หน้าที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องอุบาทว์

                              

                   หน้าที่ ๔ ว่าด้วยเรื่องอุบาทว์

 
        
                           ว่าด้วยเรื่องอุบาทว์
    ๐อุบาทว์   แปลว่า "อัปรีย์, จัญไร, สิ่งไม่ดี, สิ่งที่ไม่เป็นมงคล"
      คำว่าอุบาทว์มีชื่อเรียกกันต่างๆดังต่อไปนี้
        ๑.สัตว์ตกลงมาตายต่อหน้าหรือตกลงมาตายในบ้านเรือน
        ๒.ฟ้าผ่าเรือกสวนไร่นา
        ๓.เห็ดงอกบนเตาไฟ
        ๔.คนออกลูกเป็นสัตว์หรือสัตว์ออกลูกเป็นคน
        ๕.ผู้หญิงมีครรภ์คลอดลูกบนรถหรือบนเรือ
        ๖.สุนัขขึ้นไปวิ่งอยู่บนหลังคาบ้าน
        ๗.บ้านเรือนมีเสาตกมัน
        ๘.มดดำและมดแดงยกพวกกัดกันในบริเวณบ้าน
        ๙.กล้วยออกปลีกลางลำต้น
        ๑๐.มะพร้าวลูกเดียวออกเป็น ๒ - ๓  หน่อ
        ๑๑.หนูตายในถังข้าวสาร
        ๑๒.มีคนเกิดละเมอเพ้อพกเดินออกนอกบ้านในเวลากลางคืน
        ๑๓.ไก่กระต๊ากในเวลากลางคืน
        ๑๔.ไฟไหม้เตาไฟ
        ๑๕.พระเณรทำฝาบาตรหล่นที่หน้าบ้าน
        ๑๖.ปลวกขึ้นเสาเรือน
        ๑๗.ผึ้งมาจับทำรังในบ้านเรือน
        ๑๘.แมงมุมดำขึ้นบ้านเรือน
        ๑๙.สายรุ้งพาดผ่านบ้านเรือน
        ๒๐.นกฮูก  นกแสก  นกเค้าแมว  เหยี่ยว  กา  แร้ง  มาจับที่บ้านเรือน
        ๒๑.ไก่ออกไข่ใบเดียวแล้วก็เลิกไข่อีก
        ๒๒.งูเข้ามาในบ้านเรือน
        ๒๓.เหี้ย, ตะกวด หรืด แลน  เข้ามาในบริเวณบ้าน
        ๒๔.ปลากระเบนเข้ามาในบริเวณบ้าน
        ๒๕.นึ่งหรือหุงข้าวแดง
               อุบาทว์ ๘ ชนิด
    ๐อุบาทว์แบ่งออกเป็น  ๘  ชนิด   คือ:_
       ๑.อุบาทว์พระอินทร์
       ๒.อุบาทว์พระยมราช
       ๓.อุบาทว์พระนารายณ์
       ๔.อุบาทว์พระเพลิง
       ๕.อุบาทว์พระพิรุณ
       ๖.อุบาทว์พระพาย
       ๗.อุบาทว์พระโสมราช
       ๘.อุบาทว์พระไพศรพณ์
 
                       อุบาทว์พระอินทร์
      
                     นี่คือรูปพระอินทร์ขี่ช้างสามเศียร
     ๐อุบาทว์พระอินทร์   คืออุบาทว์ที่พระอินทร์ทรงดลบันดาลให้บังเกิดขึ้น เพื่อเตือนให้รู้ว่าเหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต   อุบาทว์ที่จะเกิดขึ้นมีชื่อต่างกันดังนี้    
      ๑.ฟ้าผ่าบ้านเรือนเรือกสวนไร่นา
      ๒.รุ้งกินน้ำกลางหมู่บ้านหรือพาดผ่านบ้านเรือน
      ๓.จวักหรือทัพพีหักคาหม้อข้าวหม้อแกง
      ๔.พ่อแม่ทะเลาะเบาะแว้งตบตีกัน
      ๕.วัวควายเลิกคอกหนีไปอยู่ที่อื่น
      ๖.สัตว์ตัวเมียขึ้นไปขี่ข้างบนตัวผู้
      ๗.ผู้หญิงขึ้นไปอยู่ข้างบนผู้ชาย
      ๘.แม่บ้านอยู่เรือนไม่ติด      
        วิธีแก้อุบาทว์พระอินทร์
    ๐เมื่อรู้ว่าอุบาทว์พระอินทร์เกิดขึ้นแล้วให้แต่งเครื่องบูชาดังนี้
       ๑.ให้ปั้นรูปพระอินทร์ขี่ช้าง ๓ เศียร  ดูรูปข้างบน
       ๒.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย   กว้างและยาว  ๑  คืบ     ๗ กระทง  กระทงแต่ละใบให้ใส่เครื่องพลีๆ คือข้าวดำข้าวแดง  แกงส้มแกงหวาน   หมากพลูบุหรี่   กุ้งแห้งปลายำ
      ๓.ผ้าสีเขียว  ๗  ผืน    อย่าให้ใหญ่นักโตเท่าฝ่ามือก็พอ
      ๔.แก้ว  ๗  ลูก, แหวน  ๗  วง, เงิน  ๗ บาท, ทอง  ๗  เส้น   เงินต้องเอาเงินแท้   ส่วนแก้วแหวนทองให้เอาของเด็กเล่น
      ให้เอาผ้า แก้ว แหวน เงินทอง ส่ในจาน  แล้วยกเครื่องของหล่านี้ไปวางที่ริมรั้วบ้านทางด้านทิศตะวันออก  แล้วสวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระอินทะราธิราช  อุปาทะวะตายะ  ไอยะราพาหะนายะ  ปุพเพทิฏฐิตายะ
อาคัจฉะตุ  ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ  สัพพะอันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อายุวัณณะสุขะพะลัง  อัมหากัง  รักขะตุ      สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
     ๐ตั้งนโม  ๓  จบ  สวดบูชาด้วยคาถานี้  ๓  จบ  เสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งเครื่องของไว้ตรงนั้น  ๓  วัน จึงเก็บ ของที่เก็บให้เอาไปไว้ที่ต้นโพธิ์ในวัด  ถ้าไม่มีต้นโพธิ์ก็ให้วางไว้ที่ตันไม้ใหญ่ๆ
    
               อุบาทว์พระยมราช
     
 
                                   นี่คือรูปพระยมราชขี่กระบือ
    ๐อุบาทว์พระยมราช   คืออุบาทว์ที่พระยมราชคลบันดาลให้บังเกิดขึ้นเพื่อเเตือนให้รู้ว่าเหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต  อุบาทว์ที่จะเกิดขึ้นมีชื่อต่างกันดังนี้
      ๑.นกแสก   นกเค้าแมว   กา   แร้ง  บินมาจับที่หลังคาบ้าน
      ๒.ไก่ป่าเข้าบ้าน
      ๓.งูเข้าบ้าน
      ๔.เต่าเข้าบ้าน
      ๕.ตะกวด, ตัวเหี้ย, หรือแลนเข้าบ้าน
      ๖.วัวป่าควายป่าเข้าบ้าน
      ๗.หมาและหมูออกลูกเป็น  ๒  หัว
      ๘.ไก่ออกลูกเป็น  ๓ ขา  ๔ ขา
      ๙.ผีพาคนไปซ่อนไว้
      ๑๐.ผีหลอกคนในบ้านเรือนตอนกลางวัน
      ๑๑.ผึ้งต่อแตนมาจับบ้านเรือน
      ๑๒.คนอยู่ในเรือนเดียวกันฆ่าฟันกันเอง
      ๑๓.วัวเทียมเกวียนล้มตายคาแอก
      ๑๔.ผีสั่นเรือน
      ๑๕.ผีหัวเราะ
      ๑๖.ผีร้องไห้
      ๑๗.เรือนอยู่ดีๆก็หักเอง
      ๑๘.นอนฝันร้าย เช่นนอนฝันว่าเขาเอาเครื่องบินมารับและตนเองก็ขึ้นเครื่องบินไปกับเขาด้วย อุบาทว์ตัวนี้อันตรายมากรีบทำการแก้ไขโดยด่วน ช้าอาจถึงตายได้
              วิธีแก้อุบาทว์พระยมราช
    ๐เมื่อรุ้ว่าเกิดอุบาทว์พระยมราชแล้ว  ให้แต่งเครื่องแก้ดังนี้
       ๑.ให้ปั้นรูปคนขี่กระบือ   ๑   ตัว
       ๒.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย   กว้างและยาว  ๑  คืบ    ๑    ลูก
       ๓.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยใบกล้วย   กว้างและยาว   ๑   คืบ     ๑    ลูก
       กระทงกาบกล้วยให้ใส่รูปของคนขี่กระบือพร้อมด้วยข้าวตอก  ดอกไม้ ๒ ดอก  ธูป ๒ ดอก  และเทียน  ๒  เล่ม   ส่วนกระทงใบกล้วยให้ใส่เครื่องพลีคือข้าวดำข้าวแดง   แกงส้มแกงหวาน   หมากพลูบุหรี่   และกุ้งแห้งปลายำ  เสร็จแล้วให้ยกไปวางที่ริมรั้วบ้านทางด้านทิศใต้   แล้วให้สวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระยมราช  อุปาทะวะตายะ  มะหิสสะพาหะนายะ  ทักขิณะทิฏฐิตายะ             อาคัจฉะตุ  ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ  สัพพะ
อันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อายุวัณณะสุขะพะลัง  อัมหากัง  รักขะตุ  สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
    ๐ตั้งนโม  ๓  จบ  สวดคาถาบูชานี้  ๓  จบ   เสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น  ๓  วัน   เมื่อครบกำหนดแล้วให้เก็บเอาเครื่องของเหล่านี้ไปไว้ที่ต้นโพธิ์ภายในวัดหรือใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ได้
               
                อุบาทว์พระนารายณ์
 
    
                     นี่คือรูปพระนารายณ์ขี่ครุฑ
    ๐อุบาทว์พระนารายณ์   คืออุบาทว์ที่พระนารายณ์ดลบันดาลให้บังเกิดขึ้น เพื่อเตือนให้รู้ว่าเหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต    อุบาทว์ที่จะเกิดขึ้นมีชื่อต่างกันดังนึ้
    ๑.มีเลือดพุงออกมาจากจอมปลวก
    ๒.หอกดาบเกิดมีดอกขึ้นมา
    ๓.ครกสาก    ฆ้องกลอง   และแตร์สังข์  ไม่มีคนเป่าคนตีก็ดังขึ้นมาเอง
    ๔.เครื่องศาสตาวุธกระทบกันเกิดมีเสียงดังขึ้นมาเอง
    ๕.โลหิตและน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตาของพระพุทธรูป
    ๖.สัตว์ร้ายตกใส่บ้านเรือน
    ๗.ช้างม้าอยู่ดีๆก็ตื่นตกใจ
    ๘.เสื้อผ้าที่ใส่มองเห็นเป็นสีแดงและสีดำ
    ๙.ฝูกหมอนและที่นอนมองเห็นเป็นสีดำและสีแดง
    ๑๐.มองเห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ลุกเป็นไฟ
                 วิธีแก้อุบาทว์พระนารายณ์
    ๐เมื่อมีอุบาทว์พระนารายณ์บังเกิดขึ้น   ให้แต่งเครื่องแก้ดังนี้
       ๑.ให้ปั้นรูปพระนารายณ์ขี่ครุฑ  ๔  องค์
       ๒.ให้ปั้นรูปช้าง   รูปม้า   รูปผู้หญิงและรูปผู้ชาย  อย่างละ  ๑  ชนิด
       ๓.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย   กว้างและยาว   ๑   คืบ    ๑   ลูก
       ๔.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยใบกล้วย    กว้างและยาว    ๑   คืบ    ๑    ลูก
     ให้เอาเครื่องของเหล่านี้ใส่ในกระทงกาบกล้วยโดยให้รูปพระนารายณ์ขี่ครุฑอยู่ตรงกลาง ส่วนกระทงใบกล้วยให้ใส่เครื่องพลีคือข้าวดำข้าวแดง   แกงส้มแกงหวาน   หมากพลูบุหรี่เนื้อแห้งปลาตาย  เสร็จแล้วให้ยกเอาไปวางที่ริมรั้วบ้านทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้วให้สวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระนารายะณะมะหาราช  อุปาทะวะตายะ  จะตุครุฑะพาหะนายะ  หะระติทิฏฐิตายะ  อาคัจฉะตุ  ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ
สัพพะอันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อายุวัณณะสุขะพลัง  อัมหากัง  รักขะตุ
สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
     ๐ตั้งนโม  ๓  จบ   แล้วสวดบูชาด้วยคาถานี้  ๓  จบ   เสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งเอาไว้ตรงนั้น  ๓  วัน ต่อจากนั้น  ให้เก็บเครื่องของเหล่านั้นเอาไปไว้ที่ต้นโพธิ์ภายในวัดหรือใต้ต้นไม้ใหญ่ก็ได้
 
                     อุบาทว์พระเพลิง
 
    
                               นี่คือรูปพระเพลิง
    ๐อุบาทว์พระเพลิง   คืออุบาทว์ที่พระเพลิงคลบันดาลให้เกิดขึ้น เพื่อเตือนให้รู้ว่าเหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต   อุบาทว์ที่จะเกิดขึ้นมีชื่อต่างกันดังนี้
    ๑.มองเห็นเปลวไฟไฟลุกขึ้นบนกลางเรือนทั้งๆที่ไม่มีไฟเลย
    ๒.หินลับมีดหัก
    ๓.กล้วยออกปลีกลางลำต้น
    ๔.มะพร้าวลูกเดียวออกหน่อเป็น  ๒ - ๓  หน่อ
    ๕.ไม่ใช่ฤดูร้อนแต่มีอากาศร้อนเหมือนฤดูร้อน
    ๖.นึ่งข้าวแดงหรือหุงขาวแดง
    ๗.จหวักหรือทัพพีหักคาหม้อขาวหม้อแกง
    ๘.หนูกัดเสื้อผ้า
    ๙.หมาขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าน
    ๑๐.เห็ดงอกบนเตาไฟ
    ๑๑.นกเป็ดน้ำเข้ามาในบริเวณบ้าน   
               วิธีแก้อุบาทว์พระเพลิง
    ๐เมื่อรู้ว่ามีอุบาทว์พระเพลิงเกิดขึ้นแล้ว    ให้แต่งเครื่องแก้ดังนี้
       ๑.ให้ปั้นรูปคนขี่แรด  ๑  ตัว
       ๒.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย    กว้างและยาว   ๑  คืบ    ๑   ลูก
       ๓.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยใบกล้วย    กว้างและยาว   ๑   คืบ    ๑    ลูก
      ให้เอารูปคนขึ่แรดใส่ในกระทงกาบกล้วยพร้อมด้วยข้าวตอกและดอกไม้ธูปเทียน  
ส่วนกระทงใบกล้วยให้ใส่ข้าวดำข้าวแดง   แกงส้มแกงหวาน   หมากพลูบุหรี่   เนื้อพล่าปลายำ  เสร็จแล้วให้ยกไปวางที่ริมรั้วบ้านทางด้านทิศตะวันออกเฉีงใต้   แล้วสวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระอังคีราช  อุปาทะวะตายะ  ขัคคะพาหะนายะ  อาคะเณยยะทิฏฐิตายะ
อาคัจฉะตุ  ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ  สัพพะอันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อายุวัณณะสุขะพะลัง  อัมหากัง  รักขะตุ        สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
     ๐ตั้งนโม  ๓  จบ   สวดบูชาด้วยคาถานี้  ๓  จบ   ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น  ๓  วัน  จึงเก็บและให้เอาเครื่องของที่เก็บไปไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์ในวัด
                     
                       อุบาทว์พระพิรุณ (พระพุย,พระวรุณ)
         
                                             นี่คือรูปเทวดาขี่พญานาค
    ๐อุบาทว์พระพิรุณ    คืออุบาทว์ที่พระพิรุณดลบันดาลให้เกิดขึ้นเพื่อเตือนให้รู้ว่า
เหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต     อุบาทว์ที่เกิดขึ้นมีชื่อต่างๆ กันดังนี้
      ๑.ฟ้าผ่าบ้านเรือนและไร่นา
      ๒.กบเขียดคางคกขึ้นไปอยู่บนเรือน
      ๓.น้ำค้างตกในหน้าฝนและหน้าร้อน
      ๔.หมอกตกในหน้าฝนและหน้าร้อน
      ๕.ผลไม้ออกนอกฤดูกาล
      ๖.ฝนตกแต่อากาศร้อนอบอ้าว
      ๗.นกป่าเข้ามาไข่ในบ้านเรือน
      ๘.ฝนไม่ตกแต่อากาศก็บดอยู่ตลอดเวลา
      ๙.อากาศมืดครึ้มจนมองไม่เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์ตลอด  ๗  วัน
      ๑๐.น้ำในตุ่มในโอ่งเหือดแห้งไปเอง
      ๑๑.คนออกลูกเป็นสัตว์
      ๑๒.สัตว์ออกลูกเป็นคน
                  วิธีแก้อุบาทว์พระพิรุณ
    ๐เมื่อมีอุบาทว์พระพิรุณเกิดขึ้น  ให้แต่งเครื่องแก้ดังนี้
      ๑.ให้ปั้นรูปเทวดาขี่พญานาค  ๕  องค์
      ๒.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย   กว้างและยาว   ๑   คืบ     ๑    ลูก
      ๓.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยใบกล้วย    กว้างและยาว   ๑   คืบ     ๑   ลูก
      ๔.น้ำสะอาด     ๘     กระออม
              
         นี่คือรูปกระออมใส่น้ำทำด้วยไม้ไผ่ ฉาบทาด้วยชันผสมน้ำมันยางนา
      ๕.ธูป      ๘     ก้าน
      ๖.เทียน      ๘     เล่ม
      ๗.ดอกไม้ขาว      ๘      ดอก
      ๘.ข้าวตอก      ๘     กระทงเล็ก
      ๘.ผ้าขาว      ๘     คืบ
      ๙.เงิน      ๘      บาท
      ๑๐.ทองเทียม หนัก      ๘     บาท
      ๑๑.เมล็ดพันธุ์ผักกาด      ๘     กำมือ
     ให้เอารูปเทวดาขี่นาคใส่ในกระทงกาบกล้วย และเครื่องทุกอย่างให้ใส่ลงไปด้วยกัน  เว้นแต่น้ำสะอาดตั้งไว้ต่างหาก   ส่วนกระทงใบกล้วยให้ใส่เครื่องพลีคือข้าวดำข้าวแดง  
แกงส้มแกงหวาน   หมากพลูบุหรี่   กุ้งพล่าปลายำ   เสร็จแล้วให้ยกเอาไปวางที่ริมรั้วบ้านทางด้านทิศตะวันตก  แล้วให้สวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระพิรุณราช  อุปาทะวะตายะ  ปัญจะนาคราชพาหะนายะ  ปัจฉิมะทิฏฐิตายะ
อาคัจฉะตุ  ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ  สัพพะ
อันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อายุวัณณะสุขะพะลัง  อัมหากัง  รักขะตุ  สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
     ๐ตั้งนโม  ๓  จบ  แล้วให้สวดบูชาด้วยคาถานี้  ๓  จบ   เสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น ๓  วัน  เมื่อครบกำหนดแล้วให้เก็บเอาเครื่องของที่เหลือไปวางไว้ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด
                 
                  อุบาทว์พระพาย
 
       
                      นี่คือรูปเทวดาขี่ม้า
    ๐อุบาทว์พระพาย    คืออุบาทว์ที่พระพายดลบันดาลให้บังเกิดขึ้นเพื่อเตือนให้รู้ว่าเหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต     อุบาทว์ที่เกิดขึ้นมีชื่อต่างกันดังนี้
     ๑.ไม่ใช่ฤดูฝนแต่มีลมแรงผิดปกติพัดจนต้นไม้หักโค้นลงมา
     ๒.ไม่มีลมพายุพัดแต่ต้นไม้หักโค้นลงเอง
     ๓.มองเห็นรูปเมฆหมอกในเวลากลางคืนเป็นรูปช้าง  รูปม้า  รูปวัว  รูปควาย   รูปแรด
และรูปเสือสิงห์
                 วิธีแก้อุบาทว์พระพาย
    ๐เมื่อมีอุบาทว์พระพายบังเกิดขึ้น   ให้แต่งเครื่องแก้ดังนี้
      ๑.ให้ปั้นรูปเทวดาขี่ม้า   ๖   องค์
      ๒.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย    กว้างและยาว   ๑   คืบ     ๑   ลูก
      ๓.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยใบกล้วย    กว้างและยาว   ๑   คืบ    ๑    ลูก
      ๔.ธูป      ๖     ก้าน
      ๕.เทียน      ๖     เล่ม
      ๖.น้ำสะอาด      ๔     กระออม
      ๗.เทียนเล่มบาทอีก  ๕  เล่ม
     ให้เอารูปเทวดาขี่ม้าใส่ในกระทงกาบกล้วยพ้อมด้วยเครื่องของทั้งหมดเว้นแต่น้ำสะอาด
๔  กระออมให้ตั้งไว้ต่างหาก   ส่วนกระทงใบกล้วยให้ใส่เครื่องพลีคือ ข้าวดำข้าวแดง   แกงส้มแกงหวาน    หมากพลูบุหรี่   กุ้งพล่าปลายำ    เสร็จแล้วให้ยกเอาไปวางที่ริมรั้วบ้าน
ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วสวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระพายราช  อุปาทะวะตายะ  ฉะว้สะพาหะนายะ  วายะวะทิฏฐิตายะ  อาคัจฉะตุ ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ  สัพพะอันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อายุวัณณะสุขะพะลัง  อัมหากัง  รักขะตุ  สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
     ๐ตั้งนโม  ๓  จบ   แล้วสวดบูชาด้วยคาถานี้  ๓  จบ    เสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น  ๓
วัน   เมื่อครบกำหนดแล้วให้เก็บเอาไปวางไว้ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด
 
