หน้าที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องราวของมนุษย์

              หน้าที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องของมนุษย์

                   มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป         
         
      
          เรื่องของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ๐อุตตรกุรุทวีป   คือเกาะหรือแผ่นดินผืนใหญ่ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุ     -อุตตรกุรุทวีปมีสัณฐานเป็น ๔ เหลี่ยม  กว้างและยาวเท่ากัน  ๘๐๐๐  โยชน์   ตั้งอยู่ในมหาสมุทรที่มีชื่อว่า "ปีตสาคร" คือทะเลที่มีน้ำสีเหลือง มีทวีปน้อยเป็นบริวาร  ๕๐๐  ทวีป  ทวีปที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้ก็ตั้งอยู่ในปีตสาครเหมือนกัน
    -ต้นไม้ที่เป็นสัญญาลักษณ์ของทวีปคือ ต้นไม้กัลปพฤกษ์  ส่วนสูงวัดได้  ๑๐๐  โยชน์   รอบลำต้นวัดได้  ๑๕  โยชน์   มีกิ่ง  ๔  กิ่ง  แผ่ออกไปทั้ง  ๔  ทิศ   แต่ละกิ่งยาววัดได้  ๕๐  โยชน์  ตันไม้นี้มีอายุยืนได้หนึ่งวิวัฏฏัฏฐายีกัปป์
   -มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปมีคุณลักษณะพิเศษดีกว่าเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดีงส์และมนุษย์ในชมพูทวีปอยู่ ๓  ประการ  คือ:-
    ๑.มีตัณหาคือความอยากน้อย  มนุษย์ในทวีปนี้จะไม่หวงแหนสรรพสิ่งของต่างๆไม่ว่าจะเป็นสิ่งของใดๆก็ตาม
    ๒.มีอายุยืน ๑๐๐๐ ปีอย่างเที่ยงแท้  คือมนุษย์ในทวีปนี้จะไม่ตายตอนเป็นเด็กและตอนเป็นหนุ่มเป็สาว จะตายเมื่อสิ้นอายุขัยคือ มีอายุได้ ๑๐๐๐ ปีเท่านั้น  และจะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุและการป้องร้ายของสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย
    ๓.เมื่อตายแล้วจะไปเกิดในเทวโลกคือเมืองสวรรค์อย่างเดียวจะไม่ไปเกิดในโลกอื่น
    -รูปร่างของมนุษย์ในชมพูทวีป ๓ คนครึ่ง จึงจะสูงเท่ากับมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป ๑ คน
 คือสูง  ๑๓  ศอก  ๑  คืบ
      ความรักของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ความรักของมนุษย์ในอุตตรกุรุทีป  มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะเสพสังวาสกันเพียง ๕ ครั้งเท่านั้นในชีวิต  พวกเขาจะมีความรู้สึกในทางเพศในระยะเวลาเพียง ๗ วันเท่านั้น เลย ๗ วันไปแล้วความรู้สึกทางเพศจะระงับดับหายไป จะไม่มัวเมาในกามราคะ  บุรุษและสตรีในทวีปนี้จะไม่หวงแหนซึ่งกันและกัน  ผู้ชายจะไม่มีความหวงแหนเลยว่า "คนนี้เป็นแม่ของเรา   คนนี้เป็นเมียของเรา   คนนี้เป็นแฟนของเรา  คนนี้เป็นพี่สาวของเรา   และคนนี้เป็นน้องสาวของเรา" ความคิดอย่างนี้ไม่มีในจิตใจพวกเขาเลย   ผู้หญิงก็เหมือนกันไม่มีความคิดหวงแหนในจิตใจเลยว่า "คนนี้เป็นพ่อของเรา   คนนี้เป็นผัวของเรา   คนนี้เป็นพี่ชายของเรา   และคนนี้เป็นน้องชายของเรา"    ผู้ชายถ้าเห็นแม่ของตนเองจะจำได้โดยไม่ลืมเลย  จะไม่เสพสังวาสกับแม่ของตนเองโดยเด็ดขาด   ผู้หญิงถ้าเห็นพ่อของตัวเองจะจำได้โดยไม่ลืมเลย  จะไม่เสพสังวาสกับพ่อของตนเองโดยเด็ดขาด
             อาหารของมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป
   อาหารของมนุษย์ในทวีปนี้คือ "ข้าวสัญชาตะสาลี"  ข้าวสัญชาตะสาลีนี้มันจะเกิดของมันเอง มนุษย์ในทวีปนี้ไม่ต้องทำไร่ไถนา  จะทำไร่ไถนาปลูกฝักแฟงแตงกวาไม่มี ผู้คนจะเป็นอยู่อย่างสันโดษไม่ต้องทำมาค้าขาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีพรั่งพร้อมไปหมดไม่มีอะไรขาดแคลน  อยากจะกินอะไรก็ไปหาเอาได้ตามสบาย
   ข้าวสัญชาตะสาลีที่เกิดในทวีปนี้เป็นข้าวสารบริสุทธิ์ไม่มีแกลบและรำไม่ต้องสีและตำ  ข้าวสาลีชนิดนี้มีกลิ่นหอมหวนยิ่งนักมีรสชาติอันโอชะ ใครกินเข้าไปแล้วก็จะไม่เป็นโรค ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันคงจะเป็นยารักษาโรคไปในตัว  ในทวีปนี้ไม่มีหมอยารักษาโรคและไม่มีร้านขายยา เวลาจะกินก็ง่ายเพียงแต่เอาข้าวสัณชาตะสาลีใส่หม้อทองคำแล้วยกขึ้นตั้งเหนือก้อนศิลาที่มีชื่อว่า "โชติปาสาณะ"
   ข้อความตรงนี้ผู้อ่านบางคนอาจจะสงสัยว่า จะไปเอาหม้อทองคำมาจากไหนเยอะแยะมาให้คนหุงข้าวให้ครบกันได้  ข้อนี้ไม่ยากผู้อ่านทั้งหลายต้องรู้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปว่า  พื้นแผ่นดินในทวีปนี้ล้วนแล้วแต่เป็นทองคำทั้งสิ้นคือแผ่นดินจะเป็นทองคำเหลืองอร่ามไปหมด  ทองคำในทวีปของเราคือชมพูทวีปมันมีค่ามาก  แต่ในอุตตรกุรุทวีปไม่มีค่าไม่มีใครซื้อกันคือมันมีมากเกินไปจนไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดี เพราะแผ่นดินในทวีปมันเป็นทองคำไปทั้งหมดเลย  เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงเป็นสาเหตุทำให้คนในทวีปนี้มีความโลภน้อยมาก  ทวีปของเราทองคำมีน้อยมันจึงเกิดการแก่งแยงกัน เมื่อมีการแก่งแยงกันมันจึงมีการทำบาปเกิดขึ้นในทันที 
   เวลาหิวข้าวไม่ยากเลยไปเอาข้าวสาลีที่ริมทางใส่ลงไปในหม้อทองคำแล้วเอาน้ำใส่ตามที่ชอบ แล้วจึงยกไปตั้งลงที่ก้อนหิน โชติปาสาณะ  เมื่อเรายกหม้อตั้งที่ก้อนหินโชติปาสาณะแล้วก้อนหินมันก็จะร้อนเป็นไฟขึ้นมาเอง คล้ายๆกับหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ทวีปของเรา แต่ที่ทวีปของเขามันไม่เป็นอันตร้ายไม่มีพิษและไม่ต้องเสียเงินค่าไฟ  ก้อนหินโชติปาสาณะมันไม่มีเถ้าถ่านและควันไฟเลยพอข้าวสุกแล้วมันก็จะดับของมันเอง   ข้าวสาลีชนิดนี้ไม่มีกับแกล้มมันก็อร่อยเราอยากจะกินรสอย่างไรก็นึกเอาเองมันก็จะเกิดมีรสชาติตามที่เรานึกทุกประการ  พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้ามักจะเสด็จไปบิณฑบาตที่ทวีปนี้บ่อยๆ  พระพุทธเจ้าของเราในคราวที่พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  พระองค์ก็ทรงเสด็จไปบิณฑบาตที่อุตตรกุรุทวีปและฉันภัตตาหารที่ทวีปนี้จนออกพรรษา
          เครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป
   เครื่องนุ่งห่มของคนในทวีปนี้เมื่อพวกเขาต้องการเครื่องนุ่งห่มและเสื้อผ้าก็จะไปสอยเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้อยากได้ทรงไหนสไตล์ไหนก็สอยเอาได้ตามสบายล้วนแต่ดีๆทั้งนั้น เครื่องประดับอย่างอื่นก็มีอีกมากมีทุกอย่างตามที่เราต้องการประชาชนชาวอุตตรกุรุทวีปจะไม่หวงแหนสิ่งใดเลย  จะหวงว่าสิ่งนี้เป็นของเราๆจะไม่ให้ใครอย่างนี้ไม่มีในจิตใจของพวกเขาเลยและ ถ้าพวกเขาลงอาบน้ำในท่าน้ำพวกเขาจะวางเสื้อผ้าและเครื่องประดับกองทับกันเอาไว้ในกองเดียวกัน  ใครขึ้นจากน้ำก่อนก็เอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่อยู่ข้างบนนุ่งห่มไปเลยคนขึ้นมาจากน้ำทีหลังก็จะใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ยังเหลืออยู่โดยไม่เลือกว่านี้ของฉันนี้ของคุณ  บ้านเรือนของชาวอุตตรกุรุทวีปจะใช้ต้นไม้ ที่มีชื่อว่า "อุโลก"  เป็นบ้านเรือน
          บ้านเรือนของมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป   
   ต้นไม้อุโลกนี้จะมีค่าคบกิ่งและใบแน่นหนามากกิ่งและใบก็จะชลูดลงมาคล้ายกับต้นสนฉัตรอินเดียที่ทวีปของเรา แต่ต้นอุโลกนี้มันจะมีกิ่งก้านแผ่ออกไปจากลำต้นประมาณ ๑๐๐  เมตร  เวลาฝนตก  ฝนจะไม่สาดหรือกระเซ็นไปถึงตัวคนที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ภายใต้ต้นไม้นี้เลย  เพราะฝนตกในทวีปนี้จะไม่มีลมพายุเหมือนทวีปของเราอยากตกมันก็ตกลงมาเลยโดยไม่ต้องอาศัยลมพายุ   ต้นอุโลกมีลักษณะเหมือนกับเรือนยอด คนที่อยู่อาศัยใต้ต้นของมันจะมีแต่ความสุขเพลิดเพลินเจริญใจร่มรื่นบันเทิงใจยิ่งนัก และคนที่ได้อาศัยอยู่ใต้ต้นอุโลกนี้จะมีแต่ความสุขสวัสดีเปรียบเหมือนได้อยู่ในปรางค์ปราสาทจะไม่ลำบากด้วยเหตุใดๆทั้งสิ้น  ส่วนต้นไม้อื่นๆที่อยู่รายลอบต้นอุโลกนี้จะสีสันอันสวยงามมีกลิ่นหอมเป็นที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก  
