๕.พระราชประวัติรัชกาลที่ ๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประเทศไทย
พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏเมษาฮาวาย ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และ กบฏทหารนอกราชการ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ กับพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ๔ เดือน ๔ วัน ที่ทรงครองราชย์ เกิดรัฐประหารโดยกองทัพ ๑๑ ครั้ง รัฐธรรมนูญ
๑๖ ฉบับ และนายกรัฐมนตรี ๒๗ คน
ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เคารพพระองค์อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ และผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กระนั้น พระองค์เอง
ได้ตรัสเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้
พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์ กับทั้งพระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจำนวนหนึ่งด้วย ด้านสินทรัพย์ของพระองค์นิตยสารฟอบส์จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ พระองค์มีพระราชทรัพย์ ๓๐๐๐๐ ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุด้านล่าง) สำนักงานทรัพย์ สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นใช้สินทรัพย์เพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ทรงอุทิศพระราชทรัพย์ไปในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ
นับแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระอาการพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดมา แต่พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๕.๕๒ น. สิริพระชนมพรรษา ๘๘ ปี ๓๑๓ วัน
พระราชประวัติ การพระราชสมภพ
ลายพระหัตถ์ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ ทรงลงพระปรมาภิไธยของพระองค์เองไว้ว่า "สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ อันเป็นที่ซึ่งพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีเถาะ นพศกจุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สกุลเดิม ตะละภัฎ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประ สูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า เบบี สงขลา (อังกฤษ: Baby Songkla) ต่อมาคือ พระวร วงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช เมื่อได้รับพระราชทานนาม มีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก"
พระนามภูมิพลอดุลเดชนั้นพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐ โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล" ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเองทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไป จนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" สะกด
พระนามของพระองค์มีความหมายว่า
ภูมิพล - ภูมิ หมายความว่า "แผ่นดิน" และ พล หมายความว่า "พลัง" รวมกันแล้วหมายถึง "พลังแห่งแผ่นดิน" อดุลยเดช - อดุลย หมายความว่า "ไม่อาจเทียบได้" และ เดช หมายความว่า "อำนาจ" รวมกันแล้วหมายถึง "อำนาจที่ไม่อาจเทียบได้" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุมต่อมาวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมายุไม่ถึง
สองพรรษา
การศึกษา
(ด้านหน้า จากขวามาซ้าย) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช; สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พ.ศ.๒๔๗๕ เมื่อเจริญพระชนมายุได้ ๔ พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน
พ.ศ. ๒๔๗๗ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษา ณ เอกอลนูแวลเดอลาซุอิสรอม็องด์ (?cole Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายี-ซูร์-โลซาน (Chailly-sur-Lausanne)
เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น "สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช" เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ พระองค์ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นเวลา ๒ เดือน โดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์จนถึง พ.ศ. ๒๔๘๘ ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์จากโรงเรียนฌีมนาซกลาซิกก็องตอนาลเดอโลซาน (Gymnase Classique Cantonal de Lausanne) แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง
ทรงประสบอุบัติเหตุ
หลังจากที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จเยือนกรุงปารีส ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นครั้งแรกในขณะนั้น ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุ ๒๑ พรรษาและ ๑๕ พรรษาตามลำดับ
เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการ
แนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด
ทั้งนี้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำจนกระทั่งหายจากอาการประชวร อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งก่อนหน้าพระองค์เคยชอบพอกับหม่อมราชวงศ์สุพิชชา โสณกุล แต่ไม่ถึงขั้นหมั้นหมายกัน
พระมหากษัตริย์ไทย
เสวยราชย์และทรงอภิเษกสมรส
ประกาศนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ (สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์) วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง ในวันเดียวกัน รัฐสภาลงมติเป็นเอกฉันท์อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (พระยศในขณะนั้น) ขึ้น
ทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป และทางราชการได้มีประกาศว่า “ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้ขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นต้นไป”
พุทธศักราช ๒๔๘๙ ปีที่หนึ่งของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี จึงเริ่มต้นขึ้น แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งในช่วงเวลานั้นพระองค์ยังทรงพระเยาว์และเสด็จพระราชดำเนินศึกษาต่อ หากพิจารณาจากรัฐธรรมนูญว่าด้วยเหตุดังกล่าวในช่วงที่ไม่อยู่ในพระนคร ตามรัฐธรรมนูญฉบับแรก
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร และตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๔๘๙ ซึ่งกำหนดให้ใช้ระบบสองสภา คือมีรัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒ สภา ซึ่งหมายถึงหมายถึง สภาสูงหรือสภาอาวุโส ซึ่งกฏเกณฑ์เกี่ยวกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของรัฐธรรมนูญทั้ง ๓ ฉบับมีความคล้ายคลึงกัน โดยมีใจความว่า
เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ พระมหากษัตริย์ จะได้ทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา แต่หากพระมหากษัตริย์ มิได้ทรงตั้งหรือไม่สามารถจะทรงตั้งได้ รัฐสภาก็จะปรึกษากันตั้งขึ้นโดยในระหว่างที่รัฐสภายังมิได้ตั้งผู้ใด
สมาชิกพฤฒสภาผู้มีอายุสูงสุดสามคนจะประกอบเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นชั่วคราว รัฐธรรมนูญฉบับที่ ๓ นี้เองที่ได้กำหนดให้มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำให้มีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ชั่วคราวในครั้งแรก ซึ่งได้แก่ พระสุธรรมวินิจฉัย (ชม วณิกเกียรติ), พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์) และนายสงวน จูฑะเตมีย์ สมาชิกพฤฒสภา ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)
พระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเดิมทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะทรงครองราชสมบัติ แต่ในช่วงการจัดงานพระบรมศพของพระบรมเชษฐาเท่านั้น เพราะยังทรงพระเยาว์และไม่เคยเตรียมพระองค์ในการเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชประทับรถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง
เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" จึงทรงนึกตอบในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่
ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักในหน้าที่พระมหากษัตริย์ของพระองค์ ดังที่ได้ตรัสตอบชายคนเดิมนั้นในอีก ๒๐ ปีต่อมา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ และเสด็จ พระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ภายในวัง
สระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า " เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในโอกาสนี้พระองค์ทรงพระราชดำริว่า ตามโบราณราชประเพณี เมื่อสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้ว ย่อมโปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้นพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จอมพล แปลกมีแนวคิดชาตินิยมอย่างรุนแรง และประสงค์ให้ประเทศไทยเจริญเสมอนานารยประเทศ จอมพล แปลกมีนโยบาย "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" โดยพยายามชูบทบาทของตนเองให้โดดเด่นกว่าพระมหากษัตริย์ และไม่สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ และควบคุมการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์
ผนวช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับบาตร ขณะผนวช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา ๑๕ วัน ระหว่างวันที่ ๒๒ ตุลาคม–5 พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงได้รับฉายาว่า ภูมิพโลภิกขุ หลังจากนั้นพระองค์เสด็จฯ ไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหารระหว่างที่ผนวชนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ปีเดียวกัน
ระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิบัติพระราชกิจ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า–เย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัยนอกจากนี้ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจพิเศษอื่น ๆ เช่นในวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงร่วมสังฆกรรมในพิธีผนวชและอุปสมบทนาคหลวงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในวันที่วันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เสด็จฯ ไปทรงรับบิณฑบาต จากพระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในโอกาสนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย
อนึ่ง ในการทรงพระผนวชครั้งนี้ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌาจารย์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า และถวายฐานันดรศักดิ์ เป็น กรมหลวง
ขัดแย้งกับรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม และภริยา กับเอลินอร์ รูสเวลต์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและจอมพล แปลกมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในโอกาสฉลองพุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๕๐๐ รัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญพระมหากษัตริย์เสด็จมาทรงเป็นประธานซึ่งก็ทรงตอบรับเป็นที่เรียบร้อย แต่ครั้นถึงวันงานทรงพระประชวรปัจจุบันทันด่วน ทำให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจเป็นประธานเปิดพิธีเอง และในเดือนสิงหาคมปีดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาโจมตีรัฐบาลของจอมพล แปลกว่าละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งข่าวการระหองระแหงกันระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและรัฐบาลดังกล่าว ทำให้สาธารณะเริ่มไม่ไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ จอมพล แปลกได้ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อขอให้ทรงสนับสนุนรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเตือนจอมพล แปลกว่าขอให้ลาออกจากตำแหน่งเสียเพื่อมิให้เกิดรัฐประหาร แต่จอมพล แปลกปฏิเสธ เย็นวันดังกล่าว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลทันที และสองชั่วโมงหลังจากการประกาศยึดอำนาจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้จอมพล สฤษดิ์เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พระบรมราชโองการฉบับหลัง มีความว่า "เนื่องด้วยปรากฏว่า รัฐบาลอันมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ทั้งไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ คณะทหารซึ่งมีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองไว้ได้ และทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ข้าพเจ้าจึงขอแต่งตั้งจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ขอให้ประชาชนทั้งหลายจงอยู่ในความสงบและให้ข้าราชการทุกฝ่ายฟังคำสั่งจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
ทั้งนี้ ภายหลังการรัฐประหาร จอมพลสฤษดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวต่างประเทศที่ถามจอมพลสฤษดิ์ว่าได้กราบบังคมทูลในหลวง เรื่องการรัฐประหารหรือไม่ จอมพลสฤษดิ์ตอบว่า ท่าน (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ) จะว่าอะไรได้ก็เรื่องมันเสร็จไปหมดแล้ว
สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ในสมัยรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ พระองค์สามารถเสด็จเยือนประเทศต่างๆได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีการปฏิวัติและรัฐประหารเกิดขึ้นในขณะเสด็จเยือนประเทศต่างๆ
เมื่อรัฐบาลทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เถลิงอำนาจแล้ว รัฐบาลได้ฟื้นฟูพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ โดยอนุญาตให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จออกพบประชาชนเป็นอันมาก ให้เสด็จประภาสในถิ่นทุรกันดาร และตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาที่พระองค์มีพระราชดำริริเริ่มด้วย โดยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ประกาศให้นำประเพณีหมอบกราบเข้าเฝ้า ซึ่งเลิกไปในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับมาใช้ใหม่ กับทั้งประกาศให้สถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้นซ้ำด้วย นอกจากนี้ นับตั้งแต่การปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕ สืบมา ประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคก็ได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อถวายผ้าพระกฐิน
พิธีกรรมตามโบราณประเพณีหลายอย่างของราชวงศ์จักรี เช่นพิธีกรรมพืชมงคล ก็มีประกาศให้ฟื้นฟู วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (๕ ธันวาคม) ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวันชาติไทย แทนที่วันที่ ๒๔ มิถุนายน อันตรงกับวันที่คณะราษฎรได้ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะมีพระราชดำรัส ณ สภาคอนเกรส สหรัฐอเมริกา ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๓ เมื่อจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๐๖ สำนักพระราชวังก็มีประกาศให้จัดการไว้ทุกข์ในพระราชวังเป็นเวลายี่
สิบเอ็ดวัน และศพจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับพระราชทานฉัตรห้าชั้น ซึ่งปรกติเป็นเครื่องยศของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า กางกั้นตลอดระยะเวลาไว้ศพ ทั้งนี้ พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) องคมนตรี ได้กล่าวต่อมาว่า ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์เท่ากับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาก่อนเลย
สมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร
หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใน พ.ศ. ๒๕๐๖ จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดมา และจอมพล ถนอม กิตติขจร ก็สืบนโยบายราชานิยมของจอมพล สฤษดิ์ต่อมาอีกกว่าทศวรรษ ซึ่งเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ ในการประท้วงเพื่อเรียกร้อง ประชาธิปไตยจากรัฐบาล และมีผู้ตายเป็นจำนวนมหาศาลอันเนื่องมาจากการปราบปรามของรัฐบาลนั้น พระองค์ได้มีพระบรมราชานุญาตให้เปิดพระทวารพระตำหนักจิตรลดารโหฐานรับผู้ชุมนุมที่หนีตายเข้ามา และพระราชทานพระราชโอกาสให้เหล่าผู้ชุมนุมเฝ้า ต่อมา ก็ทรงตั้ง สัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนายกรัฐมนตรีแทนจอมพล ถนอม กิตติขจร ผู้ลี้ภัยไปสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ตามลำดับ ครั้งนั้น สัญญา ธรรมศักดิ์ จัดตั้งรัฐบาลพลเรือนสำเร็จเป็นครั้งแรก ทว่า ไม่ช้าไม่นานต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๙ จอมพล ถนอม กิตติขจร ก็สามารถเข้าประเทศโดยบวชเป็นภิกษุที่วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อให้เกิดการประท้วงเป็นวงกว้าง วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ หม่อมราชวงศ์เสนีย์
ปราโมช นายกรัฐมนตรี ไม่อาจจัดการอะไรได้ จึงขอลาออก และเมื่อเวลา ๒๑.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระราชินีนาถเสด็จไปวัดบวรนิเวศไม่นานให้หลัง เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งกองกำลังติดอาวุธสังหารหมู่ผู้ประ ท้วงล้มตายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สมัยรัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ในความโกลาหลครั้งนั้น ฝ่ายทหารก็เข้ายึดอำนาจอีกครั้ง และเสนอนามบุคคลสามคนให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกอบด้วย ประกอบ หุตะสิงห์ ประธานศาลฎีกา, ธรรมนูญ เทียนเงิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาศาลฎีกา ด้วยความที่ธานินทร์ กรัยวิเชียร มีเกียรติคุณดีที่สุด จึงได้รับการโปรดให้เป็นนายกรัฐมนตรี
พระองค์มีพระราชดำรัสในพิธีประดับยศนายทหารชั้นนายพล เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ความตอนหนึ่งว่า เช่นหนังสือพิมพ์ต่างประเทศเขียนไว้และเจาะจงว่า นายพลไทยยึดอำนาจ นายพลไทยเป็นเผด็จการ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของท่านนายพลไทยไม่ใช่น้อย เพราะว่าถ้าเผด็จการก็ต้องเผด็จให้ดี เพราะว่านายพลไทยและทหารไทยทั้งหลาย ไม่เคยเผด็จการเพื่อให้เป็นเผด็จการแบบฝรั่ง พยายามที่จะทำเพื่อประเทศชาติ เพราะทหารไทยถือชาติเป็นสูงสุด เป็นใหญ่ ฉะนั้น เมื่อมีการว่ากล่าวว่านายพลไทยเป็นเผด็จการ เราก็จะต้องพยายามเผด็จการให้ดี ให้เหมาะสมกับผู้ที่เป็นชายชาติทหารโดยแท้
Searchtool.svg ดูบทความหลักที่ เหตุระเบิดที่ยะลา ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๐
เดือนกันยายน ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ เสด็จพระราชดำเนินปฏิบัติพระราชกรณียกิจในจังหวัดภาคใต้
ในวันที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๑๕.๑๕ น. ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช, สมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ประทับบนพลับพลาที่ประทับ ซึ่งมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จฯราว ๓๐๐๐๐ คน ก็ได้มีราษฏรที่มาเฝ้ารับเสด็จฯไปหยิบไฟแช็คดังกล่าวเป็นเหตุให้ระเบิดลูกแรกเกิดระเบิดขึ้น ราษฏรต่างพากันแตกตื่นและเหยียบกับระเบิดลูกที่สอง ทำให้ระเบิดลูกที่สองเกิดระเบิดขึ้น ระเบิดลูกแรกห่างจากพลับพลาที่ประทับ ๖๐.๑๕ เมตร ห่างจากลาดพระบาท ๕.๒๐ เมตร และระเบิดลูกที่สองห่างจากพลับพลาที่ประทับ ๑๐๕.๑๕ เมตร ห่างจากลาดพระบาท ๖.๐๐ เมตร แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๕๕ คน บาดเจ็บสาหัส ๑๑ คน ขณะที่เกิดความโกลาหลนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่และผู้บังคับบัญชาลูกเสือชาวบ้านได้เข้าระงับควบคุมฝูงชนอย่างฉับพลัน มีการใช้เครื่องขยายเสียงแบบมือถือที่เตรียม
ไว้แล้วปลอบโยนประชาชนมิให้ตื่นตระหนกและให้อยู่กับที่ ขณะเดียวกันก็มีการลำเลียงผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาล ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์มิได้ทรงรับบาดเจ็บใด ๆ
ขณะเกิดเหตุนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยืนประทับอยู่กับที่และทอดพระเนตรมองเหตุการณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ยืนรายล้อมถวายการอารักษา ในขณะที่พิธีการต้องหยุดชะงักชั่วครู่ ทั้งนี้ก่อนหน้าเหตุระเบิดราวราว ๒๐ ชั่วโมง ก็ได้มีตำรวจขับรถจักรยานยนต์ฝ่าสัญญาณไฟจราจรพุ่งชนรถยนต์พระที่นั่งจนเกิดไฟลุกท่วม
ภายหลังเกิดเหตุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่อไป โดยมิได้แสดงพระอาการปริวิตกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีพระราชดำรัสให้ทุกคนมีจิตใจเข้มแข็งไม่ตื่นเต้นต่อสถานการณ์ เมื่อจบคำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาฯทรงนำเหล่าราษฎรร้องเพลง “เราสู้” และภายหลังเสร็จพระราชกรณียกิจ เวลา ๑๘.๕๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลจังหวัดยะลา
ธานินทร์ กรัยวิเชียรมีแนวคิดขวาจัด ทำให้เหล่านักศึกษาหนีเข้าป่าไปรวมกลุ่มกับพวกคอมมิวนิสต์ รัฐบาลของธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงถูกรัฐประหาร นำโดย พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ใน พ.ศ. ๒๕๒๓ และคณะรัฐประหารก็ตั้งพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ขณะนั้น กองกำลังที่ต่อต้านรัฐบาลได้เข้ายึดกรุงเทพมหานคร พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่ กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ตั้งกองบัญชาการตอบโต้ และใช้อำนาจปลดผู้ก่อการออกจากตำแหน่งทางทหาร การก่อการครั้งนี้จึงกลายเป็นกบฏที่รู้จักในชื่อ "กบฏเมษาฮาวาย" และนำไปสู่ "กบฏทหารนอกราชการ" ในเวลาต่อมาพฤษภาทมิฬ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง เข้าเฝ้ารัฐประหารของคณะทหารเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ นำประเทศไทยกลับไปสู่ระบอบเผด็จการทหารอีกครั้ง ซึ่งหลังคณะรักษาความสงบ เรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๕ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปแล้ว พรรคการเมืองที่มีจำนวนผู้แทนราษฎรมากที่สุดคือพรรคสามัคคีธรรม จำนวนเจ็ดสิบเก้าคน ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีการเตรียมเสนอ ณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนราษฎรมากที่สุดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่ามาร์กาเร็ต
แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา ได้แถลงว่า ณรงค์เป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอหนังสือเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจาก
มีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติดพลเอก สุจินดา คราประยูร หัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งเคยตกปากว่าจะไม่รับตำแหน่งใด ๆ ภายหลังจากเลือกตั้งอีกเพื่อตัดข้อครหาบทบาทของทหารในรัฐบาลพลเรือน กลับยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสร้างความไม่พอใจท่ามกลางประชาชนเป็นอันมาก นำไปสู่การเคลื่อนไหวคัดค้านต่าง ๆ ของประชาชน โดยมีร้อยตรี ฉลาด วรฉัตร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรมเป็นแกนนำ ซึ่งรัฐบาลของพลเอก สุจินดาได้สั่งให้ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงโดดเฉียบขาด กลายเป็นเหตุการณ์นองเลือดในที่สุด และมีผู้คน
เสียชีวิต เมื่อฝ่ายทหารเปิดการโจมตีผู้ชุมนุม เหตุการณ์ดิ่งสู่ความรุนแรงเรื่อย ๆ เมื่อกำลังทหารและตำรวจเข้าควบคุมกรุงเทพมหานครเต็มที่และท่ามกลางเหตุการณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีพระบรมราชโองการเรียกพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้ากลุ่มผู้ประท้วง (พลตรีจำลอง ศรีเมือง) เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ให้เฝ้า และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถ่ายทอดการนี้ออกอากาศสดได้ ในภาพทางโทรทัศน์ พระองค์ทรงขอให้คู่กรณียุติความรุนแรงและนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สันติซึ่งทั้ง พลเอก สุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เห็นพ้องต้องกันในการที่จะให้รัฐบาลพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศในสถานการณ์ดังกล่าว ณ จุดสูงสุดของวิกฤติการณ์ ปรากฏภาพพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้าผู้ประท้วง เฝ้าทูลละอองพระบาทโดยหมอบกราบ และที่สุดก็นำไปสู่การลาออกของพลเอก สุจินดา คราประยูร และการเลือกตั้งทั่วไป
รัฐประหาร พ.ศ. ๒๕๔๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ และ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก เข้าเฝ้าฯ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ในเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานสภาองคมนตรี และรัฐบุรุษ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์ และพลอากาศเอก
ชลิต พุกผาสุข เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายรายงานสถานการณ์ การปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อเวลา ๐๐.๑๙ น. วันพุธที่ ๒๐ กันยายน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต
พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อันมีพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้สึกรู้รักสามัคคีของคนในชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนส่วนหนึ่งเคลือบแคลงสงสัยว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานอิสระ ถูกการเมืองครอบงำ ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ แม้หลายภาคส่วนของสังคมจะได้พยายามประนีประนอม คลี่คลายสถานการณ์มาโดยต่อเนื่องแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้
เดิม คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Council for Democratic
Reform under Constitutional Monarchy (อักษรย่อ CDRM) ต่อมาได้ตัดคำว่า under Constitutional Monarchy ออก เพื่อไม่ให้สื่อต่างประเทศนำไปตีความว่า คณะปฏิรูปฯ เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็น Council for Democratic Reform (อักษรย่อ CDR) โดยยังคงใช้ชื่อภาษาไทยตามเดิม
นอกจากนี้ ในวันที่ ๒๒ กันยายน โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก แพร่ภาพพิธีรับพระบรมราชโองการ แต่งตั้งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แก่พลเอก สนธิ ซึ่งมีข้อสังเกตว่า ประกาศฉบับดังกล่าว มีพลเอก สนธิเอง ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และลงวันที่ ๒๐ กันยายน ขณะที่พิธีรับพระบรมราชโองการนั้น จัดให้มีขึ้นต่อมาในภายหลัง
หลังจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๔๙ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ปีเดียวกัน คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แปรสภาพเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดย หัวหน้า คปค. ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติ ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้น จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๕๔๙
ทรงรับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการการตั้งคำถามและการวิจารณ์บทบาทของพระองค์ในวิกฤตการณ์การเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อนานาชาตินักวิชาการไทยคนหนึ่งว่า "การถือภาพลวงว่าพระมหากษัตริย์ได้รับการเทิดทูนถ้วนหน้ายิ่งยากขึ้นทุกที"
ในเดือนเมษายน ๒๕๕๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงแต่งตั้งพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมวางแผนรัฐ
ประหาร เป็นองคมนตรี ในห้วงก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๕๔ พระองค์ทรงแต่งตั้งพลอากาศเอก ชลิต
พุกผาสุข ผู้นำรัฐประหารปี ๒๕๔๙ เป็นองคมนตรี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้พระราชทานสัมภาษณ์ในรายการโดยอ้างว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเสียพระทัยต่อเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ใจความตอนหนึ่งว่า "จะเล่าไป ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่อยากพูดถึงใครว่าใครดีใครเลว ไม่รู้ เพราะไม่เคยคบนักการเมือง แต่ว่า รู้แต่ว่า เหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จฯ (สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ) เหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวนี่ จากที่ทรงหัดเดินได้น่ะ ตอนนั้นน่ะ ทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือ นอนแบ็บเลย สมเด็จฯ ก็เสียพระทัยมากเหลือเกิน ท่านรับสั่งว่า 'คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้ สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง"
อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิได้ทรงตอบรับข้ออ้างของพระธิดาต่อสาธารณชนว่าเป็นจริงหรือเท็จ นอกจากนี้พระองค์ก็ตรัสถึงการเมืองบ้างเล็กน้อยในบางโอกาส
หลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๗ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีประกาศแต่งตั้งพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติพระพลานามัยปลายพระชนม์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัยเต้นผิดปกติ มีสาเหตุจากการได้รับเชื้อไมโคพลาสมา ราวปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทย์ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนต้องทรงรับการผ่าตัดใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘
นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเริ่มประชวร อันเนื่องมาจากพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ พระองค์แปรพระราชฐานจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ถวายการรักษา ต่อมาจนถึงเดิอนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ
จนกระทั่งวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยทรงมี
พระอาการไข้ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาจนพระอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถอีกครั้ง แต่เสด็จฯไปประทับได้ไม่นาน ก็ทรงกลับมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดระยะเวลาที่ทรงประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙ พระอาการประชวรได้ดี
ขึ้นและทรุดลงเป็นครั้งคราว โดยพระราชกรณียกิจครั้งสุดท้ายของพระองค์คือการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาประจำศาลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ และการปรากฏพระองค์ครั้งสุดท้ายคือการเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสภาพภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙
เสด็จสวรรคต
ประกาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สวรรคตพระโกศประกอบพระอิสริยยศพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระปรอทต่ำ หายพระทัยเร็ว มีพระเสมหะ พระปับผาสะซ้ายอักเสบ มีพระโลหิตเป็นกรด และพบว่ามีน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะเล็กน้อย คณะแพทย์จึงทำการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะ และใช้สายสวนเข้าหลอดพระโลหิตดำเพื่อฟอกพระโลหิต แต่มีพระความดันพระโลหิตต่ำจึงใช้เครื่องช่วยหายพระทัย พระอาการไม่คงที่ก่อนที่พระอาการจะทรุดลงไปอีก มีการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จนเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ และสวรรคตเมื่อเวลา ๑๕.๕๒ น. รวมพระชนมายุ ๘๘ พรรษา ทรงครองราชสมบัติได้ ๗๐ ปี ๔ เดือน ๔ วัน
วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๖.๐๐ น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเคลื่อนพระบรมศพของพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปยังพระบรมมหาราชวัง มีพระราชพิธีถวายสรงน้ำพระบรมศพ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา มีการเชิญพระบรมศพลงสู่พระหีบ ประดิษฐานหลังพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระโกศทองใหญ่
ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวังรัฐบาลประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา ๓๐ วัน และให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่รัฐไว้ทุกข์ ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้วันที่ ๑๓ ตุลาคมของทุกปีเป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
