๔.พระราชประวัติรัชกาลที่ ๘
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ (ภายหลังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์ (ภายหลังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอีก ๒ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (ภายหลังทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)
พระบทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
พระองค์เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. -๒๔๗๗ ขณะที่มีพระชนมายุเพียง ๘ พรรษา และทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้น จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ
พระองค์เสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกภายหลังทรงราชย์เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ และครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ แต่ก่อนกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง ๔ วัน พระองค์ก็ได้เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืนเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น ๑๒ ปี
พระราชประวัติ ขณะทรงพระเยาว์
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นพระโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลแบร์ก สาธารณรัฐไวมาร์ (ปัจจุบันคือประเทศเยอรมนี) ขณะที่สมเด็จพระราชชนกทรงศึกษาการแพทย์ที่ประเทศเยอรมนี โดยได้รับพระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า หม่อมเจ้าอานันทมหิดล มหิดล หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล โดยสมเด็จพระราชชนนีทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า นันท พระองค์ทรงมีสมเด็จพระเชษฐภคินี ๑ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระอนุชา ๑ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เมื่อทรงพระเยาว์ได้ตามเสด็จสมเด็จพระราชชนกและสมเด็จพระราชชนนีไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้งประเทศฝรั่งเศส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐ ซึ่งสมเด็จพระราชชนกทรงเข้าทรงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกา ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๖๙-๒๔๗๑ แล้วจึงเสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อพระชนมายุได้ ๓ พรรษา ประทับ ณ วังสระปทุม ในระหว่างนั้นสมเด็จพระราชชนกทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ ดังนั้น พระองค์จึงอยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชชนนีเพียงพระองค์เดียว
พระองค์ทรงเริ่มการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี และเข้าทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ แต่หลังจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการ ปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น สมเด็จพระราชชนนีได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการที่จะทรงนำพระโอรสและพระธิดาไปประทับที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยพระองค์ได้เข้าทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนมีเรมองต์ ต่อมาย้ายไปทรงศึกษาที่โรงเรียน "เอกอลนูแวลเดอลาซืออิสโรมองต์" และทรงศึกษาภาษาไทย ณ ที่ประทับ โดยมีพระอาจารย์ตามเสด็จไปจากกรุงเทพ
การขึ้นทรงราชย์
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และมิได้ทรงสมมติเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นรัชทายาท ดังนั้น คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรจึงได้อัญเชิญเสด็จพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลที่มีพระชันษาเพียง ๙ ปี ซึ่งเป็นเจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์พระองค์ที่ ๑ ในลำดับพระราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์
พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ ขึ้นทรงราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไปตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ และได้รับการเฉลิมพระนามใหม่เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ในขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาเพียง ๘ พรรษา และยังทรงประทับอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงทำให้ต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อบริหารราชการแผ่นดินแทนจนกว่าจะทรงบรรลุนิติภาวะ ได้แก่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)
เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์สิ้นพระชนม์ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้แต่งตั้งให้นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเมื่อเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ถึงแก่อสัญกรรม จึงมีการแต่งตั้งให้ นายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แทน หลังจากนั้น เมื่อเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม อินทรโยธิน) ถึงแก่อสัญกรรม รวมทั้ง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง นายปรีดี พนมยงค์ จึงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพียงผู้เดียว จนกระทั่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จกลับสู่พระนคร
การเสด็จนิวัตพระนคร
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชดำเนินตรวจแถวกองทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๒ พร้อมกับหลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน เอิร์ลเมานต์แบ็ตเทนแห่งพม่า เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตพระนคร เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๗ เพื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่เนื่องจากพระพลานามัยของพระองค์ไม่สมบูรณ์แข็งแรงจึงได้เลื่อนกำหนดออกไปก่อน และได้กราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ อีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่ก็ทรงติดขัดเรื่องพระพลานามัยอีกเช่นกัน หลังจากนั้น รัฐบาลได้ส่งพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (หม่อมราชวงศ์สิทธิ์ สุทัศน์) ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชชนนีที่โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตพระนครอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเตรียมการเสด็จนิวัตพระนครนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ คณะรัฐบาลใหม่จึงขอเลื่อนการรับเสด็จออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังจากนั้น รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จนิวัตพระนครอีกครั้ง ในครั้งนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมด้วย สมเด็จพระราชชนนี, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินจากเมืองโลซานที่ประทับโดยทางรถไฟมายังเมืองมาเชลล์ เพื่อประทับเรือเมโอเนีย ในการเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่ประเทศไทย และเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ เรือพระที่นั่งได้เทียบ
จอดทอดสมอที่เกาะสีชัง
รัฐบาลได้จัดเรือหลวงศรีอยุธยาออกไปรับเสด็จมายังจังหวัดสมุทรปราการ ณ ที่นั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้เสด็จไปคอยรับพระราชนัดดาและพระสุนิสาด้วย หลังจากนั้น จึงได้เสด็จโดยเรือหลวงศรีอยุธยาเข้าสู่กรุงเทพมหานคร และทรงประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ซึ่งนับเป็นการเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรกหลังจากเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ทรงใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยเป็นระยะเวลาประมาณ ๒ เดือน จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง พระองค์จึงเสด็จนิวัตพระนครอีกครั้ง พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช แต่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา มิได้ตามเสด็จด้วย เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งการเสด็จนิวัตประเทศในครั้งนี้ ทางราชการได้จัดพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ และเนื่องจากพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้โดยไม่ต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอีก
สวรรคต
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงตั้งพระทัยจะทรงศึกษาปริญญาเอก สาขานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จนเรียบร้อยแล้วจึงจะเสด็จนิวัตพระนครเป็นการถาวรและจะทรงรับการบรมราชาภิเษกในภายหลัง แต่พระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อนด้วยพระแสงปืนในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ก่อนกำหนดการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพียง ๔ วัน ในชั้นต้นทางราชการได้มีการแถลงข่าวสาเหตุการสวรรคตว่าเป็นอุบัติเหตุจากพระแสงปืนลั่น แต่การสอบสวนในภายหลังกลับพบสาเหตุว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์
หลังจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต ได้อัญเชิญพระบรมศพมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง และจัดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง วันรุ่งขึ้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเก็บพระบรมอัฐิ และอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิประดิษฐานที่บุษบกเหนือพระแท่นแว่นฟ้าทองภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มุขตะวันตก และจัดให้มีการพระราชกุศลพระบรมอัฐิขึ้น หลังจากนั้น ได้อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้น ประดิษฐาน ณ พระวิมานชั้นบน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๓ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินอัญเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ไปยังวัดสุทัศน์เทพวราราม และอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารบรรจุลงในหีบ พร้อมทั้งเคลื่อนหีบพระบรมราชสรีรางคารเข้าสู่พระพุทธบัลลังก์ พระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารหลวง วัดสุทัศน์เทพวราราม
การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทำให้เกิดปัญหาในการเรียกขานพระนาม เนื่องจากพระองค์ยังไม่ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี แต่ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดลว่ายังพอจะสนองพระเดชพระคุณให้สมพระเกียรติได้ ด้วยการเฉลิมพระปรมาภิไธยและถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์บางองค์ เช่น นพปฎลมหาเศวตฉัตร ซึ่งใช้กางกั้นพระบรมศพและพระบรมอัฐิ ในวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจึงประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อดุลยเดชวิมลรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย
หลังจากนั้น เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๓๒๕๓๙ ในโอกาสมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เป็นพระปรมาภิไธยอันวิเศษตามแบบแผนโบราณราชประเพณีว่า
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ฯ
พระราชกรณียกิจ
ท พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นครั้งแรก ณ สำเพ็ง พระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙
การปกครอง
พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ และเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ และทรงเยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นครั้งแรก ณ สำเพ็ง พระนคร พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช
เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดความ ขัดแย้งกันระหว่างชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนจนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง เมื่อพระองค์ทรงทราบเรื่อง มีพระราชดำริว่า หากปล่อยความขุ่นข้องบาดหมางไว้เช่นนี้ จะเป็นผลร้ายตลอดไป จึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินสำเพ็ง ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง และพระองค์ทรงพระราชดำเนินด้วยพระบาทเป็นระยะประมาณ ๓ กิโลเมตร การเสด็จพระราชดำเนินสำเพ็งในครั้งนี้จึงเป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นให้หมดไป
การศาสนา
ในการเสด็จนิวัตพระนครครั้งแรกนั้น พระองค์ได้ประกอบพิธีทรงปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธรูปในพระอารามที่สำคัญ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร โดยเฉพาะที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารนั้น พระองค์เคยมีพระราชดำรัสกล่าวว่า "ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง" ดังนั้น เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต จึงได้นำพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์มาประดิษฐาน ณ วัดแห่งนี้
พระองค์ยังทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะผนวชในพระพุทธศาสนา โดยได้มีพระราชหัตเลขาถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ทรงขอสังฆราชานุเคราะห์ในการศึกษาตำราทางพระพุทธศาสนาเพื่อใช้ในการเตรียมพระองค์ในการที่จะอุปสมบท แต่ก็มิได้ผนวชตามที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้ นอกจากนี้ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์บำรุงวัดวาอาราม กับพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ศาสนาอื่นตามสมควร
การศึกษา
ในการเสด็จนิวัตพระนครในครั้งที่ ๒ พระองค์ทรงได้ประกอบพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศ โดยเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจการของหอสมุดแห่งชาติ รวมทั้ง เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมสถานศึกษาหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ทรงศึกษาขณะทรงพระเยาว์ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานปริญญาบัตรเป็นครั้งแรกของพระองค์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ และอีกครั้งที่ หอประชุมราชแพทยาลัย ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยในการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนี้ มีพระราชปรารภให้มีการผลิตแพทย์เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือประชาชน โรงเรียนแพทย์แห่งที่ 2 จึงได้ถือกำเนิดขึ้นที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งในปัจจุบัน คือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากนั้น ในวันที่ ๕ มิถุนายนพ.ศ. ๒๔๘๙ พระองค์ทรงหว่านข้าว ณ แปลงสาธิต ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งถือเป็นพระราชกรณียกิจสุดท้าย ก่อนเสด็จสวรรคต
บุคคลสำคัญในสมัยรัชกาลที่ ๘
๑.นายควง อภัยวงศ์
๒.จอมพล แปลก พิบูลย์สงคราม
นายควง อภัยวงศ์
พันตรีควง อภัยวงศ์ สมาชิกคณะราษฎร อดีตนายกรัฐมนตรีและเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงธรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ และเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก
ประวัติ
พันตรีควงเกิดเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๕ ที่เมืองพระตะบอง เป็นบุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) และคุณหญิงรอด อภัยวงศ์ พ.ศ.๒๔๕๐ ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนเทพศิรินทร์เมื่อสอบไล่ได้มูล ๔ ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สอบไล่ได้ชั้น ๓ แผนกฝรั่งเศส พ.ศ.๒๔๖๒ สอบเข้าศึกษาที่ Ecole Centrale de Lyon และสำเร็จการศึกษาวิชาวิศวกรรมโยธาใน พ.ศ.๒๔๗๐ พันตรีควงได้แต่งงาน
กับคุณหญิงเลขา อภัยวงศ์ มีบุตรธิดา ๓ คน
พันตรีควงถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑
เหตุการณ์สำคัญ
ในระหว่างศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส พันตรีควงได้เป็นกรรมการและปฏิคมของสมาคมนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศส และได้พบกับนายปรีดี พนมยงค์ ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ ที่มาศึกษาในประเทศฝรั่งเศส และอยู่ในเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยาม ณ กรุงปารีสกับนักเรียนทุนรัฐบาลในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนอันเนื่องมาจากเงินแฟรงก์ฝรั่งเศสตกต่ำ และอัครราชทูตมีโทรเลขด่วนกราบบังคมทูลให้เรียกตัวนักเรียนทุนรัฐบาลที่มีปัญหาความขัดแย้งกลับทันที แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยให้อยู่ต่อจนสำเร็จการศึกษา แม้พันตรีควงจะเป็นนักเรียนทุนส่วนตัวแต่ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจนักเรียนทุนรัฐบาลที่มีปัญหา โดยพันตรีควงเขียนบันทึกไว้ว่า “แต่ผมนั้นไม่เกี่ยวด้วยเพราะผมป็นนักเรียนทุนส่วนตัว แต่เรามันมีนิสัยเป็นคนอดอยู่ไม่ได้ เห็นว่าอะไรไม่