           ลักษณะของพื้นแผ่นดินในอุตตระกุรุทวีป
   พื้นแผ่นดินที่มีอยู่ในทวีปนี้จะมีลักษณะราบเรียบเป็นหน้ากลองโดยปราศหลักตอและเสี้ยนหนามจะดาดาษไปด้วยหญ้าอันเขียวขจีสัมผัสอ่อนหนุมดังสำลีมีสีสันสวยงามประดุจดังสีสร้อยคอของนกยูงมีความสูง ๔ นิ้วเสมอกันหมด โดยรอบของทวีปนี้จะแวดล้อมไปด้วยภูเขาทองคำและแผ่นดินของโลกนี้จะมีสีเหลืองเหมือนสีของทองคำส่องสว่างเรืองโรจน์อยู่เสมอ  ในทวีปนี้จะมีตันกัลปพฤกษ์สูง ๑๐๐ โยชน์  (๑ โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร  ๑๐๐ โยชน์จะสูงเท่าไหร่ กรุณาคิดเอาเอง) มันเป็นต้นไม้ประจำทวีป  ต้นกัลปพฤกษ์นี้มีประโยชน์อย่างไรทราบหรือไม่?
           ในอุตตระกุรุทวีปมีต้นกัลปพฤกษ์
   ต้นกัลปพฤกษ์ในอุตตรกุรุทวีปนี้เป็นต้นไม้ประจำทวีป สูง ๑๐๐ โยชน์   กว้าง ๑๐๐ โยชน์   และมีปริมณฑลแผ่ออกไปอีก ๓๐๐ โยชน์  ต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ให้ผลสำเร็จตามความปราถนาทุกประการ ใครปราถนาอยากจะได้อะไรก็จะได้สิ่งนั้นสมปราถนาทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแก้วแหวนเงินทองเครื่องประดับของกินและของใช้มีทั้งนั้น
           ฝูงสัตว์ทั้งหลายในอุตตระกุรุทวีป
  ฝูงสัตว์ทั้งหลายในทวีปนี้จะไม่เบียดเบียนมนุษย์และมนุษย์ทั้งหลายก็จะไม่เบียดเบียนสัตว์  มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้จะไม่พยาทอาฆาตมาดร้ายต่อกัน  จะไม่ทะเลาะวิวาทกัน อยู่กันด้วยความสงบสุข  ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นทวีปที่น่าอยู่เสียจริงๆ                                 
   อนึ่งในอุตตรกุรุทวีปนี้จะไม่มีกลิ่นเหม็น  มีแต่กลิ่นหอมที่หอมฟุ้งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่น่าปรีด์เปรมเกษมจิตยิ่งนัก  สระน้ำในอุตตรกุรุทวีปนั้นจะเต็มไปด้วยดอกบัวหลากหลายนานาชนิดมีทั้งสีเขียว   สีขาว   สีเหลือง   สีแดง   และสีหงสบาท บานอยู่ตลอดเวลามันส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรกระจ่ายทั่วไปหมด
   มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้ไม่มีความหวงแหนในวัตถุสิ่งของอะไรไม่ว่า จะเป็นแก้ว  แหวน  เงินทอง  เพชรนิลจินดาที่เป็นเครื่องประดับและของใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นช้างม้าวัวควาย ล้อรถ ที่ดินเรือกสวนไร่นา   แต่มนุษย์ในชมพูทวีปจะไม่มีความหวงแหนในวัตถุสิ่งของเครื่องอุปโภคและบริโภค แก้ว  แหวน  เงินทอง  เพชรนิลจินดา  เรือกสวนไร่นาเป็นผู้ที่มีสติปัญญารู้กฏของไตรลัษณ์คือ  อนจจัง   ทุกขัง   อนัตตาเป็นอย่างดี  ไม่ติดในวัตถุ สิ่งของเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีป  เทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เหมือนกันมากไปด้วยความกำหนัด ยินดีในราคะ  ความปรารถนา ความดิ้นรน ความอยาก ความเสน่หาเหมือนกับมนุษย์ในชมพูทวีปหวงแหนในทิพยสมบัติสุรางคนางอันเป็นบริวารของตนเอง
     อายุขัยและการเกิดของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
  มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป  ทั้งหญิงและชายจะมีอายุยืนได้  ๑๐๐๐  ปี ไม่มากและไม่ต่ำกว่านี้  ถ้าอายุยังไม่ถึง ๑๐๐๐ ปีจะยังไม่ตายจะไม่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  จะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุ  จะไม่ตายด้วยการป้องร้ายของมนุษย์ด้วยกัน  จะไม่ตายด้วยการทำร้ายของอสรพิษและสัตว์ร้าย  จะตายเมื่ออายุครบ  ๑๐๐๐  ปีเท่านั้น
  การเกิดของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะไม่เหมือนกับมนุษย์ในชมพูทวีป  มนุษย์ในชมพูทวีปเวลามีครรภ์จะเจ็บปวดแพ้ครรภ์เสวยทุกขเวทนายิ่งนัก  เวลาจะคลอดก็เจ็บปวดคลอดยากทุกทรมานยิ่งนัก   แต่มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปเวลามีครรภ์ท้องจะไม่โตเหมือนคนมีครรภ์ในชมพูทวีป เวลาคลอดก็สะดวกสบายเหมือนกับการถ่ายอุจจาระไม่เจ็บปวดทรมานเหมือนคนในชมพูทวีป 
   ทารกที่เกิดมาจะไม่แปดเปื้อนด้วยไขและเลือดที่เป็นมลทินแห่งครรภ์จะสะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องตัดสายลกเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีป  เด็กที่คลอดออกมาก็จะไม่ร้องไห้อุแว!  อุแว! เหมือนเด็กในชมพูทวีป   เด็กที่คลอดออกมาแล้วพ่อแม่ก็ไม่ต้องเลี้ยงดูเพียงแต่เอาเด็กไปวางไว้ตรงทางใหญ่สี่แพร่ง คนที่เดินทางไปมาจะช่วยเลี้ยงดูคือเมื่อใครเดินทางมาพบเด็กเข้าก็จะเอานิ้วมือแย่เข้าไปในปากของเด็กน้ำนมก็จะไหลออกมาจากนิ้วมือนั้นกลายเป็นน้ำนมเลี้ยงดูเด็กอย่างอิ่มหนำสำราญ  ใช้เวลาเพียง ๗ วันเท่านั้นเด็กก็จะเติบโต  ถ้าเป็นผู้หญิงก็ให้ไปอยู่ในกลุ่มผู้หญิง  ถ้าเป็นชายก็ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้ชาย
       รูปร่างและผิวพรรณของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
  รูปร่างและผิวพรรณของมนูษย์ในอุตตรกุรุทวีป จะไม่เป็นคนพิกลพิการหูหนวกตาบอด  ง่อยเปลี้ยเสียขา  เตี้ยค่อม   มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะไม่เป็นโรคขี้กลากขี้เรื้อน หืดหอบ  ฝีดาด  หวัดไอ  มองคร่อ  ลมบ้าหมูและบ้าดีเดือด  ไข้สันนิบาตและไข้สัมประชวร   มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปไม่เจ็บป่วยเพราะอำนาจของการบริโภคข้าวสาลีสัญชาตะ  ข้าวสาลีสัญชาตะมีคุณประโยชน์มากกินเข้าไปในท้องแล้วก็จะกลายเป็นยารักษาโรคไปด้วย     เด็กในอุตตรกุรุทวีปคลอดออกมาจากท้องแม่วันเดียวจะโตเท่ากับเด็กในชมพูทวีปมีอายุได้ ๖ เดือน   มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะมีส่วนสูงเท่ากับมนุษย์ในชมพูทวีปต่อกัน ๓ คนครึ่งคือสูงประมาณ ๑๓ ศอก
  ผิวพรรณของมนุษย์ในอุคตตรกุรุทวีปมี ๒ สี คือสีขาวกับสีแดง  จะไม่มีหลายสีเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีป   ชาวอุตตระกุรุทวีปจะนุ่งห่มผ้ากัปปาสิกพัสตร์ คือผ้าที่ทำด้วยด้ายเหมือนกันหมด  จะนุ่งห่มด้วยผ้าหลากหลายชนิดเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีปก็หามิได้  ผ้าแต่ละผืนจะยาว ๒๐ ศอก  กว้าง ๑๐ ศอก  เป็นผ้าที่มีเนื้อละเอียดยิ่งนักจะหาผ้าในชมพูทวีปเป็นร้อย  เป็นพัน  เป็นหมื่น  เป็นแสนชนิดก็เปรียเทียบกันไม่ได้เลย
          การร่วมรักของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ถ้ามนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปเกิดความรักใคร่กัน  ผู้ชายจะเพ่งดูผู้หญิงถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ตัวก็จะมีเพื่อนหญิงด้วยกันบอกเตือนว่าชายคนนั้นเพ่งดูคุณนะเขาตงรักคุณ  ถ้าผู้หญิงคนไหนเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมาก็จะเพ่งดูผู้ชาย ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่รู้ตัวก็จะมีเพือนชายด้วยกันบอกเตือนให้รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นหลงรักคุณแล้วนะ  เมื่อทั้งชายและหญิงรู้จักกันแล้วก็จะพากันไปที่ต้นไม้ "อุโลก"  ถ้าหญิงและชายเหมาะสมคู่ควรกันต้นไม้อุโลกก็จะกำ บังหญิงและชายนั้นเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น  หญิงและชายนั้นจึงจะเสพสังวาสกันได้  ถ้าหากหญิงและชายคู่นั้นไม่เหมาะสมไม่คู่ควรกันต้นไม้อุโลกก็จะไม่บิดบังให้  หญิงและชายคู่นั้นก็จะเสพสังวาสกันไม่ได้       
   อนึ่งมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปนั้นจะไม่มีการอาวาหะและวิวาหมงคลคือการสู่ขอแต่งงานกันเหมือนกับในชมพูทวีปของเรา  ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในอุตตระกุรุทวีปนั้นจะมีระดูได้เพียง ๕ ครั้งเท่านั้นจะไม่มีมากกว่านั้น  และผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีปจะมีลูกได้ไม่เกิน ๕ ครั้งเท่านั้น
         รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีป
   ผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีปนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาสวยงามน่ารักเหมือนกันทุกคนที่รูปร่างไม่สวยคงไม่มี ผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีปนี้จะมีรูปร่างไม่สูงนักไม่เตี้ยนัก   ไม่ดำนัก   ไม่ขาวนัก  ไม่อ้วนนัก   ไม่ผอมนัก  รูปร่างสิริโสภาคย์สวยงามได้สัดส่วนน่ามองยิ่งนัก  ผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีปนี้สมเป็นนางแก้ว   เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกผู้หญิงจากอุตตรกุรุทวีปว่า   
   "นางแก้ว"  พระเจ้ามหาจักรพรรดิจะได้นางแก้วในอุตตระกุรุทวีปเป็นมเหสี                                                                                                                                         ลักษณะความงามของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีป
     -ศีรษะกลมสวยเหมือนลูกแตงโม
     -เส้นผมจะดำสลวยเป็นเงางาม ถ้าปล่อยเลี้อยลงมาก็จะตกถึงตระโพกและปลายของเส้นผมก็จะงอนขึ้นประดุจดังหางของนกยูงรำแพน  เส้นผมทุกเส้นจะไม่มีผมหงอก
     -ใบหน้าจะเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกันหมด
     -หูจะเลียวงามประดุจดังใบโพธิ์
     -คิ้วจะโก่งงามเหมือนดังคันศร
     -นัยน์ตาจะกลมงามดำสนิทเหมือนนัยน์ตาของเนื้อทราย
     -ริมฝีปากจะบางแฉล้มเหมือนลูกพริกมีสีแดงประดุจดังผลตำลึงสุกโดยไม่ต้องทาลิบสะติก
     -ฟันจะขาวประดุจดังสังข์และจะเป็นระเบียบประดุจดังระเบียบแห่งเพชร
     -เสียงจะไพเราะเหมือนเสียงนกการเวก
     -คอจะกลมงามเหมือนดังลูกฝักและจะมีเส้นสร้อยปล้องคออยู่ ๓ เส้น
     -นมจะตั้งเต่งตึงสวยงามอยู่เสมอประดุจดังผลมะตูมครึ่งซีกจะไม่หย่อนยานเลยจนตลอดชีวิต
     -แขนจะเลียวงามประดุจดังหยวกกล้วย
     -นิ้วมือจะเลียวงามเหมือนตัวหนอน
    -เล็บมือจะแดงงามเหมือนเมล็ดในของทับทิม โดยไม่ต้องใช้ยาทาเล็บ
     -เอวจะกลมงามประดุจดังหม้อนึ่งข้าว
     -ตระโพกจะผึ่งผาย
     -ขาจะเลียวงามประดุจดังงาช้าง
     -เท้าจะนูนบูม
     -ใบหน้าแจ่มจรัสเต็มบริบูรณ์ประดุจดังพระจันทร์ในวันเพ็ญผ่องใสสดชื่นรื่นเริงบันเทิงใจ  และใบหน้าของสตรีและบุรุษในอุตตรกุรุทวีปจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
     -ดวงตาของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีป มีสัณฐานกว้างงามที่ควรจะขาวก็ขาวอย่างสะอาดที่ควรจะดำก็ดำสนิทประดุจดังนิล  ที่ควรจะเขียวก็เขียวขจิตเขียวสนิทงามเป็นแสง  ที่ควรจะแดงก็แดงอย่างชาดแต้ม  ที่ควรจะเหลืองก็เหลืองอย่างสีของมาศ เนื้อสูงดูไหนงามนั้น   
     -สะดือของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีปจะลึกเป็นเกลียวลงไปเหมือนก้นหอยงดงามยิ่งนัก
     -ตระโพกจะกว้างลำเพลากลม
     -ลำแข้งน้อยเลียวกลมมีขนเส้นเล็กๆบางๆน่ารักยิ่งนัก
     -กายนั้นอ่อนหนุมบริบูรณ์ถ้าผู้ชายได้สัมผัสจะทำให้เกิดมีความต้องการทางเพศขึ้นมาทันทีแม้บุรุษที่มีอวัยวะเพศตายด้านแล้วก็ตาม ทำให้ผู้ชายมีความสุขอยู่ทุกฤดูกาล  ถ้าถึงวาระร้อนร่างกายของผู้หญิงจะเย็น  แต่ถ้าถึงวาระเย็นร่างกายของผู้หญิงก็จะอบอุ่น จะให้ความสุขแก่บุรุษที่ได้สัมผัสอยู่ตลอดเวลา
     -ผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีป จะพูดจาด้วยวาจาที่อ่อนหวานนุ่มนวลสละสลายไพเราะยิ่งนัก
     -ผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีปจะประดับประดาร่างกายด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวยงามอยู่เสมอจนตลอดชีวิต
     -มนูษย์ในอุตตระกุรุทวีปจะไม่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
     -มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป  ถ้าเป็นผู้ชายเมื่อเจริญเติบโตอายุได้ ๒๐ ปีแล้วก็จะหยุดอยู่แค่นั้นจะไม่เติบโตต่อไปอีกจะไม่แก่เฒ่าเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีปของเรา จะมีวัยเหมือนเด็กหนุ่มอายุ ๒๐ ปี อยู่ตลอดเวลา จนกว่าอายุจะครบ ๑๐๐๐ ปี  จึงจะตาย   ถ้าเป็นผู้หญิงเมื่อเจริญเติบโตอายุได้ ๑๖ ปีแล้วก็จะหยุดอยู่แค่นั้นจนกว่าอายุจะครบ ๑๐๐๐ ปีจึงจะตาย พูดให้ฟังง่ายๆคือจะเป็นหนุ่มและเป็นสาวจนอายุถึง ๑๐๐๐ ปี  จึงจะตาย  ทวีปนี้ (โลกนี้) ชังน่าอยู่เสียจริงๆ ไม่มีทวีปไหนสู้ได้เลย
              ลมฟ้าอากาศในอุตตรกุรุทวีป
   มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปจะไม่ลำบากด้วยร้อนและหนาว  เมื่อถึงฤดูร้อนถ้าถึงเดือนอันเป็นที่สุดแห่งฤดูร้อนคือ วันแรม ๑๕ ค่ำ  เดือน ๗  ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ  เดือน ๘    เมื่อเวลาใกล้รุ่ง จะมีอากาศร้อนกับหนาวเท่ากัน ฤดูกาลในอุตตระกุรุทวีปนั้นจะไม่ร้อนไม่หนาวจะเป็นสุขอยู่เช่นนี้ชั่วนิรันดร์  อากาศจะไม่วิปริตแปรผันเหมือนในชมพูทวีป   ชมพูทวีปจะมีอากาศแปรปรวนอยู่ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นในชมพูทวีปมนุษย์จึงมีอายุสั้นบางยาวตามสภาพของอากาศเอาแน่นอนไม่ได้  ในอุตตระกุรุทวีปมนุษย์จะไม่เป็นอันตรายเพราะลมและแดดและ จะไม่มีความคับแค้นใจ   สัตว์มีพิษทั้งหลาย เช่น งูพิษ  เสือ  ต่อ  แตน  ปลาไหลไฟฟ้า เหลือบ  ยุง  ริ้ว  ไร  เห็บหมัด  ตะขาบ  แมงป่อง  มดที่กัดต่อยคนจะไม่มีเลย
   ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ทุกมุมเมืองใครอยากได้อะไรก็ไปสอยเอาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า  เครื่องประดับตกแต่งร่างกายล้วนแล้วแต่ดีๆ  อาหาร  ผลไม้ที่อร่อยที่ไม่มีสารพิษ  ผ้านุ่งผ้าห่มที่อยู่ในต้นกัลปพฤกษ์ล้วนแล้วแต่เป็นผ้าเนื้อดีละเอียดอ่อนหนุมเมื่อสัมผัสจะทำให้เรามีความสุขสบายยิ่งนัก ผ้าเหล่านี้จะมีสีสรรหลากหลายชนิดมีทุกอย่างตามที่เราต้องการจะห้อยย้อยอยู่ที่ต้นกัลปพฤกษ์เต็มไปหมด  ลวดลายของเสื้อผ้าจะสำเร็จด้วยแก้วและทองคำเลื่อมระยิบระยับจับตาสวยงามยิ่งนัก   และในต้นกัลปพฤกษ์นี้มีเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า เช่นพิณ  ปี่  ตะโพน  บัณฑพ  ฉิ่ง กรับ  สังข์และกังสดาล ห้อยย้อยเต็มไปหมดจะเลือกเอาเครื่องดนตรีชนิดไหนก็มีทั้งนั้น
        ความสมบูรณ์และความงามแห่งธรรมชาติ
   ต้นไม้ในอุตตรกุรุทวีปมีหลากหลายชนิด ต้นไม้ที่มีผลจะมีผลโตเท่ากับหม้อ  ผลไม้แต่ละผลจะมีรสอันหอมหวานเอมโอชคืออร่อยลิ้นยิ่งนักกินครั้งเดียวจะบรรเทาความหิวไปได้ ๗ วัน   แม่น้ำและมหาสมุทรในอุตตระกุรุทวีปเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทินและเปลือกตม มีท่าน้ำอันระรื่นน่ารื่นรมย์น่าอาบและน่ากินยิ่งนัก  หาดทรายและกระแสน้ำจะมีสีเหลืองเหมือนทองคำ สองฝั่งแม่น้ำไม่ร้อนนักไม่เย็นนักมีสัมผัสอันเป็นสุขดาดาษไปด้วยดอกไม้ที่เกิดในน้ำมีกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วหมด  กระแสน้ำที่ไหลไปในลำน้ำทั้งปวงนั้นจะหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้  ต้นไม้และเถาวัลย์ในอุตตรกุรุทวีปจะไม่มีหนามจะเต็มไปด้วยดอกไม้ที่มีสีสันอันสวยงามและมีผลเป็นพุ่มเป็นพวงห้อยระย้า  ถ้าประชาชนต้องการที่จะหลับนอนใต้ต้นไม้ต้นไหน  ภายใต้ร่มไม้นั้นก็จะมีฟูกหมอนและเตียงตั่งให้หลับนอนด้วยอำนาจของบุญ
    ถ้าญาติพี่น้องคนไหนมีอายุได้ ๑๐๐๐ ปี ก็จะตาย เมื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องตายจะไม่มีการเศร้าโศกและร้องไห้  เมื่อมีการตายเกิดขึ้นพวกเขาจะเอาผ้าขาวห่อศพแล้วยกเอาไปวางไว้กลางแจ้ง ต่อจากนั้นก็จะมีนกหัสดีลิงค์บินมาคาบเอาซากศพไปทิ้งที่นอกภูเขาทองคำที่ล้อมรอบทวีปอยู่ภายในอุตตระกุรุทวีปนี้จะไม่มีซากศพและกลิ่นเหม็นในทวีปนี้จะไม่มีป่าช้าในแผ่นดินในอุตตรกุรุทวีปจะทำให้สิ่งโสโครกทั้งหลาย  เช่น เสมหะ  อุจจาระ  และปัสสาวะจมหายลงไปใต้แผ่นดินเอง
       
