๓๘.เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด
ระบบของการเวียนว่าตายเกิด
เรื่องของโฆสกะเศรษฐี
โฆสกเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ มหาเศรษฐีผู้นี้มีชีวิตพลิกผันมาหลายชาติชาติปัจจุบันก็เฉียดตายหลายครั้งตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะมีวิบากจากอกุศล กรรมเก่าตามมาส่งผล แต่ในที่สุดเมื่อวิบากจากกุศลกรรมส่งผลบ้าง เขาก็ได้เป็นมหาเศรษฐีและเป็นผู้สร้างโฆสิตารามถวายพระศาสดา
โกตุหลิกทิ้งลูก
โฆสกเศรษฐีมีชีวิตที่พลิกผันเพราะกรรมที่สร้างไว้ในอดีตชาติหนึ่ง สมัยที่เกิดเป็น โกตุหลิก
โกตุหลิกอยู่ในแคว้นอัลลกัปปะ มีภรรยาชื่อ กาลี เมื่อภรรยาคลอดลูกก็พอดีที่แคว้นอัลลกัปปะเกิดทุพภิกขภัย ข้าวปลาอาหารหายาก โกตุหลิก จึงตัดสินใจพาภรรยาและลูกน้อยเพิ่งคลอดเดินทางอพยพไปสู่กรุงโกสัมพี ระหว่างทางอาหารที่มีติดตัวมาเพียงน้อยนิดก็หมดลง โกตุหลิกบอกภรรยาว่าอาหารเราหมดแล้ว เราไม่อาจไปถึงโกสัมพีได้ เราจำเป็นต้องทิ้งลูก วันหน้าถึงโกสัมพีแล้วค่อยมีลูกกันใหม่ แต่นางกาลีไม่ยอม
สองสามีภรรยาเดินทางต่อไป ผลัดกันอุ้มลูกน้อย คราวหนึ่งโกตุหลิกอุ้มลูกเดินตามหลังปล่อยให้นางกาลีเดินล่วงหน้าไปไกล เมื่อได้โอกาสจึงแอบวางลูกทิ้งไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง นางกาลีหันกลับมาไม่เห็นลูกก็ร้องไห้คร่ำครวญ ให้โกตุหลิกเดินย้อนกลับไปรับลูก โกตุหลิกจำใจย้อนไปรับลูกเดินทางกันต่อไป แต่ด้วยหนทางที่กันดาร อาหารก็ไม่มี ในที่สุดทารกน้อยก็ตายในระหว่างทาง
โกตุหลิกะเกิดเป็นสุนัข
โกตุหลิกะกับภรรยาเดินทางต่อไปจนถึงเรือนนายโคบาลคนหนึ่ง ทั้งสองแวะเข้าไปขออาหาร นายโคบาลเป็นคนใจบุญหุงข้าวปายาสไว้ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกวัน จึงแบ่งข้าวปายาสให้สองสามีภรรยากิน
นางกาลีแบ่งข้าวปายาสส่วน ของตนให้สามี บอกว่าท่านอดข้าวมาหลายวันให้ท่าน บริโภคให้เพียงพอก่อน โกตุหลิกจึงกินข้าวปายาสจำนวนมากให้สมกับที่อดอยากมาถึง ๗-๘ วัน กินไปก็มองดูนางสุนัขของนายโคบาลไป คิดว่าสุนัขตัวนี้มีบุญ ได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันจนอ้วนพี ส่วนตนเองนานๆ จึงจะได้กินสักที
ด้วย การบริโภคมากเกินไป ข้าวปายาสจึงไม่ย่อย คืนนั้นโกตุหลิกจึงทำกาละ และด้วยอกุศลจิตก่อนตายที่อิจฉาความเป็นอยู่ของสุนัข โกตุหลิกจึงไปเกิดในท้องนางสุนัขตัวนั้น ส่วนนางกาลีเมื่อสามีตายหมดที่พึ่งแล้ว จึงอยู่ทำงานในเรือนของนายโคบาลนั้นเอง วันใดได้ค่าแรงเป็นข้าวสาร นางก็จัดการหุงแล้วใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ถ้าวันไหนไม่มีข้าวนางก็ขวนขวายช่วยงานด้วยความเลื่อมใส
สุนัขทำบุญได้เกิดเป็นโฆสกเทพบุตร
โกตุหลิกเกิดเป็นสุนัข ได้รับก้อนข้าวจากพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำจึงมีความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อนายโคบาลไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้าสุนัขนั้นก็ตามไปด้วย ได้เห็นนายโคบาลเอาไม้ตีพุ่มไม้ข้างทางเพื่อขับไล่สัตว์ร้ายให้หนีไป สุนัขก็จดจำไว้
วันหนึ่ง นายโคบาลทูลพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าหากวันใดไม่สามารถมานิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ด้วยตนเองก็จะส่งสุนัขตัวนี้มา ขอให้พระปัจเจกพุทธเจ้าพึงทราบด้วย หลังจากวันนั้น เมื่อนายโคบาลไม่ว่างก็จะใช้ให้สุนัขนั้นไปพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามารับภัตที่ เรือน สุนัขนั้นก็จะไปที่หน้าที่พำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า เห่า ๓ ครั้งให้รู้แล้วนอนหมอบรออยู่ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าออกมาสุนัขก็จะเดินนำไปข้างหน้า ระหว่างทางสุนัขก็จะเที่ยวเห่าใส่สุมทุมพุ่มไม้และที่รกเพื่อขับไล่สัตว์ ร้ายตามแบบที่จำมาจากนายโคบาล บางครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าแกล้งเดินผิดทาง สุนัขก็จะไปยืนขวางไว้ บางครั้งก็คาบชายผ้าดึงกลับมาให้ถูกทาง
กาลเวลาผ่านไป วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกนายโคบาลว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น สุนัขนั้นอาลัยรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ยืนเห่าส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไป พอพระปัจเจกพุทธเจ้าลับไปจากสายตา สุนัขนั้นก็ดวงใจแตกดับ ไปเกิดเป็นเทพบุตรในเทวโลก มีนางอัปสรแวดล้อม ๑,๐๐๐ นาง เป็นเทพบุตรผู้มีเสียงดังมากเพราะอานิสงส์การเห่าไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจก พุทธเจ้า นามว่า "โฆสกเทพบุตร"
เกิดใหม่ในเมืองโกสัมพี
โฆสกเทพบุตรเสวยสมบัติอยู่ในเทวโลกไม่นาน มัวแต่เพลินบริโภคกามคุณจนลืมเสพอาหารทิพย์ จึงจุติไปเกิดเป็นบุตรหญิงงามเมืองในกรุงโกสัมพี แต่การเป็นหญิงงามเมืองหากมีบุตรจะเลี้ยงไว้เฉพาะบุตรสาวเพื่อสืบทอดอาชีพ เมื่อคลอดบุตรเป็นชายนางจึงนำทารกน้อยใส่กระด้งไปทิ้งในกองหยากเยื่อ ด้วยอานิสงส์เคยดูแลไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ามาก่อน ทารกน้อยในกองหยากเยื่อจึงรอดพ้นอันตรายจากสัตว์ร้ายจนมีหญิงคนหนึ่งมาพบ เข้าและนำทารกกลับไปเรือน
วันนั้นเศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีคนหนึ่งเข้าไปในราชสำนัก ได้ยินปุโรหิตบอกว่าเด็กที่เกิดวันนี้เป็นผู้มีบุญมาก อนาคตจะได้เป็นมหาเศรษฐีของเมือง เศรษฐีจึงให้คนใช้กลับไปดูที่เรือนว่าภรรยาของตนซึ่งมีครรภ์แก่คลอดบุตรหรือ ยังปรากฏว่าภรรยายังไม่คลอด เศรษฐีจึงให้หญิงคนใช้อีกคนชื่อ กาลี ไปตามหาทารกชายที่เกิดวันนี้ให้พบ พบแล้วให้ใช้ทรัพย์พันหนึ่งแลกทารกนั้นกลับมา ซึ่งนางกาลีก็สามารถหาทารกน้อยนั้นจบพบและ
พากลับมาให้เศรษฐี
เศรษฐี เลี้ยงดูทารกนั้นไว้ คิดว่าถ้าลูกของตนเป็นลูกสาว ก็จะให้แต่งงานกับเด็กคนนี้ที่จะได้เป็นมหาเศรษฐี แต่ถ้าเป็นชาย เศรษฐีก็จะฆ่าเด็กนี้ทิ้งเสียเพื่อให้ลูกชายตนเองครองตำแหน่งมหาเศรษฐีแทน
ถูกทิ้งถูกฆ่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางกลางประตูคอกโค หวังจะให้แม่โคเหยียบให้ตายตอนนายโคบาลปล่อยโคออกจากคอก แต่โคนายฝูงออกมายืนคร่อมทารกไว้ไม่ให้ทารกถูกแม่โคตัวอื่นเหยียบ นายโคบาลสังเกตเห็นผิดปกติที่โคนายฝูงปกติจะออกจากคอกหลังสุด แต่วันนี้กลับออกจากคอกก่อน แถมยังยืนนิ่งขวางทางอยู่จึงเดินไปดู เมื่อเห็นทารกนอนอยู่ก็เกิดความรักนำกลับไปเลี้ยงดู เศรษฐีรู้ว่านายโคบาลนำทารกไปเลี้ยงจึงให้นางกาลีไปไถ่ตัวกลับมาด้วยทรัพย์ พันหนึ่ง
เศรษฐีสั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางทางขบวนเกวียน ๕๐๐ เล่มที่พ่อค้าขับไปค้าขายแต่เช้ามืด แต่โคนำขบวนกลับหยุดขวางทางไว้ไม่ยอมลากเกวียนไปต่อ หัวหน้าขบวนเกวียนรอจนฟ้าสว่างจึงเห็นว่ามีทารกนอนอยู่ เขาจึงนำทารกกลับไปเลี้ยง แต่เศรษฐีก็ให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง
เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ หวังจะให้ทารกถูกสุนัขป่าหรืออมนุษย์ฆ่าให้ตาย ครั้งนั้นนายอชบาลต้อนฝูงแพะหลายแสนตัวผ่านมา แม่แพะตัวหนึ่งหยุดให้นมทารก นายอชบาลเห็นจึงนำทารกกลับไปเลี้ยง เศรษฐีรู้จึงให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง
เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่เหวทิ้งโจร แต่ทารกก็ปลอดภัยเพราะตกลงบนพุ่มไม้ไผ่ หัวหน้าช่างจักสานมาตัดไม้ไผ่พบเข้าจึงพากลับไปเลี้ยง เศรษฐีรู้จึงให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง
เศรษฐีพยายามฆ่าเด็กหลายครั้งแต่ไม่ตาย จึงจำต้องเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ มีชื่อว่า "โฆสกะ"
ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
เศรษฐี จำใจเลี้ยงโฆสกะไว้เป็นหนามยอกอก ในใจไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าโฆสกะเลย วันหนึ่งเศรษฐีแอบไปว่าจ้างช่างหม้อคนหนึ่งบอกว่าจะส่งบุตรชาติชั่วมาให้ฆ่า ให้ช่างหม้อจัดการหั่นให้เป็นท่อน แล้วใส่เตาเผาให้หมดอย่าให้เหลือซาก ช่างหม้อเห็นแก่เงินจึงรับจะจัดการให้
วันรุ่งขึ้น เศรษฐีสั่งให้โฆสกะไปเรือนช่างหม้อ บอกช่างหม้อว่าให้เร่งทำงานที่เศรษฐีสั่งไว้ให้เสร็จเร็วๆ โฆสกะก็ไปเพราะไม่รู้ ระหว่างทางพบลูกชายเศรษฐีกำลังเล่นพนันอยู่กับเพื่อนๆ แต่ลูกชายเศรษฐีแพ้พนันไปแล้วหลายครั้งจึงขอร้องให้โฆสกะช่วยเล่นแทน ส่วนตัวเขาอาสาไปหาช่างหม้อแทน วันนั้นโฆสกะจึงได้อยู่เล่นสนุกตลอดทั้งวัน
ตกเย็นโฆสกะเลิกเล่นกลับเข้าเรือน เศรษฐีพอเห็นโฆสกะก็ตกใจ สอบถามรู้ว่าบุตรชายของตนไปแทนโฆสกะจึงรีบวิ่งไปเรือนช่างหม้อ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะบุตรชายของตนถูกฆ่าและเผาแล้วไม่มีเหลือ
โฆสกะแต่งงาน
เศรษฐี แค้นโฆสกะมากยิ่งขึ้นครุ่นคิดหาวิธีจะฆ่าโฆสกะให้ได้ จึงออกอุบายให้โฆสกะไปส่งจดหมายให้คนเก็บส่วยในชนบท โฆสกะบอกว่าตนยังไม่ได้กินข้าวเลย เศรษฐีบอกว่าระหว่างทางในชนบทมีเรือนของคามิกเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกัน ให้โฆสกะแวะกินข้าวที่เรือนนั้น โฆสกะไม่รู้หนังสือจึงเอาจดหมายผูกชายผ้าเดินทางไป
เมื่อเดิน ทางถึงเรือนคามิกเศรษฐี โฆสกะจึงแวะเข้าไปหาภรรยาคามิกเศรษฐีแนะนำตัวเองว่าชื่อโฆสกะเป็นบุตรของ เศรษฐีในเมืองชื่อโฆสกะ ภรรยาเศรษฐีรู้สึกเมตตาจึงจัดข้าวปลาอาหารให้กิน และให้นางทาสีพาโฆสกะไปนอนพักผ่อน