ยุติธรรมเราก็ไปช่วยเขา” หลังจากนายปรีดี พนมยงค์สำเร็จการศึกษาพันตรีควงยังมีบทบาทในการเรี่ยรายเงินในการซื้อตั๋วโดยสารเรือชั้น ๑ ให้กับนายปรีดีเมื่อจะเดินทางกลับกรุงเทพฯแทนตั๋วเรือชั้น ๓ ที่ทางสถานอัครราชทูตจัดให้
เมื่อสำเร็จการศึกษาพันตรีควงตั้งใจจะรับราชการในกรมรถไฟหลวงแต่ไม่มีตำแหน่งว่าง จึงเข้ารับราชการในตำแหน่งนายช่างผู้ช่วย กองช่างโทรเลขกรมไปรษณีย์โทร เลขในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑ เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายช่างในพ.ศ.๒๔๗๒
พันตรีควงมีแนวความคิดว่าคนไทยควรมีสิทธิเสียงในการปกครองตัวเองจึงได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร โดยในวันเปลี่ยนแปลงการปกครองได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตัดสายโทรศัพท์และสายโทรเลขในเช้าตรู่ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองพันตรีควงได้รั้งตำแหน่งนายช่างอำนวยการโทรเลขและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท ๒ แม้พันตรีควงจะบอกว่า “ความจริงผมไม่ได้คิดจะเป็นนักการเมืองผมชอบงานอินยิเนียร์มากกว่า” แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมน ตรีครั้งแรก ในพ.ศ.๒๔๗๘
-๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๐ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสั่งราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ
-๑๙ สิงหาคม พ.ศ๒๔๘๔ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
-๘ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๕ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
-ปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๗ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงครามเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางการเมือง โดยรัฐบาลแพ้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อร่างพระราชกำหนดที่รัฐบาลเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรถึง ๒ ฉบับในเวลาที่ห่างกันเพียง ๒ วันคือวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๗ สภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ. ๒๔๘๗ และวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๗ ไม่อนุมัติพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธมณฑล
พ.ศ. ๒๔๘๗ จอมพล ป.พิบูลสงครามจึงขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๗ และสภาผู้แทนราษฎรมีมติเลือก พันตรีควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรี พันตรีควงบันทึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า “ความจริงทางสภาผู้แทนฯหรือพวกผู้คิดการเรื่องนี้เดิมตั้งใจ จะเลือก พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ท่านไม่ยอมรับ” พันตรีควง อภัยวงศ์จึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ ๔ พร้อมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
-การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองยังไม่สิ้นสุดและความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศยังดำรงอยู่ ทำให้การบริหารงานของพันตรีควงเป็นไปโดยความยากลำบาก ตั้งแต่การคัดเลือกผู้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ดังที่พันตรีควงบันทึกไว้ว่า “พล.ต.อ.อดุลย์ อดุลย์เดชจรัสบอกว่าได้โทรศัพท์ไปจริง เพื่อต้องการเตือนว่าบางคนที่นายควงตั้งใจว่าจะขอให้มาร่วมในคณะรัฐบาลนั้น เขาจะไม่ยอมร่วมด้วยและก็เป็นความจริง บุคคลที่นายควงตั้งใจจะขอร้องให้ร่วมคณะรัฐบาลด้วย ๓-๔ ท่านต่างพากันปฏิเสธบางคนกำหนดไว้ด้วยว่า ถ้านายควงไปหาที่บ้านจะไล่เลย เฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้นไม่มีใครกล้ารับ” นอกจากนี้ จอมพล ป.พิบูลสงครามที่ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังคงมีอำนาจโดยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด พันตรีควงต้องไปขอร้องให้จอมพล ป.ลาออกแต่จอมพล ป.ไม่ยอมลาออกเพราะเกรงว่าจะเป็นการทอดทิ้งทหารที่ยังภักดีกับท่านอยู่พันตรีควงจึงต้องเสนอพระบรมราชโองการยุบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
-เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ อีก ๒ วันต่อมาพันตรีควง อภัยวงศ์ ก็ประกาศสันติภาพใน วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ และขอลาออกจากตำแหน่งในวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘ เพื่อให้นายทวี บุณยเกตุ เข้ามารับหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งรัฐบาลระยะสั้นรอ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะเดินทางกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่เจรจากับประเทศผู้ชนะสงครามต่อไป
-เมื่อการเจรจาเสร็จเรียบร้อยลงหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ แล้วจัดให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๙ หลังการเลือกตั้งพันตรีควงได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ ๒ แต่อยู่ในตำแหน่งเพียง ๔๖ วัน เมื่อสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างพระราชบัญญัติ คุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะคับขันที่เสนอโดย ส.ส. พรรคฝ่ายค้านโดยที่รัฐบาลไม่เห็นด้วย พันตรีควงจึงขอลาออกจากตำแหน่ง
-พ.ศ.๒๔๘๙ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์_ปราโมช ได้นำพรรคก้าวหน้ามารวมกับพรรคประชาธิปไตยของ ดร.โชติ_คุ้มพันธ์ตั้งเป็นพรรคประชาธิปัตย์แล้วมาเชิญพันตรีควง อภัยวงศ์เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก
-วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐ จอมพลผิน_ชุณหะวัณได้ทำรัฐประหาร และได้เชิญพันตรีควงเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดการการเลือกตั้ง โดยดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๑
-หลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก พันตรีควง อภัยวงศ์ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ ๔ โดยดำรงตำแหน่งระหว่าง ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ โดยสาเหตุที่ลาออกพันตรีควงบันทึกไว้ว่า “วันหนึ่งในต้นเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๙๑ มีสมาชิกคณะรัฐประหาร ๔ นายคือ พล.ต.สวัสดิ์_สวัสดิเกียรติ พันเอกศิลป์_ศิลป์ศรชัย_รัตนวราหะ พันโทก้าน_จำนงภูมิเวทและพันโทละม้าย_อุทยานนท์ มาพบนายควงที่บ้าน บอกว่าคณะรัฐประหารไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาล เช่นไม่สามารถแก้ปัญหาการครองชีพสูงได้ จึงขอให้ลาออก”
เหตุการณ์สำคัญอื่นๆ
-บิดาของพันตรีควงคือ มหาเสวกโทเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)เคยเป็นเจ้าเมืองพระตะบอง และเป็นสมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลบูรพา ในพ.ศ. ๒๔๕๐ เมื่อเกิดข้อพิพาทอินโดจีนกับฝรั่งเศสและต้องแลกมณฑลบูรพากับเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศส เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เป็นผู้อัญเชิญธงชาติกลับสู่ประเทศไทย ภายหลังสงครามอินโดจีนในพ.ศ.๒๔๘๔ รัฐบาลได้แต่งตั้งให้นายควงเป็นประธานกรรมการรับมอบดินแดนจากรัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศส ก่อนที่จะเดินทางไปรับมอบดินแดนคืนจอมพล ป.พิบูลสงครามได้กล่าวว่า “โดยเฉพาะพันตรีควง อภัยวงศ์ รัฐมนตรีและประธานกรรมการรับโอนดินแดนด้านบูรพานั้น เมื่อ ๓๔ ปีมาแล้ว ท่านเจ้าคุณบิดาได้เป็นผู้อัญเชิญธงไทยกลับสู่ประเทศไทยด้วยอาการน้ำตานองหน้า และในวาระนี้ท่านผู้เป็นบุตรได้มีโอกาสเชิญธงไทยกลับไปสู่ที่เดิม เป็นการสนองเกียรติประเทศชาติและรัฐบาล ทั้งเป็นการสนองความปรารถนาอันแรงกล้วของท่านเจ้าคุณบิดาอีกด้วย”
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม
จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศแปลก พิบูลสงคราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า
"จอมพล ป.พิบูลสงคราม" เป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด คือ ๑๕ ปี ๒๔ วัน รวม ๘ สมัย และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายที่สำคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย "รัฐนิยม" หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างได้ประกาศเป็นกฎหมายในภายหลัง หลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น การรำวง, ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย เป็นผู้เปลี่ยนชื่อ "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" และเป็นผู้เปลี่ยน "เพลงชาติไทย" มาเป็นเพลงที่ใช้
กันอยู่ในปัจจุบัน
คำขวัญที่รู้จักกันดีของนายกรัฐมนตรีผู้นี้คือ "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" หรือ "ท่านผู้นำไปไหนฉันไปด้วย" และ "ไทยอยู่คู่ฟ้า"
ในสายตานักวิชาการประวัติศาสตร์การเมืองไทยส่วนหนึ่งเห็นว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นเผด็จการทางทหารที่มีบทบาททางการเมืองสูง และให้ความสนใจกับความคิดที่ส่อไปในทางเชื้อชาตินิยม
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ในเวลาประมาณ ๒๐.๓๐น. ณ บ้านพักส่วนตัว ชานกรุงโตเกียว สิริอายุได้ ๖๗ ปี
ประวัติวัยเด็ก
จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีชื่อเดิมว่า "แปลก ขีตตะสังคะ" ชื่อจริงคำว่า "แปลก" เนื่องจากเมื่อแรกเกิดบิดามารดาเห็นว่าหูทั้งสองข้างอยู่ต่ำกว่าตา ผิดไปจากบุคคลธรรมดา จึงให้ชื่อว่า แปลก
แปลก ขีตตะสังคะ เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ บิดาชื่อ นายขีด และมารดา ชื่อ นางสำอางค์ ในสกุล ขีตตะสังคะ บ้านเกิดเป็นเรือนแพขนาดใหญ่ ๒ ชั้น ที่ปากคลองบางเขนเก่า ตรงข้ามวัดปากน้ำไม่ห่างจากศาลากลางจังหวัดนนทบุรี และวัดเขมาภิรตาราม อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี อาชีพครอบครัว ประกอบอาชีพ เกษตร กรรม สวนทุเรียนและสวนผลไม้
เด็กชายแปลก ขีตตะสังคะ เป็นบุตรคนที่สองในพี่น้อง ๕ คน พี่ชาย คนโตชื่อ "ประกิต" (รับราชการทหารได้ยศ พลตรี) คนที่สามเป็นหญิงชื่อ
"เปลี่ยน" คนที่สี่เป็นชายชื่อ "ปรุง" คนสุดท้ายชื่อ "ครรชิต" (รับราชการทหารได้ยศ พลตรี)
การศึกษา
การเข้าสู่อาชีพทหาร
เด็กชายแปลก เข้าสู่ระบบศึกษาครั้งแรกที่ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ อายุได้ ๑๒ ปี ได้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยบิดาขอร้องให้ พล.ต.พระยาสุรเสนาช่วยนำฝากเข้าเรียนพร้อมกับพี่ชาย "ประกิต" ศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยเป็นเวลา ๖ ปี (นักเรียนชั้นประถม ๓ ปี นักเรียนชั้นมัธยม ๓ ปี) ได้เป็น"นักเรียนทำการนายร้อย" เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี (๙ พ.ค. ๒๔๕๘) สังกัด "เหล่าปืนใหญ่" โดยได้เป็น "ว่าที่ร้อยตรี" (๑ พ.ย. ๒๔๕๘)
การสมรส
สมรสกับพันโทหญิง ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม จอมพล ป. พิบูลสงคราม และว่าที่ร้อยตรีหญิงจีรวัสส์ พิบูลสงคราม นักเรียนทำการนายร้อยว่าที่ร้อยตรีแปลก เข้าประจำการเหล่าปืนใหญ่ที่ ๗ พิษณุโลก และไม่นานนักได้พบรักกับท่านละเอียด พิบูลสงคราม (ขณะนั้นสกุล พันธ์กระวี) ซึ่งเป็น "นักเรียนชั้นสูงสุดเพียงคนเดียว" ในโรงเรียนผดุงนารี โรงเรียนของคณะมิชชันนารี และเป็นโรงเรียนหญิงแห่งแรกของพิษณุโลก ทั้งทำหน้าที่ "ครูฝึกหัด" ฝึกหัดสอน "ชั้นเล็กๆ" ในโรงเรียนแห่งนี้ด้วย ไม่นานนักทั้งสองก็ทำพิธีหมั้นและพิธีแต่งงานเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๔๕๙ เมื่อว่าที่ร้อยตรีแปลกอายุย่างเข้า ๒๐ ปี ท่านผู้หญิงละเอียดย่างเข้า ๑๕ ปี มีบุตร ๖ คน ได้แก่ พลตรี อนันต์ พิบูลสงคราม พลเรือโท ประสงค์ พิบูลสงคราม ร้อยเอกหญิง จีรวัสส์ ปันยารชุน รัชนิบูล ปราณีประชาชน พัชรบูล เบลซ์ นิตย์ พิบูลสงคราม
อาชีพทหาร – การศึกษา
หลังการแต่งงานได้ ๓ เดือนและเป็นนักเรียนทำการนายร้อยเหล่าปืนใหญ่ที่ ๗ พิษณุโลกครบ ๒ ปี ก้ได้รับยศเป็น "ร้อยตรี" (๒๓ พ.ค. ๒๔๖๐) และย้ายเข้ากรุงเทพเพื่อศึกษาต่อในโรงเรียนเหล่าทหารปืนใหญ่ที่บางซื่อตามระเบียบการศึกษา โดยพาครอบครัวมาด้วย การศึกษา ๒ ปีใน โรงเรียนแห่งนี้แต่ละปีประกอบด้วย ๖ เดือนแรกเรียนประจำอยู่ ณ ที่ตั้ง ๔ เดือนถัดมาไปฝึกในสนามยิงปืนโคกกระเทียม ลพบุรี อีก ๒ เดือนท้าย
ซ้อมรบในสนามต่างจังหวัด
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเหล่าทหารปืนใหญ่ ได้กลับกรมต้นสังกัดประจำการที่ปืน พิษณุโลก แต่ไม่นานนักก็ได้ย้ายมาประจำกรมทหาร ปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ (๑ ส.ค. ๒๔๖๒) ในตำแหน่งนายทหารนสนิทของผู้บังคับบัญชากรม พลตรี หม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ปีถัดมาได้รับยศ "ร้อยโท" (๒๔ ม.ย ๒๔๖๓)
๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔ นายร้อยโทแปลกได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก เป็นรุ่นที่ ๑๐ หลักสูตรการศึกษา ๒ ปี โรงเรียนเสนาธิ การทหารบกเป็นโรงเรียนนายทหารขั้นสูงที่มีนายทหารจำนวนมากประสงค์เข้าศึกษาต่อ แต่โรงเรียนนี้รับนักเรียนได้ประมาณรุ่นละ ๑๐ นาย และนักเรียนที่สอบได้ที่ 1 ของรุ่นจะได้รับทุนไปศึกษาวิชาการเพิ่มเติมที่ต่างประเทศ ในรุ่นของนายร้อยโทแปลกมีผู้สอบไล่ผ่านในปีที่ ๒ เพียง ๗ นาย และนายร้อยโทแปลกสอบไล่ได้เป็นลำดับที่ ๑ ของรุ่นในปีสุดท้ายนี้
การศึกษาที่ฝรั่งเศส
เมื่อจบการศึกษา นายร้อยโทแปลกได้ย้ายไปประจำกรมยุทธศาสตร์ทหารบก (๑ มี.ค. ๒๔๖๖) และปีถัดมาได้เดินทางไปศึกษาวิชาทหารปืนใหญ่ ต่อที่ ประเทศฝรั่งเศส โดยเดินทางไปเรือลำเดียวกับนายร้อยตรีทัศนัย มิตรภักดี นายทหารม้าได้รับทุนไปศึกษาต่อประเทศฝรั่งเศสเช่นกัน
การศึกษาในประเทศฝรั่งเศสประมาณ ๓ กว่าปีนั้น นายร้อยโทแปลกเริ่มต้นด้วย ๘ เดือนแรกเรียนภาษาฝรั่งเศสกับครอบครัวนายโมเร็ล เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๖๗ จึงศึกษาวิชาคำนวณที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ในกรุงปารีส และเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่มเติมที่ L'ecole alliance fran?aise หลังจากนั้นได้เข้าประจำกรมทหารปืนใหญ่ (?cole d'application de l'artillerie) ที่เมืองฟงแตนโบล สำเร็จการศึกษาได้รับประกาศนียบัตร และได้เข้าร่วมการประลองยุทธ ณ ค่าย Valdahon (Doubs) ตั้งแต่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๐
ชีวิตและบทบาททางการเมือง
คณะราษฎร
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เกิดตรงกับในวันชาติฝรั่งเศสด้วย เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญ ได้ใช้ชื่อว่า ป. ซึ่งเป็นตัว อักษรย่อเฉกเช่นชื่อของบุคคลสำคัญหลายคนทางประเทศแถบตะวันตกนายร้อยโทแปลก เป็นหนึ่งในคณะนายทหารผู้ร่วมก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยเป็นนายทหารปืนใหญ่ รุ่นน้อง
ของ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ๒ ปี ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก และเป็นสมาชิกคณะราษฎรยุคก่อตั้งซึ่งมีทั้งหมด ๗ คน ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส โดยถือเป็นผู้นำของคณะทหารบกยศชั้นผู้น้อย ซึ่งก่อนหน้านั้นระหว่างมีการประชุมกันครั้งแรกของคณะราษฎรที่ยาวนานติดต่อกัน ๔ คืน ๕ วัน ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๖๗
นายร้อยโทแปลก ที่สมาชิกคณะราษฎรคนอื่น ๆ ได้เรียกว่า "กัปตัน" และยกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้เสนอว่าหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วให้สำเร็จโทษพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ แต่ทางนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน ได้คัดค้าน โดยยกเหตุผลว่าหากกระทำเช่นนั้น แล้ว จะทำให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงขึ้นทั่วประเทศเหมือนเช่นการปฏิวัติรัสเซียและการปฏิวัติแห่งอังกฤษ
การเดินทางในประเทศเยอรมนี
ขณะนายร้อยโทแปลกได้ศึกษาในประเทศฝรั่งเศส นายร้อยโทแปลกได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเยอรมัน ซึ่งขณะนั้นเป็นสาธารณรัฐไวมาร์ นายร้อยโทแปลกได้เดินทางไปยังดินแดนไรน์แลนด์ ซึ่งถูกยึดครองโดยกองทัพสัมพันธมิตรและซาร์ลันด์ซึ่งถูกยึดครองโดยกองทัพฝรั่งเศส