สถานะพระมหากษัตริย์
ประทับบนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ภายใต้พระนพปฏลมหาเศวตฉัตร
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ จอมทัพไทย และอัครศาสนูปถัมภก และเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในรัชสมัยของพระองค์ เกิดรัฐประหาร ๑๑ ครั้ง เหตุการณ์กบฏ ๙ ครั้ง เหตุการณ์การก่อการกำเริบโดยประชาชนจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ๒ ครั้งได้แก่ เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา และ พฤษภาทมิฬ รัฐธรรมนูญ ๑๖ ฉบับ และการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี ๒๖ คน
ตามรัฐธรรมนูญไทย พระองค์ทรง "ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้" ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี" แต่พระองค์เคยมีพระราชดำรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ว่า "...แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์ แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี รู้ได้อย่างไร ถ้าเขาบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวดีมาก ไม่ใช่อย่างนั้น ... ฉะนั้น ที่บอกว่าการวิจารณ์ เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด เขาก็ถูกประชาชนบ้อม คือ ขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี แต่เมื่อบอกไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้ เพราะ รัฐธรรมนูญว่ายังงั้น ลงท้าย พระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก
บทบาททางการเมืองไทย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงโปรดเกล้าฯ ให้พลเอก สุจินดาและพลตรี จำลองเข้าเฝ้า พระองค์ทรงมีบทบาทในการเมืองไทยหลายครั้ง ได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น กบฏยังเติร์ก ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และ กบฏทหารนอกราชการ ในปี
พ.ศ. ๒๕๒๘ กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ หัวหน้าคณะยึดอำนาจนอกเหนือจากนี้มิได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ยกเว้นจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารในเหตุการณ์ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๐
บทบาททางการเมืองที่สำคัญของพระองค์ อาทิ สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารในเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๐ และเมื่อรัฐบาลทหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เถลิงอำนาจ รัฐบาลได้ฟื้นฟูพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ โดยอนุญาตให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จพบปะประชาชนเป็นอันมากได้ ให้เสด็จประภาสในถิ่นทุรกันดาร และตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาที่พระองค์มีพระราชดำริริเริ่มด้วย นอกจากนี้วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (๕ ธันวาคม) ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวันชาติไทย แทนที่วันที่ ๒๔ มิถุนายน อันตรงกับวันที่คณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นผลสำเร็จด้วย ทั้งนี้ พระยาศรีวิสารวาจา (หุ่น ฮุนตระกูล) องคมนตรี ได้กล่าวต่อมาว่า ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่มีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์เท่ากับจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาก่อนเลย
และยังเป็นที่ทราบกันว่า พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในพฤษภาทมิฬ โดยมีพระบรมราชโองการเรียกพลเอก สุจินดา คราประยูร และหัวหน้ากลุ่มผู้ประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ให้เฝ้า และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ถ่ายทอดการนี้ออกอากาศสดได้ ในภาพทางโทรทัศน์ พระองค์ทรงขอให้คู่กรณียุติความรุนแรงและนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สันติ ซึ่งทั้งพลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เห็นพ้องต้องกันในการที่จะให้รัฐบาลพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศในสถานการณ์ดังกล่าว และที่สุดก็นำไปสู่การลาออกของพลเอก สุจินดา คราประยูร และการเลือกตั้ง
ทั่วไป
ในเหตุการณ์ รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๙ พระองค์ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทำการบันทึกภาพและเสียงระหว่างการเข้าเฝ้าของพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน และคณะในช่วงหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๙ การตั้งคำถามและการวิจารณ์บทบาทของพระองค์ในวิกฤตการณ์การเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่อนานาชาติ นอกจากนี้ พระองค์ก็ตรัสถึงการเมืองบ้างเล็กน้อยในบางโอกาส
อำนาจตามรัฐธรรมนูญ
อำนาจตามรัฐธรรมนูญของพระองค์มักเป็นที่ถกเถียงกัน บางส่วนเพราะความเป็นที่นิยมอย่างล้นหลามของพระองค์และบางส่วนเป็นเพราะอำนาจของพระองค์มักถูกตีความขัดกันแม้จะมีนิยามอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญแล้วก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นการแต่งตั้งจารุวรรณ เมณฑกาเป็นผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ทว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแต่งตั้งเธอขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐสภาเลือกผู้ดำรงตำแหน่งแทนจารุวรรณ พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธเขา วุฒิสภาปฏิเสธลงคะแนนยกเลิกการยับยั้งของพระองค์สุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้จารุวรรณกลับเข้ารับตำแหน่ง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการอธิบายว่ากรณีนี้เป็นความพยายามของวุฒิสภาเพื่อบีบบังคับให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทำตามความปรารถนาของพวกตน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เนื่องจาก
รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเฉพาะว่าพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจเงินแผ่นดินตามคำแนะนำของวุฒิสภา การพ้นจากตำแหน่งจึงต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายน้อยครั้ง พอล แฮนด์ลีย์เขียนใน เดอะคิงเนเวอร์สไมล์ ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เมื่อรัฐสภาลงคะแนนเสียงเห็นชอบเพื่อขยายการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยสู่ระดับอำเภอ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปฏิเสธลงพระปรมาภิไธยกฎหมาย] รัฐสภาไม่ยอมออกเสียงยกเลิกการยับยั้งของพระองค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงยับยั้งกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่รัฐสภาเห็นชอบสองครั้งก่อนทรงยินยอมลงพระปรมาภิไธย บางทีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไม่ทรงใช้พระราชอำนาจนี้ยับยั้งการตรากฎหมาย เช่น ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗
มาตรา ๑๐๗ วรรค ๒ ซึ่งบัญญัติว่า ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยแต่ก็ไม่ทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งโดยตรง เพียงแต่มีพระราชกระแสท้ายร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ไม่ทรงเห็นด้วยกับมาตรา ๑๐๗ วรรค ๒ แห่ง ร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งขัดกับหลักที่ว่า
พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งจะทำให้ประธานองคมนตรีอยู่ในสภาพเสมือนเป็นองค์กรทางการเมือง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญอภัยโทษอาชญากร แม้มีเกณฑ์หลายข้อสำหรับการได้รับ
พระราชทานอภัยโทษ ซึ่งรวมอายุและโทษที่ยังเหลืออยู่ การอภัยโทษผู้ข่มขืนกระทำชำเราและช่างภาพเปลือยเด็กชาวออสเตรเลียผู้หนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิด
ข้อโต้เถียง
ภาพลักษณ์
พระองค์ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "สมเด็จพระภัทรมหาราช" หมายความว่า "พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง" ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ มีการถวายใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช" และ "พระภูมิพลมหาราช" อนุโลมตามธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า "พระปิยมหาราช" ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระองค์ว่า "ในหลวง" ซึ่งคาดว่าย่อมาจาก "ใน (พระบรมมหาราชวัง) หลวง" หรืออาจออกเสียงเพี้ยนมาจากคำว่า "นายหลวง" ซึ่งแปลว่าเจ้านายผู้เป็นใหญ่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระองค์ว่า "ในหลวง" ซึ่งคาดว่าย่อมาจาก "ใน (พระบรมมหาราชวัง) หลวง" หรืออาจออกเสียงเพี้ยนมาจากคำว่า "นายหลวง" ซึ่งแปลว่า "เจ้านายผู้เป็นใหญ่"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงออกผนวช ทรงโปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ทรงสร้างพระสมเด็จจิตรลดาด้วยพระองค์เอง และนอกจากนี้ยังเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงเกื้อกูล ค้ำจุนทุกศาสนาอย่างเสมอภาคทรงสนับสนุนพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อใช้แปลพระคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงจัดตั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า ๔๗๔๑ โครงการ นอกจากนี้ยังเสด็จเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญที่สุดจนทำให้พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทย คือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระองค์ได้ปฏิบัติพระองค์เองเป็นแบบอย่าง โปรดให้มีการการปลูกข้าว การเลี้ยงโคนม การเพาะพันธุ์ปลานิลขึ้นในสวน
จิตรลดา ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการประหยัด ตัวอย่างเช่น ทรงใช้ดินสอเดือนละ ๑ แท่ง หรือการใช้ยาสีพระทนต์จดหมดหลอด นอกจากนั้นยังไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับใด ๆ เลย ยกเว้นแต่นาฬิกาข้อมือ
พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ โรงเรียน องค์การและมูลนิธิต่าง ๆ มากกว่า ๑๐๐๐ แห่ง ส่วนการพักผ่อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยคือการเสด็จไปประทับ ณ วังไกลกังวลและสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือคุณทองแดง สุนัขพันธุ์ไทยซูเปอร์บาเซนจิ นอกจากนี้ ภาพพระราชอิริยาบถส่วนพระองค์ยามพักผ่อนและชีวิตประจำวันส่วนพระองค์ก็มีปรากฏให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว เช่น การที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสวยพระกระยาหารร่วมกัน
ความนิยมในพระองค์ปรากฏให้หลังเหตุจลาจลในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ เมื่อผู้ประท้วงชาวไทยหลายร้อยคนซึ่งโกรธจากข่าวลือว่าผู้ก่อจลาจลชาวกัมพูชาย่ำพระบรมฉายาลักษณ์ ชุมนุมนอกสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาในกรุงเทพมหานคร สถานการณ์จบลงอย่างสันติก็เมื่อพลตำรวจเอก สันต์ ศรุตานนท์ บอกฝูงชนว่าเขาได้รับโทรศัพท์จากราชเลขานุการ อาสา สารสิน ถ่ายทอดว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงขอให้สงบ ฝูงชนจึงสลาย ประเพณีหมอบกราบเบื้องหน้าพระมหากษัตริย์ซึ่งเคยเลิกไปในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ได้รับการฟื้นฟูในรัชกาลของพระองค์ พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ติดอยู่หน้าอาคารรัฐบาล ทางเข้าท่าอากาศยาน ธนาคารพาณิชย์ และโดยมารยาทในสำนักงานและโรงเรียน
ชีวิตส่วนพระองค์
กีฬา
Searchtool.svg ดูบทความหลักที่ การเล่นกีฬาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชโปรดกีฬาเรือใบเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๙-๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา ซึ่งพระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทองจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างขึ้นว่า เรือใบมด เรือใบซูเปอร์มด และเรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลำสุดท้ายที่พระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๐ เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย คือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่
ดนตรี
Searchtool.svg ดูบทความหลักที่ เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระองค์ทรงดนตรีได้หลายชนิด เช่น แซ็กโซโฟน คราริเน็ต ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน โปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก และพระองค์ได้ประพันธ์
หลายเพลง เช่น เพลงพระราชนิพันธ์แสงเทียน เป็นเพลงแรก สายฝน ยามเย็น ใกล้รุ่ง ลมหนาว ยิ้มสู้ ค่ำแล้ว ไกลกังวล ความฝันอันสูงสุด และเราสู้ หรือพรปีใหม่ เป็นต้น
พระราชทรัพย์
พระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของที่ดินและหุ้น โดยแบ่งออกได้เป็นส่วน ๆ ได้โดยสังเขป คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระคลังข้างที่ และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์อุทิศพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งเพื่อโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจำนวน ๔๗๔๑ โครงการ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อพัฒนาภายในประเทศในด้านกสิกรรม เกษตรกรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย การส่งเสริมอาชีพ สาธารณูปโภค และการศึกษา
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อ้างว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมีการแก้ไข สองครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ และ พ.ศ. ๒๔๙๑ ซึ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกจากกัน ข้ออ้างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๑ กำหนดให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยเป็นประธานคณะกรรม
การทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๑ มี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คนแรกและอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คนสุดท้ายตามกฎหมายพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระ
มหากษัตริย์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๙๑
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นอยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง เพื่อการนั้น จึงมีการจัดตั้งสำนักงานขึ้นเรียก สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้น ทั้งนี้บริษัทซีบีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของโลก ได้เคยประมาณการตัวเลขพื้นที่ที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ที่ ๓๒๕๐๐ ไร่ โดยในบางพื้นที่มีมูลค่าสูง
กว่า ๓๘๐ ล้านบาทต่อไร่ ทำให้พระองค์ทรงได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บ ให้เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ชี้แจงถึงบทความดังกล่าวว่า "มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากในความเป็นจริง ทรัพย์สินที่นับมาประเมินนั้นเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์"
ทรัพย์สินส่วนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงทุนส่วนพระองค์เอง โดยมีการแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกจากสำนักงานพระคลังข้างที่ และตั้งสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ขึ้น โดยมี “ผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ทรัพย์สินส่วนพระองค์ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดว่าการดูแลรักษาและการจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย”