              อุบาทว์พระโสมราช
       
                   นี่คือรูปบุษบก
    ๐อุบาทว์พระโสมราช    คืออุบาทว์ที่พระโสมราชดลบันดาลให้บังเกิดขึ้นเพื่อเตือนให้รู้ว่าเหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต     อุบาทว์ที่เกิดขึ้นมีชื่อต่างๆกันดังนี้
      ๑.ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันแต่มองไม่เห็นตัว
      ๒.น้ำอ้อยไหลออกมาจากลำต้นเอง
      ๓.เห็ดงอกขึ้นมาที่เตาไฟ    เชิงกราน    และหลังคาบ้าน
      ๔.หนอนเกิดขึ้นบนเสื้อผ้าหรือบนที่นอน
      ๕.ฝูงแมลงวันเขียวเข้าไปอยู่ในมุ้ง
          วิธีแก้อุบาทว์พระโสมราช       
    ๐เมื่อมีอุบาทว์พระโสมราชเกิดขึ้นให้แต่งเครื่องแก้ดังนี้
      ๑.ให้ปั้นรูปคนขี่บุษบก   ๑   ที่
      ๒.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย    กว้างและยาว   ๑   คืบ     ๑   ลูก
      ๓.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยใบกล้วย    กว้างและยาว   ๑   คืบ     ๑    ลูก
      ๔.ข้าวตอก      ๗     กระทงเล็ก
      ๕.ดอกไม้      ๗    ดอก
      ๖.ธูป      ๗     ก้าน
      ๗.เทียน      ๗    เล่ม
      ๘.เงิน      ๗    บาท
      ให้เอารูปปั้นพระโสมราชใส่ในกรทงกาบกล้วยเครื่องของทั้งหมด   ส่วนกระทงใบกล้วยในใส่เครื่องพลีคือข้าวดำข้าวแดง    แกงส้มแกงหวาน    หมากพลูบุหรี่    กุ้งแห้ง
ปลายำ   แล้วจึงยกเอาไปวางที่ริมรั้วบ้านทางด้านทิศเหนือและให้สวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระโสมราช  อุปาทะวะตายะ  สัตตะปุษะปะกะพาหะนายะ   อุตตะระทิฏฐิตายะ
อาคัจฉะตุ  ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ  สัพพะ
อันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อัมหากัง  อายุวัณณะสุขะพะลัง  อัมหากัง
รักขะตุ  สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
     ๐ตั้งนโม  ๓  จบ   แล้วสวดบูชาด้วยคาถานี้  ๓  จบ    เสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น
๓  วัน   เมื่อครบกำหนดให้เก็บเอาเครื่องของที่เหลือไปวางไว้ใต้ต้นโพธิ์ภายในวัด
  
                           อุบาทว์พระไพศรพณ์
         
                                          นี่คือรูปคนขี่โค
    ๐อุบาทว์พระไพศรพณ์    คืออุบาทว์ที่พระไพศรพณ์ดลบันดาลให้บังเกิดขึ้น  เพื่อเตือนให้รู้ว่าเหตุร้ายและเภทภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชะตาชีวิต    อุบาทว์ที่จะเกิดขึ้นมีชื่อต่างๆดังนี้
     ๑.หินลับมีดแตกหรือหักเอง
     ๒.เงินทองข้าวของไม่มีคนลักแต่ก็หายไปเอง
     ๓.ผ้านุ่งผ้าห่มถูกไฟไหม้
     ๔.ไฟไหม้น้ำ
     ๕.หม้อนึ่ง  หม้อข้าว  หม้อแกง  มีเสียงร้องขึ้นมาเอง
     ๖.ข้าวเปลือกมีน้อยแต่ได้ข้าวสารมาก
     ๗.ข้าวสารมีน้อยแต่ได้แกลบรำมาก
     ๘.ข้าวสารงอกเกิดมีหน่อขึ้นมา
              วิธีแก้อุบาทว์พระไพศรพณ์
    ๐เมื่อรู้ว่าเกิดอุบาทว์พระไพศรพณ์ขึ้นให้แต่งเครื่องแก้ดังนี้
      ๑.ให้ปั้นรูปคนขี่โค   ๑   ตัว
      ๒.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยกาบกล้วย    กว้างและยาว    ๑   คืบ     ๑   ลูก
      ๓.ให้ทำกระทงที่ทำด้วยใบกล้วย    กว้างและยาว   ๑   คืบ    ๑    ลูก
      ๔.ดอกไม้      ๓    ดอก
      ๕.ธูป      ๓     ก้าน
      ๖.เทียน      ๓     เล่ม
      ๗.ข้าวตอก     ๓     กระทง   
      ๘.น้ำสะอาด      ๓     หม้อ                                         
     ให้เอารูปปั้นคนขี่โคใส่ลงไปในกระทงกาบกล้วย แล้วให้เอาเครื่องของต่างๆใส่ลงไปด้วยกัน  เว้นไว้แต่น้ำสะอาดให้ตั้งไว้ต่างหาก    ส่วนกระทงใบกล้วยให้ใส่ข้าวดำข้าวแดง
แกงส้มแกงหวาน   หมากพลูบุหรี่   กุ้งแห้งปลายำ    เสร็จแล้วให้ยกไปวางที่ริมรัวบ้านทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  แล้วให้สวดบูชาด้วยคาถานี้
     ๐โอม  พระไพศรพณะราช  อุปาทวะตายะ  อุสุภะพาหะนายะ  อิสาณะทิฏฐิตายะ 
อาคัจฉะตุ  ภุญชะตุ  ขิปปะยะตุ  วิปปะยะตุ  สะวาหะ  สัพพะอุปาทะวะวินาสายะ  สัพพะ
อันตะรายะวินาสายะ  สุขะวัฑฒะโก  โหตุ  อายุวัณณะสุขะพะลัง  รักขะตุ  สะวาหะ  สะวาหายะ ฯ
     ๐ให้ตั้งนโม  ๓  จบ   แล้วสวดบูชาด้วยคาถานี้  ๓   จบ     เสร็จแล้วให้ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น  ๓  วัน   เมื่อครบกำหนดให้เก็บเอาเครื่องของไปวางไว้ที่ต้นโพธิ์ภายในวัด   ถ้าไม่มีต้นโพธิ์ให้วางใต้ต้นไม้ใหญ่ๆก็ได้
 
                ตัวอย่างอุบาทว์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
 
         
                  นี่คือรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรมหาชในสมัยอยุธยา
    ๐ก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่  ๓  ในปี  พ.ศ.๒๓๑๐  ในรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศ ได้เกิดอุบาทว์ขึ้นมาเตือนแสดงให้รู้ว่า "ถ้าประเทศชาติขืนเป็นอยู่ในลักษณะอาการเช่นนี้  กรุงศรีอยุธยาจะต้องแตกยับเยินอย่างแน่นอน  ถ้าผู้นำในสมัยนั้นคิดเฉลียวใจขึ้นมาว่าอุบาทวนี้ไม่ดีจะต้องจัดทำพิธีแก้อุบาทว์เสีย  เหตุการณ์บ้านเมืองในตอนนั้นอาจจะไม่ร้ายแรงก็ได้  แต่คนในกรุงศรีอยุธยาตอนนั้นคงจะมีกรรมจึงทำให้ผู้นำในมัยนั้นไม่เชื่อในเรื่องนี้"  มหาอุบาทว์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมีดังนี้
    ๑.หลวงพ่อโตแห่งวัดพนัญเชิงมีน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตาอยู่หลายวัน
    ๒.หลวงพ่อติโลกนาถที่สร้างด้วยไม้โพธิ์มีพระทรวงอกแตกแยกออกเป็น  ๒  ส่วน
    ๓.หลวงพ่อพระพุทธสุรินทร์  ที่วัดศรีสรรเพชญ์มีพระฉวีวรรณเศร้าหมอง  และมีพระเนตรทั้ง  ๒  ข้างตกหล่นลงมาอยู่บนอุ้งมือข้อนี้น่าพิศวงยิ่งนัก
    ๔.กา  ๒  ตัว บินมาจิกตีกัน  ตัวหนึ่งตกลงมาเสียบอยู่บนยอดแหลมของพระเจดีย์ที่  วัดพระธาตุตายคาที่
    ๕.รูปหล่อพระนเรศวร  มีน้ำพระเนตรไหลออกมาอยู่หลายวัน  แล้วจึงมีเสียงดังกึกก้องประดุจดังเสียงฟ้าผ่าอยู่หลายครั้ง ข้อนี้เป็นที่น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก  พระองค์แม้จะเสด็จสวรรคตไปแล้ว  แต่พระองค์ก็ยังห่วงใยประเทศชาติที่พระองค์ได้กอบกู้คืนมาจากพม่าข้าศึกด้วยความเหนื่อยยากลำบากจะต้องมาแตกสลายไป
    นิมิตร้ายที่แสดงออกมาให้เห็นเช่นนี้เพราะพระราชวงศานุวงศ์  ข้าราชการชั้นผู้น้อยและชั้นผู้ใหญ่ไม่ตั้งอยู่ในสัจธรรมเกิดทะเลาะเบาะแว้งกัน  ไม่ลงรอยกันแตกแยกสามัคคีกัน  เพราะเหตุนี้จึงไม่สามารถจะรักษาแผ่นดินเอาไว้ได้  ข้าพเจ้าได้ศึกษาข้อมูลของสงครามในครั้งนั้นอย่างละเอียดแล้ว  ถ้าคนไทยในสมัยนั้นช่วยเหลือกันสามัคคีกัน  ต่อให้บุเรงนองมี  ๑๐  คน ก็ตีกรุงศรีอยุธยาไม่แตก
    อนึ่งก่อนที่เจ้าฟ้าเอกทัศจะขึ้นครองราชนั้นได้เกิดอุบาทว์พระพายขึ้น เพื่อแสดงเหตุร้ายให้เห็นเพื่อเป็นการเตือนว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นแก่ประเทศชาติแล้ว  อุบาทว์พระพายที่เกิดขึ้นมีดังนี้
    วันหนึ่งได้เกิดลมพายุพัดต้นมะเดื่อ ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพระราชมณเฑียรของเจ้าฟ้าเอกทัศหักโค้นลงมาและกิ่งไม้มะเดือที่หักลงมานั้นได้ชี้ปลายไปทางพระราชมณเฑียรของเจ้าฟ้าเอกทัศ  ขุนนางข้าราชการทั้งหลายเห็นนิมิตร้ายเช่นนั้น  จึงเอาเรื่องนี้ไปทูลให้เจ้าฟ้าเอกทัศได้ทรงทราบ   ส่วนเจ้าฟ้าเอกทัศเมื่อได้ทรงทราบนิมิตร้ายนั้นแล้วแทนที่พระองค์จะมีรับสั่งให้แก้อุบาทว์ร้ายนั้นเพื่อปัดเป่าอุบาทว์ร้ายนั้นให้หายไป  แต่พระองค์กลับตรัสกับขุนนางข้าราชการว่า "นิมิตที่เกิดขึ้นนั้นเป็นนิมิตดี ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงช่วยกันนำเอาต้นมะเดื่อที่หักลงมานั้นไปทำพระแท่นให้เราๆ จะทำพิธีขึ้นครองราชย์ด้วยพระแท่นไม้มะเดื่อนั้น" ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะเป็นกรรมของชาวกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น  จึงทำให้ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ในอนาคตมีความเห็นผิดเช่นนี้ นี่คือตัวอย่างของอุบาทว์ที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
    
                    อุบาทว์ที่เกิดขึ้นในสมัยปัจจุบัน
 
         
               นี่คือภาพตัวเหี้ยที่ขึ้นไปอยู่บนเพดานของรัฐสภาไทย
    ๐ตัวเหี้ย, ตัวแลน, หรือที่คนในปัจจุบันเรียกตัวเงินตัวทองมันขึ้นไปอยู่บนฝ้าเพดานในกล่องแอร์บนตึกของรัฐสภามันเข้าไปอยู่ได้อย่างไร  ตึกรัฐสภามีประตูหน้าต่างที่สร้างอย่างดี  ประตูหน้าต่างปิดมิดชิดมากแม้จิ้งจกก็ยังเข้าไปไม่ได้  ส.ส.ทั้งหลาย  และท่านผู้มีความรู้ทั้งหลายน่าจะเฉลียวใจบ้างว่า นี่คืออุบาทว์อันเป็นการบอกเตือนเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นแก่รัฐสภาในอนาคตอันใกล้นี้  แต่นายนายวัฒนา   เซ่งไพเราะ  โฆษกประธานสภาฯ กลับพูดว่า "ตัวเงินตัวทองเข้ามาในสภาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะต่อไปสภาจะมีแต่เรื่องดีๆเข้ามา"  ดูแล้วคนเหล่านี้น่าจะไม่มีความรู้เรื่องอุบาทว์เลย ถ้าไม่รู้น่าจะถามผู้รุู้ว่าตัวเหี้ยเข้ามาในรัฐสภามันจะดีหรือร้าย  ถ้าร้ายก็จะได้หาทางแก้ไขกันต่อไป    เรื่องนี้เกิดขึ้น  ในวันที่  ๒๒  พฤษภาคม   พ.ศ.๒๕๕๖  ในสมัยนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย  คือนางสาวยิ่งลักษณ์    ชินวัตร    
   คำเตือนจากผู้เขียนตำรานี้  ตัวเหี้ยก็คือตัวเหี้ย มันจะกลายเป็นตัวเงืนตัวทองไปไม่ได้  ตัวเหี้ยนี้เมื่อมันเข้าไปในบ้านเรือนใคร  มันจะต้องเป็นอุบาทว์พระยมราชอย่างแน่นอนมันจะกลายเป็นเรื่องดีตามที่ นายวัฒนา  เซ่งไพเราะ พูดไม่ได้  มันเข้าไปในตึกรัฐสภาก็บ่งบอกถึงเหตุร้ายและความพินาศฉิบหายกำลังจะบังเกิดขึ้นแก่รัฐสภาแล้ว
    หลังจากตัวเหี้ยเข้าไปในรัฐสภาแล้วเป็นเวลา  ๑  ปี  ก็เกิดรัฐประหารขึ้นในประเทศไทย เมื่อวันที่  ๒๒  พฤษภาคม  พ.ศ. ๒๕๕๗  เวลา ๑๖.๓๐ น. โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ รัฐประหารโค่นรัฐบาลรักษาการ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นับเป็นรัฐประหารครั้งที่ ๑๓  ในประวัติศาสตร์ไทย รัฐประหารดังกล่าวเกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์ การเมืองซึ่งเริ่มเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯให้นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนในเมืองแบ่งเป็นสองข้างและก่อม็อบ ทำให้พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าช่วยระงับสถานการณ์ความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้
 
                             การสร้างบ้านใหม่
 
        
                    นี่คือเครื่องบวงสรวงในการสร้างบ้านใหม่
    ๐การสร้างบ้านใหม่มีสิ่งที่จะต้องปฏิบัติดังนี้
      ๑.การตรวจดูพื้นดิน
      ๒.การหาฤกษ์ในยกเสา
      ๓.การฝังอาถรรพ์
      ๔.เคล็ดลับในการเก็บของ
      ๕.ต้นไม้ที่ควรปลูกและไม่ควรปลูกภายในบริเวณบ้าน
      ๖.ข้อห้ามในการปลูกบ้าน
      ๗.วันเดือนปีและขึ้นแรมในการปลูกบ้าน
      ๘.เครื่องบวงสรวงพญานาค
      ๙.เครื่องบวงสรวงเจ้าแม่ธรณี
      ๑๐.เครื่องบัตรพลีในปีที่ยกเสา
                    การตรวจดูพื้นดินก่อนสร้างบ้าน
     ๑.วิธีชิมดูดิน
     ๒.วิธีดมดูดิน
     ๓.วิธีดูดินอีกวิธีหนึ่ง
                   วิธีชิมดูดิน
    ๐วิธีชิมดูดินมีข้อปฏิบัติดังนี้
      -ให้ขุดหลุมลึกประมาณศอกเศษ แล้วเอาใบตองกล้วยสดมาปูที่ก้นหลุม เสร็จแล้วให้เอาหญ้าคาสดมาปูทับที่ใบตองอีกทีหนึ่ง  ให้ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ  ๑  คืน  ไอดินก็จะมาจับที่หน้าใปตองต่อจากนั้นให้เอาไอน้ำที่จับใบตองมาชิมดู
     ๐ถ้าชมดูแล้วน้ำมีรสหวานให้รู้ว่าที่ดินตรงนั้นดีพอปานกลาง ให้สร้างบ้านได้
     ๐ถ้าชิมดูแล้วมีรสจืดที่ดินตรงนั้นดีมากสร้างแล้ว  จะอยู่เย็นเป็นสุข
     ๐ถ้าชิมดูแล้วมีรสเค็มที่ดินตรงนั้นไม่ดี สร้างบ้านเรือนแล้วจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
                  วิธีดมดูดิน
    ๐วิธีดมดูดินมีข้อปฏิบัติดังนี้
      -ให้ขุดเอาดินตรงนั้นขึ้นมาดมดู
         ๐ถ้าดมดูแล้วดินตรงนั้นมีกลิ่นหอมเหมือนดอกบัว หรือดอกาสารภีที่ดินตรงนั้นเรียกว่า "ที่ทรงพรต"  มีความอุดมสมบูรณ์ดี  สร้างบ้านเรือนแล้วเจ้าของจะมั่งมีศรีสุข  ที่ดินทรงพรตนี้เหมาะแก่การสร้างวัดมาก
         ๐ถ้าดมดูแล้วดินตรงนั้นมีกลิ่นหอมเหมือนดอกพิกุลที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่สัตตบูรณ์"  ถือว่าเป็นที่ๆมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุขยิ่งนัก ถ้าสร้างบ้านเรือนในที่ตรงนั้นแล้วเจ้าของบ้านจะมั่งคั่งร่ำรวยอยู่เย็นเป็นสุข  ไร้ทุกข์โรคา
         ๐ถ้าดมดูแล้วดินตรงนั้นมีกลิ่นหอมเย็น หรือหอมเหมือนดอกไม้ชนิดอื่นที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่บริบูรณ์วาส"  สร้างบ้านแล้วเจ้าของบ้านจะมีควมร่มเย็นเป็นสุขมาก  อายุมั่นขวัญยืน  ชีวิตจะยืนยาว
         ๐ถ้าดมดูแล้วดินตรงนั้นมีกลิ่นเผ็ดหรือมีกลิ่นเค็มที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่ทุคคะตะ"
สร้างบ้านเรือนแล้วเจ้าของบ้านจะเดือดร้อน  อยู่บ้านไม่ติด ลำบากอัตขัดขัดสน  อายุจะไม่ยืน
                 วิธีดูดินอีกวิธีหนึ่ง
    ๐ให้เอาไข่ไก่มา ๑ ฟอง   ทองคำเปลว ๑ แผ่น    และสีเบญจรงค์ ๕ สี คือ:-
        ๑.สีแดง
        ๒.สีขาว
        ๓.สีเขียว
        ๔.สืเหลือง
        ๕.สีดำ
      ทุกสีให้เอาอย่างละ ๑ ใจมือ (มาตราตวงวัดตามวิธีโบราณของไทย ๑๕๐ เมล็ดข้าวสาร = ๑ ใจมือ,  ๔ ใจมือ = ๑ กำมือ,  และ ๘ กำมือ = ๑ จังออน)  เมื่อได้สิ่งของครบแล้วให้ใส่ลงไปในหม้อดินรุ่นใหญ่ เสร็จแล้วให้เอาผ้าขาวปิดปากหม้อให้มิดชิดแล้วจึงเอาไปวางไว้ในหลุมที่ขุดเตรียมไว้แล้ว  ส่วนหลุมให้มีความลึกประมาณศอกเศษ  ต่อจากนั้นให้เอาดินกลบปล่อยทิ้งไว้ประมาณ ๑๕ วัน  ถ้าจะให้ดีต้อง ๑ เดือน  เมื่อครบกำหนดแล้วให้ขุดขึ้นมาดู  ถ้าไข่นั้นยังบริสุทธิ์อยู่ไม่เน่าที่ตรงเรียกว่า "ที่บรมสุข"  ถือว่าดีมาก   แต่ถ้าไข่เน่าที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่ผีโขมด"  ไม่ดีห้ามสร้างบ้านเรือนโดยเด็ดขาดจะเกิดความวิบัติเดือดร้อนในภายหลัง
                  วิธีแก้เคล็ดในการขุดหลุมฝังเสา
    ๐ในเวลาขุดหลุมเพื่อฝังเสา  เมื่อขุดลงไปแล้วเจอสิ่งของต่างๆให้แก้ดังนี้
      ๑.ถ้าขุดลงไปแล้วเจอไม้  ที่ตรงนั้นเรียกว่า"ที่สพานผี"  ไม่ดีถ้าสร้างบ้านแล้วจะอยู่ไม่เป็นสุขศัตรูปองร้าย เจ็บไข้ได้ป่วย
       ๐วิธีแก้:- ให้ไปนิมนต์พระมา  ๓  รูป แล้วจึงเอาด้ายสายสิญจ์น์ไปผูกที่ไม้แล้วให้ท่านสวดถอดสวดถอนเสร็จแล้วเอาไม้ขึ้นมาแล้วให้เอาไปทิ้งที่อื่น  ต่อไปให้เอาน้ำมนต์เทราดลงไปในหลุมเสร็จแล้วให้เอาทรายที่ปลุกเสกแล้วเททับลงไปอีกจึงจะแก้อาถรรพ์ที่ตรงนั้นได้
     ๒.ถ้าขุคลงไปแล้วเจอกระดูก  ที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่ผีแรง"
        ๐วิธีแก้:-ให้ตักน้ำเย็นมา ๑ ขัน  แล้วให้เอา  แก้วแหวนเงินทอง  เพขรนิลจินดา ที่เป็นของแท้แช่น้ำเอาไว้ ๑ คืน  ต่อจากนั้นให้เอาน้ำที่แช่นั้นไปเทราดลงไปในหลุมที่มีกระดูก  น้ำนั้นก็จะเข้าไปแก้ที่อาถรรพ์ที่เกิดจากกระดูกนั้น   อีกวิธีหนึ่งให้ไปนิมนต์พระมา ๓ รูปให้ท่านทำพิธีสวดถอดสวดถอนที่ตรงมีกระดูกนั้น   และนิมนต์ให้ท่านทำน้ำมนต์ให้ด้วยเสร็จแล้วให้เอาน้ำมนต์เทราดลงไปในหลุมให้หมด แล้วให้เอาหินกรวดทรายที่พระปลุกเสกแล้วโปรยหว่านให้ทั่วบริเวณนั้นและเทหินกรวดทรายลงไปในหลุมที่มีกระดูกด้วยจึงจะแก้อาถรรพ์ในที่ตรงนั้นได้
     ๓.ถ้าขุดลงไปเจอเหล็กที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่ผีหลาวเหล็ก" 
        ๐วิธีแก้:-ให้เอาดอกบัวหลวงและหญ้าแพรกวางลงไปในที่ดินตรงบริเวณนั้น  เสร็จแล้วให้เอาน้ำล้างเท้าเทราดลงไปในหลุมจึงจะแก้อาถรรพ์ที่ตรงนนั้นได้
    ๔.ถ้าขุดลงไปเจอเชือกที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่เสนียด"
        ๐วิธีแก้:-ให้ไปขอน้ำมนต์จากพระที่มีสมาธิจิตสูงมาเทรดราดลงไปตรงบริเวณนั้นจึงจะแก้อาถรรพ์ได้
    ๕.ถ้าขุดลงไปเจอก้อนอิฐและดินขี้หนู ที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่ผีหวง"
        ๐วิธีแก้:-ให้เอาน้ำผึ้งเทราดรดลงไปในที่หลุมนั้นจึงจะแก้อาถรรพ์ได้
    ๖.ถ้าขุดลงไปเจอแก้วแตก, กระป๋อง, ลวดทองแดง, ทองเหลือง, และกระดาษ  ที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่กระแด้ง"
        ๐วิธีแก้:-ให้เอาทรายที่ปลุกเสกแล้วเทลงไปในหลุมต่อจากนั้นให้เอาน้ำมนต์เทสาดลงไปในหลุมเสร็จแล้วให้เอาน้ำมนต์เทราดลงไปอีกจึงจะแก้อาถรรพ์ได้
    ๗.ถ้าขุคลงไปเจอกางปลาที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่อุบาทว์"
        ๐วิธีแก้:-ให้เอาน้ำส้มสายชูเทราดลงไปก่อนต่อจากนั้นจึงเอาน้ำมนต์เทรดลงไปในหลุมจึงจะแก้อาถรรพ์ที่ตรงนั้นได้
    ๘.ถ้าขุดลงไปเจอหม้อและไห ที่ตรงนั้นเรียกว่า "ที่โภคทรัพย์"  ปลูกบ้านสร้างเรือนดีนักแล
       ๐วิธีแก้:-ให้เอาดอกมะลิสดและข้าวตอกโปรยลงไปก่อนต่อจากนั้นให้เอาน้ำมนต์เทราดลงไปให้ทั่วหลุม เมื่อสร้างบ้านแล้วจะทำให้เจ้าของอยู่เย็นเป็นสุขไร้ทุกข์โรคามั่งมีศรีสุข
                