การรับราชการ
หลังจากจบการศึกษาในฝรั่งเศส นายร้อยโทแปลกได้กลับมารับราชการ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ นายร้อยโทแปลกได้เดินทางกลับเข้าประเทศไทยและเข้าประจำสังกัดเดิมและได้รับเลื่อนยศเป็น "ร้อยเอก" ปีถัดมาย้ายไปดำรงตำแหน่ง "หัวหน้ากองตรวจอากาศสำหรับใช้ทดลอง กรมจเรทหารปืนใหญ่" เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ พันตรี หลวงพิบูลสงครามได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร ในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเป็นกำลังสำคัญในสายทหารบก และเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ท่านได้เลื่อนยศเป็นพันเอก และดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก ครั้นเมื่อ วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อจากพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา โดยการลงมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในช่วงที่ดำรงตำแหน่งก็ได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ภายหลังจากที่กองทัพไทยมีชัยชนะต่ออินโดจีนฝรั่งเศส คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล) ได้ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ แก่พลตรีหลวงพิบูลสงคราม ในเวลาต่อมาเมื่อรัฐบาลจะยกเลิกบรรดาศักดิ์ไทย หลวงพิบูลสงครามในฐานะนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีชุดที่ ๙ จึงลาออกจากบรรดาศักดิ์ โดยหลวงพิบูลสงครามเลือกใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล ใช้ว่า จอมพลแปลก พิบูลสงคราม
ต่อมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว จอมพล ป. เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเป็นแกนนำในการรัฐประหาร ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ และเป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสม ในการปราบกบฏบวรเดช เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่า การกระทรวงกลาโหม และนายกรัฐมนตรีไทยในเวลาต่อมา
การขึ้นสู่อำนาจ
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช
อีกทั้งในการประชุมครั้งสุดท้ายในประเทศไทย ก่อนที่จะลงมือจริงไม่กี่วัน พ.อ.พระยาทรงสุรเดช ซึ่งเป็นนายทหารบกชั้นผู้ใหญ่ ผู้วางแผนการปฏิวัติทั้งหมด ได้เสนอแผนการออกมา ทางจอมพล ป. ซึ่งขณะนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงพิบูลสงคราม ซึ่งถือเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยกว่า ได้สอบถามว่า หากแผนการดังกล่าวไม่สำเร็จ จะมีแผนสำรองประการใดหรือไม่ แต่ทางฝ่าย พ.อ.พระยาทรงสุรเดชไม่ตอบ แต่ได้ย้อนถามกลับไปว่า แล้วทางจอมพล ป. มีแผนอะไร และไม่ยอมตอบว่าตนมีแผนสำรองอะไร ซึ่งทั้งคู่ได้มีปากเสียงกัน หลังจากการประชุมจบแล้ว จอมพล ป. ได้ปรารภกับนายทวี บุณยเกตุ สมาชิกคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนที่เข้าประชุมด้วยกันว่า ตนเองกับ พ.อ.พระยาทรงสุรเดช ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ซึ่งในส่วนนี้ได้พัฒนากลายมาเป็นความขัดแย้งกันระหว่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม กับพระยาทรงสุรเดชในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีกบฏพระยาทรงสุรเดช ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก
นับแต่จอมพล ป. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้มีนโยบายในการสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลัทธิชาตินิยม เช่น ออกกฎหมายคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้เฉพาะคนไทย และปลูกฝังให้ประชาชนนิยมใช้สินค้าไทย ด้วยคำขวัญว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" รัฐบาลจอมพล ป. ได้เปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับการการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และให้เกิดความทันสมัย เช่น ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เลิกสวมเสื้อราชปะแตน และให้นุ่งกางเกงขายาวแทน
มีการยกเลิกบรรดาศักด์ และยศข้าราชการพลเรือน มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และเปลี่ยนวันขึ้นปี ใหม่จากวันที่ ๑ เมษายน ตามโบราณราชประเพณีพระราชจักรีวงศ์ เป็นวันที่ ๑ มกราคมของทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักโลกตะวันตก โดยเริ่มเปลี่ยนในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ทำให้ ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ มีเพียง ๙ เดือน และทำให้อนาคตสั้นลง
มีการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมใหม่ โดยจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ เพื่อจัดระเบียบการดำเนินชีวิตของคนไทยให้เป็นแบบอารยประเทศ โดยประกาศรัฐนิยมฉบับต่างๆ อาทิ สั่งห้ามประชาชนกินหมากโดยเด็ดขาด ให้ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน เปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงแทน ให้สวมหมวก สวมรองเท้า ไม่ส่งเสริมศิลปะและดนตรีไทยเดิมแต่ส่งเสริมดนตรีสากล ฯลฯ โดยมีคำขวัญในสมัยนั้นว่า "มาลานำไทยสู่มหาอำนาจ"
หากผู้หญิงคนใดไม่ใส่หมวกจะถูกตำรวจจับและปรับ และยังวางระเบียบการใช้คำแทนชื่อเป็นมาตรฐาน เช่น ฉัน, ท่าน, เรา มีคำสั่งให้ข้าราชการไทยกล่าวคำว่า "สวัสดี" ในโอกาสแรกที่พบกัน และมีการตัดตัวอักษรที่ออกเสียงซ้ำกันจึงมีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย เช่น กระทรวง ศึกษาธิการ เขียนเป็น กระซวงสึกสาธิการ เป็นต้น เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ดี วัฒนธรรมที่สังคมไทยเริ่มรับมาจากตะวันตกหลายรูปแบบในขณะ
นั้น ยังคงอยู่ต่อมาแม้ว่าจะไม่มีการบังคับใช้ตาม "รัฐนิยม" อีกต่อไป และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ไปแล้ว
ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จากปัญหาเรื่องการใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทย กับอินโดจีน ซึ่งอยู่ในครอบครองฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงเรื่องการใช้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเมืองนครพนม การรบระหว่างฝรั่งเศสกับไทยจึงเริ่มขึ้น ฝรั่งเศสโจมตีไทยทางอรัญประเทศ รัฐบาล จอมพล ป. ส่งทหารไทยเข้าไปในอินโดจีนทางด้านเขมร แต่ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย จนมีการส่งผู้แทนไปลงนามอนุสัญญาโตเกียว เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในครั้งนั้นไทยได้ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคืน รวมทั้งทางใต้ตรงข้ามปากเซ คือ แขวงจัมปาศักดิ์ และดินแดนในเขมรที่เสียให้ฝรั่งเศสไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ กลับคืนมาด้วย และในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔ พลเอก
พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงชัยชนะของไทยต่อฝรั่งเศส และ ๑ ปีต่อมา จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕
หลังจากกรณีพิพาทอินโดจีน จอมพล.ป ได้ประกาศให้ประเทศไทยดำรงสถานะเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดจนกระทั่งญี่ปุ่นทำการยกพลขึ้นบกเพื่อขอทางผ่านไปโจมตีพม่าและมาเลเซีย จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการประคับประคองประเทศชาติ ให้ผ่านพ้นวิกฤตจึงประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นและเข้าร่วมฝ่ายอักษะ ทั้งนี้มีการบอกเล่ากันว่า ท่านขอพระราชทานยศจอมพลให้กับตนเองเพราะท่านต้องการมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างสงครามจอมพล ป. ได้ทำการตกลงช่วยเหลือญี่ปุ่นด้านการรบ เพราะหวังว่าจะได้ดินแดน
เพิ่มเติมเข้ามาครอบครอง โดยประเทศไทยได้รับจังหวัดมาลัย อีกทั้งได้ส่งกองทัพพายัพเข้าดินแดนบางส่วนของพม่าจัดตั้งสหรัฐไทยเดิม หลังสงครามถูกไต่สวนในฐานะอาชญากรสงครามอยู่ระยะหนึ่ง ตาม พระราชบัญญัติอาชญากรรมสงคราม ที่รัฐบาลไทยประกาศใช้เป็นกฎหมายหลังสงครามโลก (มีผู้วิเคราะห์ว่า ส่วนหนึ่งเพื่อมิให้ต้องส่งตัวผู้นำรัฐบาลและนายทหารไทยในยุคนั้นไปให้ศาลอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศที่สัมพันธมิตรตั้งขึ้นที่โตเกียวและเนือร์นแบร์กพิพากษาคดี แต่ให้ศาลไทยเป็นผู้พิพากษาแทน ซึ่งเป็นผลดีต่อชีวิตของอาชญากรรมสงครามเหล่านี้
ที่เป็นคนไทยรอดพ้นจากโทษประหารชีวิตทั้งหมด) อย่างไรก็ดี ศาลไทยได้พิจารณาเห็นว่า กฎหมายย่อมไม่มีผลย้อนหลัง จึงปล่อยตัวเป็นอิสระ หลังจากนั้นก็ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด กลับไปใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่บ้านที่ อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยปลูกผักต่าง ๆ เพื่อเลี้ยงชีพอดมื้อกินมื้อ
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งหลัง
แต่แล้วด้วยความผกผันทางการเมือง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านก็ได้หวนกลับมาคืนสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งจากการทำรัฐประหารของกลุ่มนายทหารที่นับถือการรบชนะฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีน นำโดย พลโทผิน ชุณหะวัณ คราวนี้ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง ๙ ปี ผ่านวิกฤตและเหตุการณ์กบฏจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง เช่น กบฏเสนาธิการ, กบฏวังหลวง, กบฏแมนฮัตตัน รวมทั้งยังเคยยึดอำนาจตัวเองด้วย จึงได้รับฉายาในช่วงที่ยังไม่หลุดจากอำนาจว่า "โจโฉ นายกฯตลอดกาล"
จอมพล ป. ได้รับอีกฉายาหนึ่งว่า "จอมพลกระดูกเหล็ก" เพราะมีชีวิตทางการเมืองอย่างเหลือเชื่อ เคยถูกลอบสังหารมาแล้วถึง ๓ ครั้ง แต่ก็รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ในปี พ.ศ.๒๔๙๔ ที่ท่านถูกจี้ลงเรือศรีอยุธยา ถูกทิ้งระเบิดผ่านเตียง ที่เคยนอนอยู่อย่างเฉียดฉิว ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนับร้อย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ ในเย็นวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อถูก ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายทหารรุ่นน้องที่ไว้ใจและมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้ กระทำการรัฐประหาร ซึ่งได้หลบหนีไปด้วยรถยนต์ส่วนตัวกับผู้ติดตามเพียง ๒ คน ไปอย่างหวุดหวิด โดยผ่านไปทางประเทศกัมพูชา ก่อนจะลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ที่นั่น ครอบครัวได้รับการต้อนรับอย่างดี ทั้งนี้เพราะทางรัฐบาลญี่ปุ่นถือว่าพิบูลสงครามเป็นผู้ที่มีบุญคุณต่อญี่ปุ่น เคยยินยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วยดี ไม่ต้องมีการสู้รบยืดเยื้อเรื้อรังแต่จะทำให้มีแต่ความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งท่านก็ได้พำนักอยู่ที่นั่นจนตราบถึงแก่อสัญกรรม
บั้นปลายชีวิต
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ในเวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. ณ บ้านพักส่วนตัว ชานกรุงโตเกียว สิริอายุได้ ๖๗ ปี โดยก่อนตาย ยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนคนปกติ ยังรับประทานอาหารมื้อเที่ยงพร้อมกับครอบครัวและคนสนิท ได้เหมือนปกติ แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาเย็นก็ได้ทรุดลงและถึงแก่ความตายอย่างกะทันหัน (ซึ่งในเรื่องนี้บางส่วนเชื่อกันว่าเป็นการลอบวางยาพิษ ทั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านั้น จอมพล ป. เริ่มได้สานสัมพันธ์กับ นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นสมาชิกคณะราษฎรยุคก่อตั้งมาด้วยกัน แม้ครั้งหนึ่งทั้งคู่จะเคยเป็นศัตรูทางการเมืองกันมาก่อนก็ตาม แต่ทว่าในเวลานั้นทั้งคู่ต่างก็หมดอำนาจและต้องลี้ภัยในต่างประเทศด้วยกัน แม้จะอยู่คนละที่ แต่ก็มีการติดต่อกันทางจดหมาย โดยมีผู้อาสาเดินจดหมายให้ และใช้รหัสลับแทนชื่อในการติดต่อกัน ซึ่งสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่กระทำการรัฐประหารจอมพล ป. ไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็ถึงแก่อสัญกรรมไปก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ จึงมีการ
คาดหมายว่า อีกไม่นานทั้งจอมพล ป. และนายปรีดีจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยเฉพาะนายปรีดีจะกลับมาแก้ข้อกล่าวหาในคดีสวรรคต และทั้งคู่จะร่วมกันรื้อฟื้นอำนาจทางการเมืองทางสายของคณะราษฎรขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่หมดบทบาทไปเลยอย่างสิ้นเชิงจากการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์
ร่างจอมพล ป. ได้มีพิธีฌาปนกิจขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะมีการนำอัฐิกลับคืนสู่ประเทศไทยในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ในปีเดียวกัน โดยมีพิธีรับอย่างสมเกียรติจากทั้ง ๓ เหล่าทัพ
บทบาททางสังคม
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ริเริ่มองค์กรและหน่วยงานสำคัญ ๆ ของประเทศหลายองค์กร ที่พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองมาจนปัจจุบัน ซึ่งล้วนแต่เป็นหน่วยงานที่มีความเฉพาะของแต่ละวิชาชีพ เช่น รัฐวิสาหกิจ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน), มหาวิทยาลัยศิลปากร, มหาวิทยาลัยบูรพา(วิทยาลัยวิชาการศึกษา ต่อมาเป็น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน ก่อนจะมาเป็น มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำเอาสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ออกมาสู่ภูมิภาค เป็นแห่งแรก) รวมทั้งเป็นผู้ที่ใช้อำนาจ
ยึดสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยเป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ และที่อยู่ของบุคคลสำคัญก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาใช้เป็นสถานที่ราชการ เช่น
วังบางขุนพรหม, วังสวนกุหลาบ, บ้านมนังคศิลา, บ้านพิษณุโลก, บ้านนรสิงห์ เป็นต้น
ผู้ก่อตั้งโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศ
หลังจากความคิดของเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๓ -พ.ศ. ๒๔๗๕ ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ว่าต้องการที่จะให้ประเทศสยาม มีกิจการแพร่ภาพออกอากาศโทรทัศน์ ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นผลต้องประสบความล้มเหลวในขณะนั้น
อย่างไรก็ดีโทรทัศน์ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งภายใต้กรมประชาสัมพันธ์ นับเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแห่งแรกของทวีปเอเชีย บนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ (Asia Continental) แพร่ภาพออกอากาศในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งข้าราชการกลุ่มหนึ่งของกรมประชาสัมพันธ์ แสดงความคิดเห็นเรื่องการจัดตั้งโทรทัศน์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า "ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรมี Television แล้ว"
วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้นำรัฐบาลมอบหมายให้ กรมประชาสัมพันธ์เสนอ "โครงการจัดตั้งวิทยุโทรภาพ" ต่อคณะรัฐมนตรี ต่อมาวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ คณะรัฐมนตรีลงมติให้จัดตั้งวิทยุโทรภาพและให้ตั้งงบประ มาณ ใน พ.ศ. ๒๔๙๔
ในวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ จอมพล ป. เขียนข้อความด้วยลายมือ ถึง พล.ต. สุรจิต จารุเศรณี อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น ให้ศึกษาจัดหาและจัดส่ง "Television"
วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งถือเป็นวันชาติในสมัยนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เป็นประธาน ในพิธีเปิดสำนักงาน และที่ทำการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวี ช่อง ๔ บางขุนพรหม และเริ่มแพร่ภาพออกอากาศอย่างเป็นทางการ เรียกชื่อตามอนุสัญญาสากลวิทยุ HS1/T-T.V. สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งแรกบนผืนแผ่นดินใหญ่แห่งเอเชีย เครื่องส่งโทรทัศน์เครื่องนี้มีกำลังส่ง ๑๐ กิโลวัตต์ ขาวดำ ระบบ ๕๒๕ เส้นต่อภาพ ๓๐ ภาพต่อวินาที (ต่อมาออกอากาศระบบวีเอชเอฟ ย่านความถี่ที่ ๓ ช่อง ๙ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และในขณะนี้ใช้ชื่อว่า เอ็มคอตเอชดี
ปัจจุบันออกอากาศในระบบยูเอชเอฟ ย่านความถี่ที่ ๕ ช่อง ๔๐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ในระบบดิจิตอล ความคมชัดละเอียดสูง ทางช่องหมายเลข ๓๐ ก่อนหน้านี้ สถานีเคยออกอากาศคู่ขนานกันทั้งสองระบบ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ตลาดนัดกรุงเทพมหานคร