             นี้คือรูปภาพลักษณะของนกหัสดีลิงค์ที่คาบเอาซากศพไปทิ้ง
         
               อายุขัยของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ในอุตตรกุรุทวีปมนุษย์จะมีอายุยืนได้ ๑๐๐๐ ปี ทั้งหญิงและชาย  ถ้าอายุไขยังไม่ถึง ๑๐๐๐ ปีจะไม่ตาย  ร่างกายของพวกเขาจะไม่วิปริตแปรปรวนผันผวนด้วยอำนาจของลมแลแดดและความเจ็บไข้ได้ป่วย กำลังวังชาก็จะไม่ถดถอย  ร่างกายก็จะไม่ชราและเหี่ยวย่น  จะไม่มีคนหูหนวกหูตึง หน้ามืดตามัวฟันหัก  แก้มตอบ  สันหลังขด ง่อยเปลี้ยเสียขา จะไม่มีเหมือนกับมนุษย์ในชมพูทวีป  ในชมพูทวีปนั้นเมื่อตั้งปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของ
มารดาแล้วพอเป็นกัลละเหมือนน้ำมันงาใสๆก็จะฉิบหายไปก็มี   บางจำพวกเป็นอัมพุทะเหมือนปุ่มเปลือกในไข่แล้วฉิบหายไปก็มี   บางจำพวกเข้มข้นขึ้นเป็นชิ้นเนื้อแล้วฉิบหายไปก็มี   บางจำพวกเป็นฆนะและเป็นแท่งแล้วก็ฉิบหายไปก็มี   บางจำพวกเป็นปัญจสาขาแตกเป็นกิ่ง ๕  กิ่ง คือมือ ๒  เท้า ๒  และศีรษะ ๑ แล้วฉิบหายไปก็มี  
   บางจำพวกจำเริญเป็นรูปกายมีผมแล้วตายไปก็มี   บางจำพวกก็ขัดขวางไม่สามารถออกจากครรภ์ได้ตายไปก็มี   บางจำพวกคลอดออกมาจากครรภ์แล้วเพียงครู่เดียวแล้วตายไปก็มี  บางจำพวกมีอายุได้ ๑ ปี  ๒ ปี  ๓ ปี  ๔  ปี  ๕  ปี  ๑๐  ปี  ๒๐  ปี  ๓๐  ปี  ๔๐  ปี  ๕๐  ปี  ๖๐  ปี  ๗๐  ปี  ๘๐  ปี  ๙๐  ปี  ๑๐๐  ปี  ตายไปก็มี  แต่มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะไม่เป็นอย่างนี้คือจะไม่ตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ  จะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุและคณไสย์  จะไม่ตายด้วยการปองร้ายของมนุษย์  จะไม่ตายด้วยสัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษทั้งหลาย  จะไม่ตายด้วยยาพิษ ยาเบื่อยาสั่ง  จะไม่ตายด้วยด้วยพืชผักและสิ่งที่เป็นพิษทั้งหลาย จะไม่ตายด้วยเครื่องศัตราอาวุธทั้งหลายและจะไม่ตายเพราะแก่ชรา ถ้าอายุยังไม่ถึง ๑๐๐๐ ปี  จะไม่ตายอย่างแน่นอน
             คติแห่งสมปรายภพ
   คติแห่งสัมปรายภพคือการไปสู่ภพอื่นในเมื่อตายไปแล้ว  มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปเมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดในเทวโลกคือเมืองสวรรค์อย่างเดียวจะไม่ไปเกิดในโลกอื่นภพอื่นอย่างเด็ดขาด  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปถือศีล ๕ ได้ครบทุกข้อไม่ขาดและไม่ด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย  เพราะฉะนั้นเวลาตายจึงไปเกิดในโลกสวรรค์อย่างเดียวไม่ไปเกิดในทวีปอื่นโลกอื่น
             อานุภาพของศีลในอุตตรกุรุทวีป
   มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ถือศีล ๕ เหมือนกันหมด ถืออย่าง บริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่มีขาดหรือด่างพร้อยเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป  เพราะการถือศีล ๕ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์จึงทำให้มนุษย์ในทวีปนี้มีร่างกายสวยงามมีอายุยืนยาวได้ ๑๐๐๐ ปี  เวลาตายก็ไปเกิดในโลกสวรรค์อย่างเดียวไม่ไปตกนรกเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีป
   ประโยชน์ของศีล  ศีลเป็นยานอันวืเศษดีกว่ายานทั้งหลาย เช่น  หัตถียาน คือเครื่องนำไปที่เกิดจากช้าง   อัสสยาน คือรถม้า   รถยาน คือรถยนต์, รถจักรยานยนต์, รถจักรยาน    ยานอวกาศ  คือไอพ่นเครื่องบิน  จะนำเราไปได้ก็แต่ในโลกนี้เท่านั้น  แต่ยานพวกนี้จะนำพาเราไปสู่โลกอื่นไม่ได้  เพราะฉะนั้นศีลพระพุทธองค์ตรัสว่า "สีลัง  ยานานะมุตตะมัง  ศีลเป็นยวดยานอันสูงสุดกว่ายวดยานทั้งหลาย"  และพระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "สีลัง  อะลังการะมุตตะมัง  แปลว่า ศีลเป็นเครื่องประดับอันวิเศษสุดย่อมงามในโลกทั้ง ๓   คือมนุษยโลก   เทวโลก   และพรหมโลก" 
   ความงามของศีลไม่เลือกยากดีมีจนเด็กหนุ่มสาวเฒ่าชะแรแก่ชรา คนไหนมีศีลคนนั้นก็จะงามได้โดยไม่เลือกหน้า  สีลัง  คันโธ  อนุตตะโร  กลิ่นของศีลหอมกว่ากลิ่นของดอกไม้ทั้งหลาย  แม้ดอกไม้ปริกชาติอันเป็นดอกไม้ประจำสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เวลาบานจะมีกลิ่นหอมฟุ้งไปไกลได้ ๑๐๐ โยชน์ กลิ่นหอมของดอกปริกชาติหอมไปตามลมหอมทวนลมไม่ได้  แต่กลิ่นของศีลหอมไปตามลมก็ได้หอมทวนลมก็ได้หอมไปได้ทั้ง ๘ ทิศ ระยะทางใกล้ไกลไม่มีกำหนดศีลมีที่ไหนก็หอมไปในที่นั่น  ความสวยความรู้และยศศักดิ์เป็นเครื่องประดับของมนุษย์ชนิดหนึ่ง ที่มนุษย์ต้องการและใฝ่หา
   แต่ความสวยทั้ง ๓ ชนิดนี้ถ้าขาดศีลจะเป็นความสวยที่ไร้ค่าเป็นสิ่งจอมปลอมเพื่อลวงโลกเท่านั้น      สีเลนะ  สุคะติง  ยันติ  บุคคลจะได้ไปบังเกิดในสุคติภูมิคือ  มนูษยโลก   เทวโลก   พรหมโลก  ก็เพราะศีล  เพราะฉะนั้นศีลจึงเป็นยานพาหนะที่จะพาเราไปได้ทั้ง ๓ โลก        สีเลนะ  โภคสัมปะทา  ผู้ใดมีศีลผู้นั้นก็จะบริบูรณ์ด้วยสมบัติที่เป็นสวิญญาณกะทรัพย์และอวิญญาณกะทรัพย์ ฯ
 