นางทาสีคนนั้นเป็นทาสีของ ธิดาเศรษฐี เมื่อนางจัดเตรียมที่นอนให้โฆสกะเรียบร้อยแล้วจึงไปรับใช้ธิดาเศรษฐีตามปกติ ธิดาเศรษฐีถามว่าทำไมวันนี้นางทาสีจึงมาช้านัก นางทาสีบอกว่านายหญิงให้ไปจัดที่นอนให้แขกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปหล่อชื่อ โฆสกะ
พอธิดาเศรษฐีได้ยินชื่อ โฆสกะ นางก็บังเกิดความรักเฉือนเข้าไปถึงกระดูก เพราะธิดาเศรษฐีนี้คือนางกาลีอดีตภรรยาโฆสกะเมื่อครั้งที่เป็นนายโกตุหลิก นั่นเอง ความรักของนางเกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน
ธิดาเศรษฐีแอบไปดูโฆสกะที่นอนหลับอยู่ และหยิบหนังสือที่ชายผ้าเปิดอ่าน ในหนังสือนั้นบอกให้นายส่วยฆ่าโฆสกะทันทีที่ไปถึง ธิดาคามิกเศรษฐีพอรู้ว่าโฆสกะถูกหลอกไปฆ่าจึงคิดวิธีช่วยเหลือ จัดการแปลงสารด้วยข้อความใหม่
“ลูกชายของเราคนนี้ชื่อ โฆสกะ ท่านจงทำธุระให้เขาทำการมงคลกับธิดาคามิกเศรษฐีด้วยบรรณาการจากบ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน ปลูกเรือน ๒ ชั้นให้เป็นที่อยู่ สร้างรั้วให้แข็งแรงและจัดเวรยามดูแลให้ดี แล้วส่งข่าวกลับไปบอกด้วยว่าท่านทำการเสร็จแล้ว เราจักสมนา คุณท่านในภายหลัง” เมื่อแปลงสารเสร็จแล้ว ธิดาเศรษฐีก็พับจดหมายคืนที่เดิม
วันรุ่งขึ้น โฆสกะเดินทางต่อจนถึงเรือนของนายส่วย เมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว นายส่วยจึงจัดงานอาวาหมงคลให้โฆสกะกับธิดาคามิกเศรษฐี แล้วส่งข่าวให้เศรษฐีโกสัมพีทราบว่างานที่สั่งให้ทำสำเร็จแล้ว
เศรษฐีล้มป่วยเพราะความแค้น
เศรษฐี อ่านจดหมายนายส่วยจบก็เสียใจและแค้นใจ บุตรชายตัวเองหวังจะให้เป็นมหาเศรษฐีก็มาตาย ส่วนโฆสกะพยายามฆ่ามาหลายครั้งไม่เคยสำเร็จ ด้วยความแค้นและความเสียใจสุมเต็มอกเศรษฐีจึงล้มป่วยลงด้วยโรคลงแดง
เศรษฐี ตั้งใจว่าจะไม่ยอมยกสมบัติของตัวเองให้โฆสกะอย่างเด็ดขาด จึงส่งคนรับใช้ให้ไปตามโฆสกะมาหา แต่ภรรยาโฆสกะคอยดักไว้ไม่ให้พบ นางถามถึงอาการเศรษฐีว่าเป็นอย่างไรบ้าง คนรับใช้บอกว่ายังมีกำลังดีอยู่ นางจึงจัดที่พักให้บอกว่าให้อยู่ที่นี่ก่อนอย่าเพิ่งกลับ
เศรษฐีส่งคนรับใช้ไปอีก ภรรยาโฆสกะก็จัดที่พักให้เหมือนคนก่อน
จนถึงคนรับใช้คนที่สามมาบอกว่าเศรษฐีอาการเพียบหนักใกล้ตายแล้ว ภรรยาโฆสกะจึงบอกให้สามีเตรียมบรรณาการจากบ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน ใส่เกวียนไปเยี่ยมเศรษฐี
เมื่อไปถึงเรือนเศรษฐี ภรรยาบอกให้โฆสกะไปยืนทางปลายเท้า ส่วนนางยืนทางด้านศีรษะ เศรษฐีเห็นโฆสกะมาแล้วจึงเรียกเสมียนมาถามว่า ในเรือนของฉันมีทรัพย์อยู่เท่าไร นายเสมียนตอบว่ามีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ และเครื่องอุปโภคบริโภคบ้าน นา สัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า ยานพาหนะ มีอีกจำนวนหนึ่ง
เศรษฐีจะประกาศว่า
“ฉันไม่ให้ทรัพย์แก่โฆสกะ”
แต่ด้วยอาการไข้หนักเศรษฐีกลับพูดผิดว่า
“ฉันให้..”
ภรรยา โฆสกะที่รอท่าอยู่พอได้ยินเศรษฐีพูดเพียงเท่านี้ นางเกรงว่าเศรษฐีจะพูดคำอื่นอีกจึงแสร้งทำเป็นเศร้าโศก โถมศีรษะลงกลิ้งเกลือกบนอกเศรษฐี แสดงอาการร้องไห้คร่ำครวญจนเศรษฐีไม่อาจพูดได้อีก แล้วเศรษฐีก็ขาดใจตาย
เป็นโฆสกะเศรษฐี
เมื่อพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพีทรงทราบว่าเศรษฐีถึงแก่อนิจกรรมแล้ว จึงรับสั่งให้โฆสกะไปเข้าเฝ้า พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้สืบต่อจากบิดา โฆสกะรับตำแหน่งเศรษฐีแล้วจึงขึ้นรถแห่ประทักษิณพระนครแล้วกลับมาเรือน
ภรรยา โฆสกเศรษฐีเล่าให้นางกาลีฟังว่า เพราะนางแอบแปลงจดหมาย วันนี้โฆสกะจึงได้ตำแหน่งเศรษฐี นางกาลีก็เล่าให้นางฟังบ้างว่าเศรษฐีพยายามฆ่าโฆสกะมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่ ยังเป็นทารก ใช้ทรัพย์ไปมากมายแต่ก็ไม่สามารถฆ่าโฆสกะได้ พอรู้ดังนั้นแล้วภรรยาโฆสกะจึงหัวเราะ
โฆสกเศรษฐีเข้าเรือนมา เห็นภรรยาหัวเราะจึงถามว่าหัวเราะอะไร ภรรยาไม่ยอมบอก โฆสกเศรษฐีชักดาบขู่ว่าถ้าไม่บอกเราจะฟันให้ขาดเป็น ๒ ท่อน ภรรยาจึงบอกว่า สมบัติทั้งหลายนี้ท่านได้มาเพราะดิฉัน
แล้วภรรยาก็เล่าเรื่อง ราวให้สามีฟัง โฆสกเศรษฐีไม่เชื่อ ภรรยาจึงให้นางกาลีมายืนยันอีกคน ฟังแล้วโฆสกเศรษฐีจึงคิดว่า เราทำกรรมหนักไว้หนอจึงได้ผลเช่นนี้ ต่อไปเราจะไม่เป็นผู้ประมาทอีก
คิดดังนั้นแล้ว เศรษฐีจึงให้ตั้งโรงทาน สละทรัพย์วันละพันเพื่อสงเคราะห์คนเดินทางไกลและคนกำพร้า มอบหมายให้ นายมิตตะ เป็นผู้ดูแลโรงทาน อีกทั้งยังถวายภัตแด่พระดาบส ๕๐๐ รูป ในป่าหิมพานต์ใกล้กรุงโกสัมพีเป็นประจำ
อดีตกรรมของนายโกตุหลิกะ
เรื่องที่ ๑๓๒ ตายจากคนไปเกิดเป็นสุนัข,เป็นเทวดาที่มีเสียงดังกึกก้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
"..สุนัขตัวนี้เดิมทีเดียวเป็นคน ชื่อ "โกตุหลิกะ" อยู่เมืองๆ หนึ่งเกิดโรคระบาดขึ้น ก็พาเมียกับลูกน้อยเพิ่งคลอดได้ ๒-๓ เดือนยังคลานไม่ได้ อุ้มเดินทางผ่านป่าไปยังอีกเมืองหนึ่ง ในที่สุดหลายวันเข้าอาหารที่นำมาก็หมด สองคนผัวเมียก็อดอาหาร สามีก็บอกภรรยาว่าอุ้มลูกไม่ไหวแล้วทิ้งเสียเถิด เธอยังสาวอยู่ พี่ก็ยังหนุ่ม พี่จะสร้างให้ใหม่ ฝ่ายภรรยามีความรักในลูกก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงเอาลูกมาอุ้มแทนเสียเอง
ต่อมาตอนเย็นใกล้ค่ำสามีก็หาอุบายบอกภรรยาว่า เธออุ้มลูกมานานแล้วผลัดกันเถิด ฉันก็รักลูกเหมือนกัน ภรรยาก็เชื่อยอมให้สามีอุ้มลูก สามีก็แกล้งเดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปข้างหน้าก่อน เมื่อเห็นภรรยาเดินไปไกลแล้ว ก็เอาลูกไปไว้โคนต้นไม้แล้วเอาใบไม้กลบ แล้วก็เดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปไกลๆ ก่อน จึงค่อยๆ เดินไปทันก็เป็นเวลาคํ่ามากแล้ว ภรรยาก็ถามว่า "ลูกไปไหน" สามีก็บอกตามความเป็นจริงว่าทิ้งไว้ตรงโคนต้นไม้โน้น ภรรยาก็เสียใจเดินย้อนกลับมาใหม่แต่ก็หาลูกไม่พบ ผลที่สุดต่างคนต่างเดินตามกันไป
พอมาถึงอีกเมืองหนึ่งอาศัยความหิวโหยมา ๒-๓ วัน มันจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว เห็นบ้านสวยหลังใหญ่มีคนมาก ก็คิดว่าบ้านนี้คงจะมีอาหาร สองคนจึงเข้าไปในบ้าน คลานเข้าไปหาเจ้าของบ้านขออาหารกิน ท่านคหบดีเวลานั้นกำลังกินข้าวอยู่และมี สุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง หมอบอยู่ข้างๆ ท่านกินบ้างแบ่งให้สุนัขกินบ้าง ข้าวที่สุนัขกินเป็นข้าวมธุปายาสที่ท่านคหบดีกิน เป็นข้าวชั้นเลิศของคนสมัยนั้น
เมื่อสองสามีภรรยาเข้าไปขออาหาร ท่านก็สั่งคนใช้ไปนำอาหารมาให้ เมื่อเขานำอาหารมาให้แล้วภรรยามีความรักในสามีมากก็ยังไม่กิน ให้สามีกินก่อน สามีก็แสนดีกินเสียจนกระทั่งไม่เหลือ ภรรยาก็ถามว่า "อิ่มหรือยัง" สามีก็ตอบว่า "ยังไม่อิ่ม" ยังไม่พอ ภรรยาก็ส่งส่วนของตนให้อีกโดยยอมหิว ทีนี้เมื่อกินจานที่สองเข้าไปมันก็อึดอัด ผลที่สุดก็แน่นจุกเสียด ก่อนที่จะตายขณะที่กำลังกินอาหาร ท่านโกตุหลิกะคิดถึงเจ้าสุนัขตัวนี้ว่ามีบุญดีกว่าเราซึ่งเป็นคนเสียอีก เราเป็นคนอดๆ อยากๆ แต่เจ้าสุนัขตัวนี้มันมีความสุข กินอาหารดีๆ ที่อยู่ก็สบาย ท่านคหบดีกินอะไรมันก็ได้กินอย่างนั้น รู้สึกว่ามันดีกว่าคนใช้ในบ้าน และคนใช้ในบ้านก็ยังดีกว่าเรา แต่เรามีความเป็นอยู่เลวกว่าสุนัข ขณะกินข้าวท่านก็มองดูสุนัขไป จิตก็นึกถึงแต่สุนัข ก็ตายเวลานั้น เมื่อตายแล้วจิตเลยเข้าท้องสุนัขตัวนั้นไป
ตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข
ต่อมาเจ้าสุนัขตัวนั้นก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ เป็นสุนัขแสนรู้เพราะตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข จึงรู้ภาษาคนทุกอย่าง ดังนั้นเวลาท่านคหบดีจะทำอะไร จะใช้อะไร มันทำได้ทุกอย่างตามที่สุนัขสามารถจะพึงทำได้
เวลาออกพรรษา ท่านคหบดีมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาก ได้นิมนต์มาฉันภัตตาหารเป็นประจำตลอดจนกว่าจะเข้าพรรษา มาอยู่ที่ภูเขาใกล้ๆ บ้าน ตอนเช้าท่านก็ไปรับพระปัจเจกพุทธเจ้า พอถึงพุ่มไม้ท่านก็เอาไม้ตีส่งเสียงดังเป็นการไล่สัตว์ร้ายที่อยู่ในพุ่มไม้นั้น พอไปถึงถ้ำในภูเขาที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ก็เข้าไปกราบนิมนต์ท่าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็จำ บางวันท่านคหบดีไปนิมนต์ไม่ได้เพราะมีธุระ ก็ใช้ให้เจ้าสุนัขตัวนี้ไปแทน
เมื่อไปถึงพุ่มไม้ที่ท่านคหบดีเคยเอาไม้ตี เจ้าสุนัขตัวนี้ก็ส่งเสียงเห่าโฮ้งๆ เป็นการไล่สัตว์ที่อยู่ในนั้น พอไปถึงวิหารพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็หมอบคลานเข้าไปส่งเสียงโหยหวนเล็กน้อย เป็นการแสดงว่านิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ตามมันมา เจ้าสุนัขก็เดินนำหน้า พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านก็เลี้ยวเข้า ทำอย่างนี้เป็นปกติ
บางครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลองดูว่า เจ้าสุนัขตัวนี้จะรู้จริงหรือไม่ พอท่านเดินถึงทางที่เจ้าสุนัขเลี้ยว ท่านก็ไม่ยอมเลี้ยวท่านเดินตรงไป เจ้าสุนัขก็เข้าขวางหน้า เมื่อท่านไม่ยอมกลับมันก็ดึงชายสบงให้เข้าทาง ผลที่สุดพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องตามไป
รวมความว่าเจ้าสุนัขก็ปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำและมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก รวมทั้งมีความเคารพด้วย เพราะเวลาไปถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าก็หมอบคลานเข้าไปแล้วก็ส่งเสียงนิดหน่อย ลีลาคล้ายจะนิมนต์ท่าน เป็นการแสดงความเคารพ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็นั่งอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา
ตายจากสุนัขไปเกิดเป็นเทวดา