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑1 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศนโยบายจัดตั้งตลาดนัดทั่วประเทศทุกสุดสัปดาห์ ในกรุงเทพฯ มีการจัดตลาดนัดขึ้นที่สนามหลวง ซึ่งเรียกว่า ตลาดนัดสนามหลวง หรือ ตลาดนัดกรุงเทพมหานคร ปัจจุบัน ตลาดนัดสนามหลวงได้ย้ายออกไปจากบริเวณสนามหลวงแล้ว โดยไปอยู่ที่ ตลาดนัดจตุจักร แทน
บ้านพักคนชรา
บ้านพักคนชราบางแค หรือ บ้านบางแค เดิมใช้ชื่อว่า "สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค" ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อให้การสงเคราะห์ผู้สูงอายุตามนโยบายสวัสดิการสังคมของรัฐ โดยเริ่มเปิดดำเนินการในสมัยของนายปกรณ์ อังศุสิงห์ เป็นอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ ปัจจุบันอยู่ภาย
ใต้การสนับสนุนของ มูลนิธิบ้านบางแคในพระอุปถัมภ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
เหตุการณ์สำคัญในรัชกาลที่ ๘
๑.สงครามอินโดจีน
๒.สงครามโลกครั้งที่ ๒
สงครามอินโดจีน
https://board.postjung.com/988879.html
สงครามอิโดจีน
สงครามอินโดจีน (อังกฤษ: Indochina Wars, เวียดนาม: Chiến tranh Đông Dương) เป็นสงครามย่อยหลายสงครามที่เกิดขึ้นทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๔๖ จนถึง ๑๙๘๙ ระหว่างชาวเวียดนามชาตินิยมกับฝรั่งเศส อเมริกา และจีน คำว่า "อินโดจีน" เดิมทีจะหมายถึงอินโดจีนของฝรั่งเศส ซึ่งรวมทั้งรัฐปัจจุบันของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา การใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่หมายถึงภูมิภาคทางภูมิศาสตร์มากกว่าพื้นที่ทางการเมือง สงครามแบ่งออกเป็นสงครามย่อย ๔ สงครามได้แก่
สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๑ (ในฝรั่งเศสเรียกว่า สงครามอินโดจีน ในเวียดนามเรียกว่า สงครามฝรั่งเศส) ที่เริ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ และดำเนินต่อมาจนถึงการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ หลังจากการต่อต้านอันยาวนานกองกำลังเวียดมินห์ ในที่สุดก็ได้รับชัยชนะหลังกองทัพญี่ปุ่นและฝรั่งเศสยอมแพ้ทางตอนเหนือเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ในช่วงสงครามโลกทางใต้ถูกครอบครองโดยกองกำลังของอังกฤษที่ฟื้นคืนการควบคุมอาณานิคมของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ในสหประชาชาติและชาติพันธมิตรพร้อมกับอังกฤษและสหรัฐ ฝรั่งเศสได้ร้องขอที่จะกลับคืนสู่เวียดนามที่เป็นอาณานิคมของพวกเขาก่อนที่จะต้องลงเข้าร่วมในพันธมิตรนาโต้เพื่อต่อต้านการขยายอำนาจของโซเวียตที่เกินอาณาเขตของกลุ่มประเทศในสนธิสัญญาวอร์ซอในสงครามเย็น เวียด มินห์ที่เป็นคอมมิวนิสต์และชาตินิยมยังคงต่อสู้กับฝรั่งเศสต่อไปโดยได้รับการสนับสนุนจากจีนและสหภาพโซเวียต จนในที่สุดก็ผลักให้ฝรั่งเศสที่มีนาโต้คอยหนุนหลังต้องล่าถอยออกจากอินโดจีน
สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๒ (ฝั่งตะวันตกเรียกว่า สงครามเวียดนาม ในเวียดนามเรียกว่า สงครามอเมริกา) ที่เริ่มขึ้นเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเวียดนามใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐกับฝ่ายเหนือ ทั้งกองกำลังของเวียดกงและกองทัพเวียดนามเหนือปัจจุบันกลายเป็นกองทัพประชาชนเวียดนามมันเริ่มขึ้นในปลายทศวรรษที่ ๑๙๕๐ และจบลงในปี ค.ศ. ๑๙๗๕ สหรัฐที่สนับสนุนฝรั่งเศสในสงครามครั้งแรกได้เข้าสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้เพื่อต่อกรกับเวียดกงและเวียดนามเหนือที่เป็นคอมมิวนิสต์ ฝ่ายเหนือได้รับการสนับสนุนทางทหารและเงินจากจีนและสหภาพโซเวียต การต่อสู้ยังเกิดขึ้นในกัมพูชาระหว่างกองทัพที่สหรัฐสนับสนุนกับฝ่ายเขมรแดงที่เป็นคอมมิวนิสต์ (รู้จักกันในชื่อสงครามกลางเมืองกัมพูชา) และในลาวก็มีการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลที่สหรัฐสนับสนุน กองทัพประชาชนเวียดนาม และขบวนการปะเทดลาวที่เป็นคอมมิวนิสต์ (รู้จักกันในชื่อสงครามกลางเมืองลาว)
สงครามกัมพูชา–เวียดนาม เป็นสงครามที่เกิดหลังจากสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 เมื่อเวียดนามได้เข้าบุกกัมพูชาและขับไล่การปกครองของเขมรแดงออกไป สงครามดำเนินตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๗๕ จนถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๘๗ สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๓ หรือสงครามเวียดนาม-จีน เป็นการต่อสู้ระยะสั้นๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จีนได้เข้าบุกเวียดนามเพื่อเป็นการ "ลงโทษ" สำหรับการที่เวียดนามเข้าบุกกัมพูชา และถอนกำลังออกหนึ่งเดือนหลังจากนั้นเมื่อได้รับความสูญเสียอย่างมาก
การสร้างอาณานิคม
การสร้างอาณานิคมและการครอบครองของฝรั่งเศสเป็นผลให้เกิดการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งก่อให้เกิดการเริ่มเปลี่ยนไปเป็นคาทอลิกที่ละน้อย ในขณะที่จักรพรรดิยา ลองยอมต่อการเข้ามาของคาทอลิก ผู้ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระองค์ จักรพรรดิมิญ มาง และจักรพรรดิตือ ดึ๊กกลับนับถือลัทธิขงจื๊อของจีนมากกว่า ทั้งสองพระองค์กดขี่คาทอลิกอย่างรุนแรงและพยายามที่จะขจัดอิทธิพลของฝรั่งเศส ซึ่งก่อให้เกิดการโต้ตอบของชาติคาทอลิกในยุโรป นโยบายโดดเดี่ยวของขงจื๊อนำชาวเวียดนามสู่การปฏิเสธความเจริญ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๕๙ จักรพรรดิ นโปเลียนที่ ๓ แห่งฝรั่งเศส ได้สั่งการให้กองกำลังฝรั่งเศสยกพลขึ้นบกที่ตูราน (ปัจจุบันคือดานัง) เป็นการเริ่มเข้ายึดครองซึ่งคงอยู่เกือบศตวรรษ เมื่อถึงปี ๑๘๘๔ ฝรั่งเศสได้ควบคุมทั้งประเทศอย่างสมบูรณ์ ซึ่งได้กลายมาเป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอินโดจีนของฝรั่งเศส
การต่อต้านจากชนท้องถิ่นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ฮาม หงี, ฟาน ดินห์, ฟุง ฟาน, บุย เชา และสุดท้ายคือโฮ จิ มินห์ ผู้ที่กลับมาจากฝรั่งเศสและเช้าร่วมกับเวียดมินห์ในปี ๑๙๔๑ เขาเป็นสมาชิกก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส โฮ จิ มินห์ยึดมั่นในคอมมิวนิสต์ของเขาและยุบพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนลงเพื่อที่เขาจะได้อำนาจและความเชื่อใจ เมื่อเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงในปี ๑๙๔๕ มันส่งผลให้เกิดการตาย ๒ ล้านราย เวียดมินห์ได้จัดตั้งการปลดเปลื้องครั้งใหญ่ ซึ่งตามมาด้วยชัยชนะเหนือผู้คนมากมาย โฮ จิ มินห์ได้กลายมาเป็นผู้นำของเวียดมินห์
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงเวียดนามเหนือก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโฮ จิ มินห์ ฝ่ายญี่ปุ่นยอมแพ้ต่อกลุ่มชาตินิยมจีนในเวียดนามเหนือและเวียดมินห์ก็ได้ก่อการปฏิวัติในเดือนสิงหาคมไปทั่วประเทศ จักรพรรดิเบาได๋สละอำนาจให้กับเวียดมินห์เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ โฮ จิ มินห์ได้แต่งตั้งให้เบาไดเป็นที่ปรึกษาพิเศษให้กับรัฐบาลใหม่ของเขาในฮานอย ซึ่งได้สิทธิเป็นเอกราชในวันที่ ๒ กันยายนเมื่อเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ในค.ศ. ๑๙๔๖ เวียดนามได้สร้างรัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นมา
ในค.ศ. ๑๙๔๘ ฝรั่งเศสได้พยายามที่จะเอาอาณานิคมเวียดนามของตนคืน ในทางใต้ของเวียดนามญี่ปุ่นได้ยอมแพ้ต่อกองกำลังของอังกฤษ สนับสนุนให้พวกเขาต่อต้านเวียดมินห์ ฝรั่งเศสได้แต่งตั้งให้เบาไดเป็นผู้นำเวียดนาม ซึ่งปกครองเวียดนามส่วนกลางและส่วนใต้ ผลที่ตามาคือสงครามระหว่างฝ่ายใต้ที่ควบคุมโดยฝรั่งเศสและฝ่ายเหนือที่มีพันธมิตรเป็นพวกคอมมิวนิสต์ เรียกกันว่าสงครามอินโดจีนครั้งที่ ๑
สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๑
ในสงครามอินโดจีนครั้งที่ ๑ เวียดนามเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากพวกคอมมิว นิสต์ในจีนและสหภาพโซเวียตได้ต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งเอกราชตั้งแต่เดือนธันวาคม ๑๙๔๖ จนถึงเดือนกรกฎาคม ๑๙๕๔ โดยการต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นรอบๆ ฮานอย มันจบลงด้วยการที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ที่ยุทธการที่เดียนเบียนฟูและฝรั่งเศสก็ต้องถอนกำลังออกจากเวียดนาม
สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๒
สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๒ หรือรู้จักกันในชื่อสงครามเวียดนาม เป็นความสำเร็จของกองทัพประชาชนเวียดนามที่เป็นคอมมิวนิสต์และเวียดกงในการต่อสู้กับทหารของสหรัฐและกองทัพสาธารณรัฐเวียดนามที่สนับสนุนโดยสหรัฐ เนื่องมาจากว่ามันไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ จึงมีการไม่เห็นด้วยอย่างมากเมื่อสงครามเริ่มขึ้น แต่สองเหตุการณ์ที่มักอ้างอิงถึงคือการมาถึงครั้งแรกของที่ปรึกษาสหรัฐในเวียดนามใต้เมื่อปี ๑๙๕๕ และทำการประกาศการมีส่วนเกี่ยวข้องของสหรัฐในปี ๑๙๖๔ ในสงครามชาวเวียดนามเหนือขนส่งเสบียงของพวกเขาผ่านทางทางรถไฟ โฮ จิ มินห์ ซึ่งวิ่งผ่านลาวและกัมพูชา ผลที่ตามมาคือบริเวณพื่นที่เหล่านี้ที่ติดกับชายแดนเวียดนามจะมีการต่อสู้กันอย่างหนัก
สำหรับสหรัฐเป้าหมายทางการเมืองและการรบนั้นเป็นสิ่งที่ยังไม่ชัดเจน ความสำเร็จและการนำเนินการนั้นแย่และการที่ได้รับความสูญเสียอย่างมากทำให้ประชาชนในอเมริกาไม่พอใจกับสงครามครั้งนี้นัก ข่าวของสหรัฐรายงานแนวโจมตีเท็ท (Tet offensive) ในปี ๑๙๖๘ โดยเฉพาะจากซีบีเอส มันถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีนักในการจบสงคราม แม้ว่าแนวโจมตีเท็ทปี ๑๙๖๘ นั้นจะส่งผลให้เกิดชัยชนะของเวียดนามใต้และสหรัฐ พร้อมกับการทำลายความสามารถในการต่อสู้ของกองกำลังเวียดกงอย่างมาก มันกลับเป็นการที่ผู้ออกเสียงในอเมริกันหันไปอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับพวกที่ต่อต้าน
คอมมิวนิสต์
สหรัฐเริ่มถอนทหารออกจากเวียดนามในปี ๑๙๗๐ โดยมีทหารกลุ่มสุดท้ายออกจากประเทศเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๗๓ ฝรั่งเศสทำการหยุดยิงและห้ามไม่ให้เวียดนามเหนือสงทหารเข้ามาในเวียดนามใต้อีก แม้ว่าเวียดนามเหนือจะได้รับอนุญาตให้ครอบครองเมืองของเวียดนามใต้ที่อยู่ตรมแนวโจมตีตะวันออกได้
ฝ่ายเวียดนามใต้ไม่เคยมีแนวโน้มที่จะทำตามข้อตกลง การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปตั้งแต่ค.ศ. ๑๙๗๓-๑๙๗๔ ในขณะที่เวียดนามเหนือวางแผนที่จะเข้าโจมตีครั้งใหญ่โดยจะเริ่มในค.ศ. ๑๙๗๖ กองทัพเวียดนามเหนือในเวียดนามใต้ได้รับความเสียหายในการโจมตีทางฝั่งตะวันออกเมื่อค.ศ. ๑๙๗๓ และมันแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังต้องคำนวณแผนใหม่จนถึงค.ศ. ๑๙๗๖
การถอนกำลังออกส่งผลให้เกิดหายนะต่อกองทัพเวียดนามใต้ ไม่นานหลังจากการสั่งหยุดยิงของฝรั่งเศส สภาคองเกรสของสหรัฐได้ตัดทุนการช่วยเหลือทางทหารต่อเวียดนามใต้ กองทัพเวียดนามใต้ที่ได้รับการฝึกให้ใช้ยุทธวิธีแบบอเมริกันพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะยังคงมีการต่อสู้ประปรายตลอดปี ในที่สุดก็เกิดการต่อสู้ขั้นแตกหักในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๗๕ เวียดนามเหนือได้เข้าโจมตีอย่างรวดเร็วเข้าใส่ฝ่ายใต้ที่อ่อนแอ
ไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียดนามใต้ถูกยึดโดยกองทัพเวียดนามเหนือในวันที่ ๓๐ เมษายน ค.ศ. ๑๙๗๕ และสงครามเวียดนามครั้งที่ ๒ ก็สิ้นสุดลง การต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ตามมาด้วยการถอนกำลังของสหรัฐบางครั้งก็ถูกเรียกว่าสงครามอินโดจีน โดยปกติแล้วจะหมายถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลังค.ศ. ๑๙๗๙
สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๓
สงครามอินโดจีนครั้งที่ ๓ มักรู้จักกันในชื่อสงครามจีน-เวียดนาม เป็นการต่อสู้ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ๑๙๗๙ ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ในค.ศ. ๑๙๗๘ เวียดนามได้เข้าบุกกัมพูชาและขับไล่เขมรแดงออกจากอำนาจ (ดูบทความหลักที่สงครามกัมพูชา–เวียดนาม) สาเหตุที่เวียดนามเข้าบุกนั้นก็เพราะว่าฝ่ายเขมรแดงได้ทำการสังหารหมู่ชาวเวียดนามไปมาก
เขมรแดงนั้นเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับจีน ในค.ศ. ๑๙๗๙ รัฐบาลจีนได้เข้าบุกเวียดนามเพื่อเป็นการลงโทษสำหรับการที่เวียดนามเข้าไปขยายดินแดนในกัมพูชา
การต่อสู้นั้นกินระยะเวลาสั้นแต่รุนแรง จีนได้บุกเข้ามาในเวียดนามเป็นระยะทาง ๔๐ กิโลเมตรโดยเข้ายึดเมืองลางซอนในวันที่ 6 มีนาคม ที่นั่นพวก
เขาคิดว่าเส้นทางสู่ฮอนอยนั้นโล่งแล้ว โดยประกาศว่าภารกิจในการลงโทษเวียดนามสำเร็จและทำการการถอนกำลัง เหตุผลจริงๆ ที่พวกเขาถอนกำลังออกคือการขัดแย้ง ผลจากความขัดแย้งครั้งนั้นทำให้เวียดนามยังคงมีทหารมากจนถึงทุกวันนี้
สงครามโลกครั้งที่ ๒
สงครามโลกครั้งที่ ๒
สาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒
1.ความไม่ยุติธรรมของสนธิสัญญา
-ข้อบกพร่องของสนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีสาเหตุมาจากประเทศชนะสงคราม และประเทศที่แพ้สงครามต่างก็ไม่พอใจในข้อตกลง เพราะสูญเสียผลประโยชน์ ไม่พอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่เยอรมันไม่พอใจในสภาพที่ตนต้องถูกผูกมัดด้วยสัญญาและต้องการได้ดินแดน ผลประโยชน์และเกียรติภูมิที่สูญเสียไปกลับคืนมา (ความไม่พอใจของฝ่ายผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ ๑) ต่อข้อตกลงสันติภาพ โดยเฉพาะสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ ซายส์
เงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนีต้องรับผลจากการสงครามโลกครั้งที่ ๑ อย่างรุนแรง ดังต่อไปนี้
๑. เยอรมนีต้องสูญเสียดินแดนของตนคือ อัลซาสลอเรนให้แก่ฝรั่งเศส ต้องยอมยกดินแดนภาคตะวันออกให้โปแลนด์ไปหลายแห่ง
๒. ต้องยอมให้สันนิบาตชาติเข้าดูแลแคว้นซาร์เป็นเวลา ๑๐ ปี
๓. เกิดฉนวนโปแลนด์ POLISH CORRIDOR ผ่านดินแดนภาคตะวันออกของเยอรมนีเพื่อให้โปแลนด์มีทางออกไปสู่ทะเลบอลติกที่เมืองดานซิก ซึ่งเยอรมนีถูกบังคับให้ยกดินแดนดังกล่าวให้โปแลนด์ เพื่อใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ยังผลให้ปรัสเซียตะวันออกถูกแยกออกจากส่วนอื่นของเยอรมนี ซึ่งฮิตเล่อร์ถือว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ต่อไป
๔. ต้องสูญเสียอาณานิคมทั้งหมดของตนให้แก่องค์การสันนิบาตชาติดูแลฐานะดินแดนในอาณัติ จนกว่าจะเป็นเอกราช
๕. ต้องยอมจํากัดอาวุธ และทหารประจําการลงอย่างมาก
๖. ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจํานวนมหาศาลให้แก่ประเทศที่ชนะสงคราม
2. ความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการ
-ปัญหาทางการเมือง และเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทำให้หลายประเทศหันไปใช้ระบอบเผด็จการเพื่อแก้ปัญหาภายใน เช่น เยอรมนีและอิตาลี นำไปสู่การแบ่งกลุ่มประเทศ เพราะประเทศที่มีระบอบการปกครองเหมือนกันจะรวมกลุ่มกัน ความแตกต่างทางด้านการปกครอง กลุ่มประเทศฟาสซิสต์มีความเข้มแข็งมากขึ้น ได้รวมกันเป็น มหาอำนาจอักษะ (Berlin-Rome-Tokyo Axis ) จุดประสงค์แรก คือเพื่อต่อต้านรัสเซีย ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ ต่อมาได้ขยายไปสู่การต่อต้านชนชาติยิวและนำไปสู่ความขัดแย้งกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
3. ลัทธิชาตินิยมในประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
-ลัทธิชาตินิยมในช่วงคริสตศตวรรษที่ ๒๐ ซึ่งได้เกิดขึ้นในหลายๆประเทศรวมทั้งเยอรมนีด้วยเป็น ลักษณะของลัทธิชาตินิยมมีลักษณะย้ำการดําเนินนโยบายของชาติของตน การดำรงไว้ซึ่งบูรณภาพของชาติ การเพิ่มอํานาจของชาติ ขณะเดียวกันเน้นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมของตน มีความพยายามที่จะรักษาและเพิ่มพูนความไพศาล ศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของชาติตนไว้ มีการเน้นความสําคัญของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ของตน ว่าเหนือเชื้อชาติ หรือเผ่าพันธุ์อื่น
เนื่องจากความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ และเยอรมนีพัฒนาตนเองจนแข็งแกร่งเป็นอาณาจักรเยอรมนีที่ 3 และมีนโยบายบุกรุกดินแดน (นโยบายสร้างชาติภายใต้ระบอบเผด็จการ ฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมันและเผด็จการทหารในญี่ปุ่น)
4. ลัทธินิยมทางทหาร
-ได้แก่ การสะสมอาวุธเพื่อประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้เกิดความเครียดระหว่างประเทศมากขึ้น และเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
5. นโยบายต่างประเทศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ
-การใช้นโยบายออมชอมของอังกฤษเมื่อเยอรมนีละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เช่น การเพิ่มกำลังทหารและการรุกรานดินแดนต่างๆ ทำให้เยอรมนีและพันธมิตรได้ใจและรุกรานมากขึ้น