                   มนุษย์ในอมรโคยานทวีป
      
                เรื่องของมนุษย์ในอมรโคยานทวีป     
    อมรโคยานทวีป   คือทวีปที่เป็นเกาะใหญ่หรือแผ่นดินผืนใหญ่ มีเนื้อที่ทั้งหมดวัดได้ ๗๐๐๐ โยชน์   และมีทวีปน้อยทวีปใหญ่เป็นบริวารอีก  ๕๐๐  ทวีป 
     -ทวีปนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรที่มีชื่อว่า "ผลิกสาคร" คือทะเลที่มีน้ำเป็นสีคล้ายรัสมีสีแก้วผลึก อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของภูเขาพระสุเมรุ
     -มีต้นไม้กระทุ่มเป็นสัญญาลักษณ์ของทวีป   ต้นไม้กระทุ่มนี้มีรูปลักษณะเท่ากันกับต้นไม้หว้าในชมพูทวีปทุกประการ  วัดตั้งแต่โคนต้นถึงปลายยอด  วัดได้ ๑๐๐ โยชน์   วัดรอบต้นได้ ๑๕ โยชน์  มีกิ่ง ๔ กิ่ง  แผ่ออกไป ๔ ทิศๆ ละกิ่ง  กิ่งหนึ่งยาววัดได้ ๕๐ โยชน์ มีอายุยืนได้หนึ่งวิวัฏฏัฏฐายีกัปป์
     -มนุษย์ในทวีปนี้มีใบหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีอายุยืนได้ ๕๐๐ ปี  เป็นกำหนด ถ้าอายุยังไม่ถึง ๕๐๐ ปีจะไม่ตาย  มนุษย์ในทวีปนี้รักษาศีล ๕  ได้ครบทุกข้อ
     -มนุษย์ในทวีปนี้เดินเคลื่อนไหวไปมาเท้าไม่ติดดินคือเดินลอยอยู่เหนือพื้นดินประมาณ ๑  คืบ
     -อมรโคยานทวีป  มีทวีปน้อยเป็นบริวารอีก  ๕๐๐  ทวีป  มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปน้อย ๕๐๐  ทวีปก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนทวีปใหญ่คือมีใบหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวทั้งหมด
ทั้ง  ๕๐๐  ทวีป
     -ลักษณะสัณฐานของทวีปนี้ มีลักษณะเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
     -ทารกที่เกิดในอมรโคยานทวีปเพียงครู่เดียวจะโตเท่ากับทารกที่เกิดในชมพูทวีป  ๔
เดือน
     -รูปร่างลักษณะของมนุษย์ในอมรโคยานทวีปสูงได้  ๖  ศอก  มีสีของผิวกายเป็นหลายสี  เช่น  บางจำพวกเป็นสีขาว   บางจำพวกเป็นสีดำ   บางจำพวกมีผิวเนื้อเป็นสองสี   บางจำพวกเป็นสีทอง   บางจำพวกมีผิวเนื้อเป็นสีด่างพร้อยก็มี
    -ผ้านุ่งและผ้าห่มของชาวอมรโคยานทวีป  มีหลายอย่างหลายพรรณ  เป็นผ้ากัปปาสิกะพัสตร์ที่ทอด้วยด้ายก็มี   เป็นผ้าโกไสยพัสตร์  ที่ทอด้วยไหมก็มี  ราคาถูกบ้าง แพงบ้าง เนื้อผ้าหยาบก็มี  ละเอียดก็มี   สีของเสื้อผ้าก็มีหลากหลาย  สีขาวก็มี   สีเหลืองก็มี   สีแดงก็มี   สีดำก็มี   สีเขียวก็มี   มาหลายสีผสมกันก็มี        
           เครื่องประดับของชาวอมรโคยานทวีป
    เครื่องประดับของชนชาวอมรโคยานทวีป เป็นทองคำก็มี  เป็นเงินก็มี  เป็นแก้วก็มี  เป็นทองนากก็มี   เป็นเพชรและพลอยก็มี
                  บ้านเรือนของชาวอมรโคยานทวีป
    บ้านเรือนของชาวอมรโคยานทวีป  เป็นปราสาทหลังยาวๆก็มี   เป็นปราสาทสี่เหลี่ยมก็มี   เป็นตึกกว้างก็มี   เป็นเรือนยอดก็มี   เป็นเรือนไม่มียอดก็มี   บ้านเรือนบ้างหลังสร้างด้วยทองคำก็มี    บ้านเรือนบางหลังสร้างด้วยเงินก็มี   บ้างหลังสร้างด้วยศิลาก็มี   บางหลังสร้างด้วยแก้วก็มี  บางหลังสร้างด้วยปูนและดินก็มี   บ้างหลังสร้างด้วยไม้ต้นใหญ่ๆก็มี   บางหลังสร้างด้วยไม้ไผ่ก็มี
                 อาหารของชาวอมรโคยานทวีป
     อาหารสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตในอมรโคยานทวีปนั้น  ได้แก่  ข้าวสตู   ข้าวสุก   ถั่วและงา   เนื้อและปลาก็มีอยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนในชมพูทวีป  คนในอมรโคยานทวีปจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ถ้าจะกินเนื้อกินปลาก็กินแต่เนื้อและปลาที่ตายแล้วเท่านั้น
                 สังคมของชาวอมรโคยานทวีป
    ในอมรโคยานทวีปก็มีการสะสมทรัพย์สมบัติเหมือนกัน   การทำไรไถนาก็มีเหมือนกับในชมพูทวีป   และการค้าขายก็มีเหมือนในชมพูทวีป 
     คนในอมรโคยานทวีปเวลาตาย  ก็จะนำไปเผาก็มี   นำเอาไปฝังก็มี   และนำเอาไปโยนทิ้งก็มี  เหมือนในชมพูทวีป
     ในเวลาที่จะแต่งงานกัน เจ้าบ่าวก็จะต้องไปขอเจ้าสาวเหมือนกับในขมพูทวีป  เวลามีครรภ์ก็จะบำรุงเลี้ยงดูให้ดีเหมือนในชมพูทวีป   แต่การร่วมสังวาสกันจะมีแค่  ๑๐  ครั้งเท่านั้นในชีวิต   จะไม่มีมากกว่านี้
              ต้นไม้เครือไม้และป่าไม้ในอมรโคยานทวีป
    ต้นไม้เครือไม้และป่าไม้ในอมรโคยานวีป มีสีสันและสัณฐานต่างๆกัน  เช่น  สีขาว
สีเขียว   สีดำ   สีแดง   สีหงสบาท  เหมือนในชมพูทวีป  แต่ในอมรโคยาทวีปไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนในชมพูทวีป
                  เครื่องอุปโภคบริโภคในอมรโคยานทวีป
    เครื่องอุปโภคบริโภคและของกินของใช้ต่างๆ ในอมรโคยานทวีป ก็มีเหมือนในชมพูทวีป  แต่ในอมรโคยานทวีปไม่มีการบวชพระบวชเณร และศาสนาต่างๆ เหมือนในชมพูทวีป  คนในทวีปนี้ไม่มีศาสนา แต่ก็รักษาศีล ๕ ได้ครบทุกข้อ  เวลาตายเมื่ออายุครบ  ๕๐๐  ปีเท่านั้นจึงจะตาย  ไม่มีการแท้ง  ไม่มีการตายตอนเป็นหนุ่มและเป็นสาว  ไม้มีการตายแบบอุบัติเหตุ  ไม่มีการตายจากการทำร้ายของสัตว์ร้ายทุกชนิด   เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในเมืองสวรรค์อย่างเดียวไม่ไปเกิดในเมืองนรก  เปรต  อสุรกาย  และสัตว์เดรัจฉาน
 