ทรัพย์สินส่วนพระองค์นี้ยังหมายรวมถึง เงินทูลเกล้าถวายฯ ตามพระราชอัธยาศัยต่าง ๆ ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นต้องเสียภาษีอากรตามปกติไม่ได้รับการยกเว้นเรื่องภาษี มูลนิธิอานันทมหิดล กล่าวว่า พระองค์ได้พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์จำนวนมากแก่ โครงการพระราชดำริ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ การกุศล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
บิลเลียนแนส์นิวส์ไวร์ (Billionaires NewsWire) ชี้ว่าพระองค์ทรงมีทองคำและเครื่องประดับจำนวนมาก คือ ทองคำ ๙๐๐๐ ตัน คิดเป็นเงินมูลค่า ๓๕๐๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บุคคลสำคัญในสมัยรัชกาลทที่ ๙
๑.จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
๒.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
๓.พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
๔.ดร.ถนัด คอมันตร์
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ พลตำรวจเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ ๑๑, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารบกและอธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้ริเริ่มการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้ก่อตั้งสำนักงบประมาณ เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารทหารไทย และบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด เจ้าของคำพูดที่ว่า "พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ" และ "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบ
แต่เพียงผู้เดียว"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ใน วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นวันที่เกิดรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๐ อย่างไรก็ตามไม่ได้มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ป็น หัวหน้าคณะปฏิวัติ
ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ได้ให้การสนับสนุนผู้มีอำนาจของประเทศลาว นายพลพูมี หน่อสะหวัน ในการต่อสู้กับกองโจรคอมมิวนิสต์ประเทศลาว ในราชอาณาจักรลาว
จอมพลสฤษดิ์มีอนุภรรยาจำนวนมาก และมีบุตรหลายคน สมรสครั้งสุดท้ายกับ นางสาววิจิตรา ชลทรัพย์ ต่อมาคือ ท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง และอีกหลายโรค สิริอายุ ๕๕ ปี
ปฐมวัยและการศึกษา
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีชื่อแต่แรกเกิดว่า" สิริ ธนะรัชต์" เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ที่บ้านปากคลองตลาด ตำบลพาหุรัด จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพันตรี หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) กับคุณจันทิพย์ วงษ์หอม มีพี่ชายร่วมบิดามารดาชื่อ ด.ช.สวัสดิ์ ธนะรัชต์ มารดาเป็นชาวมุกดาหารโดยกำเนิด หลวงเรืองเดชอนันต์มาราชการที่มุกดาหารมาเจอกันคุณจันทิพย์โดยบังเอิญก็นึกรักใคร่จึงขอแต่งงานด้วย คุณจันทิพย์เห็นเป็นผู้ดีมีศักดิ์ไม่ได้สอบถามว่า "มีเมียหรือยัง" ตอบตกลงทั้งสองก็ได้แต่งงานกันสมปราถนา ปู่ของจอมพลสฤษดิ์เป็นทหารของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ที่อพยบมาจากเมืองพระตะบอง ประทเศกัมพูชา ตอนแลกเปลี่ยนดินแดนกับฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ ๕
ขณะด.ช.สฤษดิ์อายุได้ ๓ ปี คุณนายจันทิพย์ได้พาบุตรชายทั้งสองกลับจังหวัดมุกดาหารอันเป็นบ้านเดิมเพื่อหนีหลวงเรืองเดชอนันต์ที่มีอนุภริยาจำนวนมาก ระหว่างทางสวัสดิ์บุตรชายคนโตตายระหว่างทางด้วยไข้ป่า หลังจอมพลสฤษดิ์ได้พำนักอยู่บ้านเดิมของมารดาจนมีอายุได้ ๗ ปี บิดาก็มารับไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพมหานคร ส่วนจันทิพย์ก็สมรสใหม่กับหลวงพิทักษ์พนมเขต (สีห์ จันทรสาขา) มีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ สง่า จันทรสาขา อดีตผู้ว่าราชการ จังหวัดนครพนม, สงวน จันทรสาขา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม และดร.สุรจิตต์ จันทรสาขา ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นพี่น้องต่างบิดาของจอมพลสฤษดิ์
สฤษดิ์เริ่มการศึกษาชั้นต้นที่จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นเข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก จนกระ ทั่ง สำเร็จการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นนักเรียนทำการนายร้อย กองพันที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๒ รับราชการทหาร
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๖ เกิดกบฏบวรเดช นำโดยพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ร้อยตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหนึ่งในผู้บังคับหมวดปราบปรามกบฏของฝ่ายรัฐบาล ที่มีพันเอกหลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บังคับบัญชา หลังจากรัฐบาลได้รับชัยชนะ ได้รับพระราชทานยศร้อยโท จากนั้นอีก ๒ ปีก็ได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอก
ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ร้อยเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าร่วมรบในสงครามมหาเอเชียบูรพาขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองทัพทหารราบที่ ๓๓ จังหวัดลำปาง มียศเป็นพันตรี จนช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘ จึงได้เลื่อนยศเป็นพันเอก ตำแหน่งผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑๓ และผู้บังคับการจังหวัดทหารบกลำปาง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง มีการผลัดเปลี่ยนอำนาจทางการเมือง โดยก่อนหน้านั้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๗ อำนาจของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เริ่มเสื่อมถอยลง หลังจากลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กลับเติบโตขึ้นโดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยกำลังสำคัญ
พ.ศ. ๒๔๙๐ คณะนายทหารนำโดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ พ่อของพลเอกชาติชาย ทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้วยความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์เข้าร่วมคณะรัฐประหาร เป็นการกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่งของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีพันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นขุนพลคู่ใจตั้งแต่นั้น
นับแต่นั้น ตำแหน่งของพันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้รับพระราชทานยศพลตรี ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ กองทัพที่ ๑ และรักษาการผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ ผลงานที่สร้างชื่อคือการเป็นหัวหน้าปราบกบฏวังหลวงเมื่อปีเดียวกัน จากนั้นก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลโท ต่อด้วยการก้าวขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้ครองตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก รั้งยศพลเอก
ต่อมาในวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๗ พลเอกสฤษดิ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ในวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ พลเอกสฤษดิ์ได้รับพระราชทานยศ พลเรือเอก และ พลอากาศเอก
ต่อมาในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔ชช พลเอกสฤษดิ์ได้รับพระราชทานยศ จอมพล พร้อมกับ พลเรือเอก หลวงยุทธศาสตร์โกศล
ในวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ จอมพลสฤษดิ์ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารบก ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นคนแรก
ต่อมาในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ จอมพลสฤษดิ์ได้รับพระราชทานยศ จอมพลเรือ และ จอมพลอากาศ พร้อมกับ พลเอกถนอม กิตติขจร ที่ได้รับพระราชทานยศ พลเรือเอก พลอากาศเอก
ในวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๒ จอมพลสฤษดิ์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทน อธิบดีกรมตำรวจ แทน พลตำรวจเอกไสว ไสวแสนยากร
บทบาททางการเมือง
ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อันเป็นรัฐบาลชุดสุดท้ายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่หลังจากนั้น ๑๐ วันก็ลาออก สาเหตุเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งมีการกล่าวขานว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรก ซึ่งผลคือ พรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับเสียงข้างมาก และได้ตั้งรัฐบาล ท่ามกลางความวุ่นวายอย่างหนักจากการเดินประท้วงของประชาชนจำนวนมาก ที่เรียกร้องให้จอมพล ป. พิบูลสงครามและพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อสถานการณ์ลุกลาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แต่งตั้งให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการ ๓ เหล่าทัพ เพื่อคอยควบคุมสถานการณ์ แต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์สั่งไม่ให้ทหารทำอันตรายประชาชนที่เดินขบวนชุมนุมประท้วง และเป็นผู้นำประชาชนเข้าพบ จอมพล ป. ที่ทำเนียบ ทำให้กลายเป็นขวัญใจของประชาชนทันที จนได้รับฉายาในตอนนั้นว่า "วีรบุรุษมัฆวานฯ" จากเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นว่า
รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามขาดความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหมคงเหลือแต่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเพียงอย่างเดียว
รูปปั้นนูนดำชีวประวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ณ อนุสาวรีย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่จังหวัดขอนแก่น แสดงภาพเหตุการณ์รัฐประหารใน ปี พ.ศ. ๒๕๐๐
วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหารยื่นคำขาดต่อจอมพล ป. พิบูลสงครามให้รัฐบาลลาออก แต่ได้รับคำตอบจากจอมพล ป. พิบูลสงครามว่า ยินดีจะให้รัฐมนตรีลาออก แต่ตนจะขอเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลเอง ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชน ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้พูดผ่านวิทยุยานเกราะถึงผู้ชุมนุมในเหตุการณ์นี้ โดยมีประโยค "พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ" วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ ประชาชนพากันลุกฮือเดินขบวนบุกเข้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อไม่พบจอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงพากันไปบ้านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็กำลังเตรียมจับกุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในข้อหากบฏ แต่ไม่ทัน ในคืนวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นำกำลังทำรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในคืนนั้นเอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ได้ลี้ภัยไปต่างประเทศ
หลังยึดอำนาจรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เห็นว่า ไม่เหมาะสมที่ตนเองจะขึ้นครองอำนาจ ประกอบกับมีปัญหาสุขภาพ จึงตั้งให้ นายพจน์ สารสิน ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากรัฐบาลพจน์ สารสินจัดการเลือกตั้งเป็นที่เรียบร้อย พลโท ถนอม กิตติขจร ก็รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๑ แต่กาลต่อมา ได้เกิดความวุ่นวายจากความขัดแย้งระหว่างสมาชิกพรรคที่เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรกับรัฐมนตรีขึ้นในรัฐบาลพลโทถนอม กิตติขจร และพลโทถนอม กิตติขจรก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วร่วมมือกับพลโทถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ไปทรงเยี่ยมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ใน พ.ศ. ๒๕๐๖ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ หลังทำรัฐประหารรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร
ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ประกาศยกเลิกสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ เช่น พรรคการเมือง โดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว" นโยบาย ได้แก่ การออกกฎหมายเลิกการเสพและจำหน่ายฝิ่น กฎหมายปราบปรามพวกนักเลง อันธพาลกฎหมายปรามการค้าประเวณี ตลอดจนการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ มีการทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๐๙)
มีการสร้างสาธารณูปโภคสำคัญ เช่น ไฟฟ้า, ประปา, ถนน ให้กระจายไปทั่วทั้งในเมืองและชนบท ซึ่งเรียกว่า "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก"
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีฉายาว่า "จอมพลผ้าขาวม้าแดง" คือ ใช้มาตรา ๑๗ ทำเบ็ดเสร็จเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประเทศ เช่น ประหารชีวิตเจ้าของบ้านทันทีหลังบ้านใดเกิดเพลิงไหม้ เพราะถือว่าเป็นการก่อความไม่สงบ การใช้ "รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗" การปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นต้น ทั้งเป็นผู้รื้อฟื้นพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ เช่น จัดงานเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพ,
การสวนสนามของทหารรักษาพระองค์, การประดับไฟบนถนนราชดำเนินในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น
ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ได้ประกาศนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว จอมพลจอมพลสฤษดิ์ได้มีความเห็นในการพัฒนาประเทศไทยให้มีภาพลักษณ์ ในการท่องเที่ยวเหมือนบราซิลและอาร์เจนตินา โดยมีแผนการพัฒนาเมืองพัทยาให้เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศเหมือนบัวโนสไอเรส และพัฒนากรุงเทพมหานครให้เหมือนรีโอเดจาเนโร ในระหว่างนั้นสหรัฐอเมริกาเข้ามาสร้างฐานทัพในไทย ทำให้ทั้งสองเมืองดังกล่าวกลายเป็นแหล่งพักผ่อนของทหารอเมริกัน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย
นอกจากนี้แล้ว ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยได้เกิดมีกรณีพิพาทกับประเทศกัมพูชา เพื่อนบ้าน ในกรณีประสาทเขาพระวิหาร ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการเรี่ยไรเงินบริจาคจากประชาชนชาวไทยคนละ ๑ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลโลก หลังจากมีคำพิพากษา จอมพลสฤษดิ์ออกแถลงการณ์แก่ประชาชนชาวไทยด้วยตนเองผ่านทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง และอีกหลายโรค สิริอายุ ๕๕ ปี เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนเดียวที่ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่ง ซึ่งหลังการเสียชีวิตสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยได้เปิดเพลง "พญาโศก" เป็นการไว้อาลัย และมีการประกาศไว้ทุกข์ ๒๑ วัน มีพิธีพระราชทานเพลงศพที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหารในวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ หลังมีพิธีศพ ๑๐๐ วัน
เรื่องอื้อฉาวภายในครอบครัว
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีไทยและท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์
หนึ่งเดือนหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ทายาททั้งหลายต่างก็เริ่มวิวาทแก่งแย่งทรัพย์มรดกมหาศาลของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ บุตรทั้ง ๗ คนของจอมพลสฤษดิ์ได้ฟ้องท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ที่พยา ยามจะตัดสิทธิในส่วนแบ่งอันถูกต้องของทายาท
เนื่องจากเป็นเรื่องอื้อฉาวมาก ประชาชนจึงต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งในคดีนี้และสื่อมวลชนก็ยกให้เป็นคดีที่อื้อฉาวที่สุดในเมืองไทย การที่ประชาชนให้ความสนใจในการพิจารณาคดีนี้ จึงเป็นการบังคับให้รัฐบาลจอมพลถนอมต้องเข้าแทรกแซงและสอบสวนเบื้องหลังความมั่งคั่งของจอมพลสฤษดิ์