6. ความอ่อนแอขององค์การสันนิบาตชาติ
- เนื่องจากไม่มีกองทัพขององค์การ ทำให้ขาดอำนาจในการปฏิบัติการและอเมริกาไม่ได้เป็นสมาชิกจึงทำให้องค์การสันนิบาต เป็นเครื่องมือของประเทศที่ชนะใช้ลงโทษประเทศที่แพ้สงคราม (ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติในการเป็นองค์กรกลางเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ) และความอ่อนแอของ องค์การสันนิบาตชาติ ที่ไม่สามารถบังคับประเทศที่เป็นสมาชิกและไม่ปฏิบัติตามสัตยาบันได้
7. บทบาทของสหรัฐอเมริกา
-สหรัฐปิดประเทศโดดเดี่ยว สมัยประธานาธิบดีมอนโร ตามแนวคิดในวาทะมอนโร สหรัฐจะไม่แทรกแซงกิจการประเทศอื่นและไม่ยอมให้ประเทศอื่นมาแทรกแซงกิจการของตนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ประชาชนจึงเลือกพรรคเดโมแครต(Democratic Party)เข้ามาเป็นรัฐบาลปกครองประเทศโดยประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี รุสเวลท์ ได้รับเลือกต่อกันถึงสี่สมัย
( ค.ศ.๑๙๓๓-๑๙๔๕ )
8.สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
-ในช่วงทศวรรษ ๑๙๒๐-๑๙๓๐ โดยเฉพาะช่วง ในปี ค.ศ.๑๙๒๙-๑๙๓๑( ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ )
ชนวนระเบิดของสงครามโลกครั้งที่ ๒
ชนวนที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ฉนวนโปแลนด์(Polish Corridor) มีชาวเยอรมนีอาศัยอยู่มาก เยอรมนีเสียดินแดนส่วนนี้ให้แก่โปแลนด์ตามสนธิสัญญาแวร์ซาย์ และฉนวนโปแลนด์ยังแบ่งแยกดินแดนเยอรมนีเป็นสองส่วน คือส่วนปรัสเซียตะวันตกและปรัสเซียตะวันออก ฮิตเลอร์ ขอสร้างถนนผ่านฉนวนโปแลนด์ไปปรัสเซียตะวันออก อังกฤษและฝรั่งเศสคัดค้าน ฮิตเลอร์จึงยกเลิกสัญญาที่เยอรมนีจะไม่รุกรานโปแลนด์ และทำสัญญาไม่รุกรานกับสหภาพโซเวียต เยอรมนีเริ่มสงครามด้วยการบุกโปแลนด์ 1 กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๙ แบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg)
กองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์เมื่อ ๑ กันยายน ๑๙๓๙ เนื่องจากโปแลนด์ปฏิเสธที่จะยกเมืองท่า ดานซิก และฉนวนโปแลนด์ในเยอรมนี อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งมีสัญญาค้ำประกันเอกราชของโปแลนด์ อังกฤษและฝรั่งเศสจึงยื่นคำขาดได้เยอรมันถอนทหารออกจากโปแลนด์ เมื่อฮิตเลอร์ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งสองประเทศจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อเริ่มสงครามนั้น ประเทศคู่สงครามแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ
๑. ฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่น
๒. ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย
ต่อมาประเทศต่าง ๆ ก็เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนสงครามได้แผ่ขยายกลายเป็นสงครามโลก ในปี ค.ศ. ๑๙๔๒ ฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี) ได้บุกยึดยุทธภูมิสำคัญคือ รัสเซีย แอฟริกาเหนือ และแปซิฟิก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งได้รับชัยชนะมากที่สุดในการยึดครองจักรวรรดิแปซิฟิก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากอาณานิคมของตะวันตกไม่ตกสู้กับญี่ปุ่นเพื่อชาวยุโรป ซึ่งผิดกับญี่ปุ่นที่ถือประโยชน์จากคำขวัญที่ว่า "เอเชียเพื่อชาวเอเชีย" สำหรับสงครามในโลกตะวันออกนั้นเริ่มต้นขึ้นในราว ค.ศ. ๑๙๔๑ เมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่
อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ ในวันที่ ๗ ธันวาคม ปี ๑๙๔๑ สหรัฐอเมริกาจึงประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเยอรมนีและอิตาลีก็ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทั้งสองประเทศได้ทำสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่น จึงเท่ากับเป็นแรงผลักดันให้สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเต็มตัว รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ต่างประกาศสงครามตามสหรัฐอเมริกาเกือบทั้งสิ้น
ฮิตเลอร์กับมุสโสลินีประกาศ อักษะต่อกัน ค.ศ. ๑๙๓๕
เหตุการณ์ของสงครามโลกครั้งที่ ๒
เยอรมนีโจมตีโปแลนด์ เมื่อ ๑ กันยายน ๑๙๓๙
วันที่ ๓ กันยายน ๑๙๓๙ อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนี
-เยอรมนีทำการลบแบบสายฟ้าแลบ ได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว ได้ดินแดนโปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก และฝรั่งเศส โจมตีอังกฤษรัสเซีย ทางอากาศ ซึ่งเป็นสงครามทางอากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สงครามในระยะแรกสัมพันธมิตรแพ้ทุกสนามรบ
-อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศเข้าร่วมสงคราม ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ญี่ปุ่นบุกแมนจูเรีย(จีน)ในปี ค.ศ.1931 และเสนอแผนการที่จะสถาปนา “วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” เพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ สหรัฐจึงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยประกาศสงครามเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ขณะเดียวกันญี่ปุ่นเปิดสงครามในตะวันออกเฉียงใต้หรือเรียกว่า “สงครามมหาเอเชียบูรพา”
-เมื่อเริ่มสงคราม สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลาง แต่เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ซึ่งเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๑๙๔๑ สหรัฐอเมริกาจึงเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ ๒ กับอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้ฝ่ายพันธมิตรมีชัยชนะ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๑๙๔๕
-ในระยะแรกของสงครามฝ่ายอักษะได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากวัน D-Day (Decision - Day) ซึ่งเป็นวันที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่มอร์มังดี (Nomandy)ประเทศฝรั่งเศสด้วยกำลังพลนับล้านคน เครื่องบินรบ 11,000 เครื่อง เรือรบ 4,000 ลำ วิถีของสงครามจึงค่อย ๆ เปลี่ยนด้านกลายเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบ
-การรบในแปซิฟิก ญี่ปุ่นเป็นคู่สงครามกับสหรัฐอเมริกา สงครามก็ยุติลงอย่างเป็นรูปธรรมด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรโดยการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกชื่อลิตเติลบอย ที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๑๙๔๕ และลูกที่ ๒ ชื่อแฟตแมน ที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๑๙๔๕ และวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๑๙๔๕ ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ เมื่อญี่ปุ่นเซ็นต์สัญญาสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาบนเรือรบมิสซูรี ในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๑๙๔๕
การยุติลงของสงครามโลกครั้งที่ ๒
-สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ ชายฝั่งแคว้นนอร์มังดี วัน D-DAY
-สงครามโลกในยุโรปสิ้นสุดลงเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรบุกเข้าเบอร์ลินในเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๙๔๔
-เมื่อสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ในวันที่ ๖ และ ๙ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๕
-ใน ค.ศ. ๑๙๔๓ สัมพันธมิตรได้ประชุมกันที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ประเด็นสำคัญของการประชุมคือ กองกำลังของสัมพันธมิตรจะบุกเข้าไปถึงใจกลางของเยอรมนีและทำลายกองทัพเยอรมนีลงให้ได้ โดยมีนายพลไอเซนเฮาว์ (Eisenhower) เป็นผู้บัญชาการของสัมพันธมิตรในยุโรปตะวันตก การปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด (Operation Overlord) นับเป็นการบุกฝรั่งเศสครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ฝ่ายสัมพันธมิตรประกอบด้วยทหารสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และฝรั่งเศส จำนวน 155,000 คน บุกขึ้นฝั่งนอร์มังดี ทางเหนือของฝรั่งเศส ในวันที่ ๖ มิถุนายน ๑๙๔๔ เรียกว่าวัน D – Day (Decision Day)
ผลของสงครามโลกครั้งที่สอง
๑. มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ(UN : United Nations)เพื่อดำเนินงานแทนองค์การสันนิบาตชาติ ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพของโลกและให้กลุ่มสมาชิกร่วมมือช่วยเหลือกัน และสนับสนุนสันติภาพของโลก รวมทั้งการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่งนับว่ามีความเข้มแข็งกว่าเดิม เพราะสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งและมีกองทหารของสหประชาชาติ
๒. ทำให้เกิดสงครามเย็น(Cold War)ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้น ประเทศสหภาพโซเวียต(USSR) ปกครองโดยสมัยสตาร์ลินมีนโยบายขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปสู่ ยุโรปตะวันออก และเยอรมนีตะวันออก ซึ่งมีทหารรัสเซียเข้าปลดปล่อยดินแดนเหล่านี้จากอำนาจฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่สหรัฐต้องการสกัดกั้นการขยายตัวดังกล่าว และเผยแผ่การปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะดินแดนอาณานิคมที่ประกาศเอกราช เป็นประเทศใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนเกิดสภาวการณ์ที่เรียกว่า สงครามเย็น( Cold War )
๓.ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะ มีการนำอาวุธที่ทันสมัยและระเบิดปรมาณูมาใช้ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าสงครามโลกครั้งที่ ๑
๔.การเกิดประเทศเอกราชใหม่ๆ (ประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกต่างประกาศเอกราชของตนเอง ทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย และ แอฟริกา และบางประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เช่น เยอรมนี เกาหลี เวียดนาม
๕.สภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
๖.ความสูญเสียทางด้านสังคมและทางจิตวิทยา
๗.เกิดมหาอำนาจของโลกใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยืดเยื้อยาวนานเกือบ 6 ปียุติลง ลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์ในอิตาลี นาซีในเยอรมัน และเผด็จการทหารในญี่ปุ่นก็ล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกัน ตำแหน่งแห่งที่มหาอำนาจของโลกก็มีการปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในโลกเสรีหรือโลกประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นอภิมหาอำนาจเหนืออังกฤษและฝรั่งเศส มิใช่เพียงเพราะสหรัฐอเมริกามียุทโธปกรณ์ที่ทรงอานุภาพเท่านั้น แต่เพราะอังกฤษและฝรั่งเศสได้รับความบอบช้ำจากผลพวงของสงครามครั้งนี้
อย่างมหาศาล จึงไม่อาจจรรโลงโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจเดิมเอาไว้ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาก็มิได้เป็นอภิมหาอำนาจเดี่ยวโดยปราศจากคู่แข่ง เพราะอีกขั้วหนึ่งสหภาพโซเวียต(USSR)ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมหา
อำนาจในค่ายคอมมิวนิสต์ ทั้งยังเป็นแกนนำในการเผยแพร่อุดมการณ์การเมืองแบบสังคมนิยมออกไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
๘.เกิดการแบ่งขั้วอย่างชัดเจนของสองมหาอำนาจจนนำไปสู่เกิดสงครามเย็นและการแบ่งกลุ่มประเทศระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยกับโลกคอมมิวนิสต์ สงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอุดมการณ์ฟาสซิสต์ทั้งในยุโรปและเอเซีย และได้เกิดอุดมการณ์ใหม่ขึ้นเมื่อมีการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐ อเมริกาและสหภาพโซเวียต โลกถูกแบ่งแยกออกเป็นสองค่าย กล่าวคือ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำค่ายประชาธิปไตย ส่วนสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์ ต่างฝ่ายต่างพยายามนำเสนอระบบการเมืองที่ตนยึดมั่น เพื่อให้ประเทศอื่น ๆ รับไปใช้เป็นแม่แบบการปกครอง และพยายามแข่งขันกันเผยแพร่อุดมการณ์ทางลัทธิการเมืองของตนในกลุ่มประเทศที่เกิดใหม่หลังสงคราม เงื่อนไขนี้เองจึงก่อให้เกิดการแข่งขัน ขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองการปกครอง และค่อย ๆ ลุกลาม รุนแรงจนอยู่ในสภาพที่เรียกว่า “สงครามเย็น” (Cold War)
๙.เกิดปัญหาเกี่ยวกับประเทศที่แพ้สงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดปัญหาขึ้นในกลุ่มประเทศที่แพ้สงคราม เช่น เยอรมนีถูกแบ่งแยกออกเป็นเยอรมนีตะวันตก ให้อยู่ในอารักขาของสัมพันธมิตร ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ฝ่ายหนึ่ง และเยอรมนีตะวันออกให้อยู่ในความอารักขาของสหภาพโซเวียต จนกระทั่ง ค.ศ. 1949 ฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้จัดให้มีการเลือกตั้งเสรีขึ้นในเยอรมนีตะวันตกและตั้งเป็นสหพันธ์
สาธารณรัฐเยอรมัน ส่วนสหภาพโซเวียตก็ได้จัดตั้งรัฐสภาประชาชนขึ้นในเยอรมนีตะวันออกและปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ จัดตั้งเป็นสาธารณะรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน ทำให้เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้ตกลงมารวมกันเป็นประเทศเยอรมนีนับแต่ปี ๑๙๙๐ เป็นต้นมานอกจากนี้ญี่ปุ่นที่ถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้มีอำนาจเต็มแต่เพียงผู้เดียวในการวางนโยบายครองญี่ปุ่น แต่ยังคงให้ญี่ปุ่นมีรัฐบาลและมีจักรพรรดิเป็นประมุขของประเทศ สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอุดมการณ์ของคนญี่ปุ่นให้หันมายอมรับฟังระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและสันติภาพ ในช่วงที่เกิดสงครามเกาหลีสหรัฐอเมริกาได้เข้าไปช่วยฟื้นฟูพัฒนาเศรษฐกิจญี่ปุ่น และช่วยเหลือให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรม จนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน
- ตามข้อตกลงปอตสดัม ทำให้เยอรมันถูกแบ่งออกเป็น ๔ เขต และถูกยึดครองจากกลุ่มประเทศที่แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ สหรัฐฯ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ฝ่ายหนึ่ง และสหภาพโซเวียต อีกฝ่ายหนึ่ง
- ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของสหภาพโซเวียตกับสหรัฐฯ ส่งผลให้เยอรมันถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ เยอรมันตะวันตก และเยอรมัน
ตะวันออก
๑๐. สหรัฐฯได้เข้าปกครองญี่ปุ่นเป็นเวลานานถึง ๖ ปี โดยเข้าร่วมฝ่ายพันธมิตรหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๑
ในแถลงการณ์ของสหประชาชาติ เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1942 มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมฝ่ายพันธมิตรอย่างเป็นทางการจำนวน 26 ประเทศ
(แถลงการณ์นี้เป็นพื้นฐานของการก่อตั้งสหประชาชาติในภายหลัง)
๑๑. ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมได้รับเอกราช บรรดาดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจตะวันตกและญี่ปุ่นต่างก็ทยอยกันได้รับเอกราชและแสวงหาลัทธิการเมืองของตนเอง ทั้งในเอเชีย และ แอฟริกา เช่น ยุโรปตะวันออกอยู่ในค่ายคอมมิวนิสต์ ยุโรปตะวันตกเป็นกลุ่มประชาธิปไตย ส่วนในเอเชียนั้นจีนและเวียดนามอยู่ในค่ายคอมมิวนิสต์ แต่การได้รับเอกราชของชาติต่าง ๆ ได้ก่อให้เกิดปัญหามากมาย
เช่น เกาหลีภายหลังได้รับเอกราชภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถูกแบ่งเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และได้ทำสงครามระหว่างกัน ค.ศ. ๑๙๕๐- ๑๙๕๓ โดยเกาหลีเหนือซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตและจีนคอมมิวนิสต์เป็นผู้รุกรานเกาหลีใต้ องค์การสหประชาชาติได้ส่งทหารสัมพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกาเข้าปกป้องเกาหลีใต้ไว้ได้ จนต่อมาได้มีการลงนามในสัญญาสงบศึกที่หมู่บ้านปันมุนจอมในเขตเกาหลีเหนือ ปัจจุบันเกาหลีเหนือใต้มีแนวโน้มที่จะรวมกันเป็นประเทศเดียวในอนาคต
เวียดนามต้องทำสงครามเพื่อกู้อิสรภาพของตนจากฝรั่งเศส และถึงแม้จะชนะฝรั่งเศสในการรบที่เดียนเบียนฟูใน ค.ศ. ๑๙๕๔ แต่เวียดนามก็ถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ทั้งสองประเทศได้ต่อสู้กันเพราะความขัดแย้งในอุดมการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างคอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตย ในที่สุดเมื่อสหรัฐอเมริกาผู้สนับสนุนเวียดนามใต้ยุติการให้ความช่วยเหลือและถอนทหารกลับประเทศ เวียดนามก็รวมประเทศได้สำเร็จใน ค.ศ. ๑๙๗๕ ในเวลาเดียวกันลาวและกัมพูชาซึ่งปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของเวียดนาม แต่