                       การฝังอาถรรพ์ในเวลาปลูกบ้าน
    ๐ผู้ใดปราถนาจะให้บ้านเรือนที่ปลูกอยู่ดีมีสุขไร้ทุกข์โรคา ทำมาค้าขึ้น  เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน  มั่งคั่งร่ำรวย  และป้องกันซึ่งเหตุเภทภัยทั้งหลายอันจะมีมา  ให้ทำการฝังอาถรรพ์ให้ครบทั้ง ๘ ทิศ    สิ่งที่จะต้องฝังมีดังนี้
     ๑.ทิศตะวันออก                      ให้ฝัง        ทองคำ
     ๒.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ      ให้ฝัง        ทองแดง
     ๓.ทิศเหนือ                             ให้ฝัง        มุก
     ๔.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ        ให้ฝัง        แก้วมณี หรือพลอยพญานาค
     ๕.ทิศตะวันตก                        ให้ฝัง        หอกหรือดาบ
     ๖.ทิศตะวันตกเฉียงใต้             ให้ฝัง       ตะกั่ว
     ๗.ทิศใต้                                ให้ฝัง       เหล็ก
     ๘.ทิศตะวันออกเฉียงใต้          ให้ฝัง        เงิน
    ๐วิธีฝังให้ขุดเป็นหลุมเล็กๆลึกประมาณ  ๑  ศอก ติดกับบริเวณบ้านที่เราสร้าง  สิ่งของที่ฝังอย่าเอามาก เอาย่างละชิ้นก็พอ อย่าให้เป็นชิ้นใหญ่นัก  สิ่งของทุกอย่างต้องเป็นของแท้ เป็นของปลอมไม่ได้  ส่วนทองคำนั้นราคาแพงให้ซื้อเอาเม็ดทองคำแท้ประมาณสัก ๓ เม็ด มีขายตามร้านขายทองทั่วไป   เช่น   
                             
                             เม็ดทองคำแท้  ๕  มิลลิกรรม
                      เคล็ดลับในการเก็บของ
                       วันอาทิตย์
      ๐คนเกิดวันอาทิตย์ มีเคล็ดลับในการเก็บของดังนี้
        ๑.ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก)                    ให้เป็น       บ่อน้ำหรือสระน้ำ
        ๒.ทิศอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้)     ให้เป็น       ยุ้งฉาง
        ๓.ทิศทักษิณ (ทิศใต้)                             ให้เป็น       สวนดอกไม้หรือสวนครัว
        ๔.ทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้)            ให้เป็น       เครื่องศาสตราวุธ, มีดพร้า,  จอบเสียม, และปืน
        ๕.ทิศประจิม (ทิศตะวันตก)                    ให้เป็น       ครัวไฟ

        ๖.ทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)     ให้เป็น       หิ้งพระ

        ๗.ทิศอุดร (ทิศเหนือ)                            ให้เป็น       ที่นอนของคนใช้, บริวาร, โรงรถ, ช้างม้า, และวัวควาย        
        ๘.ทิศอิสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)    ให้เป็น       ศาลพระภูมิ
                               วันจันทร์
    ๐คนเกิดวันจันทร์  มีเคล็ดลับในการเก็บของดังน้
       ๑.ทิศตะวันออก                   ให้เป็น       หิ้งพระ
       ๒.ทิศตะวันออกเฉียงใต้       ให้เป็น       บ่อน้ำหรือสระน้ำ
       ๓.ทิศใต้                              ให้เป็น       ศาลพระภูมิ
       ๔.ทิศตะวันตกเฉียงใต้         ให้เป็น       ที่นอนของคนใช้, บริวาร, ช้างม้า, วัวควาย, และโรงรถ
       ๕.ทิศตะวันตก                     ให้เป็น       สวนดอกไม้หรือสวนครัว
       ๖.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ     ให้เป็น       ครัวไฟ
       ๗.ทิศทิศเหนือ                    ให้เป็น       ยุ้งฉาง
       ๘.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ   ให้เป็น       เครื่องศัตราวุธ, มีดพร้า, จอบเสียม, และปืน
                              วันอังคาร
     ๐คนเกิดวันอังคาร  มีเคล็ดลับในการเก็บของดังนี้
       ๑.ทิศตะวันออก                  ให้เป็น       สวนดอกไม้หรือสวนครัว
       ๒.ทิศตะวันออกเฉียงใต้      ให้เป็น       หิ้งพระ
       ๓.ทิศใต้                             ให้เป็น       ครัวไฟ
       ๔.ทิศตะวันตกเฉียงใต้        ให้เป็น       ยุ้งฉาง
       ๕.ทิศตะวันตก                    ให้เป็น       ที่นอนของคนใช้, บริวาร, ช้างม้า, วัวควาย, และโรงรถ
       ๖.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ     ให้เป็น      เครื่องศาสตราวุธ, มีดพร้า, จอบเสียม,และปืน
       ๗.ทิศเหนือ                        ให้เป็น       บ่อน้ำหรือสระน้ำ
       ๘.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ให้เเป็น      ศาลพระภูมิ
                             วันพุธ
     ๐คนเกิดวันพุธ   มีเคล็ดลับในการเก็บของดังนี้
       ๑.ทิศตะวันออก                  ให้เป็น        หิ้งพระ
       ๒.ทิศตะวันออกเฉียงใต้      ให้เป็น        สวนดอกไม้หรือสวนครัว
       ๓.ทิศใต้                             ให้เป็น        เครื่องศาสตราวุธ, มีดพร้า, จอบเสียม, และปืน 
       ๔.ทิศตะวันตกเฉียงใต้        ให้เป็น        บ่อน้ำหรือสระน้ำ
       ๕.ทิศตะวันตก                    ให้เป็น        ศาลพระภูมิ
       ๖.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ     ให้เป็น        ยุ้งฉาง
       ๗.ทิศเหนือ                        ให้เป็น        ที่นอนคนใช้, บริวาร, ช้างม้า, วัวควาย, และโรงรถ
       ๘.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ให้เป็น        ครัวไฟ
                            วันพฤหัสบดี
     ๐คนวันพฤหัสบดี    มีเคล็ดลับในการเก็บของดังนี้
        ๑.ทิศตะวันออก                  ให้เป็น        เครื่องศาสตราวุธ, มีดพร้า, จอบเสียม,  ปืนและโรงรถ
        ๒.ทิศตะวันออกเฉียงใต้      ให้เป็น        ครัวไฟ
        ๓.ทิศใต้                             ให้เป็น        ยุ้งฉาง
        ๔.ทิศตะวันตกเฉียงใต้        ให้เป็น        สวนดอกไม้หรือสวนครัว
        ๕.ทิศตะวันตก                    ให้เป็น        ศาลพระภูมิ
        ๖.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ    ให้เป็น        บ่อน้ำหรือสระน้ำ
        ๗.ทิศเหนือ                        ให้เป็น        หิ้งพระ
        ๘.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ให้เป็น        ที่นอนคนใช้, บริวาร, ช้างม้า, วัวควาย, และโรงรถ
                              วันศุกร์
     ๐คนเกิดวันศุกร์   มีเคล็ดลับในการเก็บของดังนี้
        ๑.ทิศตะวันออก                   ให้เป็น        ยุ้งฉาง
        ๒.ทิศตะวันออกเฉียงใต้        ให้เป็น        ที่นอนคนใช้, บริวาร, ช้างม้า, วัวควาย, และโรงรถ
        ๓.ทิศใต้                              ให้เป็น        ศาลพระภูมิ
        ๔.ทิศตะวันตกเฉียงใต้          ให้เป็น       ครัวไฟ
        ๕.ทิศตะวันตก                     ให้เป็น        หิ้งพระ
        ๖.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ      ให้เป็น        สวนดอกไม้หรือสวนครัว
        ๗.ทิศเหนือ                         ให้เป็น        เครื่องศาสตราวุธ, มีดพร้า, จอบเสียม, ปืน และโรงรถ
        ๘.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ    ให้เป็น       บ่อน้ำหรือสระน้ำ
                             วันเสาร์
     ๐คนเกิดวันเสาร์    มีเคล็ดลับในการเก็บของในบ้านดังนี้
        ๑.ทิศตะวันออก                   ให้เป็น         ครัวไฟ
        ๒.ทิศตะวันออกเฉียงใต้       ให้เป็น         ศาลพระภูมิ
        ๓.ทิศใต้                              ให้เป็น         ที่นอนคนใช้, บริวาร, ช้างม้า, วัวควาย, และโรงรถ
        ๔.ทิศตะวันตกเฉียงใต้          ให้เป็น        หิ้งพระ
        ๕.ทิศตะวันตก                      ให้เป็น        บ่อน้ำหรือสระน้ำ
        ๖.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ      ให้เป็น         ยุ้งฉาง
        ๗.ทิศเหนือ                          ให้เป็น        สวนดอกไม้หรือสวนครัว
        ๘.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ    ให้เป็น        เครื่องศาสตราวุธ, มีดพร้า, จอบเสียม, และปืน
  
                   ต้นไม้ที่ควรปลูกในบริเวณบ้าน
    ๑.ทิศตะวันออก        ให้ปลูก     ต้นกุ่มและต้นมะพร้าว     จะป้องกันโรคภัยไขเจ็บได้
    ๒.ทิศตะวันออกเฉียงใต้    ให้ปลูก    ต้นสารภีและต้นยอ     จะป้องกันเสนียดจัญไรได้
    ๓.ทิศใต้          ให้ปลูก       ต้นมะม่วงและต้นมะพลับ       จะป้องกันคนมารังแกได้
    ๔.ทิศตะวันตกเฉียงใต้     ให้ปลูก  ต้นพิกุล  ต้นขนุน  ต้นคูณ  และต้นสะเดา    จะป้องกันโทษภัยและคนใส่ร้ายป้ายสี
    ๕.ทิศตะวันตก      ให้ปลูกต้นมะขามและต้นมะยม     จะป้องกันถ้อยคดีความ  ผีพรายผีซ้ำด้ามพลอยและคุณไสย์ได้
    ๖.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ       ให้ปลูก    ต้นมะกรูด     จะป้องกันศัตรูที่จะมาปองร้ายได้
    ๗.ทิศเหนือ        ให้ปลูก      ต้นทุทราและว่านต่างๆ    จะป้องกันวิชาอาคมคุณไสย์และผู้ที่จะมาคิดร้ายได้
    ๘.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ      ให้ปลูก     ต้นทุเรียนและให้ขุดบ่อคงไว้    จะป้องกันโรคระบาดต่างๆ ได้
                      ต้นไม้ที่ไม่ควรปลูกในบริเวณบ้าน
    ๑.ต้นโพธิ์
    ๒.ต้นไทร
    ๓.ต้นตะเคียน
    ๔.ต้นยาง
    ๕.ต้นดอกทอง
    ๖.ต้นโศก
    ๗.ต้นระกำ
    ๘.ต้นหวาย
    ๙.ต้นไผ่รวก
    ๑๐.ต้นมะกอก
    ๑๑.ต้นตาล
    ๑๒.ต้นสำโรง
    ๑๓.ต้นมะงั่ว
    ๑๔.ต้นสลัดได
    ต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าปลูกไว้บริเวณบ้านเรือนจะเป็นเสนียดจัญไร  เกิดโรคภัยไข้เจ็บ  ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด  ไม่อยู่เย็นเป็นสุขมีทุกข์โศกโรคภัยรบกวนอยู่เสมอ
                   ข้อห้ามในการปลูกบ้าน
    ๑.อย่าปลูกบ้านขวางทางสามแพร่ง
    ๒.อย่าปลูกบ้านหันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ถ้าจำเป็นต้องปลูกให้ทำพิธีแก้อาถรรพ์เสียก่อน)
    ๓.บ้านหลังหนึ่งอย่าให้มีประตู ๔ บาน  และหน้าต่าง ๙ บาน
    ๔.ห้ามปลูกบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่
    ๕.อย่าให้เงาบ้านไปทับศาลพระภูมิ
    ๖.อย่าให้บันไดบ้านตรงกับประตูเข้า  เพราะมันจะกลายเป็นบ้านปิดทวารไป
    ๗.อย่าต่อเติมบ้านหลังใหม่ให้มีเสาบ้านสูงกว่าหลังเก่า
    ๘.อย่าสร้างบ้านในที่ดินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  เพราะมันเป็นลักษณะของโลงศพ  ให้ตัดแบ่งออกเป็นสวนครัวหรือสวนดอกไม้ก็ได้
    ๙.อย่าสร้างบ้านในที่ดินที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมิอนชายธง  เพราะมันเป็นลัษณธของปลายหอกปลายดาบ  ให้ตัดแบ่งออกเป็นสวนครัวหรือสวนดอกไม้ก็ได้
    ๑๐.อย่าสร้างบ้านคร่อมบ่อน้ำหรือสระน้ำถึงถมแล้วก็ไม่ได้
    ๑๑.อย่าสร้างบ้านคร่อมจอมปลวกถึงขุดออกแล้วหรือไถออกแล้วก็ไม่ได้
    ๑๒.อย่าสร้างบ้านปิดกั้นทางผีเดิน  ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องสร้างตรงนั้น  ให้ทำพิธีย้ายทางเดินของผีเสียก่อนจึงจะสร้างได้
    ข้อห้ามทั้ง  ๑๒  ข้อเหล่านี้จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  ถ้าขืนสร้างเจ้าของบ้านจะเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด
                       การขึ้นบ้านใหม่
      
                   นี่คือเครื่องบวงสรวงในการขึ้นบ้านใหม่
    ๐การขึ้นบ้านใหม่มีสิ่งที่จะต้องจัดเตรียมดังต่อไปนี้
      ๑.พระพุทธรูป     ๑    องค์
      ๒.หินลับมีด      ๑     ก้อน
      ๓.ไม้เท้า       ๑     ด้าม
      ๔.ไก่ขาว      ๑     ตัว  
      ๕.แมวขาว     ๑     ตัว  (ถ้าไม่มีไม่เอาก็ได้)
      ๖.ลูกฟักและลูกแฟง     อย่างละ   ๑   ผล
      ๗.ถั่วเขียว    ๑   ถ้วย
      ๘.งา      ๑     ถ้วย
      ๙.สาคู     ๑    ถ้วย
      ๑๐.ข้าวเปลือก      ๑     ถ้วย
      ๑๑.ข้าวตอกคลุกด้วยดอกมะลิ     ๑    ถุงใหญ่
    ๐วิธีปฏิบัติ:-ก่อนจะย้ายออกไปจากบ้านหลังเก่าให้หาฤกษ์ยามในการย้ายให้ดี ถือเสียว่าเราย้ายออกไปในครั้งนี้เพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่  อย่าย้ายออกไปแบบไม่เชื่อฤกษ์ยาม  การย้ายบ้านเป็นเรื่องสำคัญต่อชะตาชีวิตของเราในอนาคต  เพราะการย้ายออกไปแบบไม่เชื่อฤกษ์ยามเป็นการย้ายแบบเสี่ยงดีเสี่ยงร้าย  ถ้าถูกวันเดือนปีและเวลาที่ไม่ดี  ชะตาตาชีวิตจะเดือดร้อนลำบาก ชีวิตจะอับเฉาทำมาค้าไม่ขึ้น   แต่ถ้าเราย้ายออกไปในฤกษ์งามยามดีและเวลาที่มีความปลอดภัย  ชะตาชีวิตของเราจะมีสูงถึง  ๙๙%  เลยทีเดียว  เราไม่ต้องเอาชีวิตของเราไปเสี่ยงดีเสี่ยงร้ายกับความไม่แน่นอน  แต่ถ้าเราหาฤกษ์งามยามดีในการย้ายเราก็สามารถกำหนดวันเดือนปีและเวลาที่ดีได้ด้วยตนเองเลย  อย่างนี้จะปลอดภัยกว่า  ข้าพเจ้าเคยรู้จักนายตำรวจคนหนึ่งแก่เป็นคนมีความรู้สูงแก่ไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม  วันหนึ่งแก่จะไปกรุงเทพ ฯ พร้อมครอบครัว  ภรรยาแก่ไปดูฤกษ์ยามว่ามันจะดีหรือร้ายในการเดินทางหมอดูบอกว่าให้เลื่อนไปก่อนหรือไปหลังวันนั้น หนึ่งวันจึงจะดี  นายตำรวจคนนั้นแก่ไม่เชื่อตามที่ภรรยาไปดูมาเพราะแก่มีความรู้สูง  หลังจากแก่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตามวันที่แก่ต้องการแล้วตกตอนเย็นของวันนั้น ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่ารถของแก่ไปชนกับรถบรรทุก ๑๐ ล้อ  คนในรถของแก่  ๗  คน พร้อมด้วยลูกเมียตายทั้งหมด  ความรู้สูงของแก่ไม่ช่วยชีวิตของแก่ให้รอดเลยนะ นี่คือตัวอย่างของคนอวดเก่ง    คนในสมัยโบราณก่อนจะสร้างบ้านใหม่, ขึ้นบ้านใหม่, แต่งงาน, ออกรถ, ออกเรือ, และออกเดินทางพวกเขาจะดูฤกษ์งามยามดีในดิถีฤกษ์ไชยและยามอัฏฐกาลเป็นสำคัญ  ดิถีฤกษ์ไชยมีวันที่ห้ามและไม่ห้ามดังนี้
                        ดิถีฤกษ์ไชย
    ๐ดิถีฤกษ์ไชยนี้เป็นตำราเก่าแก่ดั่งเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณนับว่าเป็นตำราที่ดูง่ายมีผลแม่นยำมากเพราะฉะนั้นคนในสมัยก่อนจึงใช้ตำรานี้ดูฤกษ์ยาม  ในเวลาที่จะออกเดินทางไกล    เปิดร้าน    สร้างบ้านใหม่   ขึ้นบ้านใหม่    แต่งงาน    และออกรถออกเรือ 
   ๑ ค่ำ    ขี่ม้าแก้วสู่โรงธรรม ฯ    หากเดินทางก็จะปลอดภัย ประสบผลสำเร็จ หากต้องการลาภก็จะได้ผลตามปรารถนา ท่านว่าวันนี้ทำอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ทั้งสิ้น
   ๒ ค่ำ    ฟังธรรมกลางป่าช้า ฯ    วันนี้ท่าว่าเป็นวันที่ไม่ดี และไม่ดีผสมกัน หากต้องการความสำเร็จก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคอย่างมากมาย การเดินทางปลอดภัยแต่โดดเดี่ยวและมีอุปสรรค เป็นวันที่โดดเดี่ยวขาดผู้อุปถัมภ์
   ๓ ค่ำ    ล้างมือไว้ท่าคอยกิน ฯ    วันนี้เป็นวันดีทำอะไรก็จะสำเร็จผลทุกๆประการ
   ๔ ค่ำ    ฝ่าตีนส่องแดด ฯ    ท่านว่าวันนี้ไม่ดีไม่ควรริเริ่มทำการเดินทาง ขึ้นบ้านใหม่  การหาลาภผล และงานมงคลอื่นๆ  เพราะชื่อก็บอกเอาไว้แล้วว่า ห้ามเดินทาง
   ๕ ค่ำ    ผีแวดเวียนเอา ฯ    ท่านว่าวันนี้มีอิทธิพลจากสิ่งที่มองไม่เห็นเช่นภูตผี ปิศาจมารังควาญดังนั้นจึงห้ามออกเดินทาง ห้ามทำการมงคลใดใดทั้งสิ้น
   ๖ ค่ำ    ลงสำเภาพ่อค้า ฯ    ท่านว่าวันนี้เป็นวันดี เหมาะแก่การแสวงหาลาภผล การเดินทาง  การเจรจาติดต่อการค้าขาย  และงานมงคลอื่นๆ ดีทั้งสิ้น
   ๗ ค่ำ    บ่ายหน้าควายชน ฯ    ท่านห้ามกระทำการมงคลใดใด หรือการเดินทางเพราะจะเผชิญกับอุปสรรค หนักเข้าอาจจะเลือดตกยางออกก็ได้
   ๘ ค่ำ    ทำวนบ่ทันเมี้ยน ฯ    ท่านว่าวันนี้ไม่ดี ห้ามลงทุนค้าขาย ห้ามเดินทาง ห้ามเปิดร้าน  ขึ้นบ้านใหม่  แต่งงาน  และออกรถออกเรือ
   ๙ ค่ำ    ต้องเสี้ยนนารายณ์ฯ    ท่านว่าทำการวันนี้จะเป็นโทษเหมือนดังยักษ์ต้องศรนารายณ์ ผู้ใหญ่จะให้โทษ
   ๑๐ ค่ำ    หาความบ่มิได้ ฯ    ท่านว่าวันนี้เป็นวันดี ปลอดโปร่งไม่มีเหตุเภทภัยอันใด เหมาะแก่การเปิดร้านค้า เดินทาง สร้างบ้านใหม่  ขึ้นบ้านใหม่   ออกรถออกเรือ
   ๑๑ ค่ำ    ความไข้บ่ได้มี ฯ    ท่านว่าวันนี้เป็นวันดี เหมาะแก่การเดินทาง เปิดร้าน ย้ายบ้าน จะอยู่เย็นเป็นสุข
   ๑๒ ค่ำ    บ่ดีแต่สักคาบ ฯ    ท่านว่าวันนี้เป็นวันที่หาความเจริญไม่ได้ ห้ามทำการมงคล และออกเดินทางเพราะไม่ดี  ตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ฯลฯ
   ๑๓ ค่ำ    ไชยปราบชมภู ฯ    วันนี้เป็นวันดี ควรแก่การมงคลทุกชนิด จะชนะอุปสรรคทั้งปวง
   ๑๔ ค่ำ    ศัตรูปองฆ่า ฯ    ท่านว่าวันนี้ร้ายมาก ห้ามทำการมงคล ออกเดินทาง จะพบศัตรูคู่อาฆาต หากขึ้นบ้านใหม่จะทะเลาะเบาะแว้ง  หากออกรถออกเรือใหม่ก็จะเป็นความ
   ๑๕ ค่ำ    วายชีวาบ่คืน ฯ    ห้ามพิเศษโดยเฉพาะวันดับ อมาวสีหรือแรม ๑๕ ค่ำห้ามการกระทำมงคลทั้งปวง
             