                         จงดูภาพแผนภูมิของทวีปทั้ง ๔
   
                 นี่คือรูปภาพแผนภูมิของทวีปทั้ง ๔
                      
                          อธิบายภาพแผนภูมิ
    ภาพแผนภูมิที่ท่านผู้ศึกษาทั้งหลายกำลังอ่านอยู่นี้  เป็นแผนภูมิที่แสดงให้เห็นว่า ทวีป
ทั้ง ๔  อยู่ตรงไหนของภูเขาพระสุเมรุ  ภูเขาพระสุเมรุคือภูเขาที่ตั้งออยู่ตรงแกนกลางของจักรวาล  คือรูปภาพที่มีวงกลมอยู่ ๗ วง   วงกลมของแต่ละชั้นนั้นหมายถึงภูเขา สัตตบริภัณฑ์    ถ้าท่านดูแผนภูมินี้ออกท่านก็จะเข้าใจเรื่องโลกและจักรวาล
                        จักรวาล
    จักรวาล  คือขอบฟ้าที่เป็นวงกลมที่ครอบคลุมตัวเราอยู่  กรุณาเดินออกไปยืนอยู่กลางแจ้งแล้วก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเราจะมองเห็นท้องฟ้าเป็นวงกลมที่ครอบคลุมตัวเราอยู่อย่างชัดเจนทีเดียว  ขอบฟ้าที่เป็นวงกลมนี่แหละเรียกว่า "จักรวาล"
    -ถามว่า "จักรวาล มีระยะขอบเขตขนาดไหน?"
    -ตอบว่า "ขอบเขตของจักรวาล ทุกจักรวาลจะมีระยะขอบเขตเท่ากันหมด คือแสงพระอาทิตย์และแสงพระจันทร์ส่องสว่างไปถึงไหน  ขอบเขตของจักรวาลก็จะอยู่ตรงนั้น"
    -จักรวาลทุกจักรวาลมีสัณฐานกลมเหมือนกงเกวียน  จักรวาลหนึ่งๆ มีลักษณะเป็นวงกลม มีปริมณฑล ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์ ล้อมรอบด้วยภูเขาจักรวาล เบื้องบนเป็นอากาศ
เบื้องล่างเป็นศิลาปฐพี  ใต้ศิลาปฐพีรองรับด้วยน้ำ ใต้น้ำรองรับด้วยลม และใต้ลมเป็นความว่างเปล่า ชั้นพื้นศิลาปฐพีมีความหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์  ชั้นน้ำหนา ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ ชั้นลมหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์
    -ในแต่ละจักรวาลประกอบด้วยทวีปใหญ่ ๔ ทวีป กับทวีปน้อยอีก ๒๐๐๐ ทวีป  มีมหานรก ๘ ขุม และนรกบริวารอีก ๑๕๘ ขุม มีสวรรค์ ๖ ชั้น มีพรหมโลก ๒๐ ชั้น ที่เป็นชั้นรูปภูมิ ๑๖ ชั้น และชั้นอรูปภูมิอีก ๔ ชั้น เหมือนกันทุกจักรวาล  มนุษย์ของเราในปัจจุบันนี้เป็นเพียงทวีปใหญ่ ทวีปหนึ่งใน ๔ ทวีปเท่านั้น เรียกว่า "ชมพูทวีป"   คนส่วนมากจะเรียกว่า"โลกชมพู"  ถ้าตามความเป็นจริงแล้วเรียกว่า "โลก" ไม่ถูก  ที่ถูกต้องเรียกว่า "ทวีป"
   ทวีป   แปลว่า "เกาะหรือแผ่นดินอันเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์"
                         โลก
    โลก  คือสิ่งที่เป็นวงกลมทั้งหมดในรูปภาพรวมตัวกันเข้าจึงกลายเป็นโลกธาตุ เรียกสั้นๆว่า "โลก"   โลกทั้งหมดถูกจักรวาลล้อมครอบเอาไว้  เพราะฉะนั้นโลกจึงอยู่ถัดจากจักรวาลเข้ามาหาตัวเรา
    นับตั้งแต่ภูเขาจักรวาลเข้ามา  พระจันทร์และพระอาทิตย์   ภูเขาพระสุเมรุ   ภูเขาสัตตบริภัณฑ์   ทวีปทั้ง ๔  จึงเรียกว่าโลก  โลกทุกโลกจะต้องมีสิ่เหล่านี้ร่วมอยู่ด้วยเสมอ  โลกทุกโลกก็จะต้องมีมนุษย์อยู่ในโลกนั้นด้วย  เพราะฉะนั้นมนุษย์ทั้งหลายจึงมีมากมายไม่ใช่จะมีแค่เฉพาะโลกของเราเท่านั้น
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "จักรวาลนี้มีมากจนไม่สามารถจะนับได้  จึงเรียกว่า "อนันตจักรวาล" อนันตจักรวาลก็แปลว่า "จักรวาลมีมากจนไม่สามารถจะนับได้"
    มงคลจักรวาล  คือจักรวาลมี่มีพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดเพื่อตรัสรู้และสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์จนบรรลุเข้าถึงพระนิพพานได้  คือจักรวาลของเราทุกวันนี่
เอง  จักรวาลที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดเพื่อตรัสรู้ไม่เรียกมงคลจักรวาล
    คำว่า "แสนโกฏิจักรวาล"  ที่เราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ  มันหมายถึงจักรวาลอะไร?
    คำว่าแสนโกฏิจักรวาล   หมายถึงจักรวาลที่บารมีของพระพุทธเจ้าแผ่ไปถึงได้  เช่นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา  พระองค์ทรงอธิษฐานให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในแสนโกฏิจักรวาลให้ได้ยินเสียงของพระองค์ทรงแสดงธรรมนั้นเหมือนกับนั่งอยู่
ใกล้ๆพระองค์ฉะนั้น  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์มากจริงๆ
    ๑               โกฏิ        = ๑๐              ล้าน
    ๑๐             โกฏิ        = ๑๐๐            ล้าน
    ๑๐๐          โกฏิ        = ๑๐๐๐          ล้าน
    ๑๐๐๐       โกฏิ        = ๑๐๐๐๐        ล้าน
    ๑๐๐๐๐๐  โกฏิ        = ๑๐๐๐๐๐๐   ล้าน
    เป็นอันว่าบารมีของพระพุทธเจ้าทรงแผ่ไปได้ถึง ๑๐๐๐๐๐๐  ล้าน  จักรวาล  
    ตามความเป็นจริงแล้วบารมีของพระพุทธเจ้าแผ่ไปได้เป็นอนันตะจักรวาลแต่พระองค์ทรงกำหนดเอาเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว   เปรียบเหมือนพระดำรัสที่ทรงตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า  "ดูก่อน อานนท์  คำสอนที่ตถาคตนำมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ในโลกนี้มีเพียงนิดเดียว เท่ากับใบมะขามกำมือเดียว  แต่ใบมะขามในต้นยังมีอีกเป็นจำนวนมากเปรียบเหมือคำสั่งสอนยังมีอีกมากที่ตถาคตไม่ได้นำสั่งสอนเพราะเท่านี้ถ้าเราทำจริงตั้งใจจริงมีความเพียรจริงก็สามารถหลุดพ้นทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้แล้ว"
                 ความละเอียดของแผนภูมิ
    จักรวาลทุกจักรวาลจะต้องมีสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
       ๑. ภูเขาจักรวาล
       ๒. พระอาทิตย์
       ๓. พระจันทร์
       ๔.หมู่ดาวทั้งหลาย
       ๕.เทวโลก  ๖   ชั้น
       ๖.พรหมโลก  ๒๐  ชั้น
       ๗.นรกใหญ่  ๘   ขุม
       ๘.อุสสุทะนรก  ๑๕๘  ขุม
       ๙.โลกันตะนรก  ๑  ขุม
       ๑๐. ภูเขาพระสุเมรุ
       ๑๑. ภูเขาสัตตบริภัณฑ์
       ๑๒. ทวีปทั้ง ๔
                     ภูเขาจักรวาล
     