สามารถจัดตั้งรัฐบาลของตนเองได้ในเวลาต่อมา
ไทย กับสงครามโลกครั้งที่ ๒
-ทางด้านเอเชีย ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อมา วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กองทหารญี่ปุ่นก็เข้าเมืองไทย ทางสงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ และ สมุทรปราการ ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็เข้าโจมตีเกาะฮาวาย,ฟิลิปปินส์และส่งทหารขึ้นบกที่มลายูและโจมตีสิงคโปร์ทางเครื่องบิน
-สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙)ในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๘ (ขณะนั้นเสด็จประทับอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์) หลวงพิบูลสงคราม(จอมพล ป. พิบูล สงคราม)เป็นนายกรัฐมนตรี
-เมื่อเริ่มสงครามนั้นไทยประกาศตนเป็นกลาง แต่ในวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นนำเรือรบบุกขึ้นชายทะเลภาคใต้ของไทยโดยไม่ทันรู้ตัวรัฐบาลต้องยอมให้ญี่ปุ่นผ่าน ทำพิธีเคารพเอกราชกันและกัน
-กลุ่มคนไทยบางส่วนโดยเฉพาะในต่างประเทศไทยได้จัดตั้งขบวนการเสรีไทย (Free Thai Movement) ดำเนินช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตร จึงช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการแพ้สงคราม ซึ่งในวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ (ค.ศ. ๑๙๔๒) ไทยได้ประกาศสงครามกับอังกฤษและอเมริกา แต่ทูตไทยในสหรัฐอเมริกา ที่นำโดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ไม่ยอมรับทราบในการกระทำของรัฐบาล จึงได้ร่วมมือกันตั้งเสรีไทยขึ้นติดต่อกับนายปรีดี พนมยงค์ ในเมืองไทย เมื่อสงครามสงบในวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ไทยประกาศสงครามเป็นโมฆะ ซึ่งสหรัฐอเมริการับรอง ต่อมาไทยได้เจรจาเลิกสถานะสงครามกับอังกฤษ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ และกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๙
-ความมุ่งหวังที่ญี่ปุ่นจะอาศัยประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังพม่าเพื่อยึดครองอินเดีย ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นเหนือแม่น้ำแคว จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเริ่มสร้างทางรถไฟสายมรณะในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ทั้งคนงานและเชลยศึกจำนวนหมื่นถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟยาว ๔๑๕ กิโลเมตร ต้องโหมทำงานตลอดวันตลอดคืน บุกเบิกเข้าไปในป่ากว้างที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและโรคภัย คนงานและเชลยศึกเหล่านั้นมีทั้งพม่า ชวา มลายู อังกฤษ ออสเตรเลีย ฮอลแลนด์ ต้องประสบความทุกข์ทรมาน เจ็บปวดล้มตายเป็นจำนวนมาก ทางรถไฟพังทลายเพราะน้ำเซาะคันดินและสะพานข้ามแม่น้ำแควถูกระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงวันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ กองทัพญี่ปุ่นจึงได้ทำพิธีเปิดทางรถไฟสายนี้อย่างเป็นทางการ
-สาเหตุที่ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง เหตุเพราะเรามีกำลังน้อยเมื่อญี่ปุ่นบุกจึงไม่สามารถต่อต้านได้ และเพื่อป้องกันมิให้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของญี่ปุ่นในด้านเศรษฐ กิจและการเมือง
-ผลของสงครามต่อไทย คือ
๑.ไทยต้องส่งทหารไปช่วยญี่ปุ่นรบ
๒.ได้ดินแดนเชียงตุง และสี่จังหวัดภาคใต้ที่ต้องเสียแก่อังกฤษกลับมา แต่ต้องคืนให้เจ้าของเมื่อสงครามสงบลง
๓. เกิดขบวนการเสรีไทย ซึ่งให้พ้นจากการยึดครอง
๔.ไทยได้รับเกียรติเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
สำหรับประเทศไทยนั้น เราได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเพียงประเทศเดียวในทวีปเอเชียและแปซิฟิกไม่นับรวมญี่ปุ่น ที่เข้าร่วมกับพวกอักษะ สาเหตุการเข้าร่วมนั้น สืบเนื่องมาจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในสมัย รัชกาลที่ ๕ ทุกประเทศในฝั่งทะเลแปซิฟิกและทะเลอันดามัน ถูกเป็นเมืองขึ้นกันหมด เหลือแต่ไทยและญี่ปุ่นเท่านั้น และจากการที่สยามโดนยึดดินแดนรอบนอกส่วนต่างๆ (ซึ่งเดิมเป็นของไทย) เช่น เขมร ลาว บางส่วนของพม่า บางส่วนของจีน และส่วนเหนือของมาเลเซีย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของสยาม ทำให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมา ประกอบกับเผด็จการจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ต้องการนำส่วนที่เคยเสียไปกลับคืนมา จึงทำให้เราโจมตีอินโดจีนของฝรั่งเศส เราจึงร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่นมุมมองของญี่ปุ่นต่อไทยสมัยนั้น ถือว่าเราเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ และไม่เคยถูกชาวต่างชาติครอบงำเหมือนประเทศหลายๆประเทศในแถบนี้ จึงต้องการให้ไทยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เพราะนโยบายของญี่ปุ่นคือ ต่อต้านและขับไล่ชาวตะวันตก ให้ออกไปจากแผ่นดินเอเชียให้หมด ประเทศต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นจึงถูกโจมตี
สงครามเย็น
สงครามเย็น (ค.ศ. ๑๙๔๕- ๑๙๙๑) คือสงครามที่มหาอำนาจ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรี นำโดย สหรัฐอเมริกา และฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ นำโดย สหภาพโซเวียต ต่อสู้กันด้วยจิตวิทยา เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน โดยทั้ง ๒ ประเทศมหาอำนาจ แข่งขันกันหาพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ การสะสมอาวุธ การแสวงหาความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี และด้านเศรษฐกิจ แม้ทั้ง ๒ ประเทศจะไม่ได้ทำสงครามที่สู้รบกันโดยใช้อาวุธขึ้น แต่ก็เกิดสงครามตัวแทนขึ้น อย่างเช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ภายหลังสงครามเย็นจบลง พร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑
ชนวนของสงคราม
หลังจากที่โลกกำลังฉลองจากสันติภาพที่มาถึง หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ จบไปในวันที่ ๒ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๕ กลิ่นอายของดินปืนยังไม่ทันจางหาย กลิ่นอายของสงครามครั้งใหม่ก็เริ่มก่อตัวขึ้น
สงครามเย็น
สงครามเย็น (ค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๙๑) คือสงครามที่มหาอำนาจ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรี นำโดย สหรัฐอเมริกา และฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต ต่อสู้กันด้วยจิตวิทยา เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน โดยทั้ง ๒ ประเทศมหาอำนาจ แข่งขันกันหาพันธมิตรร่วมอุดมการณ์ การสะสมอาวุธ การแสวงหาความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี และด้านเศรษฐกิจ แม้ทั้ง ๒ ประเทศจะไม่ได้ทำสงครามที่สู้รบกันโดยใช้อาวุธขึ้น แต่ก็เกิดสงครามตัวแทนขึ้น อย่างเช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ภายหลังสงครามเย็นจบลง พร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑
ชนวนของสงคราม
หลังจากที่โลกกำลังฉลองจากสันติภาพที่มาถึง หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ จบไปในวันที่ ๒ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๕ กลิ่นอายของดินปืนยังไม่ทันจางหาย กลิ่นอายของสงครามครั้งใหม่ก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ธงนาโต้
ภายหลังโซเวียตได้ตอบโต้ด้วยการรื้อฟื้นองค์การ “โคมินเทิร์น” หรือ “คอมมิวนิสต์สากล” สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ มาเป็นองค์การ “โคมินฟอร์ม” เพื่อต่อต้าน “จักรวรรดินิยมอเมริกา” โซเวียตได้กล่าวหาว่า “องค์การนาโต้มิได้จัดตั้งมาเพื่อป้องกัน แต่เพื่อเตรียมก่อการสงครามขึ้นใหม่” และได้จัดตั้ง “สนธิสัญญาวอร์ซอ” หรือ “กติกาวอร์ซอ” ขึ้น เพื่อตอบโต้ นาโต้
๑๔ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๕๕ สหภาพโซเวียตจัดตั้ง “สนธิสัญญาวอร์ซอ” เพื่อป้องกันประเทศในกลุ่มของสหภาพโซเวียต โดยมี เยอรมนีตะวันออก โปแลนด์ เชโกสโลวะเกีย ฮังการี บัลแกเรีย โรมาเนีย และแอลเบเนีย เป็นสมาชิก
บุคคลที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ ๘
๑.โฮจิมืนห์ ผู้ชนะในสงครามอินโดจีน
๒.ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชย์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย
โฮจิมินห์
โฮจิมินห์
โฮจิมินห์ (เวียดนาม: H? Ch? Minh, โห่ จี๊ มิญ; คำแปล "แสงสว่างที่นำทาง" เป็นนักปฏิวัติชาวเวียดนาม ซึ่งในภายหลังได้กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (เวียดนามเหนือ) หลังจากสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม ไซ่ง่อน เมืองหลวงเก่าของเวียดนามใต้ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นนครโฮจิมินห์ เพื่อเป็นเกียรติแก่โฮจิมินห์
โฮจิมินห์ เป็นบุคคลที่ชาวเวียดนามถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการประกาศอิสรภาพของเวียดนาม
ประวัติ
โฮจิมินห์เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ ที่หมู่บ้านฮหว่างจู่ จังหวัดเหงะอาน ตอนบนของเวียดนาม ในชื่อ เหงวียน ซิญ กุง (เวียดนาม: Nguy?n Sinh Cung) เป็นบุตรคนที่ ๓ และบุตรชายคนรองของเหงวียน ซิญ ซัก ปัญญาชนชาวเวียดนาม
ซึ่งเวียดนามขณะนั้นตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศส ดังนั้นทั้งโฮจิมินห์และบิดาต่างตกเสมือนอยู่ใน ๒ วัฒนธรรม ทั้งวัฒนธรรมตะวันตกของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ปกครอง และวัฒนธรรมตะวันออกแบบจีนและลัทธิขงจื๊อ อันเป็นวัฒนธรรมของเวียด นาม ด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบ โฮจิมินห์ได้ย้ายตามบิดาไปเว้ ซึ่งไปสอบจอหงวน แต่ต่อมาโฮจิมินห์ได้อาศัยอยู่กับมารดาตามลำพังเพียง ๒ คน เพราะบิดาเมื่อสอบจอหงวนได้ ได้ย้ายไปรับราชการที่ต่างเมือง ขณะที่มารดากำลังตั้งครรภ์ ต่อมาก็ได้คลอดลูกคนเล็กออกมา โฮจิมินห์ในวัย ๑๑ ขวบต้องเลี้ยงน้องเอง เนื่องจากมารดาได้เสียชีวิตไปในขณะคลอด และไม่นานน้องคนเล็กก็เสียชีวิต
เมื่อโตขึ้น โฮจิมินห์ได้สัมผัสกับการเมืองเป็นครั้งแรกจากการที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสให้กับชาวนาที่ถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสกดขี่ ในช่วงนี้ โฮจิมินห์ได้กล่าวว่า ตนได้เห็นการกดขี่และความอยุติธรรม รวมถึงการได้เห็นชาวนาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา ต่อมาโฮจิมินห์รู้ตัวว่า ตนเองต้องได้รับการศึกษาที่มากขึ้นและออกไปท่องโลกกว้างเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตน ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔ จึงได้ย้ายจากเวียดนามไปเป็นพ่อครัวในประเทศฝรั่งเศส ด้วยการสมัครเป็นลูกเรือบนเรือเดินสมุทรที่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศเจ้าอาณา นิคมของเวียดนามในขณะนั้น และได้ศึกษาเรียนต่อที่นั่น โฮจิมินห์ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า เหงวียน อ๊าย โกว๊ก ซึ่งแปลว่า "เหงวียนผู้รักชาติ" โฮจิมินห์ได้ติดต่อกับชาวเวียดนามในฝรั่งเศส เพื่อรวมตัวกันเรียกร้องอิสรภาพจากชาติมหาอำนาจตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ ในฐานะโฆษกของกลุ่ม แต่ทว่าก็ได้รับการรังเกียจและถูกกีดกันออกมา เมื่อโฮจิมินห์พยายามจะยื่นหนังสือต่อวูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขณะเดินทางมายังฝรั่งเศส เพื่อลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ต่อมาโฮจิมินห์ก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษตามลำดับ หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเมื่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คเริ่มการปราบปรามสังคมนิยมนั้น โฮจิมินห์ได้หลบหนีจากจีนมายังจังหวัดนครพนม ประเทศไทย โดยได้บวชเป็นพระภิกษุทำการสอนลัทธิสังคมนิยมให้ชาวไทย โดยใช้ชื่อว่า "ลุงโฮ" โดยช่วงแรกที่หลบหนีในประเทศไทยนั้นเริ่มจากขึ้นเรือที่ท่าน้ำเอสบี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงแรมแม่น้ำ) ไปยังจังหวัดพิจิตร จากนั้นได้เดินทางไปต่อยังจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย โดยใช้ชื่อว่า "เฒ่าจิ๋น" ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ไปจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๔ ท่านได้พำนักอยู่ ณ บ้านของนายเตียว เหงี่ยนวัน เลขที่ ๔๘ หมู่ที่ ๕ บ้านนาจอก ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม รวมเวลาพำนักอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น ๗ ปี ในระยะนี้โฮจิมินห์ต้องเดินทางไปหลบซ่อนในหลาย
ประเทศ ใช้ชื่อปลอมหลายชื่อ ซึ่งครั้งหนึ่ง โฮจิมินห์ได้ถูกตำรวจฮ่องกงจับโดยไม่มีความผิด ได้ถูกขังคุกนานเป็นระยะเวลานาน ๑ ปีเต็ม ในช่วงนี้โฮจิมินห์สภาพร่างกายย่ำแย่มาก เป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือให้พ้นออกมา จากเพื่อนเก่าในสมาคมชาวเวียดนามในฝรั่งเศส รวมถึงเชื่อว่ามี โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นสหายที่ดีต่อโฮจิมินห์ร่วมด้วย
โฮจิมินห์เดินทางกลับมาเวียดนามอีกครั้งในปีพ.ศ.๒๔๘๔ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ฝรั่งเศสในขณะนั้นถูกนาซีเยอรมนีบุกยึดครอง และกลายสภาพเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดให้แก่นาซีเยอรมนี รัฐบาลอินโดจีนจึงรับนโยบายในการปกครองเวียดนามจากนาซีเป็นหลัก โฮจิมินห์จึงสบโอกาสรวบรวมชาวเวียดนามส่วนใหญ่แล้วตั้งเป็นฝ่ายเวียดมินห์ เตรียมแผนที่จะประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสให้ประชาชนชาวเวียดนาม ซึ่งชาวเวียดนามในขณะนั้นยังไม่มีการศึกษา และส่วนใหญ่อดอยากยากจน โฮจิมินห์ได้เข้าถึงตัวชาวบ้านระดับล่าง ด้วยการทำตัวกลมกลืนผูกมิตรไปกับชาวบ้าน ได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันอย่างง่าย ๆ และเพิ่มจำนวนสมาชิกขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการบอกแบบปากต่อปาก ซึ่งหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญ ก็คือ หวอ เงวียน ซ้าป ซึ่งต่อมาเป็นนายพลและสหายคนสำคัญของโฮจิมินห์ อีกทั้งทั้งคู่ยังเป็นคู่เขยของกันและกัน เนื่องจากภรรยาของทั้งคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน และในช่วงนี้เองที่ชื่อ "โฮจิมินห์" ได้ถูกใช้ออกมาเป็นครั้งแรก
และในช่วงปลายของสงคราม โฮจิมินห์ได้ยังติดต่อกับสำนักงานบริการด้านยุทธ ศาสตร์ (OSS) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมมือกันต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นด้วย นับเป็นการร่วมมือกันของทั้ง ๒ ฝ่าย เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม
ในที่สุด โฮจิมินห์ประกาศจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามหลังจากจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย จักรพรรดิเวียดนามพระองค์สุดท้ายประกาศสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เวียดนามก็ได้ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในยุทธการที่เดียนเบียนฟู โฮจิมินห์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเป็นคนแรก ด้วยการประกาศแถลงการณ์ที่จัตุรัสบาดิ่ญ ซึ่งเริ่มต้นด้วยประโยคแบบเดียวกับประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา โฮจิมินห์ปฏิเสธที่จะพำนักในจวนข้า
หลวงใหญ่ฝรั่งเศส ซึ่งโอ่โถง แต่ขออาศัยอยู่ในบ้านพักหลังเล็ก ๆ เท่านั้น
ด้านชีวิตครอบครัว โฮจิมินห์สมรส ๒ ครั้ง ครั้งแรกกับหญิงชาวจีนที่ประเทศจีน ขณะที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในประเทศจีนในวัยหนุ่ม แต่ต่อมาภรรยา
ได้เสียชีวิต และอีกครั้งกับตัง เตวี๊ยต มิญ หญิงชาวเวียดนาม และเป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แม้ทั้งคู่อายุจะห่างกันหลายปีก็ตาม
ในปี พ.ศ.๒๕๐๒ สงครามเวียดนามได้อุบัติขึ้น สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรอื่น ๆ ก็ได้เข้าร่วมสงครามด้วย แต่ผลสุดท้ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โฮจิมินห์ในขณะนั้นอยู่ในวัยชราแล้ว ได้ประกาศว่า ตนลดบทบาททางการเมืองลงมา แม้จะได้รับการนับถืออย่างสูงสุดอยู่ก็ตาม และก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่โฮจิมินห์มิได้อยู่ถึงการชื่นชมชัยชนะในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ด้วยเหตุที่ว่าโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๒ ที่บ้านพักในฮานอย ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว สิริอายุได้ ๗๙ ปี ซึ่งปัจจุบันร่างของโฮจิมินห์ได้ถูกบรรจุในโลงแก้ว เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เคารพ ที่จตุรัสบาดิงห์