               การทำนายตามตำราของยามอัฏฐกาล
    
                 ยามอัฏฐกาล ภาคกลางวัน    
                 วันอาทิตย์ภาคกลางวัน
     -เวลา ๖.๐๑ น. - ๗.๓๐ น.          เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้ข่าวที่ได้รับร้ายทั้งสิ้น อย่าได้เชื่อถือ  จะรับคนเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านมีแต่จะถูกทรยศหักหลัง สิ่งของที่เขามาเสนอเป็นของลักขโมยมาถ้ารับไว้ระวังจะมีโทษ  ถ้าสิ่งของหายก็อยู่ไม่ไกล คนในบ้านนั้นแหละลักเอาไป   ห้ามทำการมงคลโดยเด็ดขาด
     -เวลา  ๗.๓๑ น. - ๙.๐๐ น.          เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวลวงไม่แน่นอนบอกว่าตายอาจจะรอด  ใครมาชักชวนไปไหนอย่าได้ไปโดยเด็ดขาดอาจจะถูกลวงไปฆ่าหรือไปทำมิดีมิร้ายก็ได้หรืออาจจะลวงไปเรียกค่าไถ่หรือปล้นทรัพย์ก็ได้   ทำการมงคลไม่ดีเลย
     -เวลา  ๙.๐๑ น. - ๑๐.๓๐ น.        เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้เป็นยามที่จะเกิดถ้อยคดีความหรือข้าวของเสียหาย  ให้ระวังคนมาบอกข่าวล้วนเป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
     -เวลา  ๑๐.๓๑ น. - ๑๒.๐๐ น.       เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวที่แน่นอน  ถ้าของหายจะถูกนำเอาไปซ่อนไว้ในที่ลับตา ของอยู่นอกบ้านไม่ได้อยู่ในบ้านเลย
     -เวลา  ๑๒.๐๑ น. - ๑๓.๓๐ น.       เป็นยามเสารี
       -ยามนี้ไม่ควรเจรจากันเรื่องการงานหรือคุยกันในเรื่องที่จะถกเถียงกัน ไม่ควรทำการมงคลเพราะจะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นในภายหลัง
     -เวลา  ๑๓.๓๑ น. - ๑๕.๐๐ น.       เป็นยามคะรู
       -ยามนี้เป็นยามวุ่นวายไม่ควรประกอบการมงคลใดๆทั้งสิ้น  ยกเว้นแต่การพิจารณาคดีหรือสืบพยานจึงจะต้องโฉลก
     -เวลา  ๑๕.๐๑ น. - ๑๖.๓๐ น.       เป็นยามภุมมะ
       -ยามนี้เหมาะสำหรับการตกลงยอมความประนีประนอมและการจับกุมคนร้าย  ถ้าได้ข่าวเกี่ยวกับคนป่วยทำนายว่ายังไม่หายแต่ก็ยังไม่ตาย  การตกลงทำสัญญาใดๆจะมีอุปสรรคไม่สำเร็จ
     -เวลา  ๑๖.๓๑ น. - ๑๘.๐๐ น.       เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้เป็นยามที่ปลอดโปร่งดีเหมาะแก่การเจรจางอนง้อคืนดี  ประนีประนอมเรื่องหนี้สิน  การเดินทางเพื่อแสวงหาโชคลาภก็สดใสผ่องแผ้วดี  จะทำสัญญาเงินกู้ก็ได้ผลดี  คนเจ็บหรือข่าวที่ได้ยินมาเป็นข่าวจริงไม่หลอกลวง
     -สรูปยามดียามร้ายของวันอาทิตย์ ภาคกลางวัน
        -ยามดี  คือยามที่  ๔    ๗    ๘
        -ยามร้าย  คือยามที่  ๑    ๒    ๓    ๕    ๖     

                   วันจันทร์ภาคกลางวัน
     -๖.๐๑ น. - ๗.๓๐ น.          เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้ไม่ดี ถ้าตกลงทำสัญญาใดๆจะมีการเบี้ยวเกิดขึ้นในภายหลัง รับจำนองจำนำอะไรก็ตามให้ระวังของปลอม  และให้ระวังเรื่องร้อนรนร้าวฉาน  ข่าวที่ได้ยินมาไม่ว่าจะดีหรือร้ายมีโอกาสผลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ง่ายๆ  ห้ามทำการมงคล
     -๗.๓๑ น. - ๙.๐๐ น.          เป็นยามเสารี
       -ยามนี้เป็นยามอุบาทว์  การหลอกลวงต้มตุ๋นหลอกลวงรับอรุณก็ยามนี้แหละ  จะรับคนเข้าบ้านเปิดประตูรับใครให้ดูหน้าดูหลังเสียก่อนไม่งั้นจะวุ่นวายแน่  ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวลวงทั้งสิ้น ใครมาชวนให้ไปไหนมาไหนด้วยอย่าไปโปรดระวังให้ดี
     -๙.๐๑ น. - ๑๐.๓๐ น.         เป็นยามคะรู
       -ยามนี้เป็นยามดี  จะไปทวงหนี้  ขอกู้หนี้  ประนอมหนี้หรือติดต่อธุรกิจทำมาค้าขายให้ทำได้ในทันที  จะมีการตกลงทำสัญญาใดๆให้ทำได้ในทันที  ข่าวที่ได้รับส่วนมากเป็นข่าวดีและแน่นอน  ทำการมงคลได้ทุกชนิด
     -๑๐.๓๑ น. - ๑๒.๐๐ น.       เป็นยามภุมมะ
       -ยามนี้เป็นยามอุบาทว์  ตกลงทำสัญญาใดๆก็จะกลับกลายเป็นร้ายไปหมด  ทำการเปิดร้านดีแต่ตอนแรกต่อไปในภายหลังจะเกิดความพินาศฉิบหาย  เป็นยามที่เหมาะแก่การหลอกลวงต้มตุ๋นของพวกมิจฉาชีพ  อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาด  อย่าซื้อขายของร้อนของไม่ดีจะเดือดร้อนในภายหลัง
     -๑๒.๐๑ น. - ๑๓.๓๐ น.       เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้เป็นยามไม่ดี จะมีผู้คิดปองร้ายมีผู้วางแผนอันเร้นลับให้ร้าย  หากเดินทางจะเกิดเป็นอันตราย
     -๑๓.๓๑ น. - ๑๕.๐๐ น.       เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้ทำการมงคลดี  เรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดี  จะปรับความเข้าใจต่อรองยอมความกันได้  ข่าวที่ได้ยินมาล้วนแต่เป็นข่าวดี  คนป่วยว่าไม่ตาย  ที่ป่วยเกือบตายถ้าได้ข่าวยามนี้แล้วหาย
     -๑๕.๐๑ น. - ๑๖.๓๐ น.       เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้เรียกว่าเป็นยามมรณะ  จะเดินทางไปไหนมาไหนโปรดระมัดระวังให้ดีเดี๋ยวจะเป็นอันตรายไม่ตายก็คางเหลือง  จำได้ว่าในสมัยพล ต.อ. เผ่า  ศรียานนท์  อธิบดีกรมตำรวจ ได้ใช้ฤกษ์นี้เข้าปราบปรามโจรผู้ร้ายบาดเจ็บล้มตายกันระนาว  ท่านห้ามนักอย่าได้ทำการใดๆเลยมีแต่เสียกับเสียไม่มีได้  ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวร้ายแทบทั้งสิ้น
     -๑๖.๓๑ น. - ๑๘.๐๐ น.       เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้ดีทำการมงคลได้ทุกชนิด  เจรจาความเมืองดี  ทวงหนี้สินดีตกลงซื้อขายดี  ฉลองการขึ้นบ้านใหม่ก็ดีทั้งนั้น  เป็นยามที่มีฤกษ์ดีแต่ถ่ายเดียว  ข่าวที่ได้รับล้วนแล้วแต่เป็นข่าวดีแทบทั้งสิ้นไม่มีเสียเลย  ถ้าถามถึงคนป่วยว่าไม่ตาย จะหายป่วย
     -สรูปยามดียามร้ายของวันจันทร์ ภาคกลางวัน
        -ยามดี  คือยามที่  ๓    ๖    ๘
        -ยามร้าย  คือยามที่  ๑    ๒    ๔    ๕    ๗
           
           วันอังคารภาคกลางวัน
     -๖.๐๑ น. - ๗.๓๐ น.     เป็นยามภุมมะ
       -ยามนี้ ทำกิจการงานใดๆดีครึ่งเสียครึ่ง  ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า  ข่าวที่ได้รับดีและร้ายปานๆกันนั่นแหละ
     -๗.๓๑ น. - ๙.๐๐ น.     เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้เป็นยามปลอดโปร่ง จะทำอะไรจะติดต่ออะไรก็ดีทั้งนั้น  จะมีความสำเร็จดีนักแล  ข่าวที่ได้รับล้วนแล้วเป็นข่าวดีแทบทั้งสิ้น
     -๙.๐๑ น. - ๑๐.๓๐ น.    เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้เป็นยามร้ายไปไหนไม่สะดวกมักจะมีการหลอกลวงคดโกงต้มตุ๋นและทรยศหัก หลังกันต่างๆนานา  เซ็นสัญญาใดๆไม่ดี  ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวลวงแทบทั้งสื้น
     -๑๐.๓๑ น. - ๑๒.๐๐ น.    เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้เป็นยามปลอดโปร่งโล่งใจดี จะทำอะรไก็ดีทั้งนั้น  ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวดี
    -๑๒.๐๑ น. - ๑๓.๓๐ น.     เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้ ห้ามตกลงเป็นนายประกันให้เขาและการค้ำประกันทุกอย่าง  ห้ามรับคนเข้ามาอยู่ในบ้านจะกลับกลายเป็นงูพิษใครมาบอกข่าวให้ไปไหนจงอย่าไปโดยเด็ดขาดจะเกิดเป็นอันตราย
     -๑๓.๓๑ น. - ๑๕.๐๐ น.     เป็นยามเสารี
       -ยามนี้เป็นยามร้าย ถ้าใจร้อนจะแพ้แก่คนพาล  ไปไหนมาไหนไม่ดีโปรดระวัง  ข่าวที่ได้รับไม่ดีทั้งสิ้น
     -๑๕.๐๑ น. - ๑๖.๓๐ น.    เป็นยามคะรู
       -ยามนี้เป็นยามมรณะกาล ห้ามเดินทาง  ห้ามทำการรณรงค์สงคราม  ห้ามทำการมงคลทุกชนิด  ไม่จำเป็นอย่าทำการหักาญโดยเด็ดขาด ยามนี้ร้ายยิ่งนัก  ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวร้ายทั้งนั้น  ใตรมาชวนไปไหนมาไหนอย่าได้ไปเป็นเด็ดขาดขืนไปตายลูกเดียว
     -๑๖.๓๑ น. - ๑๘.๐๐ น.     เป็นยาภุมมะ
       -ยามนี้เป็นยามดีมาก  จะยาตราไปไหน ทำอะไรล้วนปลอดโปร่ง  จะจัดเลี้ยงสังสรรค์และทำสัญญาใดๆ ก็ใหรีบทำดีนักแล  ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นขาวดีทั้งสิ้น  ตำรวจจะจู่โจมจับตัวผู้ร้ายก็จะจับกุมได้หมด
     -สรูปยามดียามร้ายของวันอังคาร ภาคกลางวัน
        -ยามดี  คือยามที่  ๒    ๔    ๘
        -ยามร้าย  คือยามที่  ๓    ๕    ๖    ๗
        -ยามที่  ๑   คือยามครึ่งดีครึ่งร้าย 
        
           วันพุธภาคกลางวัน
     -๖.๐๑ น. - ๗.๓๐ น.    เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้ดีมากจะทำอะไรมักจะได้ผลดี  เด็กที่เกิดในยามนี้ท่านว่าสวรรค์ส่งมาเกิดมีบุญวาสนาดีจะเดินทางไปทางใดก็ สะดวกสบายดีมีอุปสรรคน้อยไม่ค่อยลำบากเหมือนคนอื่น   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวดีแทบทั้งนั้น
     -๗.๓๑ น. - ๙.๐๐ น.    เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้เหมาะแก่ฤกษ์มงคลรดน้ำสังข์ในการแต่งงาน  จะเข้าพระเข้านางก็ดี  จะเจรจาสู่ขอใช้ยามนี้ปลอดภัยยิ่งนัก  ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวดีแทบทั้งสิ้น
     -๙.๐๑ น. - ๑๐.๓๐ น.     เป็นยามเสารี
       -ยามนี้เป็นยามร้าย  เป็นทหารตำรวจออกลาดตระเวนโปรดระวังให้ดียามนี้ร้ายนัก  จะไปไหนมาไหนในที่เปลี่ยวอย่าได้ประมาทอาจจะถูกโจมตีได้ง่ายๆ  มีคนมาชวนให้ไปในที่เปลี่ยวด้วยกันอย่าได้ไปยามนี้ร้ายมากกว่าดี  ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวร้ายแทบทั้งนั้น
     -๑๐.๓๑ น. - ๑๒.๐๐ น.     เป็นยามคะรู
       -ยามนี้เป็นยามร้ายที่ต่อเนื่องกันมา  ไม่ควรทำการมงคลใดๆ  หากจะเดินทางไกลให้เลื่อนออกไปอย่าได้ไปในยามนี้เดี่๋ยวจะกลายเป็นผีเฝ้าถนนได้ง่ายๆ   ข่าวที่ได้รับมาล้วนเชื่อถือไม่ได้เลย
     -๑๒.๐๑ น. - ๑๓.๓๐ น.     เป็นยามภุมมะ
       -ยามนี้ดี เดินทางไกลไปค้าขายดีจะมีโชคลาภและผลกำไรงาม  ทำการมงคลดี  ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
     -๑๓.๓๑ น. - ๑๕.๐๐ น.      เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้ไม่ดีจะมีคนคิดปองร้าย  จะเดินทางไปไหนโปรดระวังให้ดีเดี๋ยวภัยจะมาถึงตัวอย่างไม่คาดฝัน คนคิดร้ายจะจู่โจมเอา  ข่าวที่ได้รับร้ายนักแล
     -๑๕.๐๑ น. - ๑๖.๓๐ น.     เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้เหมาะแก่การทวงหนี้หรือไปพบปะเจรจาเรื่องการงาน  จะไปหาใครเลือกยามนี้ดีที่สุดจะได้พบปะไม่หนีไปไหน  ตำรวจที่จะตามจับผู้ร้ายให้ใช้ยามนี้ดีที่สุดคงจะได้ตัวผู้ร้ายอย่างแน่นอนทีเดียว  โอกาสที่จะพบมีมาก   ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวดี
     -๑๖.๓๑ น. - ๑๘.๐๐ น.     เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้ห้ามการเดินทางไปในที่เปลี่ยวๆหรือในที่ๆมีอันตราย ถ้าไม่จำเป็นให้ยับยั้งเอาไว้ก่อนเป็นดีที่สุด  หากทำการอะไรแล้วมันไม่งอกเงยให้อยู่เฉยๆดีกว่า  ใครมาชักชวนให้ไปไหนการไม่ไปนั้นแหละเป็นดีที่สุด ถ้าไปอาจจะตายหรือมิฉะนั้ก็คางเหลือง   ข่าวที่ได้รับมาร้ายมากกว่าดีโปรดระมัดระวังให้มาก
      -สรูปยามดียามร้ายของวันพุธ ภาคกลางวัน
        -ยามดี  คือยามที่  ๑    ๒    ๕    ๗
        -ยามร้าย  คือยามที่  ๓    ๔    ๖    ๘      
               
              วันพฤหัสบดีภาคกลางวัน
     -๖.๐๑ น. - ๗.๓๐ น.          เป็นยามคะรู
       -ยามนี้เป็นยามที่เป็นมงคล  สร้างบ้านใหม่ ขึ้นบ้านใหม่  แต่งงานออกรถออกเรือ  เปิดร้านทำธุรกิจการค้าดี  ใช้เป็นฤกษ์ในการไปนั่งทำงานเป็นวันแรกดี  ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดีไม่มีเสีย
     -๗.๓๑ น. - ๙.๐๐ น.          เป็นยามภุมมะ
       -ยามนี้อยู่เฉยๆดีที่สุด  ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรเป็นดีที่สุด   ข่าวที่ได้รับมาล้วนไม่แน่นอน
     -๙.๐๑ น. - ๑๐.๓๐ น.          เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้เป็นยามดี จะทำการมงคลอะไรก็ดีทั้งนั้น จะไปสู่ขอและการแต่งงานดีทั้งนั้น   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวดีทั้งนั้น
     -๑๐.๓๑ น. - ๑๒.๐๐ น.          เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้ให้ระวังของหาย  คนหนี  เจ้าหนี้ตาม  ยามพลัดพรากทำอะไรก็ไม่ดี  บั้นปลายมือจะร้ายทำอะไรโปรดระวังให้ดี   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
     -๑๒.๐๑ น. - ๑๓.๓๐ น.          เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้เป็นยามแคล้วคลาด  จะไปทวงหนี้หริอติดต่อทำสัญญาใดๆไม่สะดวกพบก็มีเหตุขัดข้อง  ทำอะไรไม่ดีเลย  ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวร้าย
     -๑๓.๓๑ น. - ๑๕.๐๐ น.          เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้เป็นยามพลัดพรากโลเลไม่แน่นอน พบคนรักหรือทำอะไรในยามนี้เอาแน่นอนไม่ได้   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวที่ไม่แน่นอน
     -๑๕.๐๑ น. - ๑๖.๓๐ น.          เป็นยามเสารี
       -ยามนี้เรียกว่ายามชนะศึก  จะยาตราไปรบและเข้าจู่โจมจับกุมทำลายล้างพวกมิจฉาชีพดีนักแล มีแต่ได้ไม่มีเสีย  เป็นยามอุดมมงคลของขุนศึก   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวดี
     -๑๖.๓๑ น. - ๑๘.๐๐ น.          เป็นยามคะรู
       -ยามนี้ทำการมงคลดีทุกอย่างสะดวกสบายดีนักแล   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวดีทั้งสิ้นแล
     -สรูปยามดียามร้ายของวันพฤหัสบดี ภาคกลางวัน
        -ยามดี  คือยามที่  ๑    ๒    ๓    ๕    ๗    ๘
        -ยามร้าย  คือยามที่  ๔    ๖        
        
