอชื่อแอนนา แอนเดอสัน แอนนามีรูปร่างหน้าตาคล้ายเจ้าหญิง มีความรู้เกี่ยวกะพระญาติ
แต่ตกๆหล่นๆ นางอ้างว่าเพราะผลกระทบสมองจากการเหตุการณ์ครั้งนั้น
แต่พระญาติของราชวงศ์โรมานอฟได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่เจ้าหญิง เป็นเพียงคนหวังสมบัติของราชวงศ์
แอนนาแต่งงานและเสียชีวิตในอเมริกา ทิ้งให้โลกสงสัยในตัวเธอตลอดไป
จักรพรรดินีโคไลที่ ๒ (รัสเซีย: Николай II, Николай Александрович Романов, tr. Nikolai II, Nikolai Alexandrovich Romanov) หรือ นิโคลัสที่ ๒ (อังกฤษ: Nicholas II; ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑) เป็นจักรพรรดิแห่งรัสเซีย, แกรนด์ดยุคฟินแลนด์และกษัตริย์แห่งโปแลนด์โดยสิทธิ์พระองค์สุดท้าย เช่นเดียวกับจักรพรรดิรัสเซียองค์อื่นๆ พระองค์เป็นที่รู้จักด้วยพระอิสริยยศ ซาร์ บรรดาศักดิ์โดยย่ออย่างเป็นทางการของพระองค์ คือ นิโคลัสที่ 2 จักรพรรดิและอัตตาธิปัตย์แห่งปวงรัสเซีย ศาสนจักรออโธด็อกซ์รัสเซียออกพระนามพระองค์ว่า นักบุญนิโคลัสผู้แบกมหาทรมาน (Passion-Bearer) และถูกเรียกว่า นักบุญนิโคลัสมรณสักขี
จักรพรรดินิโคลัสที่ ๒ ทรงปกครองตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๙๔ จนถูกบีบให้สละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ ในรัชกาลของพระองค์ จักรวรรดิรัสเซียจากที่เคยเป็นมหาอำนาจชั้นนำชาติหนึ่งของโลกกลายเป็นล่มสลายทางเศรษฐ กิจและทหาร ศัตรูการเมืองให้สมญาพระองค์ว่า นิโคลัสกระหายเลือด เพราะโศกนาฏกรรมโฮดึนคา โพกรมต่อต้านยิวที่ถูกกล่าวหา วันอาทิตย์นองเลือด ซึ่งเป็นการปราบปรามการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. ๑๙๐๕ อย่างรุนแรง การประหารชีวิตและเนรเทศศัตรูทางการเมืองจำนวนมากของพระองค์ และการติดตามการทัพในขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน
ภายใต้การปกครองของพระองค์ รัสเซียปราชัยอย่างน่าขายหน้าในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ซึ่งกองเรือบอลติกรัสเซียเกือบถูกทำลายสิ้นที่ยุทธนาวีช่องแคบสึชิมะ ความตกลงอังกฤษ-รัสเซียซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบโต้ความพยายามของเยอรมนีเพื่อเพิ่มอิทธิพลในตะวันออกกลาง ยุติเกมใหญ่ระหว่างรัสเซียกับสหราชอาณาจักร ในฐานะประมุขแห่งรัฐ จักรพรรดินิโคลัสทรงอนุมัติการระดมพลรัสเซียในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๑๔ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้ามามีส่วนของรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อันเป็นสงครามซึ่งทำให้มีชาวรัสเซียเสียชีวิต ๓.๓ ล้านคน
จักรพรรดินิโคลัสที่ ๒ สละราชสมบัติให้หลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๑๗ ซึ่งระหว่างนั้น พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ถูกจำคุกทีแรกที่พระราชวังอเล็กซานเดอร์ที่จักรพรรดิสคอยเซโล แล้วต่อมาในจวนผู้ว่าราชการในโตบอลสค์ และท้ายสุดที่บ้านอีปาตีฟในเยคาเตรินบุร์ก ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. ๑๙๑๘ นิโคลัสถูกส่งตัวให้สภาโซเวียตอูราลท้องถิ่นโดยผู้ตรวจการ วาซิลี ยาคอฟเลฟ ซึ่งต่อมาได้รับใบเสร็จลายลักษณ์เมื่อมีการส่งมอบตัวนิโคลัสเหมือนพัสดุ นิโคลัส ภรรยา อะเลคซันดรา ฟอโดรอฟนา โอรส อะเลคเซย์ นีโคลาเยวิช ธิดาสี่คน โอลกา นิโคเลฟนา, ทาเทียนา นิโคเลฟนา, มาเรีย นิโคเลฟนา, อานาสตาซียา นีคาไลยีฟนา และแพทย์ประจำตระกูล เอฟเกนี บอตคิน คนรับใช้ในจักรพรรดิ อเล็กเซย์ ตรุปป์ สาวรับใช้ในจักรพรรดินี อันนา เดมีโดวา และพ่อครัวประจำตระกูล อีวาน ฮารีโตนอฟ ถูกบอลเชวิคประหารชีวิตในห้องเดียวกันในคืนวันที่ ๑๖/๑๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๑๘
รูปภาพพระมหัศจรรย์ในสมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒
รูปร่างไม่เน่าเปื่อย