เดียนเบียนฟูสนามรบที่ฝรั่งเศสยอมแพ้เวียตนาม
ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔
วันที่๓๑ มกราคม ๒๔๙๔ - ทหารเวียตมินห์๒๐,๐๐๐คนภายใต้การนำของนายพลโวเหวียนเกี๊ยบได้เริ่มทำการบุกเข้าโจมตีค่ายของทหารฝรั่งเศสบริเวณปากแม่น้ำแดง(จากฮานอยไปถึงอ่าวตังเกี๋ย) การสู้รบในสมรภูมิที่เปิดในพื้นที่โล่งเป็นการรบที่ใหม่สำทหารเวียตมินห์ทำให้ถูกฝ่ายฝรั่งเศสภายใต้การนำของนายพลญอณ เดอ ลาตแตร ถล่มย่อยยับ กองกำลังเวียตมินห์เสียชีวิต๖,๐๐๐คนและฝรั่งเศสได้บุกเข้าตีเมืองวินห์เยนใกล้กับกรุงฮานอยทำให้นายพลเกี๊ยบต้องถอนกำลังล่าถอย
วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๙๔ - กำลังของนายพลโวเหวียนเกี๊ยบได้ตั้งเป้าหมายที่จะบุกเข้าตีเมืองเมาเคใกล้ๆกับไฮฟองแต่ต้องถอนกังกลังอีกเพราะถูกฝรั่งเศสยิงถล่มจากเรือรบและการทิ้งระเบิดจากเครืองบิน ซึ่งนายพลเกี๊ยบได้เสียกำลังรบไปอีก๓,๐๐๐คน
วันที่ ๒๙ พฤษภาคม - วันที่ ๑๘ มิถุนายน - นายพลเกี๊ยบได้พยายามที่จะตีแนวรบหรือเส้นเขตแดนที่เรียกว่าเดอ ลาตแตรอีกครั้ง ในครั้งนี้ที่บริเวณแม่น้ำเดย์ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฮานอย แต่กองกำลังของฝรั่งเศสมีกองหนุนทั้งจากเรือปืนและเครื่องบินทำให้นายพลเกี๊ยบพ่ายแพ้อีกและทำให้เสียทหารไปอีกประมาณ๑๐,๐๐๐คนและบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก แต่ฝ่ายฝรั่งเศสก็ได้รับความสูญเสียที่ใหญ่หลวง เพราะนายทหารของฝรั่งเศสชื่อเบอร์นาร์ด เดอ ลาตแตร์ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของนายพลญอณ เดอ ลาตแตร ได้เสียชีวิตในสมรภูมิในการปะทะกันครั้งนี้
วันที่ ๙ มิถุนายน - นายพลเกี๊ยบได้เริ่มถอนกำลังเวียตมินห์ออกจากปากแม่น้ำแดง
เดือนกันยายน ๒๔๙๔ - นายพลเดอ ลาตแตรได้เดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพนตากอน
วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ - กองกำลังของฝรั่งเศสของนายพลเดอ ลาตแตรได้เชื่อมตัวกันที่เมืองฮัวบินห์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮานอยในความพยายามที่จะล่อให้นายพลเกี๊ยบนำกองกำลังออกมารบในสมรภูมิใหญ่
วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน - นายพลเดอ ลาตแตรซึ่งป่วยเป็นมะเร็งกำเริบได้ถูกนายพลราอูล ซาลานเข้าไปรับตำแหน่งแทน นายพลเดอ ลาตแตรได้ถึงแก่กรรมที่ปารีสในอีกสองเดือนต่อมาหลังจากที่ได้รับการเลือนยศให้เป็นนายจอมพล
วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๙๔ - นายพลเกี๊ยบได้เริ่มปฏิบัติการตอบโต้อย่างรัดกุมด้วยการเข้าโจมตีค่ายของทหารฝรั่งเศสที่เมืองทูวูบนชายฝั่งแม่น้ำดำ นายพลเกี๊ยบในขณะนั้นได้เริ่มหลีกเลี่ยงการปะทะกันในรูปแบบของการรบสามัญและหันไปใช้การรบแบบกองโจร(ของคอมมิวนิสต์จีน)แทน วัตถุประสงค์ของเขาคือการตัดเส้นทางส่งสะเบียงของฝรั่งเศส
ในตอนสิ้นปีพ.ศ.๒๔๙๔ ยอดการเสียชีวิตของทหารฝรั่งเศสในเวียตนามมากกว่า ๙๐,๐๐๐คน
พุทธศักราช ๒๔๘๕
วันที ๑๒ มกราคม ๒๔๙๕ - เส้นทางส่งสะเบียงของฝรั่งเศสที่เมืองฮัวบินห์เรียบแนวแม่น้ำดำได้ถูกตัดขาดและเส้นทางสายอานานิคม๖ก็ได้ถูกตัดขาดไปอีกด้วย
วันที่ ๒๒-๒๖ กุมภาพันธ์ - ฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากฮัวบินห์กลับไปยังเส้นเขตุแดนเดอ ลาตแตร จากการช่วยเหลือของปืนใหญ่๓๐,๐๐๐นัด และการสู้รบกันแบบประจันบานได้ทำให้การเสียชีวิตของแต่ละฝ่ายประมาณฝ่ายละ๕,๐๐๐คน
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๙๕ - นายพลเกี๊ยบพยายามที่จะล่อให้ทหารฝรั่งเศสออกจากมาจากเส้นเขตุแดนเดอ ลาตแตร ด้วยการเข้าโจมตีบริเวณเทือกเขาฟาน ซี พาน ซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำแดงกับแม่น้ำดำ
วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๙๕ - กองกำลังฝรั่งเศสตอบโต้ความเคลื่อนไหวของนายพลเกี๊ยบด้วยการใช้ปฏิบัติการลอร์เรน โดยได้ตั้งเป้าหมายไปยังคลังต่างๆของเวียตมินห์ในบริเวณเวียตบาค แต่นายพลเกี๊ยบก็ฉลาดกว่าและรู้ทัน จึงได้ปล่อยให้ฝรั่งเศสเข้ายึดในขณะที่กองกำลังของนายพลเกี๊ยบรักษาตำแหน่งบริเวณเทือกเขาเอาไว้
วันที่ ๑๔-๑๗ พฤศจิกายน - ฝรั่งเศสยกเลิกปฏิบัติการลอร์เรนและถอนกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังเส้นเขตุแดนเดอ ลาตแตร แต่ต้องต่อสู้กับกองกำลังของเวียตมินห์ที่ดักซุ่มอยู่
ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖
วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๔๙๖ ดไวท์ ดี. ไอเซ่นฮาวเออร์ อดีตนายพลห้าดาวและผู้บัญชาการทหารของฝ่ายพันธมิตรระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้สาบานต้นขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ ๓๔ ของสหรัฐฯ
ระหว่างการดำรงค์ตำแหน่งประธานาธิบดีของดไวท์ ไอเซ่นฮาวเออร์ เขาได้เพิ่มความช่วยเหลือให้กับทหารฝรั่งเศสในเวียตนามขึ้นไปอีกเป็นจำนวนมากเพื่อป้องกันไม่ให้คอมมิวนิสต์เวียตนามได้รับชัยชนะ ที่ปรึกษาทางการทหารได้เริ่มติดตามไปกับ
การส่งสะเบียงและอุปการณ์สงครามเข้าไปยังเวียตนาม โดยที่ทางประธานาธิบดีไอเซนฮาวเออร์ได้ให้เหตุผลต่อการส่งความช่วยเหลือต่อฝรั่งเศสไอเซ่นฮาเวอร์ได้อ้างต่อประชากรของสหรัฐฯโดยการอ้างถึงทฤษฎี'ผลกระทบโดมีโน่' โดยได้กล่าวว่า 'ชัยชนะของคอมมิวนิสต์ในเวียตนามจะนำไปสู่การตกเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ของประเทศอื่นๆในบริเวณใกล้เคียง..' และทฤษฎีผลกระทบโดมีโน่นี้ก็ได้ถูกประธานาธิบดีคนต่อๆมาของสหรัฐฯ นำไปใช้ในการพาตัวเองตกหลุมลึกเข้าไปในเวียตนาม
วันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๙๖ - โจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียตถึงแก่กรรม และ นิคิต้า ครุชเชฟว์ ผู้นำที่มีสไตล์การพูดที่โผงผางครงไปตรงมาได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ
วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๔๙๖ - การสู้รบในสงครามเกาหลีได้ยุติลงโดยการเซ็นสัญญาแบ่งเขตุแดนที่เส้นขนานที่ ๓๘ โดยแบ่งเป็นคอมมิวนิสต์ในตอนเหนือและเป็นประชาธิปไตยในตอนใต้
การเซ็นสัญญาที่เกาหลีได้นำไปสู่ความรู้สึกของสังคมนานาชาติว่าอาจเป็นแบบอย่างของการแก้ปัญหาที่ได้กำลังเกิดขึ้นในเวียตนามได้
วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๖ - กองกำลังฝรั่งเศสภายใต้การนำของผู้บัญชาการคนใหม่ นายพลอ็องรี นาวาร์เร ได้เริ่มใช้ปฏิบัติการค๊าสโตร โดยการสร้างหลุมกำบังรอบนอกเพื่อป้องกันสนามบินขนาดเล็กในย่านห่างไกลในหุบของป่าลึกที่เดียนเบียนฟูทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียตนามในขณะเดียวกัน นายพลโวเหวียนเกี๊ยบก็ได้เริ่มสะสมกองกำลังรบของเวียตมินห์และกองทหารปืนใหญ่ในบริเวณนั้น และก็ได้เริ่มมีความรู้สึกว่าเขาจะสามารถทำการรบขั้นแตกหักกับกองกำลังของฝรั่งเศสได้ กองกำลังของนายพลเกี๊ยบได้ลากปืนใหญ่โฮวิทเซอร์สจำนวน๒๐๐กระบอกขึ้นปตั้งไว้ตามยอดเขาเพื่อที่จะใช้ถล่มฐานบินของฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสก็รู้ถึงวัตถุประสงค์ของนายพลเกี๊ยบดี จึงได้สะสมกองกำลังของฝ่ายตนเองและก็ได้เตรียมปืนใหญ่เอาไว้รอรับมือ แต่ทางฝรั่งเศสได้คาดคะเนย์ผิดถึงจำนวนของกำลังรบและความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเวียตมินห์
พุทธศักราช ๒๔๙๗
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๙๗ - กองกำลังรบของเวียตมินห์ภายใต้การนำของนายพลเกี๊ยบที่มีความเป็นต่อทหารฝรั่งเศสถึง๕ต่อ๑ หรือประมาณ๕๐,๐๐๐คน ก็ได้เริ่มการถล่มใส่ฐานกำลังของฝรั่งเศสที่ป้องกันฐานบินเดียนเบียนฟูอยู่บริเวณชายเขาปืนใหญ่ของฝ่ายนายพลเกี๊ยบได้ถล่มและปิดสนามบินแห่งเดียวของฝรั่งเศสได้สำเร็จ และได้บังคับให้ฝรั่งเศสต้องใช้วิธีส่งสะเบียงและกำลังเสริมด้วยการเสี่ยงอันตรายผ่านการใช้ร่ม ซึ่งถึงบ้างไม่ถึงบ้างและที่ไม่ถึงก็ได้ตกเป็นของเวียตมินห์ เมื่อปิดสนามบินได้แล้ว กองกำลังของนายพลเกี๊ยบก็ค่อยๆเริ่มขุดอุโมงมุ่งหน้าไปยังสนามบินและต่อมาก็ขุดคูล้อมรอบฐานบินเอาไว้
วันที่๓๐มีนาคม - วันที่๑พฤษภาคม ทหารฝรังเศส๑๐,๐๐๐คนถูกกองกำลัง๔๕,๐๐๐คนของเวียตมินห์ปิดล้อมทำให้ขาดน้ำและยารักษาโรคฝรั่งเศสได้ทำการร้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากอเมริกันเพื่อที่จะให้เข้าไปช่วย อเมริกันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์นี้เพราะความสัมพันธ์ทางการเมืองและการทหารครั้งยกทัพไปบุกเยอรมัน
รวมทั้งข้อตกลงที่พ็อทสดาม ที่ได้ยืนยันสนับสนุนการยึดเวียตนามลาวและกัมพูชากลับไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส นอกจากนี้แล้ว ประชากรของฝรั่งเศสที่ใหญ่ที่สุดนอกฝรั่งเศสก็คือในสหรัฐฯ(ประมาณสิบล้านคนในขณะนั้น) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอเมริกันจึงได้พิจารณาแผ่นการเลือกสามทาง.. คือ
๑.ส่งกองกำลังรบของอเมริกันไปช่วยทหารฝรั่งเศสออกมา
๒.ใช้เครื่องบินบี-๒๙ เข้าไปทิ้งระเบิด หรือ
๓.ใช้แท็คติค อาวุธอตอมิค (ระเบิดนิวเคลียร์)
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีไฮเซ่นฮาวเออร์ ได้ปฏิเสธที่จะใช้การทิ้งระเบิดหรือใช้อาวุธนิวเคลียร์หลังจากที่อังกฤษได้ต่อต้านข้อเลือกทั้งสองข้อนี้ และประธานาธิบดีไอเซนฮาวเออร์เองก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะส่งกองกำลังทหารของสหรัฐฯเข้าไปช่วยทหารฝรั่งเศสออกมาเพราะตัวเองเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารและรู้ดีว่าภูมิประเทศของเดียนเบียนฟูจะนำไปสู่การสูญเสียทหารเป็นจำนวนมาก
วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๔๙๗ เวลา๑๗:๓๐น - ทหารฝรั่งเศส ๑๐,๐๐๐คน จึงจำต้องยอมแพ้ให้กับทหารเวียตมินห์ประมาณ๘,๐๐๐คน ทหารฝรั่งเศสจำนวน๑,๕๐๐คนได้เสียชีวิต ทหารฝรั่งเศสที่เหลือได้ถูกสั่งให้เดินถึง๖๐วันไปยังค่ายเชลย ที่อยู่ห่างออกไป๘๐๐กิโลเมตร ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งได้เสียชีวิตระหว่างการเดินทางหรือระหว่างอยู่ในการควบคุม
วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๗ - การประชุมเจนีวาว่าด้วยกรณีอินโดจีนได้เริ่มขึ้น โดยได้มีสหรัฐฯ อังกฤษ จีน สหภาพโซเวียต ฝั่งเศส เวียตนาม(ผู้แทนของเวียตมินห์และรัฐบาลเบ๋าได๋ กัมพูชา และ ลาว) เข้าร่วมเพื่อการหารือข้อตกลงสำหรับเอเซียอาคเนย์
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๙๗ - สนธิสัญญาเจนีวาได้มีมัติให้แบ่งเวียตนามออกเป็นสองส่วนที่เส้นขนานที่ ๑๗ โดยให้คอมมิวนิสต์ของโฮจิมินห์ครอบครองฝั่งเหนือและรัฐบาลเบ๋าได๋ได้รับสิทธิในการครอบครองฝั่งใต้ โดยที่สนธิสัญญาดังกล่าวยังได้ระบุว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งรวมทั่วประเทศขึ้นภายในสองปีเพื่อที่จะนำไปสู่การรวมประเทศ
สหรัฐฯได้คัดค้านเกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อการรวมประเทศเพราะรู้ดีว่าฝ่ายโฮจิมินห์หรือคอมมิวนิสต์จะเป็นฝ่ายชนะเดือนตุลาคม ๒๔๙๗ - หลังจากที่ฝรั่งเศสได้ถอนตัวออกจากฮานอยแล้ว โฮจิมินห์ได้กลับสู่เวียตนาม หลังจากที่ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าถึงแปดปี และได้เข้ารับอำนาจในเวียตนามเหนือ ทางฝ่ายใต้ เบ๋าได๋ได้ตั้งโหงดินเดียมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทางสหรัฐฯในขณะนั้นได้ตั้งความหวังของการต่อต้านคอม มิว นิสต์เอาไว้ที่โหงวดินเดียมสำหรับประเทศประชาธิปไตยเวียตนามใต้
แต่โหงวดินเดียมเองก็ได้คาดการเอาไว้ว่ามันจะมีสงครามเกิดขึ้นมาอีกในอนาคตของเวียตนามโหวงดินเดียมนั้น เป็นชาวเวียตนามที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมัน คาธอลิค ในดินแดนที่ประชากรส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เขาจึงได้ส่งเสริมให้ชาวเวียตนามที่อาศัยอยู่ในตอนเหนือที่เป็นคาธอลิคอพยพ
ลงใต้เกือบหนึ่งล้านคนได้ย้ายสู่เวียตนามใต้
ในขณะเดียวกันชาวเวียตนามจากใต้ประมาณ๙๐,๐๐๐คนก็ได้อพยพขึ้นเหนือ แต่อีกประมาณ๑๐,๐๐๐คน ได้ถูกสั่งให้อยู่ข้างหลังในเวียตนามใต้อย่างเงียบๆเพื่อเป็นสายให้กับเวียตนามเหนือ
ปีพุทธศักราช ๒๔๙๘
มกราคม ๒๔๙๘ - การขนส่งความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯได้ไปถึงเวียตนามใต้ สหรัฐฯก็ยังได้ทำการฝึกทหารให้กับเวียตนามใต้อีกด้วยพฤษภาคม ๒๔๙๘ -นายกรัฐมนตรีโหงวดินเดียมได้ใช้มาตรการอันแข็งกร้าวและเด็ดขาดในการปราบปราม
องค์กรอาชญากรรมบินห์ ซูเย็น ที่ได้ทำธุระกิจคาสิโน สถานโสเภนี และ โรงฝิ่น อยู่ในไซง่อนกรกฎาคม ๒๔๙๘ โฮจิมินห์เดินทางไปเยือนมอสโควและตกลงที่จะรับความช่วยเหลือจากโซเวียต
วันที่๒๓ตุลาคม๒๔๙๘ เบ๋าได๋ได้ถูกขับไล่ออกจากอำนาจโดยโหงวดินเดียม ซึ่งโหงวดินเดียมได้รับความช่วยเหลือให้เข้ายึดอำนาจโดยนาวาอากาศโทเอ็ดเวิร์ด จี. แลนสเดลผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของหน่วยสืบราชการลับ(ซีไอเอ)
วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๔๙๘ - สาธารณรัฐเวียตนามใต้ได้สถาปนาโหงวดินเดียมขึ้นเป็นประธานาธิบดี ในขณะที่ในอเมริกา ประธานาธิบดีไอเซ่นฮาวเออร์ได้กล่าวสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของเวียตนาม และได้เสนอที่จะให้ความสนับสนุนทางการทหาร โหงวดินเดียมได้แต่งตั้งตำแหน่งที่สำคัญของรัฐบาลให้กับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องรวมทั้งโหงดินหนูน้องชายของเขาเองให้ดำรงค์ตำแหน่งประธานที่ปรึกษา ซึ่งวิธีการปกครองของโหงดินเดียมแบบกุมอำนาจได้ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองที่ตามมาอย่างมากมายแม้ว่าที่ปรึกษาชาวอเมริกันของเขาจะได้พยายามแนะนำให้ใช้ประชาธิปไตยแบบอเมริกันด้วยการออกไปเยี่ยมประชากรตามต่างจังหวัดเพื่อสร้างแรงสนับสนุนแต่เขาก็ไม่ยอมที่จะทำตาม
ธันวาคม ๒๔๙๘ - ในเวียตนามเหนือการปฏิรูปที่ดินโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้นำไปสู่การนำเจ้าของที่ดินไปขึ้นศาลประชาชน และได้มีนายทุนนับพันได้ถูกประหารชีวิตหรือไม่ก็ถูกส่งไปทำงานหนักในค่ายแรงงานในช่วงของการล้างอุดมการณ์ของโฮจิมินห์ในช่วงนี้ในทางใต้ ประธานาธิบดีโหงดินเดียมได้ให้รางวัลต่อผู้ที่สนับสนุนชาวคาธอลิคด้วยการยกที่ดินที่ยึดมาจากชาวนาที่นับถือศาสนาพุทธให้ ซึ่งก่อให้เกิดความแค้นเคืองและหมดศรัทธาจากชาวพุทธที่เคยสนับสนุนเขา นอกจากนี้แล้วเขาก็ยังคงปล่อยให้เจ้าของที่ดินรายใหญ่ๆ ครองความเป็นเจ้าของอยู่เช่นเดิมทำให้ชาวนาที่หวังว่าการจัดสรรที่ดินใหม่จะเกิดขึ้นต้องประสพกับความผิดหวัง
ปีพุทธศักราช ๒๔๙๙
มกราคม ๒๔๙๙ รัฐบาลของโหงดินเดียมได้ใช้การจัดการกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นเวียตมินห์อย่างรุนแรง ผู้ถูกจับกุมไม่ได้รับตัวแทนทางกฏหมายและถูกลากตัวไปสอบสวนต่อหน้าคณะกรรมการรักษาความปรอดภัย โดยที่ผู้ต้องสงสัยเป็นจำนวนมากได้ถูกทรมารและสังหารและบังหน้าด้วยการออกข่าวว่าถูงยิงระหว่างพยายามหลบหนีเจ้าพนักงานวันที่๒๘เมษายน๒๔๙๙ - ทหารฝรั่งเศสคนสุดท้ายเดินทางออกจากเวียตนาม สำนักงานข้าหลวงใหญ่อินโดจีนได้ถูกปิดลง
กรกฎาคม ๒๔๙๙ - วันเลือกตั้งทั่วประเทศที่ได้ระบุเอาไว้ในสนธิสัญญาเจนีวาได้ผ่านไป โหงดินเดียม ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐฯได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเลือกตั้ง พฤศจิกายน ๒๔๙๙ - การประท้วงของชาวนาเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินในฮานอยได้นำไปสู่การเสียชีวิต๖,๐๐๐คน หรือ ไม่ก็ส่งลงเวียตนามใต้
ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐
มกราคม ๒๕๐๐ - สหภาพโซเวียตได้ยื่นข้อเสนอให้มีการแบ่งเวียตนามเหนือและใต้ออกอย่างถาวรพร้อมกับให้มีผู้แทนของประเทศทั้งสองอยู่ในสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ สหรัฐฯคัดค้านข้อเสนอ และไม่ต้องการที่จะรับรองรัฐบาลของคอมมิวนิสต์เวียตนามเหนือ วันที่ ๘-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๐๐ - โหวดินเดียมได้เดินทางไปเยือนวอชิงตัน ซึ่งประธานาธิบดีไอเซ่นฮาวเออร์ได้เรียกเขาว่า 'บุรุษมหัศจรรย์' แห่งเอเซียและยืนยันการให้ความสนับสนุนของสหรัฐฯ โดยที่ประธานาธิบดีไอเซ่นฮาวเออร์ได้กล่าวว่า 'ค่าของการปกป้องเสรีภาพ ของการปกป้องอเมริกา ต้องจ่ายในหลากหลายรูปแบบในสถานที่ต่างๆ ความช่วยเหลือทางด้านการทหารและทางด้านเศรษฐกิจซึ่งกำลังเป็นสิ่งที่ต้องการในเวียตนามในขณะนี้'
ตุลาคม ๒๕๐๐ - กองโจรเวียตมินห์ได้เริ่มขยายการก่อการร้ายในเวียตนามใต้รวมทั้งการวางระเบิดและการลอบสังหาร ซึ่งถึงตอนสิ้นปีได้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเวียตนามใต้ถูกสังหารไป๔๐๐คน
ปีพุทธศักราช ๒๕๐๑
มิถุนายน ๒๕๐๑ - การก่อตั้งโครงสร้างของฝ่ายปฏิบัติการของคอมมิวนิสต์จำนวน ๓๗ กองร้อยในบริเวณสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงได้ถูกจัดให้มีขึ้น
สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง
ปีพุทธศักราช ๒๕๐๒.