พอถึงเวลาเข้าพรรษาพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านต้องกลับภูเขาคันธมาทน์ ท่านก็ลาท่านคหบดี อาจจะบอกลาเจ้าสุนัขด้วยก็ได้ หลังจากนั้นท่านก็เหาะไปเจ้าสุนัขตัวนี้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปมันก็คิดถึง จึงเห่าบ้างหอนบ้างแสดงความอาลัย เมื่อท่านลับไปเจ้าสุนัขตัวนี้ก็ขาดใจตายทันที อาศัยที่มีความเคารพและรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาหลายเดือน เมื่อตายจากสุนัขก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมีนามว่า
"โฆษกเทพบุตร" (โฆษกะแปลว่ากึกก้อง) แปลว่า "เทวดาที่มีเสียงดัง" พูดตามปกติธรรมดาเสียงเบาๆ ดังไปไกล ๖๐ โยชน์ ถ้าพูดเต็มเสียงจะดังก้องทั่วดาวดึงส์และมีเสียงเพราะด้วย เป็นผลของการส่งเสียงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าและส่งเสียงขับไล่สัตว์ร้ายที่จะมีระหว่างทาง และก็ส่งเสียงแสดงความรักความอาลัยในพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไป
เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน
การที่เจ้าสุนัขตัวนี้เห่าหอนจนขาดใจตายทันทีเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะลับไป ก็เพราะมีความเคารพรักและอาลัยในท่านมาก ความรู้สึกอย่างนี้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า "พุทธานุสสติกรรมฐาน" ถ้าจะถามว่าสัตว์เจริญกรรมฐานได้หรือ ก็ขอตอบว่า "เจ้าสุนัขตัวนี้นั้นเจริญพระกรรมฐาน"
ถ้าจะถามอีกว่า "ถ้าเจริญพระกรรมฐานมันนั่งสมาธิไม่ได้"
ก็ต้องตอบว่า "กรรมฐานไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิ กรรมฐานอยู่ที่อารมณ์ของใจหรือสมาธิเป็นอารมณ์ของใจ และวิปัสสนาเป็นอารมณ์ของใจร่างกายจะอยู่ท่าไหนนั้นไม่มีความสำคัญ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จะนอนก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าให้จิตจับอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราต้องการ"
อย่างเจ้าสุนัขตัวนี้จิตใจจับอยู่ในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นปกติ ถ้าจะถามว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมจึงเรียกว่า พุทธานุสสติ" ก็ต้องตอบว่า "ปัจเจกพุทธะ คือ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่บรรลุเองโดยไม่ต้องมีครูสอนเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ทว่าไม่มีหน้าที่สอนโดยตรงกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ใครสนใจธรรมไปหาท่านก็ช่วยแต่ท่านไม่เดินไปสอนเป็นสาธารณะทั่วไปเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ถ้ามีความจำเป็นท่านก็ไปหาเหมือนกันเป็นบางรายเท่านั้น
ฉะนั้น การที่สุนัขตัวนี้นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็น "พุทธานุสสติ"
ต่อมาเกิดใหม่ภายหลังกรรมที่ทิ้งลูกให้ตายในป่า กรรมนี้เข้ามาสนองให้ท่าน ถูกทอดทิ้งให้ตายถึง ๗ ครั้ง
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑ เมื่อหมดบุญบารมีจากความเป็นเทวดา ท่านโฆษกเทพบุตรก็จุติลงมาเกิดเป็นลูกหญิงงามเมืองคือโสเภณีในเมืองโกสัมพี เกิดเป็นลูกผู้ชาย แต่หญิงงามเมืองย่อมเลี้ยงเฉพาะลูกผู้หญิง ไม่เลี้ยงลูกผู้ชายเพราะเชื้อสายของเธอจะสืบไม่ได้ จึงเอาทารกใส่กระด้งแล้วเอาไปทิ้งที่กองขยะ ก็มีกาบ้าง สุนัขบ้าง ต่างพากันมาจับกลุ่มแวดล้อมเด็กไว้ ป้องกันไม่ให้มีอันตราย ผลแห่งการเห่าการหอนด้วยความเคารพรักพระปัจเจกพุทธเจ้า และเห่าหอนป้องกันอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อมาถึงพุ่มไม้ที่จะเป็นอันตรายก็เห่ากรรโชกไล่สัตว์ เป็นเหตุให้กาก็ดี สุนัขก็ดีมาแวดล้อมป้องกันอันตราย แม้แต่มด เล็น ไร ตัวหนึ่งก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ได้ ขณะนั้นมีคนผู้หนึ่งออกไปนอกบ้านเห็นการจับกลุ่มของกาและสุนัข จึงเดินเข้าไปที่นั้นเห็นเด็กทารกก็เกิดความรักเหมือนกับรักลูกของตัวเอง ได้เข้าไปอุ้มนำไปสู่เรือนด้วยความดีใจว่าเราได้ลูกชายแล้ว
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒ ในเวลานั้นได้มีเศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีเดินมาพบท่านปุโรหิตออกมาจากพระราชวังจึงได้ถามว่า "ท่านอาจารย์ วันนี้จะมีเหตุร้ายเหตุดีกับชาวบ้านชาวเมืองบ้างไหม" ท่านปุโรหิตก็บอกว่า "อย่างอื่นไม่มีแต่เด็กที่เกิดวันนี้จะเป็นมหาเศรษฐีในเมืองนี้ในวันหน้า" เวลานั้นภรรยาของท่านเศรษฐีกำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงให้คนใช้ไปดูว่าคลอดหรือยังมาบอกให้ทราบ เมื่อสั่งคนใช้แล้วก็ไปเฝ้าพระราชา เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้งให้มีฉัตร ๓ ชั้นและมีกิจในการเฝ้าพระราชาเหมือนกับเสนาบดีผู้ใหญ่ เมื่อเฝ้าพระราชาแล้วก็กลับมาบ้านเมื่อทราบว่าภรรยายังไม่คลอดจึงเรียกหญิงคนใช้ชื่อ "กาลี"
"กาลี" ไม่ได้แปลว่า "ระยำ" กาละแปลว่ากาลเวลา
คือผู้หญิงคนนี้เป็นคนรับใช้ต้องทำงานตามเวลาที่เขาสั่งเรียกมาให้เงินหนึ่งพันกหาปณะ (๑ กหาปณะเท่ากับ ๔ บาท ๑,๐๐๐ กหาปณะก็เท่ากับ ๔,๐๐๐ บาท) สมัยนั้นเงินพันมีค่าสูงมาก ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ทองคำหนัก ๑ บาทราคา ๑๐ บาทเศษๆ ท่านเศรษฐีบอกให้นางกาลีไปซื้อเด็กที่เกิดวันนี้มา เมื่อนางกาลีไปถึงเรือนเด็กคนนั้นก็ถามว่า "เด็กคนนี้เกิดเมื่อไร" เขาตอบว่า "เกิดวันนี้" จึงขอซื้อเด็กประมูลราคาตั้งแต่ ๑ กหาปณะ ไปจนถึงหนึ่งพันกหาปณะ แล้วนำเด็กนั้นไปให้ท่านเศรษฐี ท่านก็คิดว่าถ้าลูกของเราเป็นผู้หญิงเราจะให้มันอยู่กับลูกสาวของเรา แล้วทำให้มันเป็นเจ้าของตำแหน่งมหาเศรษฐี แต่ถ้าลูกของเราเกิดเป็นชาย เราจะฆ่ามันเสีย จึงได้รับเด็กคนนั้นไว้ในเรือน
โคอสุภะนายฝูงช่วยชีวิตเด็ก
ต่อมาภรรยาของเศรษฐีคลอดบุตรออกมาเป็นชายล่วงไป ๒-๓ วัน ท่านเศรษฐีจึงคิดว่า ถ้าไม่มีเจ้าเด็กคนนี้ลูกชายของเราก็จะได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐี ดังนั้นเราควรจะฆ่ามันเสียเถิด จึงเรียกนางกาลีให้เอาเด็กคนนี้ไปนอนขวางทางกลางประตูคอกโค เวลาที่พวกโคออกจากคอกจะได้เหยียบมันให้ตาย แต่ต้องคอยดูให้รู้ว่าโคเหยียบหรือไม่เหยียบ แล้วกลับมาบอกเรา
พอนายโคบาลคือคนเลี้ยงวัวเปิดประตูคอกเท่านั้น นางกาลีก็เอาเด็กไปวางไว้ตามที่ท่านมหาเศรษฐีสั่ง โคอสุภะซึ่งเป็นนายฝูง ตามธรรมดาจะออกหลังโคตัวอื่นทั้งหมด แต่ทว่าวันนี้ออกไปก่อนโคอื่นทั้งหมด ไปยืนคร่อมเด็กทารานั้นไว้ในระหว่างเท้าทั้งสี่ แม่โคทั้งหลายต่างก็พากันเบียดเสียดทั้งสองข้างของโคอสุภะออกไป ท่านโฆษกเทพบุตรมีบาปเพราะทิ้งลูกให้ตายในกลางป่า แต่ด้วยอานิสงส์ที่เกิดเป็นสุนัขไปเห่าหอนถวายความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า และก็ป้องกันอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงไม่ตกนรกเลยต้องมาถูกทิ้งแบบนี้ แต่ได้รับความช่วยเหลือเพราะความดีที่มีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง
คนเลี้ยงโคก็คิดว่าเจ้าโคตัวนี้เมื่อก่อนมันออกทีหลังเขา ทุกตัวออกไปก่อนมันจึงออกแต่วันนี้ออกไปก่อนโคอื่นๆ ทั้งหมดแล้วก็ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูคอก จึงเดินเข้าไปดูก็เห็นเด็กนอนอยู่ภายใต้ท้องโคนั้น ก็เกิดความรักคิดว่าเราได้ลูกชายแล้วจึงนำไปสู่เรือน
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓ เมื่อท่านเศรษฐีทราบจากนางกาลีว่าลูกเลี้ยงยังไม่ตาย จึงให้เงินไปหนึ่งพันกหาปณะไปบอกกับคนเลี้ยงวัวว่า ท่านต้องการเด็กคนนี้ไว้เป็นลูกบุญธรรม เมื่อนำเด็กมาแล้ว ท่านเศรษฐีก็บอกกับนางกาลีว่าในเมืองนี้มีเกวียน ๕๐๐ เล่มเขาค้าขายกันอยู่ เขาออกเดินทางในเวลาเช้ามืด ให้เอาเด็กคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนเพื่อให้โคเหยียบ ถ้าโคไม่เหยียบล้อก็ทับมันก็จะต้องตาย แล้วให้คอยดูว่าเด็กจะตายหรือไม่
ความจริงนางกาลีเธอก็มีความสงสาร แต่เมื่อนายใช้ก็จำเป็นจะต้องทำ ถ้าไม่ทำก็มีความผิด
ในตอนดึกเธอจึงได้นำเด็กทารกคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนให้ตรงรอยเกวียนพอดี เพราะตามปกติรอยเกวียนกับรอยเท้าโคจะขนานกัน
ในเวลาเช้ามืดหัวหน้าเกวียน ๕๐๐ เล่มนำเกวียนออกหน้า ลูกน้องก็ตามเป็นลำดับไป แต่พอไปถึงเด็กยังมืดอยู่คนบนเกวียนก็ไม่เห็นเด็ก แต่เป็นเหตุอัศจรรย์ปรากฏว่าโคเดินถึงตรงนั้นแล้วไม่ยอมเดินต่อไป สลัดจนกระทั่งแอกหลุดจากคอทั้งๆ ที่เจ้าของบังคับให้เดินด้วยการตีบ้าง แทงด้วยปฏักบ้าง ทำอย่างไรก็ไม่ไป รอจนกระทั่งสว่าง นายเกวียนก็มองไปด้านหน้าพบเด็กคนหนึ่งนอนขวางทางล้อเกวียน เขาวางเอาตัวขวางไว้ ถ้าโคก้าวไป
อีกไม่กี่ก้าวก็จะต้องเหยียบเด็กตาย ถ้าโคไม่เหยียบเกวียนก็จะทับตาย จึงเกิดความอาลัยตัดสินใจจะนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม จึงเข้าไปอุ้มเด็กนำขึ้นมาบนเกวียน โคก็เดินต่อไปตามปกติไม่มีพยศใดๆ
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔ นางกาลีรีบมาบอกท่านเศรษฐี ท่านเจ็บใจว่าเด็กคนนี้มันจะมาแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา จึงได้บอกนางกาลีว่า ในเมื่อมันยังไม่ตายฉันยอมเสียเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะ จงไปซื้อเด็กมาจากพ่อค้าเกวียน แล้วก็นำเด็กกลับมาให้ ท่าน มหาเศรษฐีก็คิดว่าทิ้งที่ไหนๆ มันก็ไม่ตาย เจ้าจงนำเอาไปไว้ในป่าช้าผีดิบให้ลึกแสนลึกอย่าให้คนเห็น ตามธรรมดาป่าช้าผีดิบจะมีเสือ สิงห์ กระทิง แรด มีงูร้ายอยู่เป็นอันมาก