ได้มีการเปิดพินัยกรรมของจอมพลสฤษดิ์ที่บ้านของจอมพลถนอม ต่อหน้าทนายความและนายทหารคนสำคัญๆ ที่เป็นผู้ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์ตัวพินัยกรรมเองลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ หลังจากจอมพลสฤษดิ์ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงเล็กน้อย ข้อสำคัญในพินัยกรรมกล่าวว่า ทรัพย์สินทั้งหมดของจอมพลสฤษดิ์ให้ตกแก่ท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์แต่เพียงผู้เดียว โดยมีข้อแม้ว่าท่านผู้หญิงต้องให้ลูกเลี้ยง คือพันตรีเศรษฐา ธนะรัชต์และร้อยโทสมชาย ธนะรัชต์ คนละ ๑ ล้านบาท พร้อมทั้งบ้านหนึ่งหลังที่เหมาะสมกับฐานะของบุคคลทั้งสอง อย่างไรก็ตาม จะเป็นไปตามเงื่อนไขนี้ก็ต่อเมื่อทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นเงินสดมีมากกว่า ๑๐ ล้านบาท นอกจากนี้ที่นาของจอมพลสฤษดิ์จะต้องแบ่งให้แก่บุตรชายคนโตทั้งสองคนจำนวนเท่า ๆ กัน
โจทก์ร้องเรียนว่าจอมพลสฤษดิ์ได้เขียนพินัยกรรมขึ้นอีกฉบับหนึ่งซึ่งถูกท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ทำลายไปแล้วหลังจากที่เข้าบุกบ้านส่วนตัวของจอมพลสฤษดิ์ในค่ายกองพลที่ ๑ บุตรชายทั้งสองกล่าวหาท่านผู้หญิงวิจิตราว่าได้พยายามจะรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดของจอมพลสฤษดิ์ไว้โดยอ้างว่ามีเงินจำนวนถึง ๒,๘๗๔,๐๐๙,๗๙๔ บาท รวมกันอสังหาริมทรัพย์อีกมากมายที่ไม่สามารถจะประมาณได้ ตรงกันข้ามท่านผู้หญิงวิจิตรากลับกล่าวว่าตนรู้เพียงว่ามีเงินเพียง ๑๒ ล้านบาทเท่านั้น
ขณะที่รอคอยผลการตัดสินจากศาล บุตรของจอมพลสฤษดิ์ก็ได้ร้องเรียนจอมพลถนอมให้ใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๐๒ ในการสอบสวนเรื่องราวนี้ทั้งหมด หลังจากที่พิจารณาอย่างคร่าวๆ แล้ว รัฐบาลรู้สึกว่าหากมิได้ลงมือกระทำการอย่างรวดเร็วแล้ว ก็จะทำให้ฐานะของรัฐบาลไม่ดีในสายตาของประชาชน ดังนั้นเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ จอมพลถนอมจึงออกประกาศว่าตนจะได้นำมาตรา ๑๗ มาใช้ในการยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์และตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอบข่ายการฉ้อราษฎร์บังหลวงของจอมพลสฤษดิ์
จากรายงานของคณะกรรมการคณะนี้ ปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ได้ใช้เงินแผ่นดินเพื่อเลี้ยงดูนางบำเรอและลงทุนในธุรกิจ เงินผลประโยชน์ที่สำคัญๆ ๓ แหล่งที่รัฐบาลสนใจคือ เงินงบประมาณ ๓๙๔ ล้านบาทที่เป็นเงินสืบราชการลับของสำนักนายกรัฐมนตรี เงิน ๒๔๐ ล้านบาทจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาล และประมาณ ๑๐๐ ล้านบาทซึ่งควรที่จะให้แก่กองทัพบกซึ่งได้เปอร์เซนต์จากการขายสลากกินแบ่ง
ในระหว่างการสอบสวน อธิบดีกรมทะเบียนการค้าเปิดเผยว่า จอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิงวิจิตรามีผลประโยชน์จากบริษัทต่างๆ ถึง ๔๕ แห่ง การถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งก็คือในบริษัทกรุงเทพกระสอบป่าน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า ๒๐ ล้านบาท ต่อมาสมาชิกผู้หนึ่งในคณะกรรมการบริษัทได้ให้ปากคำว่า หุ้นส่วนเหล่านี้ได้โอนไปให้น้องชายจอมพลสฤษดิ์สองคน ซึ่งทั้งนี้ก็หมายความว่า จอมพลสฤษดิ์ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากอุตสาหกรรมข้าว ซึ่งกฎหมายบังคับให้ซื้อกระสอบป่านจากบริษัทนี้ นอกจากจำ นวนหุ้นและบัญชีเงินฝากในธนาคารจำนวนมากมายแล้ว จอมพลสฤษดิ์ยังมีที่ดินอีกจำนวนมหาศาล ดังที่อธิบดีกรมที่ดินกล่าวว่า จอมพลสฤษดิ์มีที่ดินมากกว่า ๒๐๐๐๐ ไร่ในต่างจังหวัด และที่ดินอีกนับแปลงไม่ถ้วนทั้งในและทั่วพระนคร ส่วนเงินสดที่เก็บไว้ในธนาคารต่างๆ นั้น จอมพลสฤษดิ์มีอยู่ประมาณ ๔๑๐ ล้านบาท ซึ่งถูกยึดไว้เพื่อพิจารณาว่าเงินส่วนใดเป็นของรับาลหรือไม่
ในที่สุดศาลก็ได้พิจารณาคดีวิวาทเกี่ยวกับทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ศาลแนะนำให้ประนีประนอมกันโดยที่ให้ท่านผู้หญิงวิจิตราและพันโทเศรษฐาเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน และให้ตกลงกันเองต่อเมื่อปรากฏผลขั้นสุดท้ายของการสอบสวนของรัฐบาลแล้ว
บทบาททางสังคม
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ได้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทยเป็นอย่างมากในช่วง พ.ศ. ๒๕๐๐ อาทิ เช่น การนำนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้และนำความเจริญกระจายสู่ชนบทด้วย รถตุ๊กๆ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ประกาศห้ามใช้รถสามล้อวิ่งในถนนสายต่างๆ โดยการยกเลิกการจดทะเบียนจักรยานสามล้อและจักรยานสามล้อส่วนบุคคลที่ใช้ในจังหวัดพระนครและธนบุรี ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาการจราจร ปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากการอพยพของคนต่างจังหวัดเข้ามาประกอบอาชีพนี้ และปัญหาความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยได้นำรถบรรทุกสามล้อยี่ห้อไดฮัทสุที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมาดัดแปลงใช้แทนและได้ทดลองใช้เป็นครั้งแรกในย่านเยาวราช
การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้นำหลักการฝึกบุคคลท่ามือเปล่า (Without Weapon) จากการฝึกของกองทัพสหรัฐมาใช้ในกองทัพไทยเป็นครั้งแรก อันได้แก่ ท่าตรง, ตามระเบียบ พัก และต่อมาได้นำมาใช้ในองต์กรต่างๆอาทิ โรงเรียน องค์กรต่างๆ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและฝึกความมีวินัยตามโนบายในขณะนั้น
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๒
ถึงแก่อสัญกรรม (ตาย) วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ตอนอายุได้ ๕๕ ปึ
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา ๕ ปี
เหตุที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงรักและนับถือจอมพลสฤษดิ์มากก็เพราะว่าจอมสฤษดิ์ถวายอำนาจความเป็นพระมหากษัตริย์ที่อิสระเป็นตัวของตัวเองไม่ถูกควบคุ้มโดย คณะราษฏร์ คืนให้แก่พระองค์ทำให้พระองค์มีความอิสระที่จะพบปะประชาชนได้โดยเสรี
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ศาสตราจารย์พิเศษพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนักปราชญ์
นักเขียน นักการเมือง และศิลปินแห่งชาติ นับเป็นปูชนียบุคคลท่านหนึ่งของไทย เป็นน้องชายแท้ ๆ ของ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ๔ สมัย สื่อมวลชนจึงนิยมเรียกทั้งคู่ว่า "หม่อมพี่ หม่อมน้อง" นอกจากนี้ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์และหม่อมราชวงศ์เสนีย์ยังมีพี่สาว คือ หม่อมราชวงศ์บุญรับ พินิจชนคดี ซึ่งสมรสกับ พลตำรวจเอก พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต)
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๑ กระทรวงวัฒนธรรมเสนอชื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์เป็นบุคคลสำคัญของโลกต่อยูเนสโก โดยมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน ต่อมาในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ยูเนสโกได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์เป็นบุคคลสำคัญของโลก ใน ๔ สาขา ได้แก่ การศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน ในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยได้รับการประกาศพร้อมกันกับเอื้อ สุนทรสนาน ซึ่งได้รับในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล พ.ศ. ๒๕๕๓
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ในเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นโอรสคนสุดท้อง ในบรรดาโอรส-ธิดา ทั้ง ๖ คน ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) ชื่อ "คึกฤทธิ์" นั้นมาจากการที่ชอบร้องไห้เสียงดังในวัยทารก จึงได้รับพระราชทานนามนี้จาก สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ชีวิตส่วนตัวสมรสกับ หม่อมราชวงศ์พักตร์พริ้ง ทองใหญ่ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ มีบุตรธิดา ๒ คน คือ หม่อมหลวงรองฤทธิ์ ปราโมช และ หม่อมหลวงวิสุมิตรา ปราโมช ต่อมาได้แยกกันอยู่กับหม่อมราชวงศ์พักตร์พริ้ง
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พักอยู่ที่บ้านในซอยพระพินิจ ซึ่งเป็นซอยย่อยอยู่ในซอยสวนพลู ถนนสาทรใต้ เขตสาทร บ้านหลังนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "บ้านซอยสวนพลู"
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์เป็นบุคคลที่มีบุคลิกและบทบาทที่หลากหลาย มีชื่อเสียงในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการประพันธ์ การแสดง และยังเป็นนักการเมือง เป็นผู้ก่อตั้งพรรคก้าวหน้า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ ต่อมาได้ยุบรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ในปีถัดมา ต่อมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ และก่อตั้งพรรคกิจสังคม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ และได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๓ ของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยสามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลทั้งที่มีจำนวน ส.ส. ในมือเพียง ๑๘ คน รัฐบาลคึกฤทธิ์ในครั้งนั้นมี บุญชู โรจนเสถียร ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกิจสังคม เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบาย "เงินผัน" เป็นที่รู้จักเลื่องลือทั่วไปในสมัยนั้น
ก่อนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยรับบทเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง ชื่อว่าประเทศสารขัณฑ์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Ugly American (1963) คู่กับมาร์ลอน แบรนโด เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และหลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยรับบทเป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์ ผู้แทนนอกสภา กำกับโดย สุรสีห์ ผาธรรม นำแสดงโดย สรพงศ์ ชาตรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖
ระหว่างการเล่นการเมือง หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ มีบุคลิกที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเองที่ทุกคนรู้จักดี คือ วาทะศิลป์ และบทบาทเป็นที่ชวนให้จดจำ เช่น การผวนพูดเล่นชื่อของตัวเองเมื่อมีผู้ถามว่า หมายถึงอะไร โดยตอบว่า "คึกฤทธิ์ ก็คือ คิดลึก" เป็นต้น
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ได้รับฉายาจากนักการเมือง และสื่อมวลชนมากมาย เช่น "เฒ่าสารพัดพิษ" "ซือแป๋ซอยสวนพลู" ภายหลังเมื่อมีอาวุโสสูงวัย จนสามารถแสดงความเห็นทางการเมือง ได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ จึงได้รับฉายาว่า "เสาหลักประชาธิปไตย" นอกจากนี้ อีกฉายาหนึ่งที่ใช้เรียก หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ในบางแห่งคือ "หม่อมป้า"
ในด้านวรรณศิลป์ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ มีผลงานหนังสือที่มีชื่อเสียงระดับประเทศมากมาย ที่ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น สี่แผ่นดิน, ไผ่แดง, กาเหว่าที่บางเพลง, หลายชีวิต, ซูสีไทเฮา, สามก๊กฉบับนายทุน และเรื่องสั้น "มอม" ซึ่งได้ใช้เป็นบทความประกอบแบบเรียนภาษาไทยในปัจจุบัน บางชิ้นมีผู้นำไปทำเป็นละครโทรทัศน์ เช่น สี่แผ่นดิน, หลายชีวิต และทำเป็นภาพยนตร์ เช่น กาเหว่าที่บางเพลง
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคเบาหวาน เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ รวมอายุ ๘๔ ปี ๑๗๒ วัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ กระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอชื่อต่อยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก
การศึกษา
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เริ่มต้นเรียนหนังสือที่บ้าน กับหม่อมราชวงศ์บุญรับ พี่สาวคนโต จนอ่านภาษาไทยได้ตั้งแต่อายุ ๔ ปี กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านจึงเข้าศึกษาภาคบังคับ ที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย (วังหลัง) จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และเดินทางไปศึกษาต่อ ในประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนเทรนต์วิทยาลัย (Trent College) จากนั้นสอบเข้าวิทยาลัยควีนส์ (The Queen's College) มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพื่อศึกษาวิชาปรัชญา เศรษฐศาสตร์ และการเมือง (Philosophy, Politics and Economics) โดยสำเร็จปริญญาตรีเกียรตินิยม และอีกสามปีต่อมา ก็สำเร็จปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ทำงาน
รับราชการที่กรมสรรพากรประวัติการ
เลขานุการที่ปรึกษากระทรวงการคลัง
ผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาลำปาง (พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๘๖)
รับราชการทหาร (เมื่อเกิดสงครามอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา ได้รับยศ สิบตรี)
หัวหน้าฝ่ายสำนักผู้ว่าการและหัวหน้าฝ่ายออกบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจำกัด
เขียนบทความลงในคอลัมน์ "ซอยสวนพลู"
อาจารย์พิเศษของคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำ พ.ศ. ๒๕๒๘
พ.ศ. ๒๕๓๔๑ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศจากสิบตรี เป็นพลตรี (ทหารราชองครักษ์พิเศษ)
พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๘๙ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองพรรคแรกในเมืองไทย ชื่อ "พรรคก้าวหน้า"
ได้ร่วมในคณะผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนแรก
ได้ริเริ่มจัดตั้งพรรคกิจสังคม
พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ] และได้รับเลือกเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น และได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้ตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร บริหารประเทศประมาณ ๙ เดือนเศษ
ผลงานที่สำคัญ
หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลังจากที่ตัดขาดความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลมาเป็นเวลานาน
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
พลเอกชาติชาาย ชุณหะวัณ
พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ ๑๗ และเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในหลายกระทรวง
คือ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงกลาโหม
พลเอกชาติชาย เป็นผู้ก่อตั้งพรรคการเมือง ๒ พรรค และได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค คือ พรรคชาติไทย และ พรรคชาติพัฒนา
ประวัติ
ชาติชาย ชุณหะวัณ เกิดที่ตำบลพลับพลาไชย จังหวัดพระนคร เดิมมีชื่อว่า "สมบุญ ชุณหะวัณ" เป็นบุตรของจอมพลผิน ชุณหะวัณ กับคุณหญิงวิบุลย์ลักสม์ ชุณหะวัณ ในครอบครัวที่มีเชื้อสายจีน มีบรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองเท่งไฮ้ (เฉิงไห่) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ชาติชาย" ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ขณะมีอายุได้ ๑๒ ปี
พลเอกชาติชาย สมรสกับ ท่านผู้หญิงบุญเรือน ชุณหะวัณ (สกุลเดิม โสพจน์) พระญาติของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีบุตรชายคือ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และบุตรสาวคือ วาณี ชุณหะวัณ (อดีตภริยานายระวี หงษ์ประภาส มีบุตรสาวชื่อ ปวีณา หงส์ประภาส)
พลเอกชาติชาย เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี โรงเรียนเทพศิรินทร์และโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายทหารม้า และโรงเรียนยานเกราะกองทัพบก (อาร์เมอร์สคูล) รัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา
พล.อ.ชาติชาย มีพี่สาว ๓ คน และน้องสาว ๑ คน
คุณหญิง อุดมลักษณ์ ศรียานนท์ ภริยา พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย ในช่วงก่อน
การรัฐประหารปี พ.ศ. ๒๕๐๐