มีนาคม ๒๕๐๒ - การปฏิวัติจับอาวุธได้เริ่มขึ้นโดยที่โฮจิมินห์ได้ประกาศว่าสงครามประชาชนจะมีขึ้นจนกว่าที่เขาจะได้เป็นผู้นำของเวียตนามทั้งประเทศ พรรคการเมืองของเขาได้มีคำสั่งออกไปว่าต่อไปนี้จะมีการต่อสู้ทางการทหารขึ้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของสงครามอินโดจีนครั้งที่สองพฤษภาคม ๒๕๐๒ - เวียตนามเหนือได้ก่อตั้งสำนักงานศูนย์ปฏิบัติการในเวียตนามใต้ เพื่อที่จะดูแลควบคุมกิจกรรมสงครามที่กำลังจะเข้ามาในเวียตนามใต้และการสร้างเส้นทางโฮจิมินห์ก็ได้เริ่มขึ้น
กรกฎาคม ๒๕๐๒ - กองกำลังของกองโจรเวียตมินห์๔,๐๐๐คนที่เกิดในเวียตนามใต้ได้ถูกส่งกลับเข้าไปจากเวียตนามเหนือเพื่อที่จะเจาะเวียตนามใต้
วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๐๒ - ที่ปรึกษาทางการทหารของอเมริกันสองนาย คือ พันตรีเดล บุ๊ยส์ และ จ่าสิบเอกเช็สเตอร์ โอวนานด์ ถูกลอบสังหารและเชื่อกันวาเป็นการกระทำของกองโจรเวียตมินห์ในเวียตนามใต้ นับว่าเป็นทหารอเมริกันสองคนแรกที่ได้เสียชีวิตในสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง หรือ สงครามที่ชาวอเมริกัน จะได้รู้จักกันในเวลาต่อมาว่า "สงครามเวียตนาม"
ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓
เมษยน ๒๕๐๓ - ได้มีการเกณร์ทหารกันขึ้นในเวียตนามเหนือ โดยที่วาระของการเป็นทหาร 'ไม่มีกำหนดวันปลดประจำการ' พฤศจิกายน ๒๕๐๓ - การปฏิวัติล้มอำนาจของโหงดินเดียมโดยนายทหารเวียตนามที่ไม่พอใจรัฐบาลประสพกับความล้มเหลวและได้รับการลงโทษอย่างหนัก รวมทั้งทุกคนที่ถูกมองว่าเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาล มีคนกว่า๕๐,๐๐๐ถูกจับโดยตำรวจที่ควบคุมโดยน้องชายของประธานาธิบดีโหวดินเดียมซึ่งคนที่ไม่มีความผิดเป็นจำนวนมากก็ได้ถูกทารุณและสังหาร ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้นำไปสู่การเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาลของโหงดินเดียม ประชาชนนับพันที่เกรงว่าจะถูกลงโทษได้พากันหลบหนีเข้าเวียตนามเหนือ ซึ่ง โฮจิมินห์ก็ได้ส่งพวกเขาบางคนกลับไปเวียตนามใต้โดยเป็นส่วนหนึ่งของการแทรกซึมของกองทัพประชาชนในภายหลังกองโจรของโฮจิมินห์ได้แทรกซึมเข้าไปในชนบทของเวียตนามใต้ในขณะที่ทำงานเพื่อการบ่อนทำลายรัฐบาลของโหงดินเดียม
วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๐๓ - กองทัพปลดแอกแห่งชาติสนับสนุนโดยพรรคคอมมิว นิสต์ฮานอยได้รับการก่อตั้งขึ้นในเวียตนามใต้
ข้อสังเกต:
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาข้างต้นจนจบของสงครามอินโดจีนครั้งที่๑นี้ จะเห็นได้ว่า ก่อนที่ทหารอเมริกันจะเข้าไปมีบทบาทในเวียตนามซึ่งก็เป็นบทบาทที่จำกัดเพราะกฏหมายของสหรัฐฯห้ามไม่ให้ทหารอเมริกันออกรบเพียงแต่เป็นที่ปรึกษาให้กับทหารเวียตนามเท่านั้น และ ก่อนที่กำลังรบของอเมริกันจะได้ถูกส่งเข้าไปในเวียตนามนั้น ในความเป็นจริงแล้วเวียตกงก็ได้วางกำลังและข่ายงานเอาไว้ในเวียตนามใต้ และบริเวณชายแดนของ ลาว และ กัมพูชา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ๔ สมัย ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนเข้าสู่วงการเมือง เคยเป็นผู้พิพากษา และเคยดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ประจำสหรัฐอเมริกา มาก่อน
ม.ร.ว.เสนีย์ เกิดที่ค่ายทหาร ในจังหวัดนครสวรรค์ เวลาใกล้รุ่ง เป็นโอรสใน พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) ชื่อ "เสนีย์" หมายถึง ทหาร หรือ เสนาบดี ได้รับพระราชทานนามนี้จากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สันนิษฐานว่า เนื่องจากเสด็จพ่อ (พระองค์เจ้าคำรบ) เป็นทหาร
ชีวิตครอบครัวสมรสกับ ท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช มีบุตรชาย-หญิง 3 คน บุตรชาย ได้แก่ ม.ล.เสรี ปราโมช , ม.ล.อัศนี ปราโมช และ บุตรี ได้แก่ ม.ล.นียนา ปราโมช
ม.ร.ว.เสนีย์ มีน้องชายที่มีชื่อเสียงคู่กันคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีความสามารถในหลายสาขา โดยสื่อมวลชนนิยมเรียก ท่านทั้งคู่ว่า "หม่อมพี่ หม่อมน้อง" นอกจากนี้ยังมีพี่สาวคือ ม.ร.ว.บุญรับ พินิจชนคดี (สมรสกับ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี หรือ พินิจ อินทรทูต)
ม.ร.ว เสนีย์ เป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ด้วยอายุขณะรับตำแหน่ง คือ ๔๐ ปี
การศึกษา
เริ่มศึกษาที่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย,เข้าเรียนชั้น ม.๓ ก. เลขประจำตัว ส.ก.๓๒๓๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ จากนั้นได้เดินทาง ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเทรนต์ (Trent College) ในเมืองนอตทิงแฮม ประเทศอังกฤษ และศึกษาต่อ ปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ ที่ วิทยาลัยวอร์สเตอร์ (Worcester College) มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ แล้วสำเร็จการศึกษาด้วยคะแนนระดับ เกียรตินิยมอันดับสอง
หลังจากนั้น ก็เข้าศึกษาต่อที่สำนักเนติบัณฑิตอังกฤษ ณ สำนักเกรย์อินน์ ในกรุงลอนดอน ได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง ได้รับรางวัลเป็นเงิน ๓๐๐ กีนีย์ จากสำนักกฎหมายอังกฤษ (เกียรติประวัตินี้ ได้เล่าลือมาถึงเมืองไทย จนมีการเข้าใจว่า ได้รับเงินรางวัลพระราชทาน จากพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเข้าใจอย่างนั้น) และทางโรงเรียนเทรนด์ ได้ประกาศให้นักเรียน หยุดเรียนหนึ่งวัน เพื่อเป็นการระลึกถึง และได้เรียกวันนั้นว่า "วันเสนีย์" (Seni Day)
เมื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ศึกษาวิชากฎหมายไทยเพิ่มเติม จนกระทั่งได้รับเนติบัณฑิตไทย และเข้าฝึกงานที่ศาลฎีกาเป็นเวลา ๖ เดือน จึงได้เป็นผู้พิพากษา
ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยา ลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๐๓ และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขามนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไทเป พ.ศ. ๒๕๒๕
ชีวิตการงาน
-เป็นผู้พิพากษาศาลแพ่ง
-ผู้ช่วยกรรมการศาลฎีกาและผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ตามลำดับ
ช่วงหลังของการรับราชการ ได้ย้ายไปกระทรวงการต่างประเทศ และไดัรับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกเข้าสู่ประเทศไทย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ประกาศนโยบายเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับรัฐบาลในประเทศไทย จึงถูกตัดสัญชาติไทยจากรัฐบาล และได้รวบรวมคนไทยในต่างประเทศ จัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ โดยปฏิบัติการติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร
-เป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น และเป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งเคยสอนวิชากฎหมายในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยรับราชการถวายและเล่นดนตรีร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำทุกวันศุกร์ ในวงลายครามเป็นหัวหน้าทีมทนายความในคดีปราสาทเขาพระวิหาร พ.ศ. ๒๕๐๕ กับกัมพูชา ในศาลโลก
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุด ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ในฐานะ หัวหน้าเสรีไทย สายสหรัฐอเมริกา ได้รับเชิญให้ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อจาก ทวี บุณยเกตุ เพื่อเจรจากับประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับสถานะของประเทศไทย ที่เป็นฝ่ายเดียวกับสัมพันธมิตร ภายหลังการประกาศสันติภาพ โดยรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘ ให้การประกาศสงคราม กับฝ่ายสัมพันธมิตร ของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นโมฆะ โดยเดินทางกลับมารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘
ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านได้ใช้ความรู้ความสามารถทางภาษา ตลอดจนความเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณี และระบบกฎหมายตะวันตก เจรจากับ ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ในครั้งแรกประเทศอังกฤษ ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ประเทศไทย เป็นเมืองในอาณัติ แต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช สามารถเจรจาให้ไทย หลุดพ้นจากการเป็น เมืองในอาณัติอังกฤษได้สำเร็จ โดยอังกฤษและไทยได้ลงนามใน "ความตกลงสมบูรณ์แบบเพื่อยุติภาวะสงคราม ระหว่างไทยกับบริเตนใหญ่และอินเดีย" ที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มีใจความสำคัญคือ ไทยต้องคืนดินแดนในมลายู และรัฐฉาน ที่ได้มาระหว่างสงครามให้แก่อังกฤษ และต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ทรัพย์สินของอังกฤษ ที่ถูกไทยยึดครองระหว่างสงคราม เป็นข้าวสาร ๑.๕ ล้านตัน
จากนั้นไทยได้ทำการตกลงกับฝรั่งเศส มีจุดประสงค์เพื่อขอเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ โดยได้ตกลงคืนดินแดนที่ได้มาจากกรณีพิพาทอินโดจีน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ให้กับฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสยังเรียกร้องให้ไทยมอบ พระแก้วมรกตและพระบาง ให้แก่ฝรั่งเศส โดยอ้างว่าเคยอยู่ในลาวมาก่อนถึง ๒๐๐ กว่าปี ก่อนจะมาอยู่ที่กรุงเทพฯ และเมื่อลาวเป็นดินแดนในอาณัติของฝรั่งเศสแล้ว ไทยก็ควรคืนพระแก้วมรกตให้แก่ลาวด้วย แต่ฝ่ายไทย ได้อ้างว่า พระแก้วมรกต ค้นพบครั้งแรกในประเทศไทย การที่ต้องอยู่ในลาวถึง ๒๐๐ กว่าปีนั้น เป็นเพราะพระไชยเชษฐาได้นำพระแก้วมรกตจาก
เมืองเชียงใหม่ ไปไว้ที่เมืองหลวงพระบาง และเมืองเวียงจันทน์ ดังนั้นการที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต มาไว้ยังกรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ ตามลำดับนั้น จึงเป็นการนำกลับคืนสู่สถานที่เดิม ทำให้ข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสข้อนี้ต้องตกไป ส่วนพระบางนั้นไทยได้ส่งคืนลาวไปตามข้อเรียกร้อง
นอกจากนี้ไทยยังได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับ สหภาพโซเวียด และทำสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศจีน เพื่อไม่ให้คัดค้านการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของไทย และในที่สุดไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาติ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นสมาชิกลำดับที่ ๕๕
รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ได้ประกาศ พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม เพื่อลงโทษผู้นำ หรือหัวหน้ารัฐบาล ที่ร่วมก่อให้เกิดสงคราม ที่ทำให้ประเทศเป็นฝ่ายปราชัย ซึ่งหากรัฐบาลไม่ตราพระราชบัญญัตินี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรก็จะนำผู้ต้องหา ไปดำเนินคดีในต่างประเทศในฐานะ อาชญากรสงคราม
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ๔ ครั้ง โดยในครั้งสุดท้ายได้เกิด เหตุการณ์ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ที่ตำรวจและกองกำลังติดอาวุธ เข้าปิดล้อม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีนักศึกษา และประชาชนหลายพันคนชุมนุมประท้วง การกลับประเทศไทยของ จอมพลถนอม กิตติขจร ที่ถูกประชาชนขับไล่ ออกจากประเทศไปเมื่อ ๓ ปีก่อน ในวันเดียวกัน พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ได้จัดตั้ง คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เข้ายึด อำนาจจาก รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์
หลังจากพ้นตำแหน่งแล้ว ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ได้ลาออกจากตำแหน่ง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และวางมือทางการเมือง ใช้ชีวิตสงบเงียบตลอดมา และได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ สิริอายุได้ ๙๒ ปี
หนังสือ Thailand's Struggle for Democracy หนังสือรวบรวมชีวประวัติหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช โดย David Van Praagh นักวิชาการชาวแคนาดาระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สมัยที่ ๑ : คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๑๓ ของไทย : ๑๗ กันยายน ๒๔๘๘ - ๓๑ มกราคม ๒๔๘๙
สมัยที่ ๒ : คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๓๕ ของไทย : ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ - ๑๓ มีนาคม ๒๕๑๘
สมัยที่ ๓ : คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๓๗ ของไทย : ๒๐ เมษายน ๒๕๑๙ - ๒๕ กันยายน ๒๕๑๙
สมัยที่ ๔ : คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๓๘ ของไทย : -๒๕ กันยายน ๒๕๑๙ - ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และเล่นการเมือง
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดำเนินการจัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับนายควง อภัยวงศ์ ขึ้นในวันศุกร์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยชื่อ "ประชาธิปัตย์" นั้น ท่านเป็นผู้บัญญัติขึ้น โดยมีความหมายว่า "ผู้บำเพ็ญประชาธิปไตย" โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ต่อต้านการกระทำอันเป็นเผด็จการ
ไม่ว่าวิธีการใด ๆ โดยมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรองหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ยุบพรรค
ก้าวหน้ามารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเลขาธิการพรรค และนายชวลิต อภัยวงศ์ เป็นรองเลขาธิการพรรค
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์สืบต่อจากนายควง อภัยวงศ์ ที่ถึงแก่อสัญกรรมไปในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ หลังจากได้ยุติบทบาททางการเมืองของตนเองไปตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ หลังจากที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยึดอำนาจตนเองเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ โดยไม่ลงเลือกตั้งในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๕ และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ ระหว่างการเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่เป็นสุภาพบุรุษ เล่นการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ โปร่งใส มาตลอด แต่ ม.ร.ว.เสนีย์ มักประสบปัญหาความวุ่นวายในพรรค เนื่องจากสมาชิกพรรคมักสร้างปัญหาโดยการต่อรองขอตำแหน่งทางการเมือง และบางส่วนก็จะออกจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่ จนเกิดความวุ่นวาย ไม่สามารถควบคุมพรรคได้ จึงได้ฉายาจากสื่อมวลชนว่า "ฤๅษีเลี้ยงลิง" หรือ "พระเจ้าตา" เพราะถูกมองว่าอ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมบริหารพรรคและรัฐบาลได้ จนเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลา
ชีวิตหลังการเมือง
หลังจากเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ แล้ว คณะปฏิรูปการปกครองที่นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ต้องการจะให้ท่านดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรีต่อไป แต่ท่านได้ปฏิเสธ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จึงได้วางมือจากการรับตำแหน่งทางการเมืองอย่างถาวร แต่ยังรักษาการหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ต่อไปอีกระยะ จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงได้หัวหน้าคนใหม่ (พ.อ.ดร.ถนัด คอมันตร์) ชีวิตหลังจากนี้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเอกมัย ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ และรวบรวมงานประพันธ์ต่าง ๆ ที่เคยแต่งไว้ก่อนหน้านี้และแต่งเพิ่มเติม เช่น ประชุมสารนิพนธ์, แปลกวีนิพนธ์, ชีวลิขิต เป็นต้น รวมทั้งการวาดรูป ทั้งรูปสีน้ำ สีน้ำมัน รูปสเก็ตซ์ เล่นดนตรี แต่งเพลงและปลูกไม้ดอก โดยเฉพาะกุหลาบ ซึ่งล้วนเป็นงานอดิเรกที่ทำเป็นประจำ และยังคงให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นระยะ ๆ รวมทั้งยังให้คำปรึกษากับพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เป็นปูชนียบุคคลสำคัญในพรรคด้วย ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ อันเป็นวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ของท่าน ทางพรรคได้ก่อ ตั้ง มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ขึ้นตามเจตนารมณ์ของท่านและทายาท และให้ชื่ออาคารที่ทำการของพรรคหลังที่สองว่า อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
วาทะหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
การปกครองบ้านเมืองมี 3 วิธี ด้วยอำนาจ ด้วยอามิส หรือด้วยอุดมคติ การเมืองที่มาด้วยอำนาจ ย่อมโค่นล้มไปด้วยอำนาจ อามิส วันหนึ่งหมดไม่มีจะให้ และให้สักเท่าใดก็ไม่พอสำหรับผู้รับ อุดมคติเท่านั้นที่จะยั่งยืนอยู่ได้ แม้ตัวผู้ปกครองจะล้มหายตายจากไป สัจจะตามอุดมคติจะยังอยู่
คำกล่าวถึง
ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นบุรุษรัตนะผู้หนึ่ง มิฉะนั้นท่านจะสอบกฎหมายอังกฤษได้ที่ ๑ ได้อย่างไร แล้วยังได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นผู้พิพากษา เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา เป็นนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง ท่านเป็นผู้เจรจาเพื่อความรอดพ้นจากความเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมื่อไทยเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง บุรุษเช่นนี้ หาได้ยาก
สถิติการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตำแหน่งทางการเมือง
-ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยที่มีอายุน้อยที่สุด (จนถึงปัจจุบัน) โดยดำรงตำแหน่งในครั้งแรกเมื่ออายุเพียง ๔๐ ปี ๔ เดือน ๑๗ วัน
-นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีอายุมากที่สุด (ในช่วงเวลานั้น) โดยดำรงตำแหน่งครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. ๒๕๑๙
ด้วยอายุถึง ๗๑ ปี ๓ เดือน ๒๕ วัน
-เป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวาระที่มีช่วงเวลาห่างกันนานที่สุด คือ ๓๐ ปี ระหว่างการดำรงตำแหน่งครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ และ
ดำรงตำแหน่งครั้งที่สองในปี พ.ศ. ๒๕๑๘
-เป็นผู้นำคณะรัฐบาลที่มีอายุรัฐบาลสั้นที่สุด คือ ๑๑ วัน ในคณะรัฐมนตรีคณะที่ ๓๘ ระหว่างวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ จนถึงวันที่ ๖
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
-คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๓๕ ที่มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ยังเป็นคณะรัฐมนตรีคณะแรกและคณะเดียวจนถึงปัจจุบันนี้
ที่ต้องลาออกเพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรในการแถลงนโยบาย
-เป็นพลเรือนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
-เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคนแรกอย่างเป็นทางการ
รางวัลและเกียรติยศ
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายกองใหญ่
แจ้งเตือน
ออกจากหน้านี้แล้วคลิกเลือกพระราชประวัติรัชกาลที่ ๙ ในหน้าหลัก
เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด
กรุณาใส่ข้อความ …