    ๐ภูเขาจักรวาล คือภูเขาที่โอบล้อมรอบนอกสุดของจักรวาลเป็นภูเขาทิพย์ สูง ๘๒,๐๐๐ โยชน์ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกสิ่งที่อยู่ในวงรอบในของภูเขาจักรวาลนี้เข้ามาว่า "จักรวาล"  และเนื่องจากมีจักรวาลจำนวนมากเบียดกันอยู่ จึงมี ๓ จักรวาลที่เอาขอบเขาจักรวาลมาสัมผัสกัน เหมือนวงกลมสัมผัสกัน ๓ วง ระหว่างจักรวาลทั้งสามนั้นจึงมีช่องว่างตรงกลางเกิดขึ้น  และช่องตรงกลางนี้แหละเรียกว่า "โลกันตะนรก"  คืนรกมืด  ผู้ใดเป็นคนมิจฉาทิฏฐิเมื่อตายแล้วก็จะมาบังเกิดในนรกขุมนี้
    -จักรวาลทั้งหมดมีสัณฐานกลมเหมือนจักรรถหรือกงเกวียน
    -จักรวาลหนึ่งๆ มีลักษณะเป็นวงกลม มีปริมณฑล ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์ ล้อมรอบด้วยภูเขาจักรวาล เบื้องบนเป็นอากาศ เบื้องล่างเป็นปฐพี ใต้ปฐพีลงไปรองรับด้วยน้ำ ใต้น้ำลงไปรองรับด้วยลม และใต้ลมลงไปเป็นความว่างเปล่า
    -ชั้นพื้นปฐพีมีความหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
    -ชั้นน้ำหนา ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์
    -ชั้นลมหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์
    -ใต้ชั้นลมลงไปเป็นความว่างเปล่าหาที่สุดมิได้
    - จักรวาลหนึ่งส่วนยาวและส่วนกว้างวัดได้  ๑๒๐๓๔๕๐  โยชน์   โดยรอบวัดได้ ๓๖๑๐๓๕๐ โยชน์
    -ฤๅษีชื่อโรหิตัสสะมีฤทธิ์ เหาะไปในอากาศได้ เดินทางก้าวละจักรวาล เพื่อหาที่สุดโลกตลอด 100 ปี ก็ยังไม่ถึงที่สุดโลก แต่ก็ตายก่อน (โรหิตัสสสูตร)
    -พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมในจักรวาลอื่น (อ.มหาปรินิพพานสูตร)
    -อนันตะ (สิ่งไม่มีที่สุด) ๔ อย่าง คือ อากาศ จักรวาล หมู่สัตว์ พุทธญาณ.(อ.จิตตุปปาทกัณฑ์)
    -โลกันตริยนรก อยู่ในระหว่าง จักรวาล ๓ จักรวาล กว้างใหญ่ ประมาณ  ๘๐๐๐ โยชน์ (อ.ขัชชนิยสูตร)
    -โลกันตริกนรก ตั้งอยู่ในระหว่างทุกๆ สามจักรวาล สัตว์นรกมีอัตภาพ 3 คาวุต (อ.ขันธวิภังคนิเทศ)
    -พระพุทธเจ้าเสด็จไป แสดงธรรมในจักรวาลอื่น เพื่อเป็นนิสัยวาสนาในอนาคต แก่เขา (อ.ปริสสูตร) (ปริสาสูตร) 37/612/13
    -พระปิยทัสสีพุทธเจ้า ทรงพิจารณาเห็นคนผู้ควรตรัสรู้ แล้วก็เสด็จไปประทานโอวาทในพันแห่งจักรวาล (เหมกเถราปทาน) 71/980/16
                     จุฬะนีสูตร
   ๐บางคนเข้าใจผิดคิดว่าพระพุทธเจีาไม่ได้ทรงตรัสไว้ซึ่งเรื่องของโลกและจักรวาลตามความเป็นจริงแล้ว
   พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องของโลกและจักรวาลไว้ใน "จูฬนีสูตร" ในพระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ คือภูเขาพระสุเมรุ เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญาเท่านั้น  ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ ชมพูทวีป อมรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔  นรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลก ชั้นต่างๆ โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ
   -โลกธาตุอย่างเล็ก มีจำนวนพันจักรวาล
   -โลกธาตุอย่างกลาง มีจำนวนล้านจักรวาล
   -โลกธาตุอย่างใหญ่ มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล
ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย  "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
   กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" ในพระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อน แล้วนานๆ ไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็น ง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายก็เกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง
   กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"
    ๑. ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว  มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน) มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
   สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุยืนได้ถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
ต้นไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ต้นชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ จึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"เพราะต้นไม้ประจำทวีปนี้คือ "ต้นชมพู"  ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะต้องมาตรัสรู้ในทวีปนี้เท่านั้น
   ๒. อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)  เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
   มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนมีหน้าเหมือนดั่งเดือนในข้างแรม จมูกโด่ง คางแหลม
   มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว) ต้นไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "ต้นกะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"
   ๓. ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๕๐๐ เกาะ มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
   มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตรพระ   มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุเป็นกฏตายตัว)  ต้นไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "ต้นสิรีสะ (ไม้ทรึก)"
   ๔. อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำ ทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีป มีสีเหลืองเหมือนทองคำ 
   มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆ ตน มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว) มีต้นไม้นานาชนิด
   ต้นไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "ต้นกัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"  ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกสอยเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา มนุษย์ที่ อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวโลก ชั้นตาวติงสาห์"  ทุกๆ คนเป็นกฏตายตัว ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า
"เหนือ"  เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"
   สําหรับเรื่องรูปร่างหน้าตาของมนุษย์ต่างๆในแต่ละทวีปนั้น ตามในพระไตรปิฏกและอรรถกถาต่างๆ ยืนยันว่ารูปร่างเหมือนมนุษย์เราเนี่ยแหละ  เพราะพื้นฐานการเกิดขึ้นมาเขาก็อาศัยธาตุทั้ง ๔ เหมือน กับชาวชมพูทวีป  ในพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงโชติกะเศรษฐี ใครสนใจลองไปค้นอ่านได้ในพระไตรปิฏกครับ  ท่านโชติกะเศรษฐีคนนี้ มีบุญมาก เกิดมาเพื่อบํารุงพุทธศาสนาด้วย พอถึงเวลาที่ท่านจะมีภรรยา ปรากฏว่าหาคู่บารมี
ไม่ได้ เพราะกําลังบุญท่านสูงมาก ไม่มีหญิงคนไหนในโลกเทียบได้ที่จะมาเป็นภรรยาท่าน พระอินทร์ทราบดังนั้น ได้ไปนําหญิงสาวจากอุตกรุทวีปมา
ให้ เป็นภรรยา
         
      เรื่องการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า                      
   ธรรมชาตินี้กำหนดไว้ว่า ในวงเขตหมื่นจักรวาล จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้เพียงครั้งละหนึ่งพระองค์เท่านั้น ในวงเขตหมื่นจักรวาลนี้ จะไม่มีพระพุทธเจ้าสองพระองค์อุบัติขึ้นพร้อมกันเด็ดขาด   สำหรับวงหมื่นจักรวาล ในพุทธเขตของพระพุทธเจ้าสมณโคดมในปัจจุบันนี้ ก็มีจักรวาลของพวกเรานี้เป็นศูนย์กลางพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่อุบัติขึ้นในวงหมื่นจักรวาลนี้ จะต้องอุบัติที่จักรวาลแห่งนี้เท่านั้น และจะอุบัติขึ้นที่โลกตรงนี้แหละ
   แต่เมื่อกล่าวถึงจักรวาล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จักรวาลนั้นไม่มีที่สุด คือนับไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใด  เมื่อจักรวาลนั้นประมาณไม่ได้เช่นนี้ และเมื่อแบ่งจักรวาลออกเป็นวงละหมื่นๆ ก็นับไม่ได้อีกเหมือนกันว่าจะมีจำนวนเท่าใด และในวงหมื่นจักรวาลอื่นๆ นั้น ก็ไม่ได้ห้ามการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ที่นอกจากพระพุทธเจ้าสมณโคดมของเรานี้
   เพราะฉะนั้น เมื่อดูจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในส่วนนี้แล้ว ก็ประมาณได้ว่า ในขณะนี้จะต้องมีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ที่ยังดำรงพระชนม์อยู่ในวงหมื่นจักรวาลอื่นอันไกลโพ้นโน้นแน่นอน แต่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นจะอยู่ตรงไหนและมีพระนามว่าอย่างไรนั้น อันนี้ไม่ทราบ
   ส่วนเรื่องของพระโมคคัลลานะ ไปต่างจักรวาลแล้วหลงนั้น เป็นเรื่องแต่งขึ้นในภายหลัง ของพวกที่นับถือนิกายมหายาน เพราะพวกมหายานก็รับทราบคำสอนของพระพุทธเจ้าในส่วนนี้ แล้วก็แต่งเสริมเติมไปตามจินตนาการของพวกเขา ให้มีพระพุทธเจ้าชื่อนี้ อยู่ตรงสถานที่ชื่ออย่างนี้ แล้วก็ผูกเรื่องให้เชื่อมโยงกันขึ้น ให้พระโมคคัลลานะซึ่งเป็นอัครสาวกที่มีฤทธิ์มาก ออกไปท่องเที่ยวตามจักรวาลต่างๆ แล้วก็หลงไปที่แดนสุขาวดีหาทางกลับไม่เจอ      พระพุทธเจ้าไม่ทรงอุบัติในจักรวาลอื่น
   หมื่นโลกธาตุ  แบ่งออกเป็น  ๓  เขต  คือ:-
     ๑.ชาติเขต
     ๒.อาณาเขต
     ๓.วิสัยเขต
ในเขตทั้งสามนั้น หมื่นโลกธาตุ ชื่อว่า ชาติเขต  เพราะหมื่นโลกธาตุนั้นย่อมไหว ในเวลาพระตถาคตเสด็จลงสู่พระครรภ์ เสด็จออกทรงผนวช ตรัสรู้ ประกาศพระธรรมจักร ทรงปลงอายุสังขาร และเสด็จปรินิพพาน
   ส่วนแสนโกฏิจักรวาฬนั้น เป็นอาณาเขต คือเป็นเขตของอำนาจของ  อาฏานาฏิยปริตร โมรปริตร ธชัคคปริตร รัตนปริตร และเมตตาปริตร เป็นต้น เมื่อผู้มีสมาธิจิตอยู่ในขั้นสูงสวดสาธยายแล้วก็จะสามารถแผ่ไปถึง ในแสนโกฏิจักรวาลได้
    พระปริตรเมื่อสวดแล้วสามารถแผ่อำนาจไปถึงแสนโกฏิจักรวาลได้   คือ:-
    ๑.อาฏานาฏิยะปะริตตัง   คือ วิปัสสิสสะ
    ๒.โมระปะริตตัง   คือ  อุเทตะยัญจักขุมา
    ๓.ธชัคคะปะริตตัง   คือ  ธชัคคะสุตตัง   เอวัมเม  สุตัง 
    ๔.ระตะนะปะริตร   คือ  ระตะนะสุตตัง   คือยานี
    ๕.เมตตาปะริตร   คือ  กะระณียะเมตตะสุตตัง   คือกรณียะมัตถะกุสะเลนะ
   ส่วนวิสัยเขตนั้นไม่มีปริมาณ (คือนับไม่ได้) พระพุทธญาณของพระพุทธเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด  เมื่อพระองค์ทรงอยากรู้อะไรก็ทรงรู้ได้หมดไม่มีอะไร
ขัดข้อง
   -โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล
   -โลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล
   -โลกธาตุอย่างใหญ่มีแสนโกฏิจักรวาล  คือ มี ๑๐๐๐๐๐๐  ล้าน จักรวาล
   พระพุทธเจ้าทรงทำให้แสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย
   พระอานนท์ทูลถามว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้  แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร?"
   พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูกรอานนท์ พระพุทธเจ้าในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระพุทธเจ้าพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์จะทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล"
   ในจูฬนีสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชมพูทวีปมีได้ถึงแสนโกฏิ  พระพุทธเจ้าอุบัติได้ครั้งละหนึ่งองค์ ต้องเกิดในชมพูทวีป ในมัชฌิมประเทศ และชาติเขต (พุทธเขต)มีหมื่นโลก ธาตุ ส่วนในหมื่นโลกธาตุอื่นๆ จะมีพระพุทธเจ้าหรือไม่ข้อนี้ไม่ชัดเจนอย่างไรก็ตาม ในอรรถกถาไม่ได้กล่าวว่า "หมื่นโลกธาตุอื่นๆ ไม่มีพระพุทธเจ้า"  ดังนั้น ก็เลยถือเอาว่า น่าจะมีพระพุทธเจ้าในโลกธาตุอื่นๆ
                            พระอาทิตย์
      