              วันศุกร์ภาคกลางวัน
     -๖.๐๑ น. - ๗.๓๐ น.    เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้เป็นยอดยามอุดมมงคล  จะเปิดบริษัทห้างร้านโรงงานโรงเรียนสมาคมและสำนักงาน  ขึ้นบ้านใหม่แต่งงาน  ปลูกบ้านสร้างเรือนยกเสาเอก  หรือจะเริ่มทำกิจการใดๆให้ตั้งเป็นยามปฐมฤกษ์ดียิ่งนักท่านเอ๋ย ถ้าปลูกบ้านสร้างเรือนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข  ถ้าใช้เป็นฤกษ์ในการแต่งงานก็จะถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร  ถ้าใช้เป็นฤกษ์เปิดร้านขายของกิจการค้าจะเจริญก้าวหน้าดียิ่งนัก   ข่าวที่ได้ยินมาล้วนแต่เป็นข่าวยอดดี
     -๗.๓๑ น. - ๙.๐๐ น.    เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้เป็นยามดีในการรดน้ำสังข์ในเวลาแต่งงานหรือฤกษ์ยกขันหมากดีนักจะอยู่กันยืดยาวดีไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ขาวที่ได้รับส่วนมากจะเป็นข่าวดี
     -๙.๐๑ น. - ๑๐.๓๐ น.    เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้ให้ระวังเรื่องข่าวลวงหรือคนพาไปไหนมาไหนอย่าได้ไปมันร้ายมากกว่าดี   ข่าวที่ได้รับร้ายทั้งสิ้นโปรดระมัดระวังให้ดี
     -๑๐.๓๑ - ๑๒.๐๐ น.    เป็นยามเสารี
       -ยามนี้ทำกิจการใดๆไม่ดี มักจะไม่สำเร็จ  จะตกลงทำสัญญาใดอย่าได้ทำในเวลานี้จะมีเรื่องให้ตามแก้ไม่มีที่สิ้นสุดข่าวที่ได้รับมาสับสนไม่แน่นอน
     -๑๒.๐๑ น. - ๑๓.๓๐ น.    เป็นยามคะรู
       -ยามนี้ห้ามทำการมงคลใดๆทั้งสิ้น  การเดินทางก็ควรงด อย่าได้ไปเป็นหมู่คณะในยามนี้ จะได้กลับมาไม่หมดแล ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวไม่ดี
     -๑๓.๓๑ น. - ๑๕.๐๐ น.    เป็นยามภุมมะ
       -ยามนี้เป็นยามแห่งการต่อสู้  การจู่โจม  การเข้าเจรจาขายของหรือการขอสินเชื่อดีนักแลจะทำสำเร็จโดยง่ายดายข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวดี
     -๑๕.๐๑ น. - ๑๖.๓๐ น.          เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้เป็นยามเหมาะแก่การนัดพบ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม  นัดพบแล้วได้ผลสมความมุ่งหมาย  จะขอเข้าพบผู้ใหญ่ก็ได้ทั้งนั้น  จะเจรจาขอความเห็นใจก็คล่องดี    ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวดีทั้งสิ้น
     -๑๖.๓๑ น. - ๑๘.๐๐ น.    เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้เป็นยามดี จะรดน้ำสังข์แต่งงานก็ดีทั้งนั้น  จะใช้ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์สำเร็จก็ได้ดีนักแล   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
     -สรูปยามดียามร้ายของวันศุกร์ ภาคกลางวัน
        -ยามดี  คือยามที่  ๑    ๒    ๖    ๗    ๘
        -ยามร้าย  คือยามที่  ๓    ๔    ๕
                  วันเสาร์ภาคกลางวัน
     -๖.๐๑ น. - ๗.๓๐ น.     เป็นยามเสารี
       -ยามนี้เป็นยามแห่งชัยชนะ  ใชเคลื่อนพลทหารหรือตำรวจเขาจับกุมพวกทุจิตมิจฉาชีพ     ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
   -๗.๓๑ น. - ๙.๐๐ น.         เป็นยามคะรู    
     -ยามนี้เป็นยามหลอกลวงล้วงตับคู่ศัตรู  โปรดระวังการหลอกลวง   ถ้าจะทำเอกสารสัญญาใดๆให้ทบทวนดูให้ดีๆเสียก่อน  จะรับคนเข้ามาอยู่อาศัยภายในบ้านโปรดดูให้ดีๆเสียก่อนเดี๋ยวจะเสียใจในภายหลัง   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวลวง
     -๙.๐๑ น. - ๑๐.๓๐ น.    เป็นยามภุมมะ
       -ยามนี้เป็นยามที่เหมาะในทางการเจรจา    ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
     -๑๐.๓๑ น. - ๑๒.๐๐ น.     เป็นยามสุริชะ
       -ยามนี้เหมาะแก่การการู่โจม ตัดหน้าและการเจรจาตัดสินใจโดยรีบด่วน  ต้องแก่งแย้งแข่งขันชิงดีชืงเด่นเอาชัยชนะใช้ฤกษ์นี้ดีนักแล    ข่าวที่ได้รับไม่แน่นอนอะไรอาจจริงหรืออาจเท็จก็ได้
     -๑๒.๐๑ น. - ๑๓.๓๐ น.    เป็นยามศุกะระ
       -ยามนี้เหมาะแก่การหลบหนี  แหกด่าน  แหกที่คุมข้ง หรือการโจมตีข้าศึกศัตรูให้พินาศ  จะมีโอกาสรอดมากกว่าเสีย ข่าวที่ได้รับมีทั้งข่าวดีและข่าวเสีย
     -๑๓.๓๑ น. - ๑๕.๐๐ น.    เป็นยามพุธะ
       -ยามนี้เป็นยามที่ไม่ดี  ห้ามทำการมงคลทั้งปวง  ถ้าเจ็บไข่ได้ป่วยจะร้ายแรง  ใครมาชวนไปไหนมาไหนให้ระวัง อย่าได้ไว้ใจเป็นเด็ดขาดจะเป็นอันตรายในภายหลัง     ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวลวงอย่าไว้ใจ
     -๑๕.๐๑ น. - ๑๖.๓๐ น.     เป็นยามจันเทา
       -ยามนี้เป็นยามร้าย  ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีอาการหนัก  จะไปไหนมาไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆให้งดไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง     ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
     -๑๖.๓๑ น. - ๑๘.๐๐ น.          เป็นยามเสารี
       -ยามนี้ดียิ่งนักแล  จะทำการมงคลสิ่งใดก็ดีทุกอย่าง จะติดต่อการงานใดๆก็ดีทั้งนั้นให้เร่งทำเถิด   ข่าวที่ได้รับล้วนแล้วแต่เป็นข่าวดีทั้งสิ้น
     -สรูปยามดียามร้ายของวันเสาร์ ภาคกลางวัน
        -ยามดี  คือยามที่  ๑    ๓    ๔    ๕    ๘
        -ยามร้าย  คือยามที่  ๒   ๖    ๗
 
          ยามอัฏฐกาล ภาคกลางคืน
   
              วันอาทิตย์ภาคกลางคืน
     -๑๘.๐๑ น. - ๑๙.๓๐ น.     เป็นยามระวิ
       -ยามนี้ให้ระวังโจรผู้ร้าย  การแตกหัก  การเสียข้าวของ  การพลัดตกหกล้ม  ระวังจะถูกงูพิษกัดหรือแมลงมีพิษต่อยไม่ควรกระทำการมงคล  แต่เป็นฤกษ์ดีในการจู่โจมเข้าจับกุมและการตรวจค้นเหมาะสมที่สุด   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวร้ายแทบทั้งสิ้น
     -๑๙.๐๑ น. - ๒๐.๐๐ น.     เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เหมาะแก่การโจมตี  การทำสงครามและการตกลงธุรกิจต่างๆที่ต้องมีการตกลงรายการใหญ่ๆ เหมาะมากในช่วงนี้  จะเข้าจับกุมผู้ร้ายก็ดีนักแล  จะมีชัยสมคะเนทุกประการ  ข่าวที่ได้รับสวนมากเป็นข่าวดี
     -๒๐.๐๑ น. - ๒๒.๓๐ น.     เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้ทำการมงคลส่งตัวเข้าห้อหรือทำการฉลองขึ้นบ้านใหม่  เจิมเสาเอกเสาโทหรือทำการมงคลนีนักแล  ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวดีแทบทั้งสิ้น
     -๒๒.๓๑ น. - ๒๔.๐๐ น.     เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้ไม่ให้ทำการมงคล  เพียงแต่ให้ตั้งทัพรออยู่กับที่คอยรับมือโจรผู้ร้าย  ให้งดเว้นการเดินทาง  ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวร้ายแทบทั้งสิ้น
     -๒๔.๐๑ น. - ๐๑.๓๐ น.     เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้ไม่เหมาะแก่การทำมงคลทุกชนิด  แต่เหมาะสำหรับการเข้าทำศึกเพื่อชัยชนะนับว่าได้ผลดี
     -๐๑.๓๑ น. - ๐๓.๐๐ น.     เป็นยามโสโร
       -ยามนี้ห้ามทำการมงคลโดยเด็ดขาด    ถ้าเป็นทหารระวังจะถูกโจมตีรับอรุณ  รณรงค์สงครามก็ไม่ดีระวังจะถูกดักซุ่มโจมตี  เป็นยามไพร่พลเข้าเมืองไม่เฟื้องฟู
     -๐๓.๐๑ น. - ๐๔.๓๐ น.     เป็นยามพุโธ
​       -ยามนี้ไม่เหมาะแก่การทำมงคลทุกชนิด  เป็นยามที่กรุงศรีอยุธยาแตกเสียเอกราชแก่พม่าข้าศึก  ถ้าเป็นทหารให้ระวังข้าศึกจะโจมตีอย่าประมาท
     -๐๔.๓๑ น. - ๐๖.๐๐ น.     เป็นยามระวิ
       -ยามนี้เป็นยามที่ห้ามการทำมงคลทุกชนิด ห้ามการเดินทางยับยั้งอยู่กับที่ดีที่สุด
     -สรูปยามดียามร้ายของวันอาทิตย์ ภาคกลางคืน
       -ยามดี  คือยามที่  ๒    ๓    ๘
       -ยามร้าย  คือยามที่  ๑    ๔    ๕    ๖    ๗      
            วันจันทร์ภาคกลางคืน
     -๑๘.๐๑ น. - ๑๙.๓๐ น.     เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้ดีนักแลทำอะไรก็ไม่ติดขัด  เด็กที่เกิดในยามนี้จะมีตบะเดชะมากและมีปัญญาประเสริฐเลิศนักแล
     -๑๙.๓๑ น. - ๒๑.๐๐ น.    เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้ทำงานมงคลดีนัก  จะส่งตัวเข้าหอดี  จะตกลงทำสัญญาใดๆก็ดีทั้งนั้น  ไม่เหมาะอย่างเดียวคือการจับกุมจี้ปล้นและหลอกลวงมีหวังติดคุกหัวโตอย่างแน่นอน
     -๒๑.๓๑ น. - ๒๒.๓๐ น.     เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้ห้ามการทำมงคลทุกชนิด  งดการเจรจาหารือ ควรจะออมชอมไม่งั้นจะวงแตก
     -๒๒.๓๑ น. - ๒๔.๐๐ น.     เป็นยามโสโร
       -ยามนี้ร้ายหรือดีก็พอๆกันได้ครึ่งเสียครึ่ง   ทำการได้แต่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่น ตำรวจจะไปทะลายแก๊งมิจฉาชีพอย่างถอนรากถอนโคนจะทำการจับกุมไม่ได้หมด  ตัวการจะหนีไปได้  ข่าวที่ได้รัยดีร้ายพอๆกัน
     -๒๔.๐๑ น. - ๑.๓๐ น.     เป็นยามพุโธ
       -ยามนี้ร้าย ห้ามออกจากเคหสานไปทำธุรกิจข้างนอกบ้าน  เป็นยามยมขันธ์ไม่มีดีมีแต่ร้ายกับตาย  ถ้าไม่อยากคอขาดบาดตายอย่าได้ออกไปเชียวร้ายยิ่งนัก  ใครมาเรียกอย่าขานอย่าเปิดประตูรับ  เว้นไว้แต่ได้นัดเวลากันไว้หรือเคยเป็นคนเข้านอกออกในมาก่อน  ถึงเป็นคนในก็ให้ระว้งอย่าได้ไว้ใจเป็นดีที่สุด
     -๑.๓๑ น. - ๓.๐๐ น.      เป็นยามระวิ
       -ยามนี้เป็นยามปลอดดีนักแล  แต่เวลานี้ส่วนใหญ่จะนอนหลับกันหมดแล้ว
     -๓.๐๑ น. - ๔.๓๐ น.     เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เป็นยามดีรับอรุณ  จะจู่โจมจับกุมหรือทำการมงคลใดๆก็จงเลือกเอาตามสบาย  ข่าวที่ได้รับดีทั้งนั้น  คนป่วยว่าจะตายอาจจะไม่ตายก็ได้
     -๔.๓๑ น. - ๖.๐๐ น.     เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้ยอดเยี่ยมดีนักแลจะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น  
        -สรูปยามดียามร้ายของวันจันทร์ ภาคกลางคืน
         -ยามดี  คือยามที่  ๑    ๒    ๖    ๗    ๘
         -ยามร้าย  คือยามที่  ๓    ๕
         -ยามที่  ๔  เป็นยามครึ่งดีครึ่งร้าย     
            วันอังคารภาคกลางคืน
     -๑๘.๐๑ น. - ๑๙.๓๐ น.     เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้เป็นยามที่พระรถได้ดวงตาของนางสิบสองแล้วจะกลับเมืองยักษ์  ยามนี้ปลอดโปร่งดีนักแล  จะทำการสิ่งใดก็จะสัมฤทธ์ผลทุกอย่าง ท่านว่าดีเยี่ยมให้รีบทำเถิด
     -๑๙.๓๑ น. - ๒๑.๐๐ น     เป็นยามโสโร
       -ยามนี้เป็นยามดีสำหรับผู้เล่นหุ้นและเล่นการพนัน  จะเล่นเป็นเจ้ามือหรือลูกมือก็ได้ท่านว่าดีนักแล  ท่านเรียกยามนี้ว่า "เป็นยามผีพนัน" แต่อย่างอื่นไม่ดี
     -๒๑.๐๑ น. - ๒๒.๓๐ น.     เป็นยามพุโธ
       -ยามนี้เป็นยามดี  ตกลงทำสัญญาอะไรก็ดีทั้งนั้นตลอดปลอดภัยดีทุกประการ
     -๒๒.๓๑ น. - ๒๔.๐๐ น.     เป็นยามระวิ
       -ยามนี้เป็นยามมรณะอีกยามหนึ่ง  ห้ามการทำมงคลทุกชนิด  และห้ามการเดินทางอีกด้วย
     -๒๔.๐๑ น. - ๑.๓๐ น.     เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เป็นยามที่พิลึกกึกกือ คือยามที่ทำให้ยามที่ร้ายกลับกลายเป็นดี  ทำการมงคลได้แม้ว่าฤกษ์แวดล้อมจะเสียก็ตาม  สำรับยามนี้ใช้ข่มฤกษ์อื่นยามอื่นได้ทั้งหมด  ทำอะไรให้รีบทำเถิดดีนักแล  ข่าวที่ได้รับถึงเป็นข่าวร้ายก็จะกลับกลายเป็นดีไปหมด
     -๑.๓๑ น. - ๓.๐๐ น.     เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้เป็นยามฉุกละหุกมากจะจับกุมหรือหลบหนีมีโอกาสเท่าๆกัน คือรอดก็รอดไปเลย  ถ้าไม่รอดก็ปะทะหรือจะเอ๋กันไปเลย  ดังนั้นยามนี้จึงไม่เหมาะกับการเสี่ยงใดๆ ไม่ดีเลย  ข่าวร้ายกับข่าวดีก็พอๆกัน
     -๐๓.๐๑ น.  -  ๐๔.๓๐ น.     เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้เป็นยามร้าย ไม่ควรจะออกนอกชายคาบ้าน  โจรผู้ร้ายและภัยต่างๆมีมากหลายและอันตรายก็ล้นเหลือ  จะนัดผู้หญิงพาหนีหรือพาขึ้นโรงแรมระวังจะถูกจับได้ง่ายๆ  ยามนี้ไม่ควรทำงานมงคลทุกชนิด  ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
     -๐๔.๓๑ น.  -  ๐๖.๐๐ น.      เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้ดีนักแล ทำมงคลอะไรก็ได้  ยกฤกษ์เบิกอรุณกันเลยทีเดียว ไม่ต้องกลัวทำการมงคลได้ทุกชนิด  ข่าวที่ได้รับดีมากไม่ต้องสงสัยเลย  คนป่วยทายว่าจะรอดไม่ตายเลย
     -สรูปยามดียามร้ายของวันอังคาร ภาคกลางคืน
        -ยามดี  คือยามที่  ๑    ๒    ๓    ๕    ๘
       -ยามร้าย  คือยามที่  ๔    ๖    ๗
        
         วันพุธภาคกลางคืน
     -๑๘.๐๑ น. - ๑๙.๓๐ น.      เป็นยามพุโธ
​       -ยามนี้ตกยามพระลอเดินดงไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไรไม่ได้ไม่เสีย ไปไหนมาไหนเพื่อแสวงหาโชคลาภไม่ดีเลย  แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไรเพราะผ่านยามร้ายมาแล้ว  ข่าวที่ได้รับมีทั้งดีและร้ายก้ำกึ่งกัน
     -๑๙.๓๑ น. - ๒๑.๐๐ น.     เป็นยามระวิ
       -ยามนี้ จะขอช่วยเหลืออะไรก็เร่งทำเถิดดีนักแล  เหมาะแก่ผู้หลักผู้ใหญ่จะให้ความเมตตาช่วยเหลือแก่ผู้น้อย  ข่าวที่ได้รับดีมากกว่าร้าย
     -๒๑.๐๑ น. - ๒๒.๓๐ น.     เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เป็นยามเลือกคู่เรียงหมอนอ้อนออดงอนง้อขอความรักหรือเจรจาเรื่อง ปัญหาหัวใจดีที่สุด  มันจะทำให้ผู้หญิงหัวใจอ่อนเพราะมันเป็นยามที่ทำให้คนหัวใจอ่อนได้ง่ายๆ  ข่าวที่ได้รับส่วนมากจะเป็นข่าวดี
     -๒๒.๓๑ น. - ๒๔.๐๐ น.     เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้ทำธุรกิจเรื่องความรักดีนักแล  ข่าวที่ได้รับส่วนใหญ่ดี
     -๒๔.๐๑ น. - ๑.๓๐ น.      เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้เป็นยามโสกาอาดูร  มีแต่ความหดหู่รันทดใจ  ไปไหนมาไหนโปรดระวังให้ดีเดี๋ยวจะมีภัย   ข่าวที่ได้รับมีแต่ข่าวร้ายทั้งนั้น
     -๑.๓๑ น. - ๓.๐๐ น.       เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้เป็นยามไม่ดีเพราะเป็นยามปล่อยคุณไสย์  ยามผีออกหลอกหลอนและเป็นยามกาลีอีกด้วย  ห้ามมิให้ออกจากเคหสถานบ้านเรือน  ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวร้าย
     -๓.๐๑ น. - ๔.๓๐ น.      เป็นยามโสโร 
       -ยามนี้เป็นยามกึ่งดีกึ่งร้าย ไม่ควรทำการมงคลใดๆทั้งสิ้น  ข่าวที่ได้รับมาล้วนแต่เป็นข่าวที่ไม่แน่นอน
     -๔.๓๑ น. - ๖.๐๐ น.      เป็นยามพุโธ
       -ยามนี้เป็นยามอุดมมงคล  จะยกขันหมากหรือยาตราทัพดีทั้งนั้น  ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดีทั้งนั้น
     -สรูปยามดียามร้ายของวันพุธ ภาคกลางคืน
       -ยามดี  คือยามที่   ๒   ๓   ๔   ๘
       -ยามร้าย  คือยามที่  ๕    ๖    ๗
       -ยามที่ ๑  เป็นได้ทั้งดีและร้าย
        
         วันพฤหัสบดีภาคกลางคืน
     -๑๘.๐๑ น. - ๑๙.๓๐ น.    เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เป็นยามบอกรัก ใช้ในการฝากรักดีนักแล  ทำการมงคลอะไรก็ดีทั้งนั้น   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
     -๑๙.๓๑ น. - ๒๑.๐๐ น.    เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้เป็นยามดีใช้เป็นฤกษ์ในการสู่ขอหรือประกอบพิธีในการหมั้นหมายดีนักแล  จะทำการมงคลอะไรก็ดีทั้งนั้น   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
     -๒๑.๐๑ น. - ๒๒.๓๐ น.     เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้เป็นยามดีในการแสวงหาคู่ บอกฝากรักดีนักแล  จะทำให้เพศตรงกันข้ามเกิดความเห็นอกเห็นใจ   ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวดี
     -๒๒.๓๑ น. - ๒๔.๐๐ น.     เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้ใช้เป็นฤกษ์ส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอดีนักแล  ใช้เป็นฤกษ์เรียงหมอนอย่างง่ายๆดีนัก    ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
     -๒๔.๐๑ น. - ๑.๓๐ น.    เป็นยามโสโร
       -ยามนี้เป็นยามครึ่งดีครึ่งร้าย  ไม่ควรทำการมงคลอะไรเป็นดีที่สุดเพราะเป็นฤกษ์เสีย   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวไม่ดี
     -๑.๓๑ น. - ๓.๐๐ น.     เป็นยามพุโธ
       -ยามนี้เป็นยามมรณะห้ามออกจากบ้าน  ห้ามเปิดประตูรับคนเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน   ห้ามออกลาดตระเวณโดยเด็ดขาดจะมอดม้วยมรณา   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวร้าย
     -๓.๐๑ น. - ๔.๓๐ น.      เป็นยามระวิ
       -ยามนี้เป็นยามร้ายสำหรับผู้เดินทางในทางน้ำ  อย่าเดินทางในทางเรือจะประสบกับภัยของพายุเรือจะอับปางหรือเรือแตก  ยามนี้ชาวเรือควรระมัดระวังให้มาก  เพราะเป็นยามสมุทรพิโรธแล
     -๔.๓๑ น. - ๖.๐๐ น.      เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เป็นยามที่ดีมาก  จะเดินทางและจะทำการมงคลใดๆก็ดีทั้งนั้นรีบทำเถิด  ยามนี้ถือเป็นมงคลฤกษ์   ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
       -สรูปยามดียามร้ายของวันพฤหัสบดี ภาคกลางคืน       
         -ยามดี  คือยามที่  ๑    ๒    ๓    ๔    ๘
         -ยามร้าย  คือยามที่  ๖    ๗ 
         -ยามที่  ๕  เป็นได้ทั้งดีและร้าย

          วันศุกร์ภาคกลางคืน
     -๑๘.๐๑ น. - ๑๙.๓๐ น.     เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้เป็นยามดีเป็นฤกษ์ที่มีชัยใช้ทำมงคลได้ทุกอย่างตามแต่จะปราถนาดีนักแล    ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวดี
     -๑๙.๓๑ น. - ๒๑.๐๐ น.     เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้ร้ายเหลือดี เรื่องดีจะกลับกลายเป็นร้ายไปหมด  การทวงหนี้การปรับความเข้าใจจะไม่สำเร็จ  ความอวดดีจะกลับกลายเป็นเรื่องเลวร้าย  ให้ระมัดระวังให้ดี    ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวร้าย
     -๒๑.๐๑ น. - ๒๒.๓๐ น.     เป็นยามโสโร
       -ยามนี้ห้ามไม่ให้กระทำการมงคลใดๆทั้งสิ้น  ทำไปไม่เกิดผลดีจะกลับกลายเป็นผลร้ายไปหมดห้ามโดยเด็ดขาด     ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
     -๒๒.๓๑ น. - ๒๔.๐๐ น.    เป็นยามพุโธ
       -ยามนี้ไม่ดีเลย ไม่ควรออกจากบ้านไปไหนมาไหน    ข่าวที่ได้รับร้ายนัก
     -๒๔.๐๑ น. - ๑.๓๐     เป็นยามระวิ
       -ยามนี้ร้ายนักไม่ดีเลย  ทำการร้ายมิได้เดี๋ยวจะถูกจับกุมหรือมีอันเป็นไปอย่างแน่นอน  ไม่ควรทำการมงคลใดๆทั้งสิ้น ข่าวที่ได้รับไม่ดีเลย
     -๑.๓๑ น. - ๓.๐๐ น.    เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เป็นดิถีพิฆาต  จะยาตราไปไหนโปรดระวังให้ดีจะเป็นอันตราย   ข่าวที่ได้รับร้ายทั้งนั้นไม่ควรเชื่อถือ   เป็นกฤษ์จี้ปล้น
     -๓.๐๑ น. - ๔.๓๐ น.    เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้เป็นยามดี  จะทำการมงคลใดๆก็ดีทั้งนั้น    ข่าวที่ได้รับล้วนแต่เป็นข่าวดี
     -๔.๓๑ น. -๖.๐๐ น.     เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้เป็นยามดีรับอรุณ  จะเดินทางไปไหนมาไหนก็จะมีแต่ความปลอดภัย  จะประสบแต่ควาสุขความเจริญ  ทำการมงคลใดๆก็ดีทั้งนั้น     ข่าวที่ได้รับล้วนแล้วแต่เป็นข่าวดีทั้งสิ้นไม่มีเสีย
    -สรูปยามดียามร้ายของวันศุกร์ ภาคกลางคืน
      -ยามดี  คือยามที่   ๑   ๗   ๘
      -ยามร้าย คือยามที่   ๒   ๓    ๔    ๕    ๖  