นางพร้อม ทัพพะรังสี ภริยา นายอรุณ ทัพพะรังสี นางพร้อมและนายอรุณ อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง มีบุตรคือ นายกร ทัพพะรังสี อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ที่ พล.อ.ชาติชาย ให้ไว้วางใจอย่างสูง
ท่านผู้หญิงเจริญ อดิเรกสาร ภริยา พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทยคนแรก ท่านผู้หญิงเจริญ และพล.ต.อ.ประมาณ มีบุตรคือ นายปองพล อดิเรกสาร
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
นางพรสม เชี่ยวสกุล เป็นภริยาของ นายเฉลิม เชี่ยวสกุล อดีตรองผู้อำนวยการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และอดีตประธานกรรมการธนาคารนครหลวงไทย มีบุตรคือ นายเฉลิมพงษ์ เชี่ยวสกุล เจ้าของเวทีมวยราชดำเนิน พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ณ โรงพยาบาลคอมเวลล์ สหราชอาณาจักร รวมอายุได้ ๗๘ ปี
ประวัติการศึกษา
มัธยมศึกษา โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี, โรงเรียนเทพศิรินทร์และโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร
ประวัติการรับราชการ
พลเอกชาติชาย รับราชการครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ในตำแหน่งผู้บังคับหมวด กองพันทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ ผู้บังคับกองร้อย กองพันทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ ประจำกรมเสนาธิการทหารบก ในช่วงที่ต้องไปประจำการที่ สหรัฐไทยเดิมพอดีต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งรองผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และกลับมาเป็นผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์ รองผู้บังคับการโรงเรียนยานเกราะ และผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ ๒ และผู้บังคับการโรงเรียนยานเกราะ
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ได้ถูกเหตุการณ์ทางการเมืองผันแปรชีวิตไปเป็นอุปทูตอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศอาร์เจนตินา และเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม ประจำประเทศออสเตรีย ตุรกี สำนักวาติกัน และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ตามลำดับ
ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ พลเอกชาติชาย เดินทางกลับประเทศไทย เข้ารับตำแหน่ง อธิบดีกรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง ซึ่งนับเป็นตำแหน่งสุดท้าย ในชีวิตข้าราชการประจำ เนื่องจากในปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้เอง พลเอกชาติชาย ที่ขณะนั้นยังมียศเป็น พลจัตวาชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับแต่งตั้งให้เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ใน คณะรัฐมนตรีคณะที่ ๓๒ ของไทย ที่มี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี และหลังจากนั้น พลเอกชาติชาย ก็ได้เข้าสู่วงการเมืองอย่างเต็มตัว
ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับพระราชทานยศทหาร เป็นพลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก และ เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
บทบาททางการเมืองยุคแรก
พลเอกชาติชาย มีส่วนร่วมในการรัฐประหารในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยเป็นหนึ่งในกำลังทหารที่บุกไปที่ทำเนียบท่าช้าง เพื่อทำการควบคุมตัว นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี โดยขณะนั้นมีอายุ ๒๗ ปี และการรัฐประหารในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ตามบิดา คือ จอมพลผิน ชุณหะวัณ ผู้เป็นหัวหน้าในการรัฐประหารทั้งสองครั้งนี้ โดยขณะมียศเพียงแค่ร้อยเอกเท่านั้น หลังจากนั้นเริ่มบทบาททางการเมืองอย่างแท้จริงในรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ด้วยตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ พลเอกชาติชาย ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา และได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องกันมาอีกรวม ๕ สมัย พลเอกชาติชาย และได้เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีอีกหลายสมัย ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรองนายกรัฐมนตรี
โดยได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามลำดับดังนี้
พ.ศ. ๒๕๑๕ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๑๘ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา รวม ๕ สมัย
พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งพ้นจากตำแหน่งเนื่อง จากนายกรัฐมนตรีลาออก และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อีกสมัยหนึ่ง แต่ดำรงตำแหน่งเพียง ๑๒ วัน และได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพียงวันเดียวก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากการรัฐประหารของพลเรือเอก สงัด ชลออยู่
พ.ศ. ๒๕๒๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
พ.ศ. ๒๕๒๙ รองนายกรัฐมนตรี
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พลเอกชาติชาย ได้ร่วมกับ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร ผู้มีศักดิ์เป็นพี่เขย และ พลตรีศิริ สิริโยธิน ก่อตั้ง พรรคชาติไทย ขึ้น โดยมี พลตรีประมาณ อดิเรกสาร เป็นหัวหน้าพรรค และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ พลเอกชาติชายขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ ๒ สามารถนำพรรคชาติไทย ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ในชั้นต้นมีการทาบทาม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเป็นสมัยที่ ๔ แต่พลเอกเปรมปฏิเสธ และประกาศวางมือทางการเมือง พลเอกชาติชายจึงได้รับการสนับสนุน ให้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ ๑๗ ของประเทศไทย
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๑ มีการปรับคณะรัฐมนตรี ๑ ครั้งเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ได้ดำรงตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นระยะเวลารวมประมาณ ๒ ปีครึ่ง
ผลงานที่โดดเด่นมากของรัฐบาล พลเอกชาติชาย ได้แก่ การดำเนินนโยบายต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะใน กลุ่มอินโดจีน เช่น การประสานงานให้มีการเจรจาร่วม ระหว่างเขมร ๔ ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุน ให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประเทศกัมพูชาภายใต้การนำของ สมเด็จสีหนุขึ้น นโยบายต่างประเทศของ รัฐบาลพลเอกชาติชาย มีชื่อเรียกที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า"
ทางด้านเศรษฐกิจ ได้อนุมัติโครงการเพื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในหลายโครงการ เช่น โครงการโทรศัพท์พื้นฐาน ๓ ล้านเลขหมาย โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ในเขตกรุงเทพมหานคร และโครงการทางด่วนยกระดับ ตัวเลขความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงนั้น ร้อนแรงถึงกว่า ๑๐ เปอร์เซนต์ต่อปี กระทั่งมีการคาดหมายโดยทั่วไปว่าประเทศไทยจะเป็น "เสือตัวที่ ๕" ของเอเชีย (Fifth Asian Tiger) ต่อจาก "๔ เสือเศรษฐกิจของเอเชีย" คือ เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีชื่อที่เรียกเป็นที่รู้จักทั่วไปว่า "น้าชาติ" มีคำพูดติดปากเมื่อให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า "No Problem" หมายถึง "ไม่มีปัญหา" จนเป็นที่จดจำได้ทั่วไป ซึ่งศิลปินเพลง แอ๊ด คาราบาว ได้นำไปประพันธ์เป็นเพลงล้อการเมืองชื่อ "โนพลอมแพลม"
การบริหารงานของรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เริ่มประสบปัญหาในช่วงท้ายของวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อถูกโจมตีว่ามีการทุจริต หาผลประโยชน์ในโครงการลงทุนของรัฐ จนมีคำกล่าวโจมตีการทำงานของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลพลเอกชาติชายว่าเป็น "บุฟเฟ่ต์คาบิเนต" ขณะที่การทำงานของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีสัดส่วน ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล เป็นจำนวนมากก็ถูกโจมตีว่ามีสภาพเป็น "เผด็จการรัฐสภา"
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ บริหารประเทศจนถึงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ก็ถูกยึดอำนาจการปกครองโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ภายใต้การนำของ พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ. สุจินดา คราประยูร พล.อ.อ. เกษตร โรจนนิล และพล.อ. อิสระพงศ์ หนุนภักดีที่ต่อมานำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕
บทบาททางการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ภายหลังถูกรัฐประหารโดยคณะ รสช. พลเอกชาติชายได้เดินทางไปพำนักอยู่ในอังกฤษระยะหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย และก่อตั้งพรรคชาติพัฒนา ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๕ โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนแรก ต่อมาได้นำพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดย พลเอกชาติชายชนะเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นการเริ่มต้นบทบาททางการเมืองใหม่อีกครั้ง
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๐ เมื่อ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ในตอนแรกพรรคร่วมรัฐบาลเดิมในขณะนั้นมีมติร่วมกันที่จะสนับสนุน พลเอกชาติชาย ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง แต่ในที่สุด พรรคกิจสังคม ที่มีนายมนตรี พงษ์พานิช เป็นหัวหน้าพรรค ได้เปลี่ยนไปสนับสนุน นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทน ตามมาด้วย พรรคประชากรไทย ที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค เกิดกรณี ส.ส. "กลุ่มงูเห่า" ที่แสดงตัวสนับสนุน นายชวน หลีกภัยเช่นเดียวกัน ทำให้ในที่สุดผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คนใหม่กลายเป็น นายชวน หลีกภัย ที่ได้เป็น นายกรัฐมนตรี สมัยที่ ๒ แทนที่จะเป็น พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
พ.อ.ถนัด คอมันตร์
พันเอกพิเศษ ดร.ถนัด คอมันตร์
พันเอก(พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร
ประวัติ
พันเอก(พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ หรือที่รู้จักกันในนาม พันเอก(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ เดิมมีชื่อว่า "ถนัดกิจ คอมันตร์" เป็นบุตรของพระยาพิพากษาสัตยาธิปตัย (โป๋ คอมันตร์) เนติบัณฑิตไทยรุ่นแรก กับคุณหญิงถนอม พิพากษาสัตยาธิปตัย สมรสกับท่านผู้หญิงโมลี คอมันตร์
พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ เกิดเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๗๕ ปีที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ เปิดฉากขึ้น และเติบโตมาในช่วงที่โลกกำลังเผชิญความขัดแย้งและผันผวนมากที่สุดช่วงหนึ่ง ทั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ การปลดปล่อยอาณานิคม และสงครามเย็น ภาวการณ์ในภูมิภาคและโลกได้หล่อหลอมให้ท่านเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียว รอบคอบ เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ ความรักชาติ และความมุ่งมั่นรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด
พ.ศ. ๒๔๖๑ เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๕ จึงเข้าศึกษาในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญจนจบมัธยม ๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ แล้วไปศึกษาต่อด้านนิติสาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศส จนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยบอร์โดซ์ปริญญาโทและปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยปารีส
พ.ศ. ๒๔๗๓ ถนัดจึงกลับประเทศไทย เข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ และในวันที่ ๒๘ เมษายน ปีถัดมา จึงสมรสกับ น.ส.โมลี วีรางกูร ธิดาคนรองของนายเป๋า วีรางกูร หลานตาของพระยาอนุกูลสยามกิจ (ชุน อนุกูลสยามกิจ)
วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๖ ถนัดได้รับพระราชทานยศเป็นพันเอก (พิเศษ) นายทหารพิเศษ สังกัดกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ และแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์พิเศษ
เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ เป็นต้น ได้รับการยกย่องในฐานะผู้วางรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก่อตั้ง "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (หรืออาเซียน) ขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ และต่อมา พ.อ.(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ ยังได้รับเลือกให้เป็น สมาชิกฝ่ายไทย ในศาลประจำอนุญาโตตุลาการ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีวาระ ๖ ปี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๙ - พ.ศ. ๒๕๔๕
ในทางการเมือง เคยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๕ หลังหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคคนที่ ๒ ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งนับเป็นช่วงวิกฤตที่สุดของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กระแสความนิยมตกต่ำอย่างรุนแรงและสมาชิกในพรรคเกิดความแตกแยกกัน โดยผลการเลือกตั้งในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ในกรุงเทพฯ ได้ ส.ส. เพียงคนเดียว คือตัว พ.อ. (พิเศษ) ดร.ถนัด เองที่เป็น ส.ส.กรุงเทพมหานครเขต ๒ (เขตพญาไทและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย) โดย พ.อ.(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ ต้องรับภาระในตำแหน่ง หัวหน้าพรรค เพื่อประคองพรรคให้อยู่รอดต่อไปได้ และเคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ และในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นรอง นายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เขามีหลานชายคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจที่เคลื่อนไหวทางการเมืองคืออัมรินทร์ คอมันตร์
ในทางวิชาการ เคยดำรงตำแหน่ง อธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๑ ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ และเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง
กล่าวกันว่าโดยส่วนตัว พ.อ.(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่ลงรอยกับพิชัย รัตตกุล ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนถัดมา ในขณะนั้นนายพิชัยเป็นกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากมีสภาพเหมือนคู่แข่งกัน ในการทำงานระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่คนละรัฐบาล และต่างขั้วกัน โดยถ้ามีผู้ใดถามถึง นายพิชัย กล่าวกันว่า พ.อ.(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ จะตอบเสมอ ๆ ว่า "ไม่รู้จักคน ๆ นี้"
ถึงแก่อสัญกรรม
พ.อ.(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ ถึงแก่อสัญกรรมเนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา ๑๕.๔๙ น. ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี สิริอายุได้ ๑๐๒ ปี ๒๙๘ วัน ตั้งศพบำเพ็ญที่บ้านพักส่วนตัวที่ถนนเพชรบุรี
วันที่ ๕ มีนาคม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เป็นผู้แทนพระองค์พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ บ้านพักของเขา ต่อมามีพระบรมราชโองการพระราชทานโกศมณฑป เนื่องจากถึงแก่อสัญกรรมระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานพวงมาลงประจำพระองค์และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์อีกด้วย
วันที่ ๒๘ กรกฎาคม เวลา ๑๔.๐๐ น. โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ แทนพระองค์ไปพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร
พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์: วีรบุรุษคนสุดท้ายของอาเซียน