    ๐พระอาทิตย์มีปริมณฑลส่วนตรงกลางวัดได้  ๕๐  โยชน์   ส่วนกลมรอบวัดได้  ๑๕๐  โยชน์
  -พระสุริยเทพบุตร หรือ พระอาทิตย์  มีหน้าที่ส่องแสงสว่างให้แก่โลกในส่วนที่เป็นกลางวัน
  -พระอาทิย์จะโคจรรอบเขาพระสุเมรุ อยู่เหนือยอดเขายุคันธร  ถ้าโคจรไปบังเขาพระสุเมรุก็จะเป็นภาคกลางคืน  ถ้าโคจรไปในส่วนที่ไม่บังเขาพระสุเมรุก็จะกลายเป็นภาคกลางวัน
                            พระจันทร์
     
   ๐พระจันทร์มีปริมณฑลส่วนตรงกบางวัดได้  ๔๙  โยชน์      ส่วนกลมรอบวัดได้  ๑๔๗  โยชน์
   -พระจันทร์ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "จันทเทพยุตร"   มีหน้าที่ส่องแสงสว่างให้แก่โลก เป็นเวลา  ๑๒  ชั่วโมง  ที่เป็นส่วนภาคกลางคืน
    -พระจันทร์โคจรรอบเขาพระสุเมรุ  อยู่เหนือยอดเขายุคันธร   ในส่วนที่เป็นกลางคืน
                          ภูเขาพระสุเมรุ
    
    ๐ภูเขาพระสุเมรุ  ประดิษฐานอยู่ในท่ามกลางของจักรวาล  ตั้งอยู่ในสีทันดรมหาสมุทร
     -ส่วนที่ลึกลงไปในสีทันดรมหาสมุทรวัดได้  ๘๔๐๐๐  โยชน์
     -ส่วนที่พ้นน้ำขึ้นมาวัดได้  ๘๔๐๐๐  โยชน์  เท่ากัน
     -ส่วนที่อยู่ใต้น้ำและส่วนที่อยู่เหนือน้ำร่วมกันแล้ว  ๑๖๘๐๐๐  โยชน์
     -ถ้าวัดตรงกึ่งกลางของภูเขาพระสุเมรุจะวัดได้เท่ากับ  ๘๔๐๐๐  โยชน์    ถ้าวัดส่วนกลมรอบจะวัดได้เท่ากับ  ๒๕๒๐๐๐  โยชน์
     -ภูเขาพระสุเมรุมีรูปสัณฐานเหมือนตะโพน
         
              นี่คือรูปตะโพนไทย
                    ภูเขาพระสุเมรุ
   เขาพระสุเมรุสูงได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ จมลึกลงไปในนํ้า ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หนาได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ กลมรอบปริมณฑลได้ ๒๕๐,๐๐๐ โยชน์
   -ด้านทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุราชนั้นเป็นบุพพวิเทหทวีป มีสีเป็นสีเงินลึกได้ ๖๓,๐๐๐ โยชน์
   -ด้านทิศใต้เป็นชมพูทวีปที่เราอยู่อาศัยนี้ มีสีเป็นสีแก้วอินทนิลลึกได้  ๖๓,๐๐๐ โยชน์
   -ด้านทิศตะวันตกเป็นอมรโคยานทวีป มีสีเป็นสีแก้วผลึกได้ ๖๓,๐๐๐ โยชน์
   -ด้านทิศเหนือเป็นอุตตรกุรุทวีป มีสีเป็นสีทองลึกได้ ๖๓,๐๐๐ โยชน์
   -บนยอดภูเขาพระสุเมรุราชนั้นมีปราสาทไพชยนต์ ตั้งอยู่ตรงใจกลางเมืองดาวดึงส์ กว้างวัดได้ ๑๐,๐๐๐ โยชน์
   -ภายใต้เขาพระสุเมรุราชนั้นเป็นเมืองอสูร กว้างวัดได้ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีภูเขา ๓ ลูก เหมือนก้อนเส้ารองรับเชิงเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า "เขาตรีกูฏ" (เขา ๓ ยอด) แต่ละยอดสูง ๔,๐๐๐ โยชน์
   -ภายใต้เชิงเขาตรีกูฏนั้นเป็นแผ่นดิน เมืองอสูร อยู่ระหว่างเขา ๓ ลูกนี้
   -ต่อจากภูเขาพระสุเมรุออกไป มีแม่นํ้าชื่อว่า "สีทันดรมหาสมุทร" กั้นล้อมอยู่รอบด้าน กว้างวัดได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ลึกวัดได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
                   ภูเขาสัตตบริภัณฑ์
   -ต่อจากแม่นํ้าสีทันดรมี ภูเขายุคันธร ล้อมรอบภูเขาพระสุเมรุอยู่ สูง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ จมลงไปในนํ้า ๔๒,๐๐๐ โยชน์ หนา ๔๒,๐๐๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๐๐๐,๐๐๐ โยชน์
   -ต่อจากภูเขายุคันธรมีแม่น้ำสีทันดรสมุทรล้อมรอบกว้าง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ลึก ๔๒,๐๐๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๒๖๐,๐๐๐ โยชน์
   -ต่อจากแม่นํ้าสีทันดร มีภูเขาอิสินธรล้อมรอบ สูง ๒๑,๐๐๐ โยชน์ จมลึกลงไปในนํ้า ๒๑,๐๐๐ โยชน์ หนา ๒๑,๐๐๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๓๘๖,๐๐๐ โยชน์
   -ต่อจากภูเขาอิสินธร มีแม่นํ้าสีทันดรสมุทรล้อมรอบ กว้าง ๒๑,๐๐๐ โยชน์ ลึก ๒๑,๐๐๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๕๑๒,๐๐๐ โยชน์
   ต่อจากแม่นํ้าสีทันดร มีภูเขากรวิก สูง ๑๐,๕๐๐ โยชน์ จมลึกลงไปในนํ้า ๑๐,๕๐๐ โยชน์ หนา ๑๐,๕๐๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๕๗๕,๐๐๐ โยชน์
   ต่อจากภูเขากรวิก มีแม่น้ำสีทันดรสมุทรล้อมรอบ กว้าง ๑๐,๕๐๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๖๓๘,๐๐๐ โยชน์
   ต่อจากแม่นํ้าสีทันดร มีภูเขาสุทัสสนะ สูง ๕,๒๕๐ โยชน์ จมลึกลงไปในนํ้า ๕,๒๕๐ โยชน์ จมลงไปในนํ้า ๕,๒๕๐ โยชน์ หนา ๕,๒๕๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๖๖๙,๕๐๐ โยชน์
   ต่อจากภูเขาสุทัสสนะ มีแม่น้ำสีทันดรสมุทรล้อมรอบ กว้าง ๕,๒๕๐ โยชน์ ลึก ๕,๒๕๐ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๗๐๑,๐๐๐ โยชน์
   ต่อจากภูเขา เนมินธร มีแม่นํ้าสีทันดรสมุทรล้อมรอบ กว้าง ๒,๖๒๕ โยชน์ ลึก ๒,๖๒๕ โยชน์ รอบปริมณฑล ๑,๗๓๒,๕๐๐ โยชน์
   ต่อจากแม่นํ้าสีทันดรมีภูเขาวินันตกะ สูง ๑,๓๑๒ โยชน์ กับอีก ๔,๐๐๐ วา จมลงไปในนํ้า ๑,๓๑๒ โยชน์ กับอีก ๔,๐๐๐ วา หนา ๑,๓๑๒ โยชน์ กับอีก ๔,๐๐๐ วา รอบปริมณฑล ๑,๗๔๐,๓๗๕ โยชน์
   ต่อจากภูเขา วินันตกะ มีแม่น้ำสีทันดรล้อมรอบ กว้าง ๑,๓๑๒ โยชน์ กับอีก ๔,๐๐๐ วา ลึก ๑,๓๑๒ โยชน์ กับอีก ๔,๐๐๐ วา รอบปริมณฑล ๑,๗๔๘,๒๕๐ โยชน์
   ต่อจากแม่นํ้าสีทันดรออกมา มีเขาอัสสกัณณะ  สูง ๖๕๖ โยชน์ กับอีก ๒,๐๐๐ วา จมน้ำลงไป ๖๕๖ โยชน์ กับอีก ๒,๐๐๐ วา หนา ๖๕๖ โยชน์ กับอีก ๒,๐๐๐ วา รอบปริมณฑล ๑,๗๕๒,๑๘๗ โยชน์ กับอีก ๔,๐๐๐ วา
   ต่อจากภูเขาอัสสกัณณะออกมาเป็นนํ้าทะเล มีทวีปใหญ่ หรือ แผ่นดินใหญ่อยู่ทั้ง ๔ ด้าน กลางทะเลนั้นมีแผ่นดินเล็ก คือ เกาะอยู่รอบๆ ได้ ๒,๐๐๐ เกาะ มีนํ้าล้อมรอบ แผ่นดินและภูเขา และมีภูเขาจักรวาลเป็นกำแพงล้อมรอบนํ้าไว้
   ตั้งแต่ภูเขาอัสสกัณณะออกไปถึงกำแพงจักรวาล กว้าง ๓๐ โยชน์ กับอีก ค๖,๐๐๐ วา เขากำแพงจักรวาลสูง ๘๒,๐๐๐ โยชน์ จมลึกลงไปในน้ำ ๘๒,๐๐๐ โยชน์ หนา ๘๒,๐๐๐ โยชน์
          เรื่องโลกและจักรวาลจบ
 
 

 

 

 

เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 139,922