            วันเสาร์ภาคกลางคืน
     -๑๘.๐๑ น. - ๑๙.๓๐ น.     เป็นยามโสโร
       -ยามนี้เข้าไปหาเจ้านาย  เจรจาปรับความเข้าใจกันดียิ่งนัก  เจรจาขอความช่วยเหลือต่างๆก็ดี     ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวดี
     -๑๙.๓๑ น. - ๒๑.๐๐ น.    เป็นยามพุโธ
       -ยามนี้รับอาสาเจ้านายดี  สื่อข่าว  ส่งเอกสารและทำการติดต่อประสานงานต่างๆดีนักแล     ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวที่แน่นอน
     -๒๑.๐๑ น. - ๒๒.๓๐ น.    เป็นยามระวิ
       -ยามนี้เป็นยามที่เหมาะแก่การโจมตี  การแอบดูพฤติกรรมของคนร้ายที่ลักล้อบทำผิดกฏหมาย  จะรู้เบาะแสการทำชั่วของมันได้ดี     ข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวดี
     -๒๒.๓๐ น. - ๒๔.๐๐ น.    เป็นยามชีโว
       -ยามนี้เป็นยามดักพบลูกหนี้  หรือดักจับคนร้ายดีทำอย่างอื่นไม่ดี   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวร้ายโปรดระวัง
     -๒๔.๐๑ น. - ๑.๓๐ น.     เป็นยามศะศิ
       -ยามนี้เหมาะแก่การส่งกำลังบำรุง  การรุกรบบุกโจมตีให้แตกกระจายจะได้ชัยชนะโดยง่าย  เรียกว่า "ฤกษ์หนุมานทลายสวน" ข่าวที่ได้รับครึ่งดีครึ่งร้าย
     -๑.๓๑ น. - ๓.๐๐ น.     เป็นยามศุกะโร
       -ยามนี้ห้ามทำการมงคลทุกชนิด  ถ้ามีเสียงเอะอะเอ็ดตะโรภายนอกบ้าน จงอย่าได้ใส่ใจมันเป็นยามร้าย   อย่าออกนกเคหสถานบ้านเรือน   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวร้ายทั้งสิ้น
     -๓.๐๑ น. - ๔.๓๐ น.     เป็นยามภุมโม
       -ยามนี้ ห้ามทำการมงคลทุกชนิด  ถ้าคิดตัดช่องย่องเบาและจี้ปล้นในเวลานี้ มีหวังเข้าไปนอนในมุ้งสายบัวแน่นอนข่าวที่ได้รับล้วนเป็นข่าวร้าย
     -๔.๓๐ น. - ๖.๐๐ น.    เป็นยามโสโร
       -ยามนี้เป็นยามร้าย  ไม่ควรทำการมงคลทุกชนิด  ให้ระวังจะเกิดอุบัติเหตุ   ข่าวที่ได้รับเป็นข่าวร้ายแทบทั้งสิ้น
     -สรูปยามดียามร้ายของวันเสาร์ ภาคกลางคืน
       -ยามดี  คือยามที่  ๑   ๒    ๓   ๕   
       -ยามร้าย คือยามที่  ๔    ๖    ๗    ๘
     ๐ยามอัฏฐกาลใช้ดูฤกษ์ในการเดินทาง   การแต่งงาน   การสร้างบ้านใหม่   การขึ้นบ้านใหม่  การเปิดร้านใหม่   การออกรถออกเรือ   การเจรจาความ   และการทำงานมงคลทุกชนิดได้แม่นยำยิ่งนัก
               วิธีนำสิ่งของขึ้นบ้านใหม่
    ๐การนำสิ่งของต่างๆ ขึ้นไปบนบ้านหลังใหม่ให้เรียงตามลำดับขั้นตอนดังนี้
      ๑.ให้คนอุ้มพระพุทธรูปขึ้นไปเป็นคนแรก  คนอุ้มพระพุทธรูปจะต้องเป็นผู้ชายสูงอายุ
      ๒.คนถือหินลับมีด
      ๓.คนถือไม้เท้า
      ๔.คนอุ้มไก่ขาว
      ๕.คนอุ้มแมวขาว
      ๖.คนถือฟักแฟง
      ๗.คนถือถั่วเขียว
      ๘.คนถืองา
      ๙.คนถือสาคู
      ๑๐.คนถือข้าวเปลือก
      ๑๑.คนถือข้าวตอก
      ๑๒.ดอกไม้  ควรเป็นดอกมะลิลา
              
                   นี่คือดอกมะลิลาที่มีกลิ่นหอม   
    คนอุ้มพระพุทธรูปเมื่อขึ้นไปบนบ้านแล้ว  ให้เอาพระพุทธรูปไปตั้งไว้บนโต๊ะบูชา  ส่วนคนอื่นๆก็ให้เอาสิ่งของที่ตนถือมาไปเก็บไว้เป็นที่เป็นทาง  ต่อจากนั้นคนถือข้าวตอกดอกไม้  ให้โปรยข้าวตอกดอกไม้ไปให้ทั่วบริเวณบ้าน    ลำดับต่อไปก็ไหว้พระรับศีลและพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นศิริมงคลต่อไป
 
                     วิธีแก้เสาตกมัน
      
    ๐บ้านเรือนใครถ้ามีเสาตกมันให้รีบแต่งเครื่องแก้เสีย  ถ้าปล่อยไว้นานอาจจะเป็นผลร้ายแก่เจ้าของบ้าน  เครื่องแก้เสาตกมันที่ทำแล้วเกิดผลดีมีดังนี้
     ๑.ข้าวตอก        ๗      กระทง
     ๒.ดอกดาวเรือง       ๗      ดอก
     ๓.กระแจะ       ๓      ก้อน
     ๔.แป้งหอม       ๑      ขวด
     ๕.น้ำมันจันทน์       ๑      ขวด
     ๖.ทองคำเปลว       ๗      แผ่น
     ๗.พวงมาลัย       ๑      พวง
     ๘.ดอกมะลิสด       ๑      ขัน
     ๙.ข้าวสุก       ๓      ปั้น
     ๑๐.ข้าวเปลือก       ๑      ขัน
     ๑๑.ข้าวสาร       ๑      ขัน
     ๑๒.เมี่ยง       ๗      คำ
     ๑๓.หมากพลู       ๗      คำ
     ๑๔.บุหรี่       ๗      มวน
     ๑๕.เหล้าแดง       ๑      แก้ว
     ๑๖.เนื้อปลาต้มสุกแล้ว       ๓      ตัว
     ๑๗.หมูนอนตอ       ๓      ชิ้น
     ๑๘.ขนมต้มแดง       ๓      ก้อน
     ๑๙.ขนมต้มขาว       ๓      ก้อน
     ๒๐.มะพร้าวอ่อน       ๑      ลูก
     ๒๑.ผลไม้       ๗      ผล
     ๒๒.แหวนนพเก้า       ๑      วง
     ๒๓.ผ้าขาวยาว       ๓      ศอก    ๑    ผืน
     ๒๔.ผ้าแดงยาว       ๓      ศอก    ๑   ผืน
     ๒๕.ผ้าเหลืองยาว       ๓      ศอก    ๑    ผืน
     ๒๖.ผ้าสีชมพูยาว       ๓      ศอก     ๑    ผืน
     ๒๗.ผ้าแพร       ๓      สี     อย่างละ    ๑    ผืน
     ๒๘.เงินเหรียญบาท       ๗      เหรียญ
     ๒๙.สร้อยคอทองคำแท้       ๑      เส้น   ทำพิธีเสร็จแล้วค่อยเอามาคืน
     ๓๐.ฉัตร       ๙      คัน
     ๓๑.ธง       ๙      สี
     ๓๒.ผ้านุ่ง       ๑      ชุด
     ๓๓.ผ้าห่ม       ๑      ผืน
     ๓๔.เสื้อผ้าหลายๆสีรวมกัน       ๑      ชุด
    ๐วิธีแก้: ให้จัดเครื่องสังเวยเหล่านี้ตั้งไว้ตรงหน้าเสาที่ตกมัน  จุดธูป  ๙  ดอก  เทียนเล่มบาท  ๕  เล่ม  ให้กล่าวสัคเคเทวดา เสร็จแล้วให้กล่าวคำถวายเครื่องสังเวยแก่เทวดา แล้วแต่จะกล่าวขอให้กล่าวแต่สิ่งดีๆก็แล้วกัน  เมื่อกล่าวถวายเครื่องสังเวยเสร็จแล้วให้ขอโชคลาภและความสำเร็จ   ต่อจากนั้นก็ให้เอาแป้งหอม, กระแจะ และน้ำมันจันทน์คลุกเคล้ากันแล้วจุนเจิมเสา  เสร็จแล้วให้ปิดแผ่นทองคำเปลวแล้วเอาพวงมาลัยแขวนไว้ที่เสา  แล้วจึงปล่อยทิ้งไว้  ๓  วัน  จึงค่อยเก็บเครื่องสังเวยเหล่านั้น   เมื่อทำได้เช่นนี้วิธีการแก้ก็สมบูรณ์ ฯ
    ๐หมายเหตุ:-หมูนอนตอ  คือหมูสามชั้นที่ต้มสุกแล้ว
                       -นี่คือภาพขนมต้มแดงและขนมต้มขาว  
                                
 
                           เรื่องการแต่งงาน
         
    ๐ลำดับขั้นตอนของการแต่งงานมี  ๙   อย่าง  คือ:-
       ๑.การหมั้น
       ๒.การแต่งงาน
       ๓.การรดน้ำสังข์
       ๔.การเลี้ยงพระ
       ๕.การบายศรีสู่ขวัญ
       ๖.การปูที่นอน
       ๗.ฤกษ์ในการส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ
       ๘.การไหว้ดวงวิญญาณปู่ย่าตายาย
       ๙.วัน เดือน ปี ที่นิยมในการแต่งงาน
                       การหมั้น
     
    ๑.ให้หาฤกษ์ในการหม้้น   การหาฤกษ์ในการหมั้นนั้นให้ดูฤกษ์ในการขึ้นบ้านใหม่ใช้หาโดยวิธีเดียวกัน
     ๒.สิ่งที่จะต้องจัดหาในการหมั้น  คือ:-
         ๒.๑ ขันเงินและขันทอง  หรือจะเป็นพานเงินหรือพานทองก็ได้
         ๒.๒ หมากสด       ๖     ลูก
         ๒.๓ ใบพลูสด       ๖     ใบ
         ๒.๔ เงินทองและของหมั้น
         ๒.๕ แหวนหมั้น
         ๒.๖ สักขีพยาน ให้เอาผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือไปด้วย
         ๒.๗ หาฤกษ์ในการสวมแหวนหมั้น
         ๒.๘ พวงดอกไม้สด
         ๒.๙ บายศรีเล็ก  ๑  คู่
                
                   นี่คือรูปของบายศรีเล็ก
    ๐พานเงินให้ใส่หมากสด, ใบพลู, และพวงดอกไม้สด     ส่วนพานทองให้ใส่เงินสินสอดและแหวนหมั้นพร้อมด้วยพวงดอกไม้สด
    ของหมั้นทั้งหมด   ถ้าฝายชายผิดสัญญาในการหมั้น  ฝ่ายหญิงจะต้องยึดเอาไว้ทั้งหมดในฐานะที่ทำให้ฝ่ายหญิงเกิดความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง  แต่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นคนผิดสัญญา ของหมั้นทั้งหมดจะต้องส่งคืนให้แก่ฝ่ายชายในฐานะที่ทำให้ฝ่ายชายเกิดความผิดหวังและเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศ  ถ้าไม่ส่งคืนโดยดีสามารถฟ้องร้องต่อศาลเรียกคืนได้
                   การแต่งงาน
    ๐การแต่งงานมีสิ่งที่จะต้องจัดเตรียมดังนี้
      ๑.ขันหมาก   ๓   ขัน
          -ขันหมากใบแรก  ให้ใส่ข้าวสารและหมากพลู  หมากพลูให้ใส่ในตะลุ่มที่มีฝาปิดมิดชิดแล้วจึงเอาวางไว้บนขัน  เช่น
               
                    นี่คือตะลุ่มไม้ประดับมุก
             -ขันใบที่สอง  ให้ใส่เงินสินสอด
         -ขันใบที่สาม   ให้ใส่ถั่ว, งา, ข้าวเปลือก, ใบเงินใบทองและใบนาก, ดอกไม้ธูปเทียน  เพื่อจะเอาไปไหว้บิดามารดาของเจ้าสาว และยังใช้ไหว้ผีปู่ย่าตายายได้อีกด้วย
         -ส่วนเงินสินสอดให้ใส่เกินกำหนดไว้  ๙๙๙  บาท
                การรดน้ำสังข์
      
      ๐การรดน้ำสังในพิธีแต่งงาน ให้ดำเนินตามขั้นตอนดังนี้
      ๑.ให้พระรดน้ำมันต์ให้ก่อน
      ๒.ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวรดน้ำสังข์ให้
      ๓.ให้แขกผู้มีเกียรติที่เชิญมารดน้ำสังข์ให้
      ๔.ให้ญาติพี่น้องและแขกที่มาร่วมงานรดน้ำสังให้
    ก่อนจะรดน้ำสังข์ให้หาสังข์ตัวสวยๆ และน้ำสะอาดที่โรยด้วยดอกกุหลาบและดอกมะลิเตรียมเอาไว้  
                ฤกษ์ในการส่งตัวเจ้าเข้าหอ
    ๐ในการส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอมีสิ่งที่จะต้องทำดังนี้
      ๑.ให้หาฤกษ์ในการส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอก่อน
          -เมื่อได้ฤกษ์ในการส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอแล้ว  พ่อแม่ของเจ้าสาวจะต้องนำตัวเจ้าสาวไปส่งให้แก่เจ้าบ่าว  ก่อนจะมอบให้พ่อแม่ของเจ้าสาวจะต้องกล่าวสอนเจ้าสาวและเจ้าบ่าวพอเป็นพิธีเสร็จแล้วก็ให้เดินออกไป เป็นอันเสร็จพิธีในการมอบตัวเจ้าสาว
      ๒.คนปูที่นอน
        
          -คนปูที่นอนมอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวเป็นคนจัดหา  โดยจะต้องจัดหาผัวเมียที่มีนิสัยดีและมีความประพฤติดีและไม่เคยหย่าร้างกันมาก่อน
            การปูที่นอน  เมื่อปูที่นอนเสร็จเรียบร้อยแล้วให้เอาถั่วงาโปรยให้ทั่วบริเวณห้องนอน  ส่วนบนเตียงนอนให้โปรยดอกมะลิดอกรักและดอกกุหลาบผสมกัน  เมื่อปูเสร็จเรียบร้อยแล้วคนปูจะต้องนอนเป็นตัวอย่างด้วย  ในขณะที่นอนให้ทำเป็นหลับไปพอตื่นขึ้นมาก็ให้พูดว่า "นอนหลับฝันดีมีความสุขกายสบายใจมาก"
                               
              การทำบุญเลี้ยงพระในวันแต่งงาน
      
    ๐การทำบุญเลี้ยงพระในวันแต่งงานบางแห่งก็นิยมบางแห่งก็ไม่นิยม  ในหมู่บ้านที่ผู้เขียนตำราอาศัยอยู่  ส่วนมากจะไม่นิยมทำบุญเลี้ยงพระในวันแต่งงาน  ข้าพเจ้าถามชาวบ้านว่า "ทำไมถึงไม่ทำบุญในวันแต่งงาน"  พวกเขาจะตอบว่า "เพราะไม่อยากให้พระมารู้มาเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพราะท่านละทางโลกไปแล้ว"  ฟังดูก็เข้าท่าเหมือนกันนะ  เขาจะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญแก่คู่บ่าวสาวอย่างเดียว  ถ้าใครประสงค์จะทำบุญเลี้ยงพระในวันแต่งงานให้ปฏิบัติดังนี้
    ๑.ให้ไปนิมนต์พระที่เราเคารพนับถือให้ได้จำนวน  ๓   ๕   ๗   ๙  แล้วแต่ศรัทธาของเราจะเอา  ๓  รูปก็ได้   ๕   รูปก็ได้   ๗   รูปก็ได้   ๙   รูปก็ได้  การนิมนต์พระให้ดูสถานที่ๆเราจะให้พระท่านนั่ง  ถ้าสถานที่ๆเราจะให้พระนั่งนั้นมันนั่งได้  ๕  รูป  แต่เราไปนิมนต์พระมา  ๗  รูป  ที่นั่งไม่พอพระก็จะนั่งเบียดกันอย่างนี้ไม่ดีนะมันทำให้พระท่านอึดอัดและลำบากใจยิ่งนัก แทนที่จะเป็นบุญมันก็จะกลายเป็นบาปไป  ทำไมมันจึงเป็นบาปไป  ที่มันเป็นบาปก็เพราะเราไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนลำบากใจอย่างไงหละ
    ๒.ให้พระท่านรดน้ำมนต์ให้คู่บ่าวสาวและสวดชะยันโต
    ๓.เมื่อพระท่านกลับไปแล้วก็ให้ทำพิธีรดน้ำสังข์ต่อไป
                  การบายศรีสู่ขวัญ
      
    ๐การบายศรีสู่ขวัญให้แก่คู่บ่าวสาวมีสิ่งที่จะต้องจัดเตรียมดังนี้
      ๑.พานบายศรีสู่ขวัญ  ๙  ชั้น    ๑   สำรับ
      ๒.หมอสวดขวัญ   ๑   คน
      ๓.ฝ้ายผูกแขน  ๑๐๘   เส้น   ให้พระท่านเสกคาถาใส่ให้ก่อนจะดีมาก
                    
        การไหว้ดวงวิญญาณปู่ย่าตายาย
    ๐เมื่อการแต่งงานผ่านไปแล้ว ๓ วัน  วันที่ ๔  ให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวแต่งเครื่องสังเวย
เพื่อบอกกล่าวพระภูมิเจ้าที่, ผีบ้านผีเรือน, และวิญญาณของปู่ย่าตายาย  เพื่อเป็นการฝากเนื้อฝากตัวและขอพรความเป็นศิริมงคลกับท่าน  ขอให้ท่านช่วยปกปักรักษาคุ้มครองให้อยู่ดีมีสุขไร้ทุกข์โรคาเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและมั่งมีศรีสุข
      เครื่องสังเวยที่จะต้องจัดเตรียม
     
    ๑.เหล้า          ๑     ขวด
    ๒.กล้วย         ๑     หวี
    ๓.มะพร้าวอ่อน         ๑     ลูก
    ๔.เสื้อผ้าของคนแก่ทั้งหญิงและชายอย่างละ   ๑   ชุด
    ๕.ผลไม้อื่นๆอีก  ๗  ชนิด อย่างละ  ๑  ผล
    ๖.ผ้าสไบ        ๑      ผืน
    ๗.ผ้าขาวม้า       ๑     ผิน
    ๘.ผ้าขาว       ๑      ผิน
    ๐วิธีดำเนินการ:- ให้เอาเครื่องของเหล้านี้ใส่ในถาด โดยให้ผลไม้อยู่ในถาดหนึ่ง  อย่าใส่ด้วยกัน  เมื่อจัดเตรียมเสร็จแล้วให้ปูผ้าขาวลงตรงกลางเรือน  อย่าเอาผ้าขาวในถาดให้เอาจากที่อื่น  ลำดับต่อไปให้เจ้าบ่าวจุดเทียนเล่มบาท  ๑  คู่  ธูป  ๑  คู่  ให้เจ้าสาวนั่งคู่กับเจ้าบ่าวและกราบลงสามครั้ง  ๓  แล้วจึงกล่าวถวายเครื่องสังเวยว่า " ข้าแต่
ปู่ย่าตายายเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย ตัวข้าพเจ้าทั้งสองคนได้ร่วมหัวจมท้ายแต่งงานเป็นคู่ครองกัน  ข้าพเจ้าทั้งสองคนขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกหลานของพวกท่าน  ขอให้พวกท่านจงช่วยปกปักรักษาคุ้มครองให้ข้าพเจ้าทั้งสองจงอยู่ดีมีสุขไร้ทุกข์โรคาเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและมั่งมีศรีสุข  สมบูรณ์ในทรัพย์สินเงินทอง ข้าพเจ้าทั้งสองจึงได้ถวายเครื่องสังเวยทั้งหลายเหล่านี้แก่พวกท่าน  เมื่อพวกท่านรับเครื่องสังเวยเหล่านี้แล้วขอจงช่วยให้เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าทั้งสองปราถนาด้วยเถิด" 
      