วันที่ ๓ มีนาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้สูญเสียปูชนียบุคคลที่สำคัญที่สุดท่านหนึ่งของประเทศ คือ พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อการต่างประเทศไทยและเป็นหนึ่งในห้าผู้ก่อตั้งอาเซียนที่มีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้าย การถึงแก่อสัญกรรมของท่าน ด้วยอายุ๑๐๒ ปีจะอยู่ในความทรงจำของคนไทยตลอดไป เพราะท่านเป็นผู้หนึ่งที่หว่านเมล็ดพันธุ์ของความร่วมมือในภูมิภาคไว้เมื่อเกือบ ๔๙ ปีที่แล้ว และ
เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวได้ผลิดอกออกผลเจริญเติบโตจนเป็น “ประชาคมอาเซียน” ในปัจจุบันนี้
ผลงานที่โดดเด่น
ในยุคสงครามเย็น โลกแบ่งออกเป็น ๒ ขั้วอำนาจ คือ โลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ โดยมีภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญและสมรภูมิรบ พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ ถึงปี ๒๕๑๔ จำเป็นต้องดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศอย่างแยบยล เพื่อไม่ให้ไทยต้องฝากชะตากรรมไว้กับประเทศที่อยู่ห่างไกลแม้จะเป็นพันธมิตร โดยท่านเชื่อว่าความเป็นปึกแผ่นในภูมิภาคและความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศในภูมิภาคจะช่วยให้เกิดสันติภาพ ความก้าวหน้า
และความเจริญรุ่งเรืองที่แท้จริงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงผลักดันแนวคิดการส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาค เพื่อสันติภาพของภูมิภาค โดยไม่ย่อท้อต่อ อุปสรรค และความพยายามนี้ ประสบผลสำเร็จในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ เมื่อท่านได้เชิญรัฐมนตรีจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์มาร่วมลงนามในปฏิญญา
กรุงเทพ เพื่อก่อตั้ง “สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ “อาเซียน” ซึ่งต่อมา สมาชิกภาพของอาเซียนขยายเป็น ๑๐ ประเทศโดยมีบรูไนดารุสซาลาม (๒๕๒๗) เวียดนาม (๒๕๓๘) สปป.ลาวและพม่า (๒๕๔๐) และกัมพูชา (๒๕๔๒) ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกตามลำดับ
การก่อตั้งอาเซียนมีจุดมุ่งประสงค์แรกเริ่ม ๒ ประการสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อประโยชน์สุขของ
ประชาชน และการรักษาเสรีภาพและอธิปไตย เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย ทางการเมือง การปกครอง ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม สามารถอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจและปรองดอง
แม้ภาวการณ์ของโลกได้เปลี่ยนไป แต่อุดมการณ์และรากฐานของความร่วมมือที่ พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ได้วางไว้ ยังคงมีความสำคัญยิ่งต่อความผาสุก ความมั่นคงและมั่งคั่งของภูมิภาคและโลกในปัจจุบัน ภายในเวลาไม่ถึง ๕๐ ปี อาเซียนได้
มีวิวัฒนาการจนเป็น “ประชาคมอาเซียน” ที่มีความร่วมมือที่ลึกซึ้งและมีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและโอกาสให้แก่ประชาชนทุกคน โดยจะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยมีหลักการสำคัญ คือ การเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและยึดมั่นในกฎกติกา
ประชาคมอาเซียนเป็นกระบวนการที่จะต้องพัฒนาเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป แน่นอนว่า ประชาคมอาเซียนมีทั้งโอกาสและความท้าทายมากมาย ไม่แตกต่างจากการรวมตัวขององค์กรระดับภูมิภาคอื่น ๆ แต่กุญแจสำคัญของความสำเร็จของอาเซียน คือ เจตนารมณ์ทางการเมืองของสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ ที่ตระหนักถึงผลประโยชน์ในระยะยาวของภูมิภาค แม้จะมีความหลากหลายและแตกต่าง เพราะเรามีเป้าหมายสุดท้ายเดียวกัน คือ ความสงบสุขและความเจริญที่ยั่งยืน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมิตรรอบบ้านก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน และการดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอกภูมิภาค
โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ด้วยความสมดุลบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมและความเคารพในความเป็นแกนกลางของอาเซียนในปัจจุบัน
ในวันแห่งประวัติศาสตร์การก่อตั้งอาเซียน พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด ได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งที่เราได้ตกลงกันในวันนี้เป็นเพียงแต่ชั้นแรกของผลสำเร็จ ที่เราหวังว่าจะเกิดขึ้นตามมาเป็นลำดับต่อเนื่องกัน ซึ่งจะนำความภูมิใจให้แก่เราเอง แก่ผู้ที่เข้ามาร่วมกับเราในกาลต่อไป และอนุชนรุ่นหลัง”
อาจกล่าวได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประชาชนชาวไทยและบุคคลในแวดวงการต่างประเทศและอาเซียน ถือว่าท่านเป็นเสมือน “วีรบุรุษคนสุดท้าย” ของอาเซียนที่มีอายุที่ยืนยาวจนเห็นความเจริญเติบโตของอาเซียนมาเป็นลำดับ และเป็นผู้ที่แบ่งปันประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับอาเซียนให้แก่คนรุ่นหลัง
บัดนี้ อาเซียนได้เติบโตขึ้นเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว เราเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจในมรดกชิ้นสำคัญที่ พันเอก (พิเศษ) ดร. ถนัด คอมันตร์ สร้างสรรค์ขึ้นและฝากไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง และเราจะสานต่อความสำเร็จนี้ต่อไปในอนาคตเพื่อให้ประชาคมอาเซียนมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอาเซียนและภูมิภาค
เหตุการณ์ที่สำคัญในรัชกาลที่ ๙
๑.กรณีย์พิพาทเขาพระวิหาร
๒.กบฏแมนฮัตตัน
กรณีย์พิพาทเขาพระวิหาร
คดีเขตแดนเขาพระวิหาร
คดีปราสาทพระวิหาร เป็นความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑ จากปัญหาการอ้างสิทธิเหนือบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร เกิดจากการที่ทั้งไทยและกัมพูชา ถือแผนที่ปักปันเขตแดนตามแนวสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักคนละฉบับ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของทั้งสองฝ่ายในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของตัวปราสาท โดยทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยได้ยินยอมให้มีการพิจารณาปัญหาดังกล่าวขึ้นที่ศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศ (ศาลโลก) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒
คดีนี้ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ท่ามกลางความไม่พอใจของฝ่ายไทย ซึ่งเห็นว่าศาลโลกตัดสินคดีนี้อย่างไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตาม การตัดสินคดีครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องอาณาเขตทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาในบริเวณดังกล่าวให้หมดไปและยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังต่อมาจนถึงปัจจุบัน
เบื้องหลัง
หลังจากกัมพูชาเป็นเอกราช ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ประเทศไทยได้เป็นประเทศแรกที่ได้ให้การรับรอง จนมีการตั้งสำนักผู้แทนทางการทูตขึ้นที่กรุงพนมเปญ และสัมพันธภาพก็เจริญมาด้วยดีโดยตลอด จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๑ เอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำกรุงลอนดอน ซัมซารี ได้เขียนบทความเกี่ยวกับสิทธิเหนือปราสาทเขาพระวิหาร ลงในนิตยสาร "กัมพูชาวันนี้ (le Combodge d'aujourd'hui) " มีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุบว่า "ไทยอ้างสิทธิเหนือวิหารนี้ โดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดเอาพระวิหาร-อันเป็นการกระทำแบบฮิตเลอร์" จากนั้นมาวิทยุและหนังสือพิมพ์ของกัมพูชาก็ได้พูดถึงเรื่องสิทธิเหนือปราสาทเขาพระวิหารนี้อยู่เรื่อย ๆ จนเกิดกระแส "ทวงเขาพระวิหารคืนจากไทย" แต่ยังไม่รุนแรงนัก นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ปล้นสะดมทางชายแดนไทย-กัมพูชาเสมอ ๆ ทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการผสมเพื่อดำเนินการตรวจสอบเส้นเขตแดน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลกัมพูชา ทำให้ความสัมพันธ์เริ่มทรุดลงอย่างรวดเร็ว
วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ ประเทศจีนได้ประกาศรับรองกัมพูชา และพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหนุได้เสด็จไปเยือนปักกิ่ง ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในช่วงระวังการแทรกซึมจากคอมมิวนิสต์
วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ รัฐบาลไทยจึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดตราด, จันทบุรี, ปราจีนบุรี, สุรินทร์, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ และอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีใจความแถลงว่าได้มีโจรผู้ร้ายข้ามแดนเข้ามาทำร้ายร่างกาย ประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเหตุการณ์จึงตึงเครียดหนักขึ้น
วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ มีการเจรจาเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นที่กรุงเทพ แต่ไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ วันที่ ๗ กันยายน ปีเดียวกัน ประเทศไทยได้เดินขบวนประท้วงประเทศกัมพูชา และอ้างถึงกรรมสิทธิ์ของไทยเหนือเขาพระวิหาร นอกจากนี้ยังมีการโจมตีระหว่างสื่อไทยและกัมพูชากันอยู่เนื่อง ๆ จนกระทั่งวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ รัฐบาลกัมพูชาได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย และความสัมพันธ์ก็เลวร้ายลงจนไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลโลก
รายละเอียดคดี
หลังจากศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาในเดือนมิถุนายน ๒๕๐๕ ในเดือนถัดมาไทยก็ได้ยื่นบันทึกต่อศาลโลกพร้อมแผนที่ฉบับนี้แสดงที่ตั้งของปราสาทพระวิหารกับบริเวณโดยรอบและเส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำที่ไทยสงวนที่จะกล่าวอ้าง ภาพล่างซ้ายแสดงให้เห็นว่าไทยยอมรับให้พื้นที่แก่ปราสาทที่กว้างที่สุดเพียง ๑๐๐ เมตรเท่านั้น อาณาบริเวณข้างนอกเส้นปรุเป็นพื้นที่เขตสันปันน้ำคดีนี้มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๑ ประเทศฝรั่งเศสมีฐานะเป็นรัฐผู้อารักขากัมพูชา ได้ทำสัญญากับราชอาณาจักรสยาม อยู่หลายฉบับ แต่มีสัญญาอยู่ฉบับหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ คือ สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. ๑๒๒ มีความตกลงอยู่ว่า พรมแดนที่เป็นปัญหาให้ถือเอาสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขตแดน และให้แต่งตั้งคณะกรรมการปักบันเขตแดน เพื่อได้ทำการสำรวจบริเวณพื้นที่แถบนั้น
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ทางการสยามได้ขอให้ทางฝรั่งเศสทำแผนที่พรมแดน ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นแผนที่ ที่ฝรั่งเศสลากเส้นเอาเขาพระวิหาร ซึ่งอยู่ในความครอบครองของราชอาณาจักรสยาม ไปอยู่ในฝั่งเขตแดนกัมพูชาของทางฝรั่งเศสด้วย โดยมิได้ยึดแนวสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ (แผนที่นี้ต่อมาเรียกว่า "แผนที่ผนวก ๑" (Annex I map) )
กระนั้น สยามไม่ได้คัดค้านแผนที่นั้นภายในเวลาอันสมควร คณะกรรมการฝ่ายไทยไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เลย แม้จะไม่ได้แสดงการยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ทำการคัดค้านว่าแผนที่ฉบับที่มีปัญหานั้นไม่ถูกต้อง ท่านเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นคือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ตรัสขอบใจราชทูตฝรั่งเศสผู้นำส่งแผนที่นั้น และผู้ว่าราชการจังหวัดก็มิได้ทำการทักท้วง ต่อมา มีการประชุมคณะกรรมการที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ โดยใช้แผนที่ผนวก ๑ นี้เป็นหลัก ก็ไม่มีผู้คัดค้าน
ปี พ.ศ. ๒๔๖๘ มีการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส โดยมีการอ้างอิงถึงเขตแดนดังกล่าว และในการเจรจาสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐบาลไทยไม่ได้ประท้วงประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จไปเขาพระวิหาร โดยมีผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสรับเสด็จในฐานะทรงเยือนจังหวัดหนึ่งของกัมพูชา แม้ในระหว่าง
พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๗๘ มีการสำรวจพบว่ามีความแตกต่างระหว่างเส้นพรมแดนในแผนที่และแนวสันปันน้ำจริง และได้มีการทำแผนที่อื่น ๆ ซึ่งแสดงว่า ปราสาทดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรสยาม แต่สยามยังคงใช้และจัดพิมพ์แผนที่ที่แสดงว่าพระวิหารตั้งอยู่ในกัมพูชาต่อไป เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาว่า รัฐบาลไทยขณะนั้นได้ยอมรับ (acquiese) ว่า ฝรั่งเศส มีอำนาจอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นเวลายาวนานถึง ๕๐ ปีมาแล้ว ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าด้วยหลักกฎหมายปิดปาก (estoppel)
ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส จึงเริ่มมีข้อขัดแย้งเรื่องเขตแดนรอยต่อระหว่างไทยกับกัมพูชา จนกระทั่งเจ้านโรดมสีหนุ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขณะนั้น นำเรื่องขึ้นเสนอสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยใช้แผนที่ผนวก ๑ เป็นหลักฐานสำคัญ ซึ่งแม้เส้นเขตแดนบนแผนที่จะไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเกณฑ์ แต่แผนที่ฉบับนี้ไม่เคยถูกคัดค้านจากรัฐบาลสยามและไทยมาก่อน
ดังนั้นในวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จึงได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ นอกจากนั้นยังตัดสินด้วยคะแนนเสียง ๗ ต่อ ๕ ให้ประเทศไทยส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกมาจากปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยได้เข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าว
กบฏแมนฮัตตัน
กบฎแมนฮัตตัน
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๔ หรือประมาณ ๖๔ ปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์การเมืองหมุนเวียนไปจนใครหลายคนแทบจะลืมเลือนแล้ว โดยเฉพาะเด็กรุ่นนี้อาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเหตุการณ์ กบฎแมนฮัตตัน และคงสงสัยว่า ทำไมกบฎในไทยแต่ชื่อฝรั่งจัง? แล้วเกิดเหตุการณ์ สำคัญอะไรขึ้น
วันนี้ MThai จะพาย้อนกลับไปเหตุการณ์วันนั้น วันที่การเมืองไทยลุ้นระทึกซะจนไม่ติดเก้าอี้ หลายคนยกให้เหตุการณ์นี้เป็นประวัติศาสตร์ที่อ่านมันส์ที่สุดถึงขั้นเอาไปสร้างหนังฮอลลีวู้ดได้เลย
กบฎแมนฮัตตัน เป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มนายทหารเรือ ที่เรียกตัวเองว่า คณะกู้ชาติ จี้ตัว จอมพล ป.พิบูลสงคราม ระหว่างพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตัน จากสหรัฐอเมริกา โดยการก่อการประสบความล้มเหลวทำให้ถูกตีตราว่าเป็น ‘กบฎ’ ซึ่งสาเหตุการพยายามทำรัฐประหารมาจากความไม่พอใจการบริหารประเทศของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่ ๒
สาเหตุที่ ๒ คือการที่กองทัพเรือไม่ได้รับความไว้วางใจหลังจากที่เกิดเหตุการณ์กบฎวังหลวงและถูกรัฐบาลจอมพล ป. มองว่า กองทัพเรืออยู่ข้างนายปรีดี พนมยงค์ ขั้วตรงข้ามของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกอบกับในช่วงนั้นมีการปรับปรุงกรมตำรวจให้มีลักษณะคล้ายกองทัพ ซึ่งระหว่าง กรมตำรวจกับกองทัพเรือในเวลานั้นมีการกระทบกระทั่งกันอยู่เสมอ
๑ วันก่อนลงมือแผนการแมนฮัตตัน
คณะผู้ก่อการได้วางแผนลงมือรัฐประหารมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สบโอกาส เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก จนกระทั่งผู้ร่วมก่อการหลายคนเชื่อว่า แผนแมนฮัตตันจะถูกเลื่อนไปอีก จึงไม่ได้เตรียมการให้พร้อม ซึ่งสาเหตุที่เลือกวัน จี้ตัว จอมพลป.ในวันนั้นเพราะว่า เป็นวันหยุดของทหาร ซึ่งส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับบ้านนอก ทำให้เหลือทหารในพระนครน้อยและคาดว่าจะเรียกทหารเหล่านั้นกลับมาประจำการไม่ทันเพราะความรวดเร็วการสื่อสารไม่ได้เป็นแบบทุกวันนี้ นอกจากนี้ สถานที่ลงมือเป็นพื้นที่ของทหารเรือด้วย
Manas
๒๙ มิ.ย. ๒๔๙๔ นาทีระทึก!