ถ้าไม่ตายเพราะสัตว์ร้ายก็ต้องตายเพราะอดตาย ตามปกติป่าช้าไม่มีใครอยากเข้าไป อย่างมากก็หนึ่งวันก็ต้องตายแน่ ในตอนเช้าวันนั้นก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ มีพ่อค้าเลี้ยงแพะไว้สำหรับขายนับเป็นแสนตัว ก็นำแพะมาเลี้ยงที่ป่าช้าผีดิบเพราะไม่มีใครว่าและก็ปลอดภัย บังเอิญมีแพะแม่ลูกอ่อนอยู่ตัวหนึ่งบุกป่าฝ่าดงเข้าไปไกลออกไปจากฝูงแพะเข้าไปในป่าลึก เข้าไปถึงเด็กน้อยแล้วก็ย่อตัวลงมาเอานมให้เด็กดูดกิน เจ้าของแพะเห็นเป็นที่น่า
อัศจรรย์ว่าแพะตัวนี้ลุยผ่าเข้าไปทำไม แยกฝูงออกไป เขาหาทางตวาด เอาไม้ขว้าง อิฐขว้างเท่าไรแพะก็ไม่ยอมถอยออกมา เห็นมันย่อตัวผิดปกติจึงเข้าไปหมายจะตีแพะให้เข็ด แต่พอเข้าไปก็เห็นเด็กน้อยกำลังกินนมแพะ ใจก็เกิดความรักขึ้นมา เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ เราก็ไม่มีลูกอยากได้ลูกมานานแล้ว จึงดีใจเข้าไปอุ้มนำเอาไปเลี้ยง
หลวงพ่อท่านบอกว่าขึ้นชื่อว่า บุญก็ช่วยไม่เลือกสถานที่เหมือนกัน เป็นอันว่าคนที่เกิดมานี้ต้องรับผลของกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล กรรมที่เป็นอกุศลของท่านโกตุหลิกะเป็นเหตุให้ ถูกทอดทิ้งหวังจะประหารชีวิต เพราะทิ้งลูกให้ตายในป่า แต่ว่าบุญที่มีความจงรักภักดีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ช่วยพร้อมกันนั่นคือ แพะให้นํ้านมกิน
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕ เมื่อนางกาลีมาบอกท่านเศรษฐี ท่านก็เกิดความเจ็บใจว่าทำอย่างไรๆ มันก็ไม่ตาย จะต้องเอาชนะให้ได้ จึงมอบเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะให้ไปขอซื้อกลับมา ถ้าอกุศลไม่สนองเขาคงไม่ให้ แต่เพราะอกุศลยังสนองจึงจำจะต้องถูกทอดทิ้งต่อไป ท่านเศรษฐีก็วางแผนต่อไปว่าคราวนี้ไม่มีใครช่วยมันได้ ให้เอาไปทิ้งเหวลึกในป่า คนเข้าไปยากมีดงไผ่มาก โยนมันลงไปในนั้นไม่ช้ามันก็ตายไม่มีใครจะไปช่วยเหลือได้
นางกาลีก็นำเด็กไปโยนลงกลางเหว ก็เป็นเหตุอัศจรรย์กลางเหวมีกอไผ่อยู่มาก ไผ่งามมาก คนที่จะจักสานเขาก็ไปเอาไม้ไผ่ในนั้น บนยอดไผ่ก็บังเอิญ
มีเถาวัลย์เกาะอยู่หนาทึบมาก ปรากฏว่าเด็กน้อยคนนี้พอเขาโยนลงไปก็ไปค้างบนเถา วัลย์พอดี
ในตอนสายวันนั้นนายช่างจักสานเกิดขาดไม้ไผ่ที่จะจักสานขึ้นมา จึงได้พาลูกชายเข้าไปในป่าหาทางลัดเลาะเข้าไปในเหวเพราะไม้ไผ่ในนั้นงามดี พอเข้าไปตัดไม้เถาวัลย์ก็ไหว เด็กที่อยู่บนนั้นก็ร้องจ้าขึ้นมา เขาก็ตกใจว่าผีหรือคนกันแน่ ป่าลึกอย่างนี้ไม่น่าจะมีคน สองคนพ่อลูกก็เข้าไปดูก็พบเด็กจึงรับไว้เป็นลูกชายคนรองต่อไป
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖ หลังจากที่ทิ้งเหวแล้ว ท่านเศรษฐีให้นางกาลีนำเงินหนึ่งพันกหาปณะไปไถ่ตัวกลับมา ท่านจึงคิดว่าการทอดทิ้งแบบนี้ไม่มีผลแน่ จะต้องจัดการฆ่าเป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ท่านโฆษกเทพบุตรมาเกิดเป็นเด็กคนนี้ ท่านมีความรู้สึกว่าท่านเศรษฐีเป็นบิดาของท่านจริงๆ แต่ท่านเศรษฐีกลับคิดว่าเด็กคนนี้เป็นหนามยอกอก เกรงว่าจะแย่งตำแหน่งเศรษฐีของลูกชายตามที่ท่านปุโรหิตพยากรณ์ไว้ จึงได้คิดฆ่าตลอดมา การ
คิดฆ่าต้องใช้เวลาตามความเหมาะสมจึงนานจนกระทั่งท่านโฆษกเป็นหนุ่มมีเมียได้แล้ว ท่านเศรษฐีจึงคิดว่าใกล้บ้านท่านมีนายช่างหม้อ เขาทำหม้อขาย ทำตุ่มขาย ในเตาที่สุมหม้อหรือสุมตุ่มให้สุกต้องใช้ไฟแรงมาก จึงนำเงินไปหนึ่งพันกหาปณะก็เท่ากับเงินสักสองสามแสนสมัยนี้ เมื่อนายช่างหม้อรับเงินแล้วก็บอกว่าจะให้ทำอะรก็ทำให้ได้ทุกอย่าง
พอวันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีก็เขียนจดหมายสั่งให้นายช่างหม้อจัดการฆ่าผู้ถือจดหมายมาให้แล้วใส่เข้าเตาเผาให้เรียบร้อย ทำงานเสร็จให้รีบแจ้งให้ทราบจะให้รางวัลยิ่งกว่าที่ให้ไปแล้ว เมื่อเขียนจดหมายเสร็จก็เรียกท่านโฆษกให้ถือจดหมายนี้ไปหานายช่างหม้อ แต่พอท่านโฆษกลงไปจากบ้านก็ปรากฏว่าน้องชายคือลูกแท้ๆ ของท่านเศรษฐีกำลังเล่นคลีอยู่กับเพื่อนและแพ้เพื่อนสิบกระดานกว่า ท่านโฆษกเป็นผู้ฉลาดในการเล่นคลี น้องชายก็คิดว่าท่านเป็นพี่ชายจริงๆ เหมือนกัน เพราะไม่มีใครบอก จึงบอกให้พี่ชายมาช่วยเล่นคลีแก้ตัวให้ก่อน
ท่านก็บอกน้องว่า "ไม่ได้หรอก เวลานี้พ่อใช้ให้ไปธุระที่บ้านนายช่างหม้อ ต้องถือจดหมายฉบับนี้ของพ่อไปให้แล้วพี่จะรีบกลับมา" น้องชายบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พี่เล่นแทนฉันนะแก้ตัวให้ได้เพราะฉันแพ้เขามามากแล้ว ฉันจะนำจดหมายไปเอง งานเสร็จเมื่อไรจะรีบกลับมาหาพี่" เป็นการบังเอิญจริงๆ ลูกชายของท่านเศรษฐีอ่านหนังสือออก แต่ถือว่าเป็นจดหมายธุระของพ่อ จึงไม่คลี่ออกอ่าน พอไปถึงนายช่างหม้ออ่านจดหมาย
เสร็จก็จัดการตามคำสั่ง ร่างกายของลูกชายท่านเศรษฐีก็วอดวายเป็นขี้เถ้าผสมไปกับถ่าน ท่านโฆษกเล่นคลีจนกระทั่งเย็น น้องชายก็ยังไม่กลับมา จึงขึ้นมาบนบ้าน ท่านเศรษฐีเห็นเข้าก็ถามว่า "พ่อสั่งให้ไปหานายช่างหม้อ ลูกยังไม่ไปหรือ" ท่านก็ตอบว่า "น้องเล่นคลีแพ้เขาขอรับ ให้ผมเล่นแก้ตัว น้องเลยไปแทน" พอได้ฟังเท่านั้นท่านเศรษฐีก็ผลุนผลันรีบวิ่งไปบ้านนายช่างหม้อ
พอไปถึงนายช่างหม้อก็รีบมารายงานทันทีว่า "งานที่สั่งเรียบร้อยทุกอย่าง" ท่านเศรษฐีร้องไห้แทบจะเป็นลมตาย แทนที่จะฆ่าท่านโฆษกตายกลับต้องมาเสียลูกไป
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗
ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗ เมื่อลูกชายของตนตายไปแล้ว ท่านเศรษฐีกลับโทษว่าท่านโฆษกเป็นต้นเหตุให้ลูกชายตาย จึงคิดหาอุบายใหม่จะต้องฆ่าลูกเลี้ยงให้ได้ จึงส่งไปยังสำนักคนเก็บส่วย ท่านเศรษฐีมีบ้านส่วย ๑๐๐ หลังคล้ายๆ กับบ้านเช่า พระราชามอบบ้านให้เมื่อตั้งเป็นเศรษฐีแล้ว มีอำนาจในการเก็บส่วยคือเก็บภาษีอากรเป็นประจำปี โดยส่งไปให้นายเสมียนหรือคือเจ้าหน้าที่เก็บส่วยฆ่าเสียให้ตาย จึงได้เขียนจดหมายบอกว่า
"ถ้าผู้ถือจดหมายนี้มาถึงบ้านนี้เมื่อไรให้จัดการฆ่าทันที และก็จัดการเผาแล้วนำไปโยนลงในส้วม ถ้าทำเสร็จเรียบร้อยฉันจะให้รางวัลเธออย่างงามในภายหลัง"
ท่านโฆษกก็บอกท่านเศรษฐีว่า "ตำบลที่จะไปมันไกล จะต้องนำอาหารไปกินตามทางบ้างเพราะต้องค้างคืน" ท่านเศรษฐีก็บอกว่า "ไม่ต้องเอาไปหรอกลูก พ่อมีเพื่อนเป็นเศรษฐี บ้านอยู่ระหว่างกลางทางที่จะผ่านไปอยู่หลังหนึ่ง เจ้าจงแวะไปรับประทานอาหารที่นั่น หลังจากนั้นก็เดินทางไปบ้านส่วยไปหานายเสมียนที่เก็บส่วย" ไปถึงบ้านเศรษฐีก็เข้าไปในบ้าน ภรรยาท่านเศรษฐีเห็นหน้าท่านโฆษกก็มีความรู้สึกรักเหมือนลูก บ้านนี้มีลูกสาวอายุ ๑๕ ยังไม่ถึง ๑๖ กำลังสาวและสวยด้วย เวลานั้นก็เป็นเวลาพอดีที่ลูกสาวของเศรษฐีบ้านนี้อยู่บนชั้น ๗ ได้สั่งให้หญิงคนใช้ไปซื้อของที่ตลาด แต่พอหญิงคนใช้ลงมาจากข้างบนก็พอดีภรรยาของท่านเศรษฐีใช้ให้จัดห้องพักให้แก่ท่านโฆษกซึ่งเดินทางมาเหนื่อยอ่อน พอกินอาหารเสร็จก็นอนหลับ เมื่อหญิงรับใช้ไปตลาดเสร็จก็กลับขึ้นไปข้างบน เจ้านายคอยนานผิดปกติก็ดุ เธอจึงรายงานเรื่องราวให้ทราบ พอได้ยินเท่านั้น ความรักเกิดขึ้นมาทันทีทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า ทนไม่ไหวต้องการจะไปเห็นหน้า
บุพเพสันนิวาส
ลูกสาวท่านเศรษฐีคนนี้เดิมเป็นภรรยาของท่านโฆษกสมัยที่เป็นโกตุหลิกะ เมื่อท่านโกตุหลิกะตายจากความเป็นคนแล้ว ท่านเศรษฐีได้มอบข้าวสารให้เธอหนึ่งทะนาน เธอได้จัดการหุงต้มถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า และอยู่รับใช้ท่านเศรษฐีบ้านนั้น ต่อมาได้มีโอกาสปฏิบัติและไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้างตามสมควร อาศัยบุญนี้เมื่อเธอตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากนั้นลงมาจากสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์ก็มาเกิดเป็นลูกของอนุเศรษฐีบ้านนี้
ฉะนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อาศัยที่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน เยื่อใยแห่งความรักมันก็เกิดขึ้น"
ลูกสาวเศรษฐีจึงลงไปจะดูหน้าชายหนุ่ม ได้ย่องๆ แอบลงไปไม่ให้มารดาเห็น เวลานั้นท่านโฆษกกำลังหลับ เมื่อเห็นเข้าก็เกิดความรักหนักขึ้นเพราะอาศัยบุญเก่าที่เคยเป็นสามีภรรยากัน ต้องพลัดกันเพราะกำลังบุญไม่เสมอกัน ท่านโฆษกทิ้งลูกแต่เธอสงสารลูก ท่านโฆษกคิดถึงสุนัขจึงไปเกิดเป็นลูกสุนัข แต่ตอนเป็นสุนัขมีความรักและเห่าหอนป้องกันอันต รายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไปเกิดเป็นเทวดา แต่ภรรยานึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้า เมื่อเธอเข้าไปมองไปก็เห็นชายผ้าขมวดอยู่จึงแก้ดูเห็นจดหมายก็นำมาอ่าน พออ่านเสร็จก็ตกใจว่าถือจดหมายฆ่าตัวเองมาได้อันตรายมาก จึงจัดการแปลงสาส์นเขียนขึ้นใหม่ ให้นายเสมียนจัดการแต่งงานลูกชายของท่านเศรษฐีกับลูกสาวของอนุเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกันในชนบท และจัดการปลูกเรือนหอให้ดี จัดเวรยามอย่าให้ใครเข้าไปรบกวนหรือให้ใครไปทำอันตรายเป็นอันขาด เป็นอันว่าท่านโฆษกไม่ได้เห็นนาง
เลย
พอวันรุ่งขึ้นรับประทานอาหารเสร็จก็ลาท่านเศรษฐี เดินทางไปหานายเสมียน เมื่อได้อ่านจดหมายแล้วก็ดีใจว่าท่านเศรษฐีไว้วางใจเราถึงขนาดนี้ ก็จัดการปลูกบ้านจัดคนระวังรักษา ใครจะเข้าจะออกต้องได้รับอนุญาตก่อน แล้วก็ไปสู่ขอลูกสาวเศรษฐีจัดการแต่งงานให้ เมื่อแต่งงานแล้วลูกสาวก็มาอยู่บ้านของท่านโฆษก นางได้สั่งนายเสมียนว่า ถ้าผู้ใดจะมาหาสามีจงอย่าให้เข้าไปพบ ให้มาพบเธอก่อน เป็นการป้องกันสามีเพราะท่านบิดาของสามีใจร้าย ถ้าทราบว่าท่านโฆษกยังไม่ตาย ก็จะต้องหาทางฆ่าให้ได้อีก