            วัน เดือน ปี ที่นิยมในการแต่งงาน
    ๐วัน ที่นิยมในการแต่งงาน  คือ วันจันทร์   วันพฤหัสบดี   วันศุกร์   วันลอย   วันฟู
    ๐วันที่ไม่นิยมในการแต่งงาน   คือ วันอาทิตย์   วันอังคาร   วันพุธ   วันเสาร์   วันดับวันศูนย์   วันกาฬกินี   วันมฤตยู   วันภาณฤกษ์   วันอารยกรรมพราย   วันจม
    ๐เดือนที่นิยมในการแต่งงาน   คือ เดือน ๒    เดือน ๔    เดือน ๖    เดือน ๙    เดือน ๑๒   แต่เดือน ๙ ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ จะไม่แต่ง  เพราะเป็นช่วงเวลาเข้าพรรษา
    ๐เดือนที่ไม่นิยม   คือ เดือน ๑   เดือน ๓   เดือน ๕   เดือน ๗   เดือน ๘
    ๐ปีที่นิยมในการแต่งงาน   คือ ปีชวด   ปีฉลู   ปีเถาะ   ปีมะโรง   ปีมะเส็ง   ปีมะเมีย
ปีมะแม   ปีวอก   ปีระกา   ปีกุน
    ๐.ปีที่ไม่นิยม   คือ ปีขาลและปีจอ
                       วันดับวันศูนย์
    ๐วันดับวันศูนย์   คือ วันที่ห้ามทำการมงคลแบ่งออกเป็น  ๔  ชนิด  ได้แก่
       ๑.วันที่ตรงกับวันแรม  ๑๔  หรือ ๑๕  ค่ำ
       ๒.วันสุริยคาสและวันจันทรคาส  คือวันที่ห้ามทำการมงคลก่อนจะเกิด "สุริยคาส และ จันทรคาส" ๗ วัน  และหลังจากเกิดสุริยคาสและจันทรคาสไปแล้ว  ๗  วัน  พ้น ๗ วันไปแล้วทำการมงคลได้ทุกชนิด
       ๓.วันเนา   คือวันก่อนวันสงกรานต์  ๑  วัน  เช่น ถ้าวันสงกรานต์  ตรงกับวันที่  ๑๓
เมษายน  วันเนาก็จะตรงกับวันที่  ๑๒  เมษายน
       ๔.วันสงกรานต์
                       วันกาฬกินี
    ๐วันกาฬกินี   คือวันที่เป็นเสนียดจัญไรต่อกันมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
       ๑.คนที่เกิดวันอาทิตย์    เป็นกาฬกิณีกับ      วันศุกร์
       ๒.คนเกิดวันจันทร์         เป็นกาฬกิณีกับ      วันอาทิตย์
       ๓.คนเกิดวันอังคาร        เป็นกาฬกิณีกับ      วันจันทร์
       ๔.คนเกิดวันพุธ             เป็นกาฬกิณีกับ      วันอังคาร
       ๕.คนเกิดวันพฤหัสบดี   เป็นกาฬกิณีกับ      วันเสาร์
       ๖.คนเกิดวันศุกร์           เป็นกาฬกิณีกับ      วันพุธกลางคืน
       ๗.คนเกิดวันเสาร์          เป็นกาฬกิณีกับ      วันพุธกลางวัน
                        วันมฤตยู
    ๐วันมฤตยูมีวิธีหาดังนี้
      ๑.ให้เอาอายุปัจจุบันของเจ้าของงานตั้ง
      ๒.เอา  ๘๐  บวก                                                       
      ๓.เอา  ๗  หาร   เศษเหลือเท่าไหร่ให้ถือเป็นวันมฤตยู
    วันมฤตยู   คือวันที่ห้ามทำงานมงคลทุกฃนิดและห้ามเดินทางไกล เพราะมันจะเกิดเป็นอันตรายหลายรูปแบบ
                     วันภาณฤกษ์-อารยกรรมพราย
    ๐วันภาณฤกษ์-อารยกรรมพราย   คือวันที่ห้ามทำการมงคลประจำเดือน  เดือนหนึ่งจะมี  ๖  วัน  ข้างขึ้นมี  ๓  วัน  และข้างแรมมี  ๓  วัน  คือ:
      -เดือน  ๕      ห้ามขึ้นหรือแรม      ๑๓, ๑๔, ๑๕    ค่ำ
      -เดือน  ๖      ห้ามขึ้นหรือแรม      ๑๐, ๑๑, ๑๒     ค่ำ
      -เดือน  ๗     ห้ามชึ้นหรือแรม      ๔, ๕, ๖           ค่ำ
      -เดือน  ๘     ห้ามชึ้นหรือแรม       ๖, ๗, ๘          ค่ำ
      -เดือน  ๙     ห้ามขึ้นหรือแรม       ๓, ๔, ๕           ค่ำ
      -เดือน  ๑๐   ห้ามขึ้นหรือแรม       ๑, ๒, ๓           ค่ำ
      -เดือน  ๑๑   ห้ามขึ้นหรือแรม       ๑๓, ๑๔, ๑๕   ค่ำ
      -เดือน  ๑๒   ห้ามขึ้นหรือแรม       ๒, ๓, ๔          ค่ำ
      -เดือน  ๑     ห้ามขึ้นหรือแรม       ๙, ๑๐, ๑๑      ค่ำ
      -เดือน  ๒     ห้ามขึ้นหรือแรม       ๗, ๘, ๙          ค่ำ
      -เดือน  ๓     ห้ามขึ้นหรือแรม       ๔, ๕, ๖           ค่ำ
      -เดือน  ๔     ห้ามขึ้นหรือแรม       ๑, ๒, ๓           ค่ำ
    ๐วันขึ้นหรือวันแรม  ๑๓  ค่ำ  เรียกว่า "วันต้น"  ห้ามทำการมงคลทุกชนิด  ถ้าขืนทำผู้นั้นจะเกิดความเดือดร้อนลำบากและอัตคัดขัดสน
    ๐วันขึ้นหรือแรม  ๑๔  ค่ำ   เรียกว่า "วันกลาง"  ห้ามทำการมงคลทุกชนิด  ถ้าขืนทำผู้นั้นจะมีอายุสั้นและโรคภัยไขเจ็บจะเบียดเบียนอยู่เสมอ
    ๐วันขึ้นหรือแรม  ๑๕  ค่ำ   เรียกว่า "วันปลาย"   ห้ามทำงานมงคลทุกชนิด   ถ้าขืนทำผู้นั้นจะเกิดความวิบัติฉิบหาย
                  วันลอย
    ๐วันลอย  คือวันที่เหมาะแก่การทำงานมงคลทุกฃนิด 
      -เดือน  ๕       วันอาทิตย์        เป็นวันลอย
      -เดือน  ๖       วันจันทร์           เป็นวันลอย
      -เดือน  ๗      วันอังคาร          เป็นวันลอย
      -เดือน  ๘       วันพุธ               เป็นวันลอย
      -เดือน  ๙       วันพฤหัสบดี     เป็นวันลอย
      -เดือน  ๑๐     วันศุกร์             เป็นวันลอย
      -เดือน  ๑๑     วันเสาร์            เป็นวันลอย
      -เดือน  ๑๒     วันอาทิตย์        เป็นวันลอย
      -เดือน  ๑       วันจันทร์           เป็นวันลอย
      -เดือน  ๒       วันอังคาร          เป็นวันลอย
      -เดือน  ๓       วันพุธ               เป็นวันลอย
      -เดือน  ๔       วันพฤหัสบดี     เป็นวันลอย
                วันฟู
    ๐วันฟู   คือวันที่ทำการมงคลแล้วจะมีความสุขความเจริญมีเกียรติยศฃื่อเสียงดี
      -เดือน  ๕      วันอังคาร         เป็นวันฟู
      -เดือน  ๖      วันพุธ               เป็นวันฟู
      -เดือน  ๗     วันพฤหัสบดี     เป็นวันฟู
      -เดือน  ๘      วันศุกร์             เป็นวันฟู
      -เดือน  ๙      วันเสาร์            เป็นวันฟู
      -เดือน  ๑๐    วันอาทิตย์        เป็นวันฟู
      -เดือน  ๑๑    วันจันทร์          เป็นวันฟู
      -เดือน  ๑๒    วันอังคาร         เป็นวันฟู
      -เดือน  ๑      วันพุธ               เป็นวันฟู
      -เดือน  ๒      วันพฤหัสบดี     เป็นวันฟู
      -เดือน  ๓      วันศุกร์             เป็นวันฟู
      -เดือน  ๔      วันเสาร์            เป็นวันฟู
    ๐ประโยชน์ของวันลอยและวันฟูมีดังนี้
      ๑.การทำงานมงคลในวันนี้จะเป็นมงคลดี
      ๒.ทำให้เจ้าของงานปลอดภัยจากอันตราย
      ๓.งานมงคลที่กระทำในวันนี้จะได้ฤกษ์งามยามดีโดยอัตโนมัติ
      ๔.เจ้าของงานจะมีเกียรติยศฃื่อเสียงดี
              วันจม
    ๐วันจม   คือวันที่ทำให้เจ้าของงานตกต่ำเสื่อมเสียฃื่อเสียงในหน้าที่การงาน  ฃีวิตจะไม่ราบรื่นทำอะไรก็มีแต่อุปสรรคมาขัดขวาง
      -เดือน  ๕       วันพฤหัสบดี         เป็นวันจม
      -เดือน  ๖       วันศุกร์                 เป็นวันจม
      -เดือน  ๗      วันเสาร์                เป็นวันจม
      -เดือน  ๘       วันอาทิตย์            เป็นวันจม
      -เดือน  ๙      วันจันทร์               เป็นวันจม
      -เดือน  ๑๐     วันอังคาร             เป็นวันจม
      -เดือน  ๑๑     วันพุธ                  เป็นวันจม
      -เดือน  ๑๒    วันพฤหัสบดี         เป็นวันจม
      -เดือน  ๑       วันศุกร์                 เป็นวันจม
      -เดือน  ๒       วันเสาร์                เป็นวันจม
      -เดือน  ๓       วันอาทิตย์            เป็นวันจม
      -เดือน  ๔       วันจันทร์              เป็นวันจม
    ๐โทษของวันจมมีดังนี้
       ๑.หากทำงานมงคลในวันนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ
       ๒.เจ้าของงานจะมีอันตราย
       ๓.วันจมเป็นวันฤกษ์เสีย
       ๔.เจ้าของงานจะเสื่อมเสียฃื่อเสียงและเกียรติยศ
               เรื่องของงานศพ
    ๐เรื่องของงานศพมีสิ่งที่จะต้องปฏิบัติดังนี้
       ๑.การรักษาศพ
       ๒.การอาบน้ำศพ
       ๓.การแต่งศพ
       ๔.การรดน้ำศพ
       ๕.การบรรจุศพเข้าโลง
       ๖.การตั้งหีบศพ
       ๗.การสวดหน้าศพ
       ๘.การปลงศพ
       ๙.การเคลื่อนศพไปสู่ป่าช้า
       ๑๐.การเผาศพ
       ๑๑.การเก็บกระดูก
       ๑๒.การทำธาตุหรือเจดีย์เก็บกระดูก
       ๑๓.การทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
                การรักษาศพ
    ๐เมื่อรู้ว่าผู้ตายหมดลมหายใจแน่แล้ว  ให้เอาผ้าขาวคลุมศพไว้ใช้มุ้งครอบๆศพเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ทั้งหลายมีแมวเป็นต้น เข้ามารบกวนศพ  แมวเป็นสัตว์ที่จะต้องระวังเป็นพิเศษเพราะแมวถ้าปล่อยให้มันกระโดดข้ามศพ  ศพก็จะกลายเป็นปีศาจเที่ยวหลอกหลอนผู้อื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวดำจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอย่าปล่อยให้มันกระโดดข้ามศพโดยเด็ดขาด  ถ้าปล่อยให้มันกระโดดข้ามศพๆก็จะลุกขึ้นหลอกหลอนคนได้ ฯ
               การอาบน้ำศพ
    ๐การอาบน้ำศพมีวิธีปฏิบัติดังนี้    ให้ต้มน้ำโดยใส่ใบพุทราลงไปพอสมควร กะว่าน้ำเดือดดีแล้วก็ยกลงมาแล้วเอาน้ำเย็นประสมกะพออุ่นๆ แล้วจึงเอาน้ำนั้นอาบศพเสร็จแล้วอาบด้วยน้ำเย็นอีกครั้งหนึ่ง  หลังจากนั้นก็ให้ฟอกร่างกายด้วยน้ำมะกรูด  แล้วจึงล้างออกต่อจากนั้นให้ตำขมิ้นชันสดๆ ผสมกับผิวมะกรูดขัดผิวศพอีก เสร็จแล้วให้ใฃ้ผ้าขาวเช็ดออก ฯ
              การแต่งศพ
    ๐เมื่ออาบน้ำให้ศพเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้ทำพิธีแต่งศพ  ด้วยการตัดเล็บมือและเล็บเท้าแล้วทาด้วยขมิ้นสดขยำด้วยมะกรูดเพื่อทำให้มือและเท้าสะอาด  ต่อแต่นั้นก็ให้แต่งตัวให้ศพ  เริ่มด้วยการหวีผมผัดแป้งแต่งต้วและการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ ฯ
             การรดน้ำศพ
    ๐ให้เอาศพนอนไว้บนเตียงแล้วให้มือขวาทอดเหยียดออกมาด้านข้าง  โดยทำให้ศพแบบมือไว้อยู่เหนือขันรองน้ำ  น้ำที่ใฃ้รดควรเป็นน้ำหอมและน้ำอบไทย  ก่อนจะรดน้ำศพให้กล่าวว่า "อิทัง  มะตะกะสะรีรัง  อุทะกัง  วิยะ  สิญจิตตัง  อะโหสิกัมมัง ฯ"
             การบรรจุศพเข้าโลง
    ๐ก่อนจะบรรจุศพเข้าโลง  ให้ตำหมากยัดใส่ปากสักเล็กน้อยแล้วจึงเอาเงินทองใส่ในปากแล้วจึงแผ่สีผึ้งออกเป็นแผ่นบางๆ ปิดหน้าศพอีกทีหนึ่ง  ถ้าเป็นคนรวยมีฐานะดีจะใช้แผ่นทองคำปิดหน้าก็ได้ เสร็จแล้วให้ม้คศพด้วยตาสัง โดยให้ศพพนมมืออยู่ที่หน้าอก ให้ใฃ้เชือกด้ายดิบมัดศพโดยการมัดเป็นช่วงๆ  เมื่อมัดศพเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ใช้ผ้าขาวผืนใหญ่ห่อศพไว้อีกชั้นหนึ่ง  ชายผ้าห่อศพให้ขมวดไว้บนศีรษะแล้วจึงเอาด้ายดิบมัดซ้ำเป็นเปราะๆ จากปลายเท้าถึงศีรษะ
    แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ ไม่นิยมมัดตาสัง เพราะส่วนมากจะได้รับการฉีดยากันเน่าจากโรงพยาบาลแล้ว และวัดบางวัดที่มีเมรุเผ่าศพสัปเหร่อยังเอายาฆ่าแมลงและยากันเน่าใส่ลงไปอีก   ก่อนจะเอาศพเข้าโลงให้เอาใบชา, ปูนขาว, และกระดาษฟางรองก้นโลงศพเสียก่อน  เพราะวัตถุทั้ง ๓ อย่างนี้สามารถซับน้ำเหลืองได้ดีมาก  แต่ในปัจจุบันมักจะใส่โลงเย็นจึงหมดความจำเป็นที่จะใส่วัตถุทั้ง ๓  ชนิดนี้แล้ว ฯ
              การตั้งโลงศพ
    ๐ให้ตั้งโลงศพหันหัวไปทางทิศตะวันตกและให้จุดตะเกียงไว้ข้างๆโลงศพ  แต่ในปัจจุบันมักจะใช้เทียนแทนแต่ข้าพจ้าเห็นว่าควรจะใช้หลอดไฟฟ้าแทนน่าจะดีกว่า  เพราะหลอดไฟฟ้าป้องกันอัคคีภัยได้ด้วย ฯ
             การสวดหน้าศพ
    ๐การสวดหน้าศพจะสวดกี่วันก็ได้แล้วแต่เจ้าภาพ แต่ไม่ควรต่ำกว่า ๓ วัน  นอกจากกรณีเร่งด่วน เช่นมีศพที่จะเผาพร้อมกันหลายศพอาจจะวันเดียวก็ได้  ถ้าเป็นคนแก่สูงอายุควรจะมีกระถางธูป  แต่ถ้าเป็นเด็กไม่ควรมีกระถางธูป  ถ้ามีกระถางธูปก็จะเป็นการให้ผู้ใหญ่ไหว้เด็กเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้เด็กที่ตายไปเดือดร้อนมืดมนอนธการไปไหนไม่ได้
    การสวดหน้าศพในกรุงเทพฯ มักจะสวดพระมาลัยหรือพระอภิธรรม  แต่ในต่างจังหวัดมักจะสวดอภิธรรมหรือสวดธัมมะสังคิณีมาติกา  ส่วนในภาคอีสานมักจะสวด
ธัมมะสังคิณีมาติกา (กุสลาใหญ่) หรืออภิธรรม และตามด้วยการสวดยอดมุข ฯ
            การปลงศพ
    ๐วันปลงศพที่นิยมคือ วันอาทิตย์   วันจันทร์   วันอังคาร   วันพุธ   วันพฤหัสบดี
วันเสาร์   แต่วันศุกร์ไม่นิยม
    ๐วันที่ห้ามปลงศพคือ  
      ๑.วันศุกร์    ถ้าเผาศพในวันศุกร์จะทำให้เจ้าของงานและครอบครัวเกิดความเดือด
ร้อนมากมายหลายอย่าง 
      ๒.วันเก้ากอง  คือวันขึ้นหรือวันแรม  ๙  ค่ำ  ของต้นเดือน
      ๓.วันขึ้นหรือแรม  ๑๔  และ  ๑๕  ค่ำ
    ในกรณีที่จำเป็นจะเผาในวันเก้ากองให้ทำการแก้เคล็ดดังนี้  คือให้เอาหญ้าสาบเสือ
ทางภาคอีสานเรียกว่า "หญ้าฝรั่ง" เอามาทำเป็นมัดให้ได้  ๙  มัด ให้มัดโตเท่ากำมือ
เมื่อได้มัดหญ้าสาบเสือแล้วก็ให้เอาไปเรียงกันไว้ใกล้กับเมรุเผาศพ ซึ่งจะต้องแบ่งออกเป็น  ๙  กอง  หญ้าสาบเสือควรจะเป็นหญ้าแห้ง ถ้ารู้กำหนดว่าจะเผาศพในวันไหนให้
ไปตัดหญ้ามัดเตรียมเอาไว้อย่างน้อย  ๓  วันจะเป็นการดีที่สุด
     อนึ่งการเผาศพในวันเก้ากองเวลาจะเคลื่อนศพไปสู่ป่าช้า ให้จุดไฟแห่ไปด้วยอย่าให้
ไฟดับเป็นเด็ดขาด ให้หาวิธีป้องกันไม่ให้ไฟดับ  พอไปถึงป่าช้าแล้วให้นำไฟไปตั้งไว้บนเมรุ (ให้อ่านว่า "เมน" อย่าอ่านเป็น "เม - รุ" มันผิดหลักของไวยกรณ์)  และในขณะที่จุดไฟเผาศพให้จุดไฟเผากองหญ้าสาบเสือเหล่านั้นไปพร้อมๆกัน   เมื่อทำได้เช่นนี้จึง
จะแก้เคล็ดการเผาศพในวันเก้ากองได้
    ส่วนการเผาศพในวันขึ้นหรือแรม ๑๔  และ  ๑๕  ค่ำ  ห้ามทำการเผาโดยเด็ดชาด เพราะถ้าขืนเผาในวันเหล่านี้จะทำให้ผู้อยู่ภายหลังเดือดร้อน ฯ
             การเคลื่อนศพไปสู่ป่าช้า
    ๐การเคลื่อนศพไปสู่ป่าช้าให้พระรูปหนึ่งเดินนำหน้า  แต่ทุกวันนี้เขาจะให้พระนั่งที่รถ
ใส่ศพคือให้ท่านนั่งหน้ารถจะดีกว่าให้ท่านเดินไปเพราะอากาศมันร้อน  พอแห่ศพไปถึงป่าช้าก็ให้เดินเวียนขวารอบเมรุเผาศพ ๓ รอบ แล้วจึงนำโลงศพขึ้นไปตั้งไว้บนเมรุ เพื่อรอการเผาต่อไป ฯ
            การเผาศพ
    ๐ก่อนจะทำการเผาศพมีข้อที่ควรปฏิบัติดังนี้
       ๑.ให้พระสวดมาติกาบังสุกุลบนศาลา
       ๒.วางผ้าบังสุกุลและซองถวายพระตามจำนวนพระที่นิมนต์มา
       ๓.พระชักผ้าบังสุกุล
       ๔.ทอดผ้าบังสุกุลหน้าศพ  ๔  ชุด  และผ้ามหาบังสุกุลอีก  ๑  ชุด
       ๕.พระสงฆ์ให้พร
       ๖.เจ้าภาพแจกของชำรวยและรับของแจกจากแขกผู้มีเกียรติ
       ๗.อ่านประวัติผู้ตาย   การอ่านประวัติผู้ตายโปรดอย่าให้ลูกหลานหรือญาติที่ใกล้ชิดเป็นคนอ่าน  เพราะในขณะที่อ่านไปอาจจะกลั้นความเศร้าโศกไว้ไม่ได้ร้องไห้ออกมาทำให้ผู้ฟังเสียรสชาติในการฟัง  ให้พิธีกรเป็นคนอ่านดีที่สุด
       ๘.ถวายดอกไม้จันทน์แก่พระสงฆ์  พระสงฆ์วางดอกไม้จันทน์  ต่อจากนั้นแขกผู้มาร่วมงานวางดอกไม้จันทน์ในลำดับต่อไป
       ๙.เปิดหน้าศพเพื่อให้ญาติพี่น้องได้ดูเป็นครั้งสุดท้าย  ต่อจากนั้นก็ทำการประชุมเพลิง   ก็เป็นอันเสร็จสิ้นในเรื่องการเผาศพ ฯ
              การเก็บกระดูก
    ๐การเก็บกระดูกมีสิ่งที่จะต้องจัดเตรียมดังนี้
      ๑.น้ำอบไทย                   ๑     ขวด
      ๒.น้ำหอมแอนนา            ๑      กล่อง
      ๓.น้ำสะอาด                    ๑      ถัง
      ๔.ตะแกรงสำหรับล้างกระดูกหรือจะใช้ดางเขียวก็ได้
      ๕.ไม้คีบกระดูก               ๑      โหล
      ๖.ข้าวปลาอาหารและน้ำ        ๑      สำรับ
      ๗.เงินเหรียญบาท  ๓๒  เหรียญ
      ๘.ขัน  ๕                         ๑      ขัน
      ๙.เทียนเล่มบาท ๒ เล่ม
      ๑๐.ห่ออัฏฐะสำหรับชักกระดูก  ๑  ห่อ
      ๑๑.ด้ายสายสิญจน์          ๑      ม้วน
      ๑๒.เครื่องอัฏฐะและซองจตุปัจจัยถวายพระตามจำนวนพระที่นิมนต์มา
    เมื่อเดินทางไปถึงป่าช้าก็ให้เก็บกระดูกใส่ตะแกรงหรือใส่ดางเขียว เก็บหมดทุกคนแล้วก็เอากระดูกไปล้างน้ำให้สะอาด  เสร็จแล้วให้เอาใสุขวดโหลหรือโกศก็ได้  ต่อจากนั้นก็ให้พระเณรสรงกระดูกตามด้วยญาติพี่น้องของผู้ตาย  เมื่อสรงเสร็จแล้วก็ให้ทำกองขี้เถ้าเป็นรูปหุ่นโดยให้รูปหุ่นหันหัวไปทางทิศตะวันตก  เมื่อทำเสร็จแล้วก็ให้เอาเหรียญบาท ๓๒ เหรียญ ไปวางตามรูปหุ่นวางให้ทั่วทั้งหัวและแขนขามือเท้า  ต่อจากนั้นให้เอาขวดกระดูกไปวางไว้ตรงกลางหน้าอกแล้วเอาห่อชักกระดูกที่เตรียมมา  ไปวางยองไว้ที่ฝาขวด ให้เอาด้ายสายสิญจน์ผูกตรงห่อชักกระดูกเสร็จแล้ว ให้เอาด้ายสายสิญจน์มาถวายพระเพื่อให้พระสวดชักกระดูกต่อไป เมื่อพระท่านสวดชักกระดูกเสร็จแล้วท่านก็จะให้พร เจ้าภาพรับพรกรวดน้ำเป็นอันเสร็จพิธีเก็บกระดูก
    ส่วนกระดูกและเถ้าถ่านที่เหลือให้ฝังไว้ที่ป่าช้า หรือจะทำเจดีย์ครอบเอาไว้ในที่ดินของเราก็ได้  ห้ามเอากระดูกและเถ้าถ่านที่เหลือไปลอยน้ำโดยเด็ดขาด  การเอากระดูก
ไปลอยน้ำมันเป็นพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ การเอากระดูกไปลอยน้ำมันจะทำให้วิญญาณที่เป็นเจ้าของกระดูกเดือดร้อนไปไหนไม่ได้   ดังมีเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
               เรื่องการเอากระดูกคนตายไปลอยน้ำ
    ๐นายทนงศักดิ์     พรมสานต์  ชื่อเล่นว่า "โอเร่" อยู่บ้านเลขที่  ๓๘  หมู่ที่  ๔  บ้านท่าดีหมี  ต.ปากตม   อ.เชียงคาน   จ.เลย    เขาถูกรถชนตายในวันที่  ๔  เดือนเมษายน  พ.ศ.๒๕๕๐  อายุได้  ๒๓  ปี
    เมื่อเผาศพเสร็จแล้วพ่อแม่ของเขาได้แบ่งกระดูกออกเป็น  ๒  ส่วน  ส่วนหนึ่งเอาเก็บไว้ที่วัด อีกส่วนหนึ่งพ่อแม่เอากระดูกใส่ในขวดโหลแล้วเอาขวดที่ใส่กระดูกแล้วนั้น  ลอยเรือออกไปกลางแม่น้ำโขงเสร็จแล้วจึงจับขวดโยนลงไปกลางแม่น้ำโขง ด้วยคิดว่าจะให้ลูกชายที่ตายไปแล้วเย็นสบายดี นี้คือความหวังดีที่ผิดของพ่อแม่ แต่มันกลับกลายเป็นผลร้ายแก่ลูกที่ตายไปแล้ว  พอโยนขวดกระดูกลงไปที่แม่น้ำโขงได้  ๑  เดือน  ลูกฃายที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันบอกว่า "แม่ครับผมอยู่ในน้ำได้  ๑  เดือนแล้ว  ผมหนาวจริงๆ ขอให้แม่นำขวดกระดูกของผมขึ้นมาจากน้ำเถอะ"  ฝันคืนแรกแม่เขายังไม่เชื่อ  แม่ของเขาเข้าใจว่าคนตายไปแล้วมันจะหนาวได้อย่างไร? ไม่จริง  พอฝันติดกัน  ๓  คืน แม่ก็ชักเอะใจไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว เลยจ้างคนไปงมเอาขวดกระดูกขึ้นมาแต่งมเท่าไหร่ก็ไม่เจอไม่รู้ว่าน้ำมันผัดพาไปที่ไหน  ข้าพเจ้าว่ามันเป็นกรรมของคนตาย  จึงทำให้แม่ของเขาเข้าใจผิดเช่นนี้  เขาจะต้องทรมานไปอีกนานจนกว่าจะหมดหนี้กรรม  เมื่อหมดหนี้กรรมนี้แล้วเขาก็จะเกิดที่ใหม่เอง  สมมุติว่าเขามีอายุขัยที่จะต้องตายในอายุ ๗๐  ปี แต่เขามาตายก่อนเพราะอุบัติเหตุในอายุ  ๒๓  ปี  เป็นอันว่าเขาจะต้องทนหนาวอยู่ในน้ำอีก  ๔๗  ปี  จึงจะพ้นกรรมนี้ได้
    เรื่องนี้ข้าพเจ้าขอฝากท่านผู้รู้และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายช่วยกันคิดหาความจริง
ว่า "ทำไมคนที่ตายไปแล้วจึงมีความหนาวอยู่"  
   อนึ่งข้าพเจ้ามีเรื่องการเก็บกระดูกอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ, น่าคิด, และน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งจะนำมาเสนอท่านผู้อ่านให้ช่วยกันศึกษาและพิจารนาดูว่า เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้อย่างไร ฯ
         เรื่องการเก็บกระดูกของ นางบัวบาน สุริยะ
    ๐นางบัวบาน    สุริยะ  อยู่บ้านเลขที่ ๔๙   หมู่ที่  ๘  บ้านหนองบอน   ต.นาโป่ง   อ.เมือง   จ.เลย    ร.๔๒๐๐๐  แก่ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่  ๒๙    กรกฎาคม    พ.ศ. ๒๕๓๕   ในเวลาตี  ๕.๓๐ น.   ด้วยโรคไต   เมื่อแก่ตายแล้วสามีและลูกหลานก็จัดงานศพตามประเพณีนิยมเป็นเวลา  ๓  วัน  เมื่อครบกำหนดแล้วก็ได้นำเอาศพไปเผาที่ป่าฃ้า
    ป่าช้าในปี พ.ศ.๒๕๓๕  ที่บ้านหนองบอนยังไม่มีเมรุ (อ่านว่าเมน) เผาศพ  เวลาจะเผาศพทีจะต้องหาไม้ฟืนท่อนใหญ่ๆ ให้ได้สัก  ๑๐ -๒๐  ท่อน  จึงจะเผาศพไหม้หมด
ก่อนที่จะเอาไม้ที่หามาได้ทำเป็นเมรุเผาศพจะต้องทำพิธีเสี่ยงทายดูก่อนว่าเจ้าที่เขาจะ
ให้ตรงไหน  การเสี่ยงทายเขาใช้ไข่ไก่โยนลงไปที่พื้นดิน  ถ้าไข่ไก่วิ่งไปหยุดอยู่ตรงไหนเขาก็จะเอาตรงนั้นทำเป็นเมรุเผาศพ  ข้าพเจ้าเห็นแล้วมันก็แปลกดีเหมือนกันเวลาเขาโยนไข่เสี่ยงทายไข่มันไม่แตก  ต่อให้โยนแรงๆมันก็ไม่แตก  ปกติไข่ไก่เราโยนลงไปที่พื้นดินแรงๆ มันจะแตกดังโป๊ะทันที  นี่ก็เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกัน
    เมื่อเผาศพเสร็จแล้วเขาจะปล่อยทิ้งไว้ประมาณ  ๓  วัน ถึงจะทำการเก็บกระดูก  ในปี
พ.ศ.๒๕๓๕  เดือนกรกฎาคม  ฝนตกชุกมาก  เมื่อถึงกำหนด  ๓  วันแล้วฝนก็ยังไม่หยุด
ฝนตกปอยๆติดต่อกันไปถึง  ๗  วันแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดอีก  พอถึงคืนที่  ๘  ยายบัวบาน
ที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันสามีว่า "พี่จ๋าให้ไปเก็บกระดูกฉันเถอะ  ฉันตากฝนมาหลายวันแล้วฉันหนาวจริงๆ"  ท่านผู้อ่านทั้งหลายข้าพเจ้าผู้เขียนตำราเล่มนี้สงสัยจริงๆ ว่าคนตายไปแล้วมันหนาวได้อย่างไร?  ช่วยกันหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยนะ  
    ก่อนอื่นเพื่อป้องกันไม่ให้คนตายหนาวโปรดอย่านำกระดูกไปลอยน้ำโดยเด็ดขาด
พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ไม่ได้สอนให้เอากระดูกไปลอยน้ำ  พระองค์สอนว่า "เมื่อ
เผาศพเสร็จแล้วก็ให้เก็บกระดูกไว้สักเล็กน้อย  แล้วให้ทำเป็นธาตุหรือเจดีย์เก็บเอาไว้เพื่อเตือนให้ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ลืมพ่อแม่ของตน
    เมื่อลูกหลานได้เห็นธาตุหรือเจดีย์นั้นแล้วก็จะระลึกได้ว่านี่คือธาตุหรือเจดีย์ของพ่อแม่เรา เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็จะมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย
    ส่วนกระดูกและเถ้าถ่านที่เหลือก็ให้ฝังไว้ที่ป่าช้า  กระดูกก็คือธาตุดินถ้าท่านเอากระดูกไปลอยน้ำมันจะอยู่กันผิดธาตุ ดินก็จะต้องอยู่กับดิน  น้ำก็จะต้องอยู่กับน้ำ  เมื่อท่านเอากระดูกไปลอยน้ำ  มันจะอยู่ผิดธาตุกัน  มันจะทำให้คนตายไปแล้วเดือดร้อน
อย่างแสนสาหัส  โปรดอ่านตัวอย่างที่ข้าพเจ้าแสดงมาให้ดู ก่อนจะนำเอากระดูกไปลอยน้ำ
                   การทำธาตุหรือเจดีย์เก็บกระดูก
      