Hambo Lama Itigelov ประมุขสูงสุดพุทธศาสนาในรัสเซีย สมัยพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ได้กลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนที่สาธารณรัฐ Buryatia (บูเรียตียา)ในปัจจุบัน หลังการปฏิวัติรัสเซียของเลนิน ก่อนมรณภาพได้สั่งพระภิกษุให้ฝังศพท่าน แล้วอีกหลายปีค่อยขุดศพท่านขึ้นมามีการขุดศพท่านขึ้นมาสองครั้งแต่ไม่กล้าแจ้งให้ทางการทราบ ครั้งหลังสุดปี ๒๐๐๒ สภาพศพยังไม่เน่าแม้ว่าจะอยู่ในห้องธรรมดา ไม่มีการควบคุมอุณภูมิหรือความชื้น เป็นเรื่องที่ลึกลับและแปลกประหลาดมากในรัสเซีย สื่อมวลชนต่างทำข่าวนี้หลายแห่ง ข่าวนี้กำลังโด่งดังมากในประเทศรัสเซีย
สาธารณรัฐบูเรียตียา
สาธารณรัฐบูเรียตียา (รัสเซีย: Респу́блика Буря́тия; บูร์ยัต: Буряад Улас) เป็นเขตสหพันธ์ของประเทศรัสเซีย มีเมืองหลักคือ อูลาน-อูเด มีเนื้อที่ ๓๕๑๓๐๐ ตารางกิโลเมตร และมีประชากร ๙๗๒๐๒๑ คน
สาธารณรัฐปกครองตนเองสังคมนิยมโซเวียตบูร์ยัตประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. ๑๙๙๐ และเปลี่ยนเป็นชื่อสาธารณรัฐบูเรียตียา ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ สาธารณรัฐบูเรียตียานำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้ในปี ค.ศ. ๑๙๙๔
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๕ สาธารณรัฐบูเรียตียาได้ลงนามข้อตกลงทวิภาคีกับสหพันธรัฐรัสเซีย
ภูมิศาสตร์
สาธารณรัฐตั้งอยู่ทางภาคใต้ตอนกลางของไซบีเรียตามแนวชายฝั่งตะวันออกของทะเลสาบไบคาล
เนื้อที่: ๓๕๑๓๐๐ ตารางกิโลเมตร
พรมแดน:-
-ภายใน: แคว้นอีร์คุตสค์ (ตะวันตก/ตะวันตกเฉียงใต้/เหนือ), ดินแดนซาไบคัลสกี (ตะวันออกเฉียงใต้/ตะวันออก/ใต้), สาธารณรัฐตูวา (ตะวันตก)
ระหว่างประเทศ: ประเทศมองโกเลีย (ใต้/ตะวันออกเฉียงใต้)
แม่น้ำ: ทะเลสาบไบคาล (N)
จุดสูงสุด: ภูเขามุนคู-ซาร์ดึค (3,491 เมตร)
พระยากัลยาณไมตรี
ประวัติพระยากัลยาณไมตรี
พระยากัลยาณไมตรี ดร. ฟรานซิส บี.แซร์ เป็นชาวอเมริกา บุตรของนายโรเบิรต์ และนางมาร์ธา ฟินเล่ย์ เนวิน เกิดทางตอนใต้ของเมืองเซาท์เบทเลเฮม เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๘
การสมรส
ได้สมรสกับ นางสาวเจสซี วูดโรว์ วิลสัน บุตรสาวของปธาณาธิบดี วูดโรวื วิลสัน หลังจากภรรยาคนแรกถึงแก่กรรม ก็ได้สมรสกับนางเอลิซาเบธ อีแวนส์ เกรฟส์ อีกครั้ง
การศึกษา
จบการศึกษาจากวิทยาลัยวิลเลียมส์ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒
ปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕
ปริญญาเอก นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑
ประสบการณ์การทำงาน
เป็นผู้ช่วยอธิการบดีวิทยาลัยวิลเลียมส์ (Williams College) ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ – ๒๔๖๐
เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัย Princeton ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ – ๒๔๖๔
เป็นอาจารย์วิชาการปกครอง ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ – ๒๔๖๖
เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ในวิชากฎหมาย
การเข้ามาเมืองไทยของพระยากัลยาณไมตรี
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ดร. ฟรานซิส บี. แซร์ (Dr. Francis Bowes Sayre) ก็ได้เข้ามารับราชการในเมืองไทย เป็นที่ปรึกษาการต่างประเทศ
ขณะนั้นเมืองไทยกำลังมุ่งที่จะขอแก้ไขสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีที่ประเทศไทยเคยทำไว้กับนานาประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอำนาจศาล และการภาษีอากร ซึ่งประเทศไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ จนสามารถดำเนินการแก้ไขสนธิสัญญาสำเร็จกับประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี ประเทศฮอล์แลนด์ ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศเดนมาร์ก ประเทศนอร์เวย์ ประเทศสวีเดน ประเทศสเปน และประเทศโปรตุเกสได้สำเร็จ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการ พระราชทานบรรดาศักดิ์
ดร.ฟรานซิส บี. แซร์ เป็นชาวตะวันตกคนที่ ๒ ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยากัลยาณไมตรีชาวตะวันตกคนแรกที่เป็นพระยากัลยาณไมตรี โดยใน พ.ศ. ๒๔๔๖ - ๒๔๕๑ เป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หลังจากนั้นเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินจนถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงกราบถวายบังคมลาออกกลับไปสหรัฐอเมริกา เวสเตนการ์ดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยากัลยาณไมตรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔
ผลงานที่สำคัญ
พระยากัลยาณไมตรี ก็มีส่วนช่วยในการร่างรัฐธรรมนูญด้วย โดยรัฐธรรมนูญที่พระยากัลยาณไมตรี ร่างนั้นมีเพียง ๑๒ มาตรา เรียกว่าเป็น “Outline of Preliminary Draft”
มาตรา ๑ ว่าด้วยการยืนยันว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร
มาตรา ๒ - มาตรา ๖ กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีซึ่งบริหารราชการแผ่นดินโดยรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีและถอดถอนรัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบในการบริหารกระทรวงต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีประชุมปรึกษากันแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนำข้อราชการสำคัญขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อขอพระบรมราชวินิจฉัย
มาตรา ๗ กำหนดการแต่งตั้งคณะอภิรัฐมนตรีให้มีอำนาจหน้าที่ถวายคำปรึกษา
มาตรา ๘ สภาองคมนตรี
มาตรา ๙ กำหนดตำแหน่งรัชทายาท
มาตรา ๑๐ กำหนดเรื่องศาลฎีกาและศาลต่างๆ ภายใต้พระราชอำนาจ
มาตรา ๑๑ กำหนดให้อำนาจนิติบัญญัติเป็นของพระมหากษัตริย์
มาตรา ๑๒ กำหนดให้สภาองคมนตรีโดยคะแนนเสียง ๓ ใน ๔ ถวายคำแนะนำให้แก้รัฐธรรมนูญได้
พระยากัลยาณไมตรี ยังได้ไปเจรจาในการขอแก้ไขสัญญาที่ไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างประเทศสยามกับประเทศต่างๆ โดยเดินทางไปยังประเทศ เหล่านั้นเพื่อเจรจาโดยตรง ฟันฝ่าอุปสรรคมากมายจนได้ข้อสรุปกับ ๑๑ ประเทศ เป็นการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต รวมทั้งยกเลิกข้อกำหนดซึ่งจำกัดอัตราภาษีสินค้าขาเข้า ซึ่งได้ทำให้ประเทศสยามมีอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจที่ไม่สมบูรณ์ในบรรดา ๑๑ ประเทศนั้น ๖ ประเทศ ดำเนินการแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๖ และอีก ๕ ประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ ๗
ชีวิตบั้นปลาย
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พระยากัลยาณไมตรี ก็ได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการของสยามก็ได้กลับไปประเทศสหรัฐอเมริกา ไปเป็นอาจารย์สอนกฎหมายระหว่างประเทศอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ยังคงถือว่าเป็นข้าราชการไทยอยู่โดยไม่รับเงินเดือน
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนประเทศไทยประจำศาลอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๒ – ๒๔๘๕ ได้ทำงานให้กับสำนักงานบรรเทาทุกข์และบูรณะฟื้นฟู ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นองค์การบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูของสหประชาชาติ (UNRRA) ไปดำเนินงานในประเทศต่างๆ แถบอาหรับ แอฟริกา อเมริกาใต้ และยุโรป ซึ่งครั้งนี้ท่านได้เป็นที่ปรึกษา
ฝ่ายการเมือง
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนประเทศสหรัฐอเมริกาในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติครั้งที่ ๒
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ท่านได้เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อปฏิบัติงานด้านส่งเสริมศาสนาคริสเตียนและระบอบประชาธิปไตย
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ท่านได้เดินทางมาเยี่ยมเมืองไทยครั้งแรกหลังจากลาออกจากราชการไทย
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านได้เดินทางมาเยี่ยมเมืองไทยเป็นครั้งสุดท้าย
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ พระยากัลยาณไมตรี ดร. ฟรานซิส บี. แซร์ (Dr. Francis Bowes Sayre) ได้ถึงแก่อนิจกรรมที่บ้านของท่านในกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๕ รวมอายุได้ ๘๖ ปี
แจ้งเตือน
พระราชประวัติรัชกาลที่ ๖ ออกจากหน้านี้แล้ว คลิกเลือกข้างบนของหน้าหลัก
เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด
กรุณาใส่ข้อความ …