เวลา ๑๕.๐๐ น. ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๔ จอมพลป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตันที่ท่าราชวรดิฐ โดยผู้แทนฝ่ายอเมริกันได้พูดกล่าวมอบ เสร็จแล้วจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีกล่าวตอบทางเรือลดธงชาติอเมริกันลงจากเสา และชักธงชาติไทยขึ้น จากนั้นได้มีการเชิญนายกรัฐมนตรีก็ขึ้นไปชมเรือ แผนการจึงเริ่มต้นขึ้น
น.ต.มนัส จารุภา ผู้ก่อการได้ออกคำสั่ง “หมู่รบตามข้าพเจ้าวิ่ง” นำทหารเรือวิ่งไปปิดสะพานบันไดขึ้นเรือห้ามมิให้ผู้ใดผ่าน ถ้าฝ่าฝืนจะยิงทันที น.ต.มนัสเข้าจี้ตัวจอมพลป.พิบูลสงคราม พร้อมประกาศว่า “เราต้องการแต่ตัวท่านจอมพล คนอื่นไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป ขอเชิญท่านจอมพลทางนี้”
จากนั้นได้พาตัวจอมพลป.พิบูลสงคราม ลงเรือที่เตรียมไว้แล้วพาตัวไปคุมขังที่เรือหลวงศรีอยุธยา โดย น.ต.มนัส จารุภา ได้เปิดเผยบทสนทนาช่วง
เวลาที่จี้ประชิดตัว จอมพลป. ในหนังสือชื่อ เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล โดยจอมพล ป.ได้ถามข้อสงสัยต่างๆ ดังนี้
จอมพลป. :”ในการการกระทำครั้งนี้มีพรรคคอมมิวนิสต์ร่วมด้วยหรือเปล่า”
น.ต.มนัส : “ไม่มี”
จอมพลป. :”แล้วหลวงประดิษฐ์ (นายปรีดี พนมยงค์) ร่วมด้วยหรือเปล่า”
น.ต.มนัส : “ไม่ได้ร่วม”
จอมพลป.: “ได้ซับซิดี้ (เงินสนับสนุน) มาจากใคร”
น.ต.มนัส :”พวกที่ทำงานครั้งนี้เป็นพวกคนหนุ่มเกือบทั้งสิ้น ไม่เคยได้รับเงินทองอุดหนุนจากบุคคลหรือคณะใด ๆ มีแต่เงินเดือนของตัวเอง แม้แต่ตัวของผมเองก็มีเงินติดกระเป๋าอยู่ในขณะนี้เพียงพันสองร้อยบาทเท่านั้น”
ท่านจอมพลป.พิบูลสงครามฟังแล้วก็นิ่งอยู่ขณะหนึ่ง แล้วก็พูดว่า “เมื่อได้ทราบอย่างนี้แล้วก็ให้โล่งใจมาก” ถามต่อไปใหม่ว่า “เหตุใดพวกคุณถึง คิดทำการเช่นนี้ขึ้น”
น.ต.มนัส :”ที่พวกผมทำขึ้นก็เพราะว่า รัฐบาลคณะนี้มีความเหลวแหลกมากมาย รัฐมนตรีในคณะหลายคนทำความชั่วร้าย ใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต กอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของราษฎรส่วนรวม ตลอดทั้งบุคคลหลายคนในคณะรัฐประหารก็ได้ใช้อภิสิทธิ์แสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าพรรคพวกตนเองเช่นเดียวกัน”
จอมพลป.: “แล้วพวกคุณทราบได้อย่างไร มีหลักฐานอย่างไร”
น.ต.มนัส :”พวกผมทราบจากท่านผู้ใหญ่ในวงราชการ จากบุคคลในคณะรัฐประหารนั่นเอง และจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นปากเสียงของประชาชน”
จอมพลป.:”การที่จะไปเชื่อข่าวอย่างนั้นดูจะไม่แน่นอน โดยเฉพาะพวกหนังสือพิมพ์ ถ้ามีจริงก็ควรจะได้จัดการกันตามกฏหมาย”
Manhattan_Rebellion
ระดมแผนแย่งตัวประกัน
เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกคุมตัวอยู่ในเรือ หัวหน้าคณะผู้ก่อการคือ น.อ.อานนท์ ปุณฑริกกาภา ร.น. ได้ให้จอมพล ป. ออกกระจายเสียง ในฐานะนายกรัฐมนตรี ประกาศตั้ง พระยาสารสาสน์ประพันธ์ขึ้นเป็นนายกฯแทน แต่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ยอมทำตามจึงได้ตอบวิทยุกระจายเสียงกลับไปและตั้งนายวรการ บัญชา ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นเป็นรักษาการนายกฯ แทน
กองบัญชาการเฉพาะกิจถูกจัดตั้งอย่างเร่งด่วน ทุกฝ่ายถูกเรียกเข้าประชุมที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อวางแผนชิงตัวจอมพล ป. กลับคืนมา ในระหว่างนั้นเองบนฝั่ง น.อ.อานนท์ ก็ได้ระดมกำลังตั้งรับในบริเวณพื้นที่ของกองเรือรบที่ท่าราชวรดิษฐ์ และบริเวณท่าช้างวังหลวง โดยมีกำลังทหารเรือส่วนหนึ่งที่ได้จู่โจมเข้าทำการยึดโรงไฟฟ้า และโทรศัพท์กลางวัดเลียบ แต่สถานการณ์ไม่ได้เป็นต่อรัฐบาลแต่อย่างใด เมื่อกองกำลังหลักของ
คณะกู้ชาติไม่สามารถมาสนับสนุนได้ต่อมา โรงไฟฟ้า และโทรศัพท์กลางวัดเลียบ ถูกกำลังตำรวจรถถังยึดคืนไปได้ มีการยิงรบสู้กัน
ยิ่งไปกว่านั้นจุดที่ทำให้แผนของผู้ก่อการรัฐประหารกลายเป็นที่เพลี่ยงพล้ำมาจาก เรือรบหลวงอยุธยาไม่สามารถแล่นผ่านสะพานพุทธได้ เนื่องจากสะพานไม่เปิดตามแผนที่ได้วางเอาไว้ ต่อมาเครื่องยนต์เสียจากการถูกโจมตีอย่างหนัก
ทางฝ่ายรัฐบาลกำลังหารือว่าจะทำอย่างไรดี พล.อ.ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบก รวมถึง พล.ท.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม่ทัพภาคที่ ๑ กลายมาเป็นหัวเรือใหญ่ในการชิงตัวจอมพลป.คืน ในขณะที่ พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เข้ามาขอพบฝ่ายรัฐบาลเพื่อยืนยันว่า ทหารเรือไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และผู้ก่อการเป็นเพียงทหารเรือส่วนน้อยเท่านั้น โดยฝ่ายรัฐบาลมีแนวคิดจะให้ทหารเรือแอบขึ้นเรือรบหลวงศรีอยุธยาในยามวิกาลเพื่อชิงตัวจอมพล ป. พิบูลสงครามกลับมาก่อนเวลา ๐๕.๐๐ น.ของวันรุ่งขึ้น แต่แผนนี้ก็ถูกพับลงเพราะเกรงว่าจอมพลป.อาจจะโดนลูกหลง
เริ่มแผนชิงตัว ระเบิดจากฟ้าลงสู่เจ้าพระยา!
เหตุการณ์ผ่านไปข้ามวัน จนกระทั่งเวลา ๑๕.๐๐ น. การเผด็จศึกของฝ่ายรัฐบาลจึงเริ่มขึ้น จอมพล ฟื้น ฤทธาคนี ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้สั่งให้เครื่องบิน ทิ้งระเบิดบอมบ์ใส่ ร.ล.ศรีอยุธยา ทั่วพื้นน้ำเจ้าพระยาสนั่นหวั่นไหว แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เสี่ยงที่จอมพลป.จะได้รับอันตราย แต่ระเบิดลูกนั้นก็ทำให้เรือค่อยๆเอียงและจมลง ทหารบนเรือกระโดดสละเรือหลวงว่ายเข้าหาฝั่ง ทหารเรือคนหนึ่งนำเสื้อชูชีพสวมให้จอมพลป.ก่อนที่จะพาว่ายน้ำ
มาขึ้นฝั่ง
มีภาพฉากหลังควันไฟสีดำพวยพุ่งเป็นเรือรบหลวงศรีอยุธยาค่อยๆจมลงช้าๆ ท้ายที่สุดฝ่ายผู้ก่อการและรัฐบาลเปิดการเจรจากัน ฝ่ายกบฏได้ปล่อยตัวจอมพล ป.ในเวลา 23.00น.เป็นอันจบคืนวันอันระทึกของจอมพลป.พิบูลสงคราม การเลือกวิธีทิ้งระเบิดนี้ถึงกับมีข่าวลือมาว่าเป็นคำสั่งจากฝ่ายรัฐบาลที่เชื่อว่า จอมพลป.พิบูลสงคราม เพิ่งปรึกษาหมอดูมาและหมอดูบอกว่าดวงยังไม่ถึงฆาต รวมถึงก่อนหน้านี้จอมพลป.รอดจากการลอบสังหารมาหลายครั้ง หลายคนเลยคิดว่า ท่านผู้นำคงมีของดีแน่ๆ
HTMS_Sri_Ayutthaya_before_sinking (๑)
ปิดฉากกบฎแมนฮัตตัน
ผู้ต้องหาร่วมหนึ่งพันคนถูกจับไปรวมกันไว้ที่สนามศุภชลาศัย แต่เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอจึงมีการส่งฟ้องแค่ ๑๐๐ คนและได้รับนิรโทษกรรมในปี ๒๕๐๐ ส่วนน.อ.อานนท์ และน.ต.มนัส ต้องลี้ภัยไปย่างกุ้งประเทศพม่า ก่อนที่น.ต.มนัส๒๕๐๐ ลับเข้ามาในประเทศไทยปี ๒๔๙๕และถูกจับกุม
ตัวได้ในที่สุด
ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งจุ่มลงไปในแม่น้ำแม่สาย ข้าพเจ้าก็บอกกับตัวเองว่า พอกันทีอย่ามาตามจับตัวกันเสียให้ยากเลย ข้าพเจ้าลุยน้ำตามหลัง น.อ.อานนท์ น้ำในแม่น้ำแม่สายมีระดับเพียงเอว แต่กระแสก็ไหลแรงพอดู ปะทะตัวให้โอนเอนไปมา บางครั้งก็ลื่นถลำไปบนกองหินใต้น้ำ ทำให้จมลงไปถึงแค่คาง สุดท้ายก็ก้าวขึ้นฝั่งตลาดขี้เหล็กดินแดนของสหภาพพม่า ซึ่งมีอธิปไตยของตนเองโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เป็นอันว่าเราได้รับสิทธิคุ้มครองจากกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัยทางการเมืองแล้ว เราเชื่อว่า ต่อแต่นี้ไปเงื้อมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยไม่สามารถจะมาเหนี่ยวรั้งเอาตัวพวกเราไปได้โดยเด็ดขาด ลาก่อน ประเทศไทยที่รัก จนกว่าจะกลับมาอีก….” น.ต.มนัส เขียนในหนังสือ เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล
หลังจากเหตุการณ์นี้ กองทัพเรือได้ถูกลดบทบาทความสำคัญลงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นการก่อรัฐประหาร2ครั้งติดต่อกันตั้งแต่กบฎวังหลวง มีการยุบกรม กอง โยกย้ายและลงโทษทหารเรือระดับสูงจำนวนมากแม้ไม่มีความผิดกับเรื่องนี้และหลังจากนั้นกองทัพเรือก็ไม่เคยนำทำรัฐประหารอีกเลย
ประวัติศาสตร์ไทย ขอยุติเพียงแค่นี้
ส่วนประวัติศาสตร์สากลให้ออกจากหน้านี้แล้วจงคลิกดูที่หน้าที่ ๔ ตรงหัวลูกศรสีขาวที่อยู่ข้างเลข 8
เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด
กรุณาใส่ข้อความ …