    ๐ก่อนที่จะทำบุญแจกข้าวอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย  จะต้องทำธาตุใส่กระดูกเสียก่อน บางวัดท่านจะทำเป็นธาตุเตรียมเอาไว้แล้วให้เอาเงินไปซื้อเอาเลยสะดวกสบายดี
ถ้าวัดไหนไม่มี ให้ไปซื้อเอาเจดีย์ใส่กระดูก  ที่เขาทำไว้ขายตามร้าน เขาทำไว้สวยงามดีมีให้เลือกทุกขนาด  เมื่อทำบุญเสร็จแล้วจะได้เอากระดูกไปเก็บไว้ที่วัด  บริเวณหน้าธาตุหรือเจดีย์ให้ตบแต่งสวยๆให้ดูเป็นที่น่ากราบไหว้ของลูกหลาน
                      การทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
    ๐การทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย  แบ่งออกเป็น  ๔  ชนิด  คือ:-
      ๑.ทำบุญ  ๓       วัน
      ๒.ทำบุญ  ๗      วัน
      ๓.ทำบุญ  ๕๐     วัน
      ๔.ทำบุญ  ๑๐๐   วัน
      ๕.ทำบุญ  สังฆทาน
                       การทำบุญ ๓ วัน
    ๐หลังจากเผาศพผ่านไปแล้ว ๓ วัน  ก็จะมีการเก็บกระดูก  บางจังหวัดเช่น นครพนม
หลังจากเผาศพผ่านไปแล้ว ๓ วัน  ก็จะเก็บกระดูกและแจกข้าวไปด้วย  เหตุที่ทำให้แจกข้าวเร็วเพราะลูกหลานและญาติพี่น้องต้องการให้ผู้ตายไปเกิดเร็วๆ ไม่ต้องมารอรับข้าวแจกเป็นเวลานาน  ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน  แต่การทำอย่างนี้ได้เจ้าภาพต้องเป็นคนมีเงินพอสมควร  เพราะการจัดงานศพต้องใช้เงินมาก  ถ้าเผาศพเสร็จแล้ว ๓ วัน ให้แจกข้าวเลยมันเป็นการเร่งรัดมากเกินไป  ปล่อยให้เจ้าภาพมีเวลาหาเงินก่อนสัก ๕ - ๖
เดือนก็จะดีมาก
                       การทำบุญสังฆทาน
    ๐การทำบุญสังฆทาน  ถ้าทำให้ถูกต้องแล้วผู้ตายจะได้รับส่วนบุญที่อุทิศไปให้เร็ว  ไม่ต้องลงทุนมากจัดงานทำบุญใหญ่โตหมดเงินเป็นแสนๆ เสียเงินมากเกินความจำเป็น  การทำบุญสังฆทานที่ได้ผลดีมีวิธีการทำดังนี้
     ๑.ทำสังฆทาน  ๔  ชุด
     ๒.นิมนต์พระรับสังฆทาน  ๔  รูป
     ๓.พระที่รับสังฆทานต้องสวดอทาสิเม อุทิศไปให้ผู้ตายได้ ผู้ตายจึงจะได้รับส่วนบุญ
     ๔.เวลากล่าวคำถวายทานต้องบ่งชื่อผู้ตายคนเดียว อย่าเอาคนอื่นเข้ามาร่วมด้วย
     ๕.เวลากรวดน้ำก็ให้อุทิศเจาะจงแก่ผู้ตายคนเดียว บุญกุศลที่อุทิศให้จึงจะมีพลังถึง
ผู้ตาย  แต่ถ้าเราจะอุทิศให้ญาติพี่น้องหลายๆคนที่ตายไปแล้วก็ให้ทำในส่วนอื่นไม่ใช่ในส่วนนี้
     ๖.ชุดสังฆทานก็ให้จัดทำเอง  ให้จัดเอาของที่ผู้ตายชอบใช้ในเวลาที่เขามีชีวิตอยู่   อย่าไปซื้อชุดสังฆทานที่เขาทำไว้ขายตามร้านเพราะมันไม่ได้มาตรฐาน 
     ๗.สังฆทานที่ได้มาตรฐานจะต้องมีสิ่งของดังนี้ คือ:-
          -ช้อนส้อม
          -พริก, เกลือ, น้ำปลา, ซอส, หัวหอม, กระเทียม
          -แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, สบู่, ผงซักฟอก
          -มีด, พร้า, ตะไกร, ด้าย, เข็ม
          -ครก, สาก, หม้อ, กะทะ, ทัพพี
          -หวี, กระจก
          -เทียน, ไฟฉาย, ถ่านไฟฉาย, ไม้ขีด
          -ผ้าสบง, ผ้าจีวร
          -ยาชุดประจำบ้าน
          -น้ำดิ่ม
          -ถัง  และ ขันตักน้ำ
          -มุ้ง
          -นาฬิกาตั้งหรือแขวน
          -พัดลม
     ๘.ปินโต  ๔  เถา   ต้องใส่อาหารคราวหวานที่ผู้ตายชอบกินในเวลาที่ยังมีฃีวิต
     เมื่อจัดชุดสังฆทานให้ได้ตามนี้ก็จะเป็นสังฆทานที่สมบูรณ์แบบ  คนตายไปแล้วจะมี
ของกินและของใช้อย่างสมบูรณ์  ข้าพเจ้าได้ยินนางแต๋วมาเล่าให้ฟังว่า "นางจันทร์แม่
ของหล่อนที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันบอกว่ามีแต่ของใช้เยอะแยะมาก แต่ของกินไม่มีเลย"
นี่ก็แสดงให้เห็นว่านางแต๋วเวลาทำสังฆทานไปให้แม่ไปซื้อเอาแต่คุสังฆทานอย่างเดียว
ไม่มีอาหารคราวหวานด้วย  คนตายไปแล้วก็เลยมีแต่ของใช้  ของกินไม่มีเลย
     ๙.ซองจตุปัจจัยถวายพระต้องให้ครบตามจำนวนที่นิมนต์มา
                        จบเรื่องของคนตายเพียงแค่นี้ 
   
       ตำราการตัดเล็บตัดผมสระผมและการนุ่งผ้า
                             ตำราการตัดเล็บ
    ๑.ถ้าตัดเล็บในวันอาทิตย์         จะผิดใจกับเพื่อนร่วมงาน
    ๒.ถ้าตัดเล็บในวันจันทร์           จะมีลาภภายใน ๗ วัน
    ๓.ถ้าตัดเล็บในวันอังคาร          จะเกิดความขัดแย้งกับคนรัก
    ๔.ถ้าตัดเล็บในวันพุธ               จะมีความสุขสวัสดี
    ๕.ถ้าตัดเล็บในวันพฤหัสบดี     จะมีผลดีในการแสวงหาลาภ
    ๖.ถ้าตัดเล็บในวันศุกร์             จะมีโภคสมบัติภายใน ๗ วัน
    ๗.ถ้าตัดเล็บในวันเสาร์            จะซบเซาในโชคลาภ
                            ตำราการตัดผม
    ๑.ถ้ตัดผมในวันอาทิตย์            จะมีอายุยืน
    ๒.ถ้าตัดผมในวันจันทร์             จะมีลาภ
    ๓.ถ้าตัดผมในวันอังคาร            ศัตรูจะทำร้ายและใส่โทษ
    ๔.ถ้าตัดผมในวันพุธ                 จะเกิดทะเลาะวิวาทกันเอง
    ๕.ถ้าตัดผมในวันพฤหัสบดี        เทวดาจะรักษา
    ๖.ถ้าตัดผมในวันศุกร์                จะอยู่เย็นเป็นสุข
    ๗.ถ้าตัดผมในวันเสาร์               จะสรรพสิทธิ์ คือสำเร็จในสิ่งที่ปราถนา
                           ตำราการสระผม
    ๑.ถ้าสระผมในวันอาทิตย์           จะมีอายุยืน
    ๒.ถ้าสระผมในวันจันทร์             จะมีลาภ
    ๓.ถ้าสระผมในวันอังคาร            จะชนะศัตรู
    ๔.ถ้าสระผมในวันพุธ                 จะเป็นความ
    ๕.ถ้าสระผมในวันพฤหัสบดี       เทวดาจะคุ้มครองรักษา
    ๖.ถ้าสระผมในวันศุกร์               จะอยู่เย็นเป็นสุขไร้ทุกข์โรคา
    ๗.ถ้าสระผมในวันเสาร์              จะสำเร็จในสิ่งที่ปราถนา
                           ตำราการนุ่งผ้าใหม่
    ๑.ถ้านุ่งผ้าใหม่ในวันอาทิตย์            จะชนะศัตรู
    ๒.ถ้านุ่งผ้าใหม่ในวันจันทร์              เทพาอารักษ์จะรักษา
    ๓.ถ้านุ่งผ้าใหม่ในวันอังคาร             จะมีทุกข์มาก
    ๔.ถ้านุ่งผ้าใหม่ในวันพุธ                  จะมีสุขมาก
    ๕.ถ้านุ่งผ้าใหม่ในวันพฤหัสบดี        จะสุขสวัสดีมาก
    ๖.ถ้านุ่งผ้าใหม่ในวันศุกร์                จะมีทรัพย์มาก
    ๗.ถ้านุ่งผ้าใหม่ในวันเสาร์               จะเศร้าโศกเสียใจ
                          ตำราในการซื้อรถใหม่
    ๑.ถ้าซื้อรถใหม่ในวันอาทิตย์          ไม่ดี   เจ้าของรถจะเดือดร้อน
    ๒.ถ้าซื้อรถใหม่ในวันจันทร์            ดี   จะเกิดลาภผลพูนทาี
    ๓.ถ้าซื้อรถใหม่ในวันอังคาร           ไม่ดี   เจ้าของรถจะเป็นทุกข์และเกิดอุบัติเหตุ
    ๔.ถ้าซื้อรถใหม่ในวันพุธ                ไม่ดี   เจ้าของรถจะเป็นหนี้สินดักดาน
    ๕.ถ้าซื้อรถใหม่ในวันพฤหัสบดี      ไม่ดี   ทำการค้าขายจะติดขัด ระวังคู่ครองจะมีชู้
    ๖.ถ้าซื้อรถใหม่ในวันศุกร์               ดีมาก   ลาภผลอันมหึมากำลังรอท่าอยู่
    ๗.ถ้าซื้อรถใหม่ในวันเสาร์             ไม่ดี   จะเกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตได้
               เวลาดีในการนำรถออกจากร้าน
    ๐ช่วงเวลาฤกษ์ดีในการนำรถออกจากร้านมีดังนี้
      ๑.วันอาทิตย์  ฤกษ์ดีตั้งแต่เวลา         ๐๖ - ๐๘.๓๐ น.
      ๒.วันจันทร์    ฤกษ์ดีตั้งแต่เวลา         ๐๘.๐๙ - ๑๐.๕๙ น.
      ๓.วันอังคาร   ฤกษ์ดีตั้งแต่เวลา         ๑๑.๐๙ - ๑๒.๕๙ น.
      ๔.วันพุธ        ฤกษ์ดีตั้งแต่เวลา         ๑๓.๐๙ - ๑๕.๓๐ น.
      ๕.วันพฤหัสบดี  ฤกษ์ดีตั้งแต่เวลา     ๑๕.๓๙ -๑๗.๕๙ น.
      ๖.วันศุกร์          ฤกษ์ดีตั้งแต่เวลา      ๐๖.๓๙ - ๐๘.๕๙ น.
      ๗.วันเสาร์ไม่นิยมออกรถเวลาไหนก็ห้าม
       **หมายเหตุ:- ในการนำรถออกจากร้านให้ดูเวลาใน "ยามอัฏฐกาล" ประกอบด้วย
จึงจะเชื่อถือได้ แต่ถ้ายามอัฏฐกาลบอกว่าไม่ดีอย่าออกโดยเด็ดขาด ให้เปลี่ยนเวลาใหม่
                ทิศที่เป็นมงคลในการออกรถใหม่
     ๑.วันอาทิตย์   ออกรถครั้งแรกให้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
     ๒.วันจันทร์   ออกรถครั้งแรกให้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
     ๓.วันอังคาร   ออกรถครั้งแรกให้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
    ๔.วันพุธ   ออกรถครั้งแรกให้มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
    ๕.วันพฤหัสบดี   ออกรถครั้งแรกให้มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
    ๖.วันศุกร์   ออกรถครั้งแรกให้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
    ๗.วันเสาร์   ออกรถครั้งแรกให้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
                        สีรถที่ถูกโฉลกกับวันเกิด
     ๑.คนเกิดวันอาทิต์     ให้ใฃ้รถ  สีแดง    สีทอง    สีบรอนซ์ทอง    สีส้ม    สีโทนแดง
     ๒.วันจันทร์     ให้ใฃ้รถ  สีขาว    สีเงิน    สีบรอนซ์เงิน    สีขาวปุยเมฆ   สีขาวไข่กา
สีขาวปุยหิมะ   สีขาวควันบุหรี่   สีขาวไข่มุก
     ๓.วันอังคาร    สีชมพู    สีน้ำตาล    สีเนื้อ   สีตับหมู    สีกากี
     ๔.วันพุธ    สีเขียว   สีเขียวหัวเป็ด    สีเขียวยอดตองอ่อน    สีเขียวมรกต   สีเขียวหางนกยูง   สีโทนเขียว
     ๕.วันพฤหัสบดี    สีเหลือง    สีส้ม    สีแสด  สีโทนเหลือง
     ๖.วันศุกร์    สีน้ำเงิน    สีฟ้า    สีไพริน
     ๗.วันเสาร์    สีดำ    สีนิล    สีม่วง   สีคราม
     ๘.วันราหู    สีดำมัน    สีงูดิน    สีม่วงแก่    สีสำริด 
 
                   หน้าที่ ๔  จบเพียงเท่านี้            
                      
 
                     
 
     
                                     
          
 
    
                       
                                                                                                                                                                                                        
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                       
                                                                       
 
          
             
 

 
                                                                                                  
                    
 
 
   

 

       
     
                
                                  
 
     
  
   
        
 

            

   

 

 

เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ

Visitors: 142,870