หลังจากนั้นมาหลายวัน ท่านเศรษฐีไม่ได้ข่าวจากนายเสมียน จึงส่งคนไปสืบก็ได้ความว่าเวลานี้ท่านโฆษกแทนที่จะตายกลับกลายเป็นได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นภรรยา ก็เจ็บใจเกิดวามทุกข์หนัก จิตใจเศร้าโศกคิดถึงลูกชายที่ตายไปแล้วด้วย ตัวท่านก็แก่แล้วมีอารมณ์ครุ่นคิดแต่ประหัตประหาร ความสุขกายสุขใจจึงไม่มีก็เลยล้มป่วย ขณะล้มป่วยใหม่ๆ สั่งคนให้ไปตามท่านโฆษกมาหา ด้วยมีเจตนาให้ทนายประจำตระกูลบอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดไม่ยอมยกให้ท่านโฆษก แต่พอคนที่ท่านเศรษฐีส่งไปถึงบ้านท่านโฆษก นายเสมียนก็นำไปหาภรรยาท่านโฆษกก่อนและได้ถามว่า "เวลานี้ท่านบิดาป่วยมากหรือน้อย" เขาตอบว่า "ยังไม่มากขอรับ เพิ่งป่วยใหม่ๆ แต่ว่าบ่นถึงท่านโฆษกอยากให้ไปหา" ภรรยาท่านโฆษกก็ทราบว่าการไปหาเวลานี้ไม่เหมาะ จึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้จัดบ้านพักและให้เลี้ยงอาหารการบริโภคให้อยู่อย่างเป็นสุข และบอกว่า "ถ้าจะกลับต้องรับคำสั่งจากฉันก่อน เธอกับฉันจะไปพร้อมกัน"
ท่านเศรษฐีอาการไข้หนักลงไปทุกที ถามทนายประจำบ้านว่า "ท่านโฆษกมาหรือยัง" พอ บอกว่ายังก็สั่งให้คนไปตามอีกพวกหนึ่ง ภรรยาท่านโฆษกก็ถามคนที่มาตามว่า "ท่านบิดาอาการเป็นอย่างไร" เขาก็บอกว่า "อาการป่วยมากขึ้น แต่สติสัมปชัญญะยังสมบูรณ์" นางก็จัดการให้พักอย่างดีตามเดิมเป็นการถ่วงเวลาไว้
ในที่สุดอาการของท่านเศรษฐีหนักลงไปมาก กินเข้าไปเท่าไรถ่ายออกมาหมดเท่านั้นที่เรียกว่าทวารเปิดใกล้จะตายเต็มที ก็สั่งให้คนไปตามอีกเป็นชุดที่สาม ภรรยาท่านโฆษกก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง คนที่มาตามก็บอกตามความเป็นจริงว่า "เวลานี้ท่านเศรษฐีแย่แล้วครับ พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว
เสียงก็แห้ง อาการร่อแร่เต็มที" สองรายที่มาตามภรรยาไม่ได้บอกท่านโฆษกให้ทราบ แต่ครั้งที่สามจึงได้รายงานให้ทราบว่า "บิดาของท่านกำลังป่วยหนัก เราเป็นลูกต้องไปหาและไปพยาบาลท่าน" และได้มีการนัดหมายกันว่าเวลาไปถึงที่นั่นแล้ว ขอให้สามียืนอยู่ด้านปลายเท้าบิดา เธอจะยืนอยู่ด้าน
ศีรษะ แล้วทำการปฐมพยาบาลตามโอกาสที่จะพึงมี และการไปคราวนี้ก็ควรนำของจากบ้านส่วย ๑๐๐ หลังนี้ไปฝากคุณพ่อด้วย ใช้เกวียนหลายเล่มบรรทุกไป เจตนาของนางก็เพื่อจะถ่วงเวลาไว้ แต่ท่านโฆษกคิดว่าภรรยาปรารถนาดี รู้ไม่เท่าทัน ท่านโฆษกถึงแม้จะมีวาสนาบารมีเคยเป็นสามีมาก่อนแต่ปัญญาก็สู้เธอไม่ได้ เพราะชาติสุดท้ายเธอมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ถวายทานกับท่านและอธิษฐานว่า "ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันได้เห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ให้พรว่า "เอวัง โหตุ" แปลเป็นใจความว่า "เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา"
พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเป็นอรหันต์บรรลุเอง ความฉลาดย่อมมีมาก ในเมื่อเขาอธิษฐานต้องการความฉลาดอย่างท่านก็ต้องฉลาดเหมือนท่านฉะนั้น ภรรยาของท่านโฆษกนี้จึงมีความฉลาดลํ้าลึก รู้เท่าทันเหตุการณ์ทุกอย่าง จึงทราบว่าไปคราวนี้ท่านพ่อเลี้ยงก็จะประกาศไม่ยกทรัพย์สมบัติให้ ตามธรรมดาถ้าไม่ประกาศแจ้งให้ทนายทราบก่อน บุคคลผู้เป็นบุตรก็จะต้องได้สมบัติและเป็นทายาทคนเดียว การที่นางจัดของมาหลายเล่มเกวียน
ทำให้การเดินทางก็ช้า เมื่อเดินทางไปได้ ๒-๓ วัน นางก็หานโยบายถ่วงให้ช้าไปกว่านั้นอีก จึงรายงานท่านโฆษกว่าบิดาป่วยหนัก ถ้านำของไปมากๆ
อย่างนี้นานกว่าจะถึง ทางที่ดีควรให้เกวียนเบา จึงได้สั่งให้เกวียนย้อนกลับมาบ้านเพื่อขนของลง กว่าจะเดินทางไปใหม่ก็กินเวลาหลายวัน เมื่อไปถึงบ้านบิดาปรากฏว่า ท่านเศรษฐีป่วยหนักขนาดพูดไม่รู้เรื่อง นางก็เข้าไปด้านศีรษะ ท่านโฆษกก็ไปยืนด้านปลายเท้า ท่านเศรษฐีตาพร่าเต็มทีมองไม่
เห็นว่าใครอยู่ที่นั้นบ้าง จึงถามทนายว่าท่านโฆษกมาหรือยังทั้งๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทนายบอกว่าเวลานี้บุตรชายของท่านยืนอยู่ปลายเท้าแล้ว ท่านก็อยากจะ
พูดว่าสมบัติทั้งหมดนี้ไม่ยกให้ท่านโฆษก แต่ประสาทมันใช้ไม่ได้จึงกล่าวว่า "สมบัตินี้เราให้"
พอพูดเพียงเท่านี้ภรรยาของท่านโฆษกผู้มีปัญญาดีก็ทุ่มศีรษะลงมาที่อก แสดงอาการร้องไห้สะอึกสะอื้นตัดเสียงของท่านเศรษฐี โดยนางคิดว่าถ้า
ขืนปล่อยให้พูดต่อไป ต้องกลับคำว่าไม่ให้ แต่ท่านพูดเผลอไปเพราะลิ้นมันแข็ง นางร้องห่มร้องไห้เกลือกกลิ้ง พยายามเอาหัวกระแทกอกท่านเศรษฐี
ตายไปเลย
ท่านโฆษกได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐี
เมื่อท่านเศรษฐีตายไปแล้ว ทำการเผาเสร็จ ท่านโฆษกก็ไปรายงานให้พระราชาทราบคือ พระเจ้าอุเทน ตอนที่จะเข้าไป พระเจ้าอุเทนยืนอยู่ที่หน้าต่างเห็นท่านโฆษกเดินเข้าไปถึงลำรางเล็กๆ ก็กระโดดข้าม ที่มีหลุมมีบ่อมีนํ้าก็กระโดดข้าม พอเข้าไปถึงก็กราบทูลพระราชาตามความจริง พระองค์ก็บอกว่า "เมื่อพ่อของเธอตายแล้ว ทายาทคนอื่นก็ไม่มี เราจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่เจ้าแทนพ่อ" แล้วท่านก็สั่งให้กลับได้ เมื่อท่านโฆษกกราบลามา
แล้ว เวลาเดินมาถึงบ่อนํ้าหรือลำรางแทนที่จะกระโดดข้ามกลับลุยนํ้าไปโดยสุภาพ เรียกว่าเดินแบบสุภาพ เมื่อพระเจ้าอุเทนเห็นดังนั้นแล้ว ก็สงสัยทำไมจริยาเปลี่ยนไป ก็ทรงสั่งให้ท่านโฆษกกลับเข้าไปเฝ้าใหม่แล้วถามว่า "เมื่อขณะที่มาถึงลำรางมีนํ้า เจ้ากระโดดข้าม ขากลับทำไมเดินแบบสุภาพลุยนํ้าไป" ท่านโฆษกก็กราบทูลว่า "เมื่อขณะมา ข้าพระพุทธเจ้ายังเป็นเด็กจึงทำอาการอย่างนั้น เมื่อรับคำสั่งจากพระองค์ว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ จึงเดินอย่างผู้ใหญ่มีอาการสุภาพตามสมควร"
พระเจ้าอุเทนฟังแล้วก็ปลื้มใจในความดีของท่านโฆษก จึงแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้ในวันนั้น ให้ฉัตร ๓ ชั้น ให้ข้าทาสหญิงชาย ช้าง ม้า วัว ควาย และบ้านส่วย รวมความว่าได้เป็นเศรษฐีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภรรยากำลังคุยกับนางกาลีอยู่ ท่านโฆษกจึงถามว่า "คุยอะไรกัน" เธอก็ไม่บอก ท่านโฆษกก็ชักดาบแล้วบอกว่า "ถ้าไม่บอกฉันจะฆ่า" ภรรยาก็เลยบอกว่า "ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ท่านได้เพราะอาศัยฉันช่วย" แล้วก็เล่าความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง ท่านโฆษกฟังแล้วก็ไม่เชื่อ นางกาลีเลยเล่าความเป็นมาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนอวสาน ท่านโฆษกได้ฟังแล้วก็มีความสลดใจว่า เรามีกรรมหนักมากตั้งแต่เล็กจนโต เขาคิดจะฆ่าเราก็ไม่ทราบ เราคิดว่าท่านผู้นี้เป็นบิดา แต่จริงๆ คนนี้ก็คือศัตรูเป็นเพชฌฆาตนั่นเอง
แล้วท่านก็คิดต่อไปว่าเมื่อกรรมหนักเป็นเช่นนี้ ถ้าเรามีความประมาทอยู่ ไม่ทำความดี ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้วกรรมหนักจะซํ้าเติมเราหนักขึ้น อาจจะมีความลำบากยิ่งไปกว่านี้ ถ้ากรรมดีไม่มีสนองเราอาจจะถูกฆ่าตายในระหว่างนี้ก็ได้ ท่านจึงตัดสินใจสละทรัพย์วันละพันกหาปณะหรือวันละพันตำลึงให้ นายมิตตกุฎุมพี เป็นผู้จัดการตั้งโรงทานเลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จากเรื่องนี้จะเห็นว่าการเกิดเป็นคนนี้ บางคนคิดว่าการเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ถ้าคิดดูจริงๆ แล้วความจริงคนจะมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมีความวุ่นวายไม่เท่าคน อย่างท่านโฆษกเป็นคนดีแสนดีเกิดมาชาตินี้ไม่เคยทำอันตรายกับใคร แต่ถูกจองล้างจองผลาญอยู่ตลอดเวลา พวกเราก็เช่นเดียวกัน คิดกันดูให้ดีเราไม่เคยมีความสุขจริง ร่างกายนี้เป็นพิษเป็นภัยกับเราจริงๆ ที่เรามีทุกข์จริงๆ ก็เพราะอาศัยร่างกายอย่างเดียว ทุกข์เพราะความหิว ทุกข์เพราะความกระหาย ทุกข์จากการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากความตายเข้ามาถึงในที่สุด รวมความว่าทุกข์นับไม่ถ้วน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสกับคณะลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรีว่า "เธอจงทำใจให้เข้าถึง อากิญจัญญายตนฌาน ไว้เป็นปกติ คือมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น วัตถุธาตุต่างๆ ในที่สุดก็สลายตัวเหมือนกัน
ถ้าเราหวังจะยึดโลกนี้เป็นที่พึ่งเราก็ยึดผิด เพราะเราอยู่ได้ไม่นานร่างกายก็สลายตัวคือตาย ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้เธอจะมีความสุขและจะพาเธอเข้าถึงพระนิพพาน"
เป็นอันว่ากรรมที่ท่านโกตุหลิกะทิ้งลูกให้ตายในป่า ก็ต้องมาถูกทอดทิ้งให้เขาจะฆ่าให้ตายถึง ๗ ครั้ง แต่บังเอิญไม่ตายก็เพราะอาศัยที่ตนเคยมีความเคารพรักและเคยช่วยเหลือพระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยที่เกิดเป็นสุนัข เป็นผลให้ท่านได้เป็นมหาเศรษฐี คนเกิดมาในชาตินี้จะได้รับผลกรรมทั้ง ๒ อย่างคือ
เวลาใดกรรมที่เป็นกุศลให้ผล เวลานั้นก็มีความสุขเวลาใดกรรมที่เป็นอกุศลในชาติก่อนให้ผล เวลานั้นก็มีความทุกข์
ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทำใจให้สบายว่า ชาตินี้กุศลหรืออกุศลจะให้ผลก็ตามที เราเกิดมาพบศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ท่านสอนให้เรารู้จักให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เราก็ทำทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธประสงค์ อย่างนี้ถ้าตายแล้วอย่างต่ำก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ หรืออาจจะเป็นสวรรค์ชั้นไหนก็ได้ไม่จำกัด อย่างกลางก็ไปพรหมได้ อย่างดีที่สุดก็ไปพระนิพพานได้.."
https://www.youtube.com/watch?v=ZLXoJXubv9o
ประวัติพระนางกีสาโคตมีเถรี
เอตทัคคะเลิศทางผู้ทรงจีวรเศร้าหมองคัดลอกจากสารานุกรม พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
กีสาโคตมีเถรีบังเกิดในสกุลคนเข็ญใจ กรุงสาวัตถี ชื่อเดิมของนางว่า โคตมี แต่เพราะตัวผอม เขาจึงเรียกว่า กิสาโคตมีเวลาเจริญวัยแล้วก็ไปสู่การครองเรือน แต่ก่อนที่นางจะมีคู่ครองเรือน มีเหตุแห่งนิมิตที่บอกว่า นางกีสาโคตมี บุญบารมีให้ปรากฏแก่ตระกูลของ
สามีซึ่งเป็นเศรษฐี ดังความย่อว่าได้ยินว่า ทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ในเรือนของเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ได้กลายเป็นถ่านหมด เศรษฐีเห็นเหตุนั้นเกิดความเศร้าโศก จึงไม่ยอมทาน
อาหาร นอนอยู่บนเตียงน้อยสหายผู้หนึ่งของเศรษฐีนั้นถามว่า “เหตุไร จึงเศร้าโศกเล่า? เพื่อน”
ครั้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว สหายผู้นั้นจึงกล่าวว่า “อย่าเศร้าโศกเลย เพื่อน ฉันทราบอุบายอย่างหนึ่ง จงทำอุบายนั้นเถิด.”
เศรษฐี: ทำอย่างไรเล่า? เพื่อน
สหาย: เพื่อน ท่านจงปูเสื่อลำแพนที่ตลาดของตน ทำถ่านให้เป็นกองไว้ จงนั่งเหมือนจะขาย ถ้ามีผู้มาพูดกับท่านอย่างนี้ว่า‘คนอื่นเขา ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยกัน ส่วนท่านกลับนั่งขายถ่าน’
ท่านก็จงพูดกับคนเหล่านั้น ว่า ‘ถ้าเราไม่ขายของ ๆ ตน แล้วเราจักทำอะไร?’
แต่ถ้ามีผู้ใดพูดกับท่านอย่างนี้ว่า ‘คนอื่น ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ส่วนท่านนั่งขายเงินและทอง”
ท่านก็จงพูดกับผู้นั้นว่า ‘เงินและทองที่ไหนกัน ก็เมื่อเธอพูดว่า ‘นี้ไงเล่า’ ท่านก็จงพูดว่า ‘จงนำเงินทองนั้นมาก่อน เมื่อเขานำมาให้แล้วก็จงรับด้วยมือทั้งสอง ของที่เขาให้ในมือของท่านนั้น จักกลายเป็นเงินและทอง และถ้าผู้นั้นเป็นหญิงรุ่นสาว ท่านจงให้นางแต่งงานกับบุตรของท่านแล้วมอบ ทรัพย์ ๔๐ โกฏิให้แก่นาง พึงใช้สอยเงินทองที่นางให้ ถ้าเป็นเด็กชาย ท่านพึงให้ธิดาผู้เจริญวัยแล้วในเรือนของท่านแก่เขา แล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิ
ให้แก่เขา ใช้สอยทรัพย์ที่เขาให้เศรษฐีนั้นกล่าวว่า “อุบายดี” จึงนำถ่านให้กองไว้ในร้านตลาดของตน นั่งทำเหมือนกะขาย คนเหล่าใดพูดกะเศรษฐีอย่างนั้นอย่างนี้ว่า
“คนอื่นเขา ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยกัน ส่วนท่านกลับนั่งขายถ่าน” ท่านเศรษฐีก็ให้คำตอบแก่คนเหล่านั้นว่า “ถ้าเราไม่ขายของ ๆ ตน แล้วเราจักทำอะไร?”
ถ่านกลายเป็นทรัพย์อย่างเดิม
ครั้งนั้น หญิงรุ่นสาวคนหนึ่งชื่อโคตมี ปรากฏชื่อว่า “กิสาโคตมี” เพราะนางมีสรีระแบบบาง เป็นธิดาของตระกูลเก่าแก่ ไปยังประตูตลาดด้วยกิจอย่างหนึ่งของตน เห็นเศรษฐีนั้น จึงกล่าวอย่างนี้ว่า “พ่อ คนอื่น ขายผ้า น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น ส่วนท่านนั่งขายเงินและทอง?”
เศรษฐีถามว่า เงินทองที่ไหนเล่า แม่ นางโคตมี ท่านนั่งจับเงินทองนั้นเอง มิใช่หรือ?
นางกอบเงินทองเหล่านั้นจนเต็มมือแล้ววางไว้ในมือของเศรษฐีนั้น ถ่านนั้นได้กลายเป็นเงินและทองทั้งนั้น
ลำดับนั้น เศรษฐีถามนางว่า “แม่ เรือนเจ้าอยู่ไหน.” เมื่อนางบอกสถานที่อยู่ของนางและเศรษฐีซักถามจนรู้ความที่นางยังไม่มีสามีแล้ว จึงเก็บทรัพย์แล้วนำนางแต่งงานกับบุตรของตน ให้นางรับทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้ ทรัพย์ทั้งหมดได้กลายเป็นเงินและเป็นทองดังเดิมพวกชนในสกุลนั้นดูหมิ่นนางว่า เป็นธิดาของสกุลคนเข็ญใจ
สมัยต่อมานางตั้งครรภ์ โดยกาลล่วงไป ๑๐ เดือน นางก็ได้คลอดบุตรคนหนึ่ง ในครั้งนั้นชนทั้งหลายก็ได้ทำความยกย่องนาง ครั้นเมื่อบุตรของนางตั้งอยู่ในวัยพอจะวิ่งไปวิ่งมาเล่นได้ก็มาตายเสีย ความเศร้าโศกก็ได้เกิดขึ้นแก่นาง นางห้ามพวกชนที่จะนำบุตรนั้นไปเผา เพราะนางไม่เคยเห็นความตาย จึงอุ้มบุตรใส่สะเอวเที่ยวเดินไปตามบ้านเรือนในพระนครแล้วพูดว่า ขอพวกท่านจงให้ยาแก่บุตรของเราด้วยเถิด ดังนี้
ครั้นเมื่อนางเที่ยวถามไปว่า “ท่านทั้งหลายรู้จักยาเพื่อรักษาบุตรของฉันบ้างไหมหนอ?”
เมื่อนั้นคนทั้งหลายก็พูดกับนางว่า “แม่นาง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าเที่ยวถามถึงยาเพื่อรักษาบุตรที่ตายแล้ว.”
พวกคนทั้งหลายต่างก็กระทำการเย้ยหยันว่า ยาสำหรับคนตายแล้ว ท่านเคยเห็นที่ไหนบ้าง แต่นางมิได้เข้าใจความหมายแห่งคำพูดของพวกเขาเลยทีนั้น บุรุษผู้เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เห็นนางแล้วคิดว่า “หญิงนี้คงจะคลอดบุตรคนแรก ยังไม่เคยเห็นความตาย เราควรเป็นที่พึ่งของหญิงนี้”
จึงกล่าวว่า “แม่นาง ฉันไม่รู้จักยา แต่ฉันรู้จักคนผู้รู้ยา.”
นางโคตมี: ใครรู้? พ่อ
บัณฑิต: แม่ พระศาสดาทรงทราบ จงไปทูลถามพระองค์เถิด
นางกล่าวว่า “พ่อท่าน ฉันจักไป จักทูลถาม พระองค์”
ดังนั้น แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สุดข้างหนึ่ง ทูลถามว่า
“ทราบว่า พระองค์ทรงทราบยาเพื่อบุตรของหม่อมฉันหรือ? พระเจ้าข้า.”
พระศาสดา: เออ เรารู้
นางโคตมี: ได้อะไร? จึงควร
พระศาสดา: ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดสักหยิบมือหนึ่ง ควร
นางโคตมี: จักได้ พระเจ้าข้า แต่ได้ในเรือนใคร? จึงควร
พระศาสดา: บุตรหรือธิดาไร ๆ ในเรือนของผู้ใด ไม่เคยตาย.ได้ในเรือนของผู้นั้น จึงควร
นางทูลรับว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” แล้วถวายบังคมพระศาสดา อุ้มบุตรผู้ตายแล้วเข้าสะเอวแล้วเข้าไปภายในบ้าน ยืนที่ประตูเรือนหลังแรกกล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์ผักกาดในเรือนนี้ มีบ้างไหม? ทราบว่านั่นเป็นยาเพื่อบุตรของฉัน.”
เมื่อเขาตอบว่า มี จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจงให้เถิด”
เมื่อคนเหล่านั้นนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาให้ จึงถามว่า “ในเรือนนี้ เคยมีบุตรหรือธิดาตายบ้างหรือไม่เล่า? แม่”
เมื่อเขาตอบว่า “พูดอะไรอย่างนั้น? แม่ คนเป็นมีไม่มาก คนตายนั้นแหละมาก” นางจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น จงรับเมล็ดพันธุ์ผักกาดของท่านคืนไปเถิด นั่นไม่เป็นยาเพื่อบุตรของฉัน” แล้วได้ให้เมล็ดพันธุ์ผักกาดคืนไป แล้วก็เที่ยวถามโดยทำนองนี้ ตั้งแต่เรือนหลังต้นไปเรื่อยจนถึงเย็น
นางหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากเรือนที่ไม่เคยมีบุตรธิดาที่ตายลงไม่ได้แม้แต่หลังหนึ่ง จึงได้คิดว่า “โอ กรรมหนัก เราได้ทำความสำคัญว่า ‘บุตรของเราเท่านั้นที่ตาย ก็ในบ้านทั้งสิ้น คนที่ตายเท่านั้นมากกว่าคนเป็น.” ดังนี้ จึงได้ความสังเวชใจ แล้วจึงออกไปภายนอกนครนั้นทีเดียว ไปยังป่าช้าผีดิบเอามือจับบุตรแล้วพูดว่า แน่ะลูกน้อย แม่คิดว่าความตายนี้เกิดขึ้นแก่เจ้าเท่านั้น แต่ว่าความตายนี้ ไม่มีแก่เจ้าคนเดียว นี่เป็นธรรมดามีแก่มหาชนทั่วไป ดังนี้แล้ว จึงทิ้งลูก ในป่าช้าผีดิบแล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-
ธรรมนี้นี่แหละคือความไม่เที่ยง มิใช่ธรรมของ
ชาวบ้าน มิใช่ธรรมของนิคม ทั้งมิใช่ธรรมสกุล
เดียวด้วย แต่เป็นธรรมของโลกทั้งหมด พร้อมทั้งเทวโลก
เมื่อนางคิดอยู่อย่างนี้ หัวใจที่อ่อนด้วยความรักบุตร ได้ถึงความแข็งแล้ว นางทิ้งบุตรไว้ในป่า ไปยังสำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน ณ ที่สุดข้างหนึ่ง
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า “เธอได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดประมาณหยิบมือหนึ่งแล้วหรือ?”
นางโคตมี ไม่ได้ พระเจ้าข้า เพราะในบ้านทั้งสิ้น คนตายนั้นแหละมากกว่าคนเป็น
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า “เธอเข้าใจว่า ‘บุตรของเราเท่านั้นตาย’ ความตายนั่นเป็นธรรมยั่งยืนสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยว่า ปัจจุราชฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมนั่นและลงในสมุทรคืออบาย ดุจห้วงน้ำใหญ่ฉะนั้น”
เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
“มฤตยู ย่อมพาชนผู้มัวเมาในบุตรและสัตว์ ของเลี้ยง ผู้มีใจซ่นไปในอารมณ์ต่าง ๆ ไป ดุจห้วงน้ำใหญ่ พัดชาวบ้านผู้หลับไหลไปฉะนั้น ในกาลจบคาถา นางกีสาโคตมีดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แม้ชนเหล่าอื่นเป็นมาก บรรลุอริยทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นดังนี้แล
นางบวชในพุทธศาสนา
ฝ่ายนางกีสาโคตมีนั้นทูลของบรรพชากะพระศาสดาแล้ว นางทำประทักษิณพระศาสดา ๓ ครั้ง ถวายบังคมแล้วไปยังสำนักภิกษุณี นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า “กิสาโคตมีเถรี.”
วันหนึ่ง นางถึงวาระในโรงอุโบสถ นั่งตามประทีปเห็นเปลวประทีปลุกโพลงขึ้นและหรี่ลง ได้ถือเป็นอารมณ์ว่า
“สัตว์เหล่านี้ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไปดังเปลวประทีป ผู้ถึงพระนิพพาน ไม่ปรากฏอย่างนั้น.”
พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฏีนั่นแล ทรงแผ่พระรัศมีไป ดังนั่งตรัสตรงหน้านาง ตรัสว่า “อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์เหล่านั้น ย่อมเกิดและดับเหมือนเปลวประทีป ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่แม้เพียงขณะเดียว ของผู้เห็นพระนิพพานประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานอย่างนั้น”
ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
ก็ผู้ใดไม่เห็นอมตบท พึงมีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี
ชีวิตของผู้เห็นอมตบทเพียงวันเดียว ยังประเสริฐกว่า
ดังนี้
จบพระคาถา นางก็บรรลุอรหัต เป็นผู้เคร่งครัดยิ่งในการใช้สอยบริขาร ห่มจีวรประกอบด้วยความปอน ๓ อย่างเที่ยวไป
ต่อมาพระศาสดาประทับนั่งในพระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาเหล่าภิกษุณีไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่า พวกภิกษุณีสาวิกา ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง แลนางโคตมีเห็นท้าวสักกะยินว่า ในกาลนั้นท้าวสักกะเข้าไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมกับเทวบริษัท ในที่สุดแห่งปฐมยาม ถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ทรงสดับธรรมกถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
ในขณะนั้น นางกิสาโคตมีคิดว่า "เราจักเฝ้าพระศาสดา" เหาะมาทางอากาศแล้ว เห็นท้าวสักกะ จึงกลับไปเสีย (การเที่ยวไปกลางคืนเสมอ ๆ ภิกษุณีมิได้ประพฤติ) ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นนางผู้ถวายบังคมแล้ว กลับไปอยู่ ทูลถามพระศาสดาว่า
"พระเจ้าข้า ภิกษุณีนั่นชื่อไร? พอมาเห็นพระองค์แล้วก็กลับ." นางกิสาโคตมีเลิศทางทรงผ้าบังสุกุล
พระศาสดาตรัสว่า "มหาบพิตร ภิกษุณีนั่น ชื่อกิสาโคตมี เป็นธิดาของตถาคต เป็นยอดแห่งพระเถรีผู้ทรงผ้าบังสุกุลทั้งหลาย" ดังนี้ ตรัสพระคาถา
นี้ว่า:-
ปํสุกูลธรํ ชนฺตุ ? กิสนฺธมนิสนฺถตํ เอกํ วนสฺมึ ฌายนตํ ตมหํ พฺรูมิ พราหฺมณํ
"เราเรียกชนผู้ทรงผ้าบังสุกุล ผู้ผอม สะพรั่งด้วยเอ็น ผู้เพ่งอยู่ผู้เดียวในป่านั้นว่า เป็นพราหมณ์.”
บุพกรรมในอดีตชาติ
ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไปปรารถนาตำแหน่งนั้น นางเวียนว่ายไปในเทวดาและมนุษย์ตลอดแสนกัป ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ก็ถือปฏิสนธิในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิงกิ เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่ง
ระหว่างพระพี่น้องนาง ๗ พระองค์ คือ นางสมณี นางสมณคุตตา นางภิกขุนี(ภิกขุณี) นางภิกขุทาสิกา นางธัมมา(ธรรมา) นางสุธัมมา(สุธรรมา) และนางสังฆทาสี ครบ ๗
พระราชธิดาเหล่านั้น ในบัดนี้ [ครั้งพุทธกาลชาติปัจจุบัน] คือพระเขมาเถรี พระอุบลวรรณาเถรี พระปฏาจาราเถรี พระนางกุณฑลเกสีเถรี (พระภัททากุณฑลเกสาเถรี) พระกิสาโคตมีเถรี พระธรรมทินนาเถรี และนางวิสาขา ครบ ๗ ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลังครั้งนี้ ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีที่ตกยาก จนทรัพย์ เป็นวงศ์ต่ำ ไปสู่สกุลที่มีทรัพย์
ดังความกล่าวมาแล้วข้างต้น
เรื่องของอานันทเศรษฐี
https://www.youtube.com/watch?v=izZRyYIKsIQ
https://www.youtube.com/watch?v=9jUiSP6f7gA
เรื่องของปุณณะเศรษฐี
https://www.youtube.com/watch?v=tdZmYrZNsO8
https://www.youtube.com/watch?v=m6w3JSlI3wA
เรื่องของโชติกะเศรษฐี
https://www.youtube.com/watch?v=TR36TYrfjkY
เรื่องการตายจากคนแล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี
เรื่องที่ ๑๒๓ นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี
"..คำว่า "สัมภเวสี" ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ผีตายโหง"
สำหรับผีตายโหงนี้จะถือว่าเป็นสัมภเวสีเสมอไปก็ไม่ได้ เพราะบางรายเมื่อถึงเวลาจะต้องตายแบบนั้นตามกฎของกรรม เมื่อตายแล้วก็ไปรับสุขและ
รับทุกข์ตามอำนาจกฎของกรรมอย่างนี้ไม่เรียกว่า "สัมภเวสี" ตายจากคนไปเกิดเลย เช่นเกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์
เดรัจฉาน เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม หรือไปพระนิพพาน อาการตายแล้วไปพระนิพพานที่ตายแบบตายโหงก็มีมากราย
อย่างในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ คนฟังเทศน์จบได้สำเร็จอรหัตผล
ตามธรรมดาพระองค์ตรัสว่า "เอหิ ภิกขุ" แปลว่า "เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" ผ้าไตรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จะลอยมาในอากาศสวมตัวท่านผู้นั้นพอดี ทั้งนี้ก็
เพราะว่าเขาต้องเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อนๆ มาแล้ว สมัยนั้นพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นใหม่ๆ นักบวชก็ยังไม่ค่อยมากนัก
ดังนั้นร้านขายผ้าไตรจีวรสำหรับพระจึงไม่มีเหมือนสมัยนี้ พระต้องลำบากในการหาผ้าใช้ ต้องไปเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้วมาปะๆ ประกอบกันเข้าจากผืน
เล็กมาเป็นผืนใหญ่ แล้วนำมานุ่งห่ม แต่ถ้าฟังเทศน์จบแล้วเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วว่าผู้นั้นไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ใน
พระพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเป็น "สัพพัญญู" แปลว่า "รู้ทั้งหมด" ก็จะตรัสว่า "เมื่อเจ้าปรารถนาจะบวช จงไปหาผ้าไตรจีวรมา ถ้าได้ผ้าไตรจีวร
มาแล้วเราจะบวชให้"
ปรากฏว่าในขณะที่ไปหาผ้าไตรจีวรขณะที่ร่างกายเป็นฆราวาสแต่ใจเป็นพระอรหันต์ ร่างกายที่มีความเลวอยู่มากไม่สามารถจะทรงความเป็น
พระอรหันต์ไว้ได้ก็เลยต้องตาย
ทีนี้ถ้าจะป่วยตายก็ป่วยไม่ทันและก็ตายไม่ทัน ในที่สุดจึงต้องตายเพราะอุบัติเหตุ เช่นวัวขวิดตายบ้าง มีการกระทบกระทั่งอะไรตายบ้าง เป็นต้น
เรียกว่าการทรงความเป็นพระอรหันต์สำหรับฆราวาสไม่มี คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วถ้ายังไม่ได้บวช อย่างช้าวันรุ่นขึ้นก็ตาย ไม่ใช่ ๗ วัน
สำหรับผู้ที่ตายไปแล้วเรียกกันว่าเป็น "สัมภเวสี" จะตายด้วยกรณีใดๆ ก็ตามแต่ยังไม่ครบอายุขัยที่จะตาย (อายุขัยของคนปัจจุบันอายุ ๗๕ ปี)
เมื่อตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไรยังไม่ได้ หมายถึงจะไปลงนรกก็เข้านรกยังไม่ได้ จะไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์
เป็นเทวดา เป็นพรหม ก็ยังเป็นไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจะไป ก็เลยต้องท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เดินไปเดินมาหิวโซ
พวกนี้ที่พวกหมอผีชอบเรียกเอาไปเลี้ยง เพราะว่าลำบากมีความหิว เมื่อมีใครมาชวนและนำไปเลี้ยงก็ต้องไป โดยคิดว่าทำงานให้เขาเพียงแค่กินอิ่ม
ก็พอ จะเห็นว่าสภาพความรู้สึกของผีก็เหมือนคน เพราะผีก็คือจิตของคนที่เคลื่อนออกจากร่างกายเนื้อ สภาพความรู้สึกจึงเหมือนกันไม่แตกต่างจาก
ของเดิม
นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี
ดังตัวอย่างสัมภเวสีที่ไปพบมาเอง สัมภเวสีรายนี้สมัยเป็นมนุษย์มีนามว่า "นายเสนอ" นามสกุลจำไม่ได้แล้ว เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี ตามปกติ
นายเสนอเป็นคนดีมาก เรียกว่าคนทั้งตำบลหรือหลายๆ ตำบลใกล้เคียงชอบใจ รักใคร่ เพราะนายเสนอเป็นคนดี ไม่เกเรไม่ใช่เป็นคนอันธพาล
ดีในด้านสงเคราะห์ช่วยเหลือ จัดว่าเป็น สังคหวัตถุ นิยมในการสงเคราะห์ ใครจะมีงานมีการที่ไหนนายเสนอก็ไปที่นั่น เจ้าของงานก็ดีใจเพราะช่วย
ทำงานทุกอย่างถ้าไม่เกินความสามารถ พูดจาก็ดีเป็นที่รักของคนทั่วไป
วันหนึ่งที่วัดสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีงานประจำปี ในงานนั้นพวกนักเลงการพนันไปเล่นการพนันในวัด ก็มีเรื่องกัน นายเสนอ
ก็วิ่งเข้าไปแล้วก็ยกมือไหว้คนนั้นทีไหว้คนนี้ที เรียกเขาว่าพี่ป้าน้าอาบอกว่า "ขอโทษเถอะเป็นงานวัด อย่าให้มีเรื่องเอะอะโวยวายเลย ท่านจะเล่นก็เล่น
กันไป ถ้าหากไม่พอใจจะเล่น จะเลิกก็ตามใจไม่ได้ว่าอะไร" ก็พูดดีๆ ปรากฏว่าคนคุมบ่อนเป็นตำรวจ เขาโกรธที่ไปตักเตือนคนในบ่อนของเขา จึงเอา
พานท้ายปืนยาวตีหน้าเข้าให้ นายเสนอล้มนอนหงายผลึ่งเกือบจะชัก พอลุกขึ้นมาได้ก็มีโทสะเลยชักมีดแทงตำรวจเข้าให้ ตำรวจก็ยิงปืนเข้าใส่ เลยต่าง
คนต่างตาย ปรากฏว่าศพของนายเสนอถูกประคับประคองอย่างดี ชาวบ้านทั้งตำบลและตำบลใกล้เคียงต่างจัดงานศพหรูหรา แต่ศพตำรวจไม่มีใคร
สนใจ เพราะชาวบ้านไม่มีใครแยแสปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นจนเน่า ปล่อยให้เหี้ยบ้าง ตะกวดบ้าง สุนัขบ้าง ทึ้งกันตามอัธยาศัย เครื่องแบบก็ไม่มีใครถอด
ให้ นานหลายวันกว่าทางการจะมาเอาไป
ผีนายเสนอออกอาละวาด
เมื่อนายเสนอตายแล้ว ก็มาแสดงตัวในฐานะที่เป็นสัมภเวสีให้ปรากฏบ่อยๆ มีหลายคนมารายงานให้ทราบว่า "ผีนายเสนอดุจริงๆ ลูกหลานไปทำงาน
หลังบ้านมาหลอกอยู่เสมอ" วันหนึ่งมีโอกาสไปที่ตำบลสารี จังหวัดสุพรรณบุรี ขณะคุยกับเจ้าของบ้านอยู่ มีเด็กสาวๆ อายุ ๑๕-๑๖ ปีคนหนึ่งอยู่บ้าน
ติดกัน ออกไปเก็บผักหลังบ้านมาทำอาหาร ประเดี๋ยวเดียวก็วิ่งเข้าบ้านมานอนร้องครวญครางดังมาก และเอามือกุมที่หน้าอก ใครถามว่า "เป็นอะไร"
ก็ไม่ตอบ ตามธรรมดาผีที่ตายจะมาเข้าใคร ถ้าเป็นโรคอะไรก็จะแสดงอย่างนั้นให้รู้ หมายความว่าเวลาที่ตาย ทุกขเวทนาครอบงำมากอย่างไหนก็จะแส
ดงให้ปรากฏอย่างนั้น เช่นคนขาเป๋ตายแล้ว เวลามาเข้าคนก็จะแสดงอาการขาเป๋ หรือก่อนจะตายแขนคอก ตายแล้วก็มาทำท่าแขนคอก แต่ความจริง
พอตายแล้วเป็นผี ขาไม่ได้เป๋ แขนไม่ได้คอก
เด็กสาวคนนี้ร้องครวญคราง พวกผู้ใหญ่จึงไปนิมนต์อาตมามาดู ก็ไปนั่งข้างๆ เด็กคนนั้นแล้วถามว่า "อีหนูเป็นอะไร" ก็ไม่ตอบมองหน้าเฉยๆ
แล้วก็ร้อง เห็นนายเสนอนั่งข้างๆ เด็กคนนั้นแล้วเอานิ้วจี้ที่ตรงเด็กบอกว่าปวด ก็คือตรงอกที่เดียวกับที่นายเสนอถูกยิงพอดี ท่านก็เลยพูดดังๆ ว่า
"เหนอไปทำอะไรหลาน มีเรื่องอะไรก็ไปคุยกันที่บ้านโน้น อย่ามายุ่งกับเด็กมันเลย ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้นะ" นายเสนอก็ปล่อยมือ เด็กคนนั้นก็หายปวด
ลุกขึ้นทำงานได้เป็นปกติ ถามเธอว่า "เป็นอะไร" เธอตอบว่า "ไม่รู้ มันเจ็บทะลุหลัง" ก็เพราะนายเสนอถูกยิงทะลุหลัง แล้วก็เดินมาบ้านหลังที่ท่าน
พัก
ถามนายเสนอว่า "เอ็งไปทรมานหลานทำไม" เขาตอบว่า "ไม่ได้ทรมาน ผมแสดงแบบนี้ที่ใครเขาลือกัน มีคนไปฟ้องท่านหลายคนแล้ว ผมก็รู้
เขาหาว่าผมดุร้ายมากเที่ยวหลอกคนนั้นหลอกคนนี้ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคน ทุกคนที่ผมแสดงให้ปรากฏเป็นคนที่ชอบกันอยู่ก่อนทั้งนั้น
รักกันมากเคยช่วยงานเขา และเขาเคยปวารณาว่า มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกเขาจะทำให้เต็มที่ แต่ทว่าเวลานี้ผมต้องการความช่วยเหลือขอรับ"
ถามว่า "เอ็งตายแล้ว เอ็งไปไหน เอ็งไปนรกหรือไปสวรรค์"
เขาตอบว่า "ไม่ได้ไปนรก ไม่ได้ไปสวรรค์ เวลาเหลืออีก ๔๓ ปีจึงจะไปได้ นับปีมนุษย์ระยะเวลา ๔๓ ปี นี่ผมลำบากมากต้องเดินไปเดินมา ผลบุญ
ใดๆ ที่ทำไว้ก็ยังไม่ปรากฏ ยังกินไม่ได้เพราะยังไม่ถึงเวลาจะได้รับ ส่วนผลบาปที่ทำไว้ก็ยังไม่ให้ผล เวลานี้ผมต้องเป็นผีเดินไปเดินมาเข้าไปหาคน
เพื่อหวังจะให้เขาสงเคราะห์ช่วยเหลือ แต่เขาก็หาว่าผมไปหลอกเขา บางทีเขาก็สาปแช่งเอาบ้าง ความรู้สึกของคนกับผีไม่เหมือนกัน เวลาที่ผมยังไม่
ตายเขาก็รักผมมาก ดีกับผมทุกอย่าง ทุกคนปวารณาตัวจะช่วยผมเวลาผมทำงานให้เขาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่เวลาผมตายไปแล้ว ไม่มี
ใครสนใจผมเลย"
ก็เลยบอกว่า "ก็เอ็งเป็นผีนี่เขาก็กลัว เวลาเอ็งไปแสดงตัวให้ปรากฏเอ็งทำอย่างไรบ้าง" เขาตอบว่า "ส่วนใหญ่ไม่ได้หลอก ผีไม่มีเวลาจะหลอกคน
เพราะมีความลำบากอยู่แล้ว ผมมาแสดงตัวให้ปรากฏเป็นเงาบ้าง เป็นเสียงบ้าง บางคนก็เห็นชัดหน่อย บางคนก็เห็นไม่ชัด ผมก็ประกาศว่าตัวผม
คือนายเสนอ พอบอกได้เท่านั้น ทุกคนพอฟังแล้วก็วิ่งหนี ถ้าอยู่ในบ้านก็นอนคลุมโปงกัน และบางบ้านก็บอกว่า ขอให้ไปที่ชอบๆ เถอะ บางบ้านก็
แช่งชักหักกระดูกเลย ผมก็เสียใจไม่มีใครจะช่วยผมจริงๆ"
ฟังแล้วก็เห็นใจ เพราะทราบจากพระพุทธเจ้าแล้วว่า ผีไม่มีไร่ไม่มีนา ไม่มีการค้าขาย ไม่มีอาชีพใดๆ ถ้าบุญเก่าไม่ส่งผลก็ต้องอาศัยบุญใหม่ที่คน
มีชีวิตอยู่ส่งไปให้ และก็ต้องส่งเป็น ถ้าส่งไม่เป็นส่งเท่าไรก็ไม่มีผล ก็เลยถามต่อว่า "เอ็งต้องการอะไรล่ะ" นายเสนอก็บอกว่า "เวลานี้ผมลำบากมาก
หนาวก็หนาว หิวก็หิว กำลังก็ไม่มี สิ่งที่ผมต้องการก็คือ ต้องการพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วสักองค์หนึ่ง ผ้าไตรจีวร ๑ ไตร และอาหารอีกชุดหนึ่ง
อะไรก็ได้ไม่จำกัด" ถามว่า "จะให้ทำอย่างไร" ตอบว่า "นิมนต์พระมาแล้วถวายเป็นสังฆทาน" ก็ถามต่อว่า "ถ้าทำได้ตามที่บอกมา ผลจะพึงมีกับเอ็ง
อย่างไร" ตอบว่า
อานิสงส์ของการถวายสังฆทาน
๑) พระพุทธรูป ถ้าผมโมทนาแล้วกำลังจะดีมาก ถ้าเป็นเทวดาก็มีศักดิ์ศรีใหญ่ มีรัศมีกายสว่างมาก
๒) ผ้าไตรจีวร ถ้าโมทนาแล้ว จะมีเครื่องประดับเป็นทิพย์
๓) อาหาร ข้าวและนํ้านี้ เมื่อโมทนาแล้วจะมีกำลัง ร่างกายจะมีแรงมากและมีความเบายิ่งขึ้น
จึงบอกว่า "ตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว เวลาเขาทำบุญให้แล้ว จะให้ทำอย่างไรอีก"
ตอบว่า "เมื่อพระรับสังฆทานเสร็จ เวลาอุทิศส่วนกุศล ขอให้คนที่ทำบุญส่งผลเฉพาะให้แก่ผมคนเดียว อย่าให้แก่คนอื่น เพราะพวกสัมภเวสีที่มี
ความลำบากมีอยู่มาก มีกรรมยังหนักอยู่ เป็นกรรมในระหว่างที่ต้องถูกทรมาน ถ้าเฉลี่ยให้คนอื่นพวกสัมภเวสีก็ไม่ได้รับ แต่ถ้าไม่เฉลี่ยให้แก่คนอื่น
พวกสัมภเวสีจะได้รับสมบูรณ์บริบูรณ์ การอุทิศส่วนกุศลต้องว่าเป็นภาษาไทยตรงๆ ให้เฉพาะเจาะจง"
ก็เลยบอกว่า "ตกลง วันพรุ่งนี้ค่อยมารับนะ" นายเสนอถามว่า "แล้วท่านจะบอกใครเขาทัน" ตอบว่า "บุญนี้ข้าจะทำเอง ไม่ต้องการไปรบกวน
คนอื่น แต่จะบอกเขาเหมือนกัน เขาจะให้หรือไม่ให้ก็ช่างเขา ประเดี๋ยวเอ็งกลับไปเข้าเด็กคนนั้นอีกนะ แต่อย่าไปทำให้เขาเจ็บร้องครวญคราง ไป
เข้าเฉยๆ เดี๋ยวชาวบ้านเขาสงสารเด็กจะด่าเอา และก็แสดงตัวให้ปรากฏว่าเป็นเอ็ง" ถามว่า "เด็กคนนั้นร้องลิเกเป็นไหม" ตอบว่า "ไม่เป็นขอรับ"
จึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นดีแล้ว เอ็งเป็นลิเกอยู่ก่อนมีชื่อเสียงมาก ไปเข้าก็แสดงท่าเป็นเอ็งแล้วก็ร้องลิเกไปด้วย บอกบทเล่าเรื่องราวของเอ็งไปด้วย
ทำให้ชาวบ้านเห็นเป็นสนุก" นายเสนอก็รับคำแล้วถามว่า "เมื่อไร" ตอบว่า "ไปเดี๋ยวนี้เลย จะได้พูดให้ชาวบ้านเขาได้รู้เรื่อง"
ต่อมาชาวบ้านรู้เรื่องนายเสนอจากการร้องลิเกว่าตายเพราะอะไร เวลานี้มีความทุกข์เป็นประการใดบ้าง ไปหาใครบ้าง ใครแช่งด่าบ้างก็บอกชื่อหมด
ร้องเพราะเสียด้วย ชาวบ้านฟังแล้วชอบใจ นำมาเล่าให้ฟัง จึงบอกว่า "นายเสนอต้องการอะไรบ้างให้ชาวบ้านฟัง" และบอกนายเสนอว่า "พรุ่งนี้จะ
ถวายสังฆทานให้ตอนในเพล เอ็งมาโมทนานะ เวลาโมทนาแล้วถ้าได้บุญจริงๆ แล้ว เวลากลางคืนเอ็งไปที่บ้านคนที่เขาช่วยร่วมบุญร่วมกุศลในวันพรุ่ง
นี้ ให้เขาเห็นทุกคนและส่งกลิ่นหอมให้ปรากฏทั้งบ้าน" เขาก็รับคำ
พอรุ่งขึ้นเช้าก็บอกบุญว่า "ใครจะร่วมบ้าง ร่วมเท่าไรก็ได้หรือใครไม่ร่วมฉันก็ทำคนเดียว เพราะนายเสนอมีความดีกับฉันมาก ช่วยกิจการงานทุก
อย่าง เขาไม่เคยรังเกียจ เมื่อบอกแล้วก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจจริงๆ ไม่เคยท้อถอย"
การอุทิศส่วนกุศล
ในที่สุดชาวบ้านก็มารวมตัวกัน บอกเขาเวลาบ่ายพอตอนเช้าได้ผ้าไตร ๕ ไตร พระพุทธรูป ๕ องค์ อาหารเต็มบ้านไปหมด ตั้งใจจะนิมนต์พระมา
ถวายสังฆทานองค์เดียวเป็นผู้แทนสงฆ์ ตอนสายๆ อาหารมาเต็มบ้าน ก็เลยต้องไปนิมนต์พระมาหมดวัด วัดอยู่ไม่ไกลนัก พระมี ๒๒ หรือ ๒๓ องค์
เป็นสังฆทานเต็มที่ ผ้าไตรไม่พอเลยให้คนไปซื้อผ้าสบง ผ้าห่มและผ้าเช็ดตัวมาให้พอกับพระที่เหลือ เวลาที่เขากำลังจัดงานกัน เห็นนายเสนอมาช่วย
งาน เวลาเขาจะปัดจะกวาด จะปูเสื่อ จะวางหมอน ก็มาช่วยเขาทำวุ่นไปหมด แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เมื่อถวายสังฆทานพระเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศล
บอกว่า
"ผลบุญที่ทำแล้วในวันนี้ มีการบูชาพระรัตนตรัยก็ดี สมาทานศีลก็ดี ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ก็ดี ถวายผ้าไตรจีวรแก่คณะสงฆ์ก็ดี
ถวายภัตตาหารก็ดี ผลบุญทั้งหลายนี้ข้าพเจ้าจะพึงมีเพียงใด ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่นายเสนอ ขอนายเสนอจงมาโมทนาและได้รับ
ส่วนกุศลผลความดีเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ บัดนี้เถิด"
นายเสนอโมทนาแล้วก็ยังไม่ไป นั่งยิ้มหน้าตาสวย ถามว่า "เหนอ เอ็งมารับหรือเปล่า ถ้ามารับก็แสดงอาการให้ปรากฏ ส่งกลิ่นให้ปรากฏแต่ไม่ใช่
กลิ่นผีนะ เป็นกลิ่นปกติสมัยนี้ของเอ็ง" พอพูดจบทุกคนได้กลิ่นหอมฟุ้งโดยไม่ต้องสูด หอมจริงๆ ส่งกลิ่นฟุ้งไปหมด หมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้านมี
ประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน ไกลออกไปกระทั่งหลังบ้านยังได้กลิ่น ทุกคนก็ดีใจ ชักใจกล้าอยากเห็นนายเสนอว่ามีรูปร่างหน้าตาเวลานี้เป็นอย่างไร
และขอให้ไปเข้าฝันให้เห็นตอนกลางคืน
ถามว่า "ทำได้ไหม" เขาตอบว่า "ทุกคนเวลาจะนอน ให้ภาวนาว่า พุทโธ ทำใจสบาย เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจะเห็นง่าย คือให้เห็นในฝันง่าย"
ก็บอกชาวบ้านทำตามที่นายเสนอบอก ทุกคนอยากเห็นก็ตั้งใจทำตามนั้นกัน
พอรุ่งเช้าทุกคนมาพูดให้ฟังเหมือนกันว่า "เมื่อคืนผีนายเสนอมาหาและคุยด้วย รูปร่างหน้าตาสวยจริงๆ ไม่เหมือนเก่า เครื่องประดับประดาสวย
สดงดงาม"
แสดงว่า นายเสนอเป็นผีกึ่งเทวดาเข้าให้แล้ว และก็พร้อมที่จะเคลื่อนไปสู่วิมานใดวิมานหนึ่งอันเป็นสมบัติของตน เพราะเคยช่วยสร้างโบสถ์ช่วย
สร้างศาลา.
ศูนย์พุทธศรัทธา ได้เผยข้อมูลให้ความกระจ่างถึงเรื่องราวเหล่านี้ไว้ว่า สัมภเวสี คือคนที่ตายก่อนอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่า อุปฆาตกรรม มาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตาย ทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกไปสอบสวนและจัดการลงโทษ
มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้ แล้วไปเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับมาเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาอยู่ด้วยความลำบาก อยากจะกินอะไรก็หากินไม่ได้ ผีประเภทนี้เรียกว่าสัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด
วิธีช่วยคนตายก่อนอายุขัย(สัมภเวสี)
ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย
รถชนตาย แต่ก็ไม่แน่นักนะบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนียวไว้ก่อน
สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ คือหาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑
องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่
ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละ ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด ก็เป็นอันว่า
พวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน
เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด
กรุณาใส่ข้อความ …