หน้าที่ ๓ ว่าด้วยเรื่องสวรรค์

  

                                                    เรื่องของสวรรค์

              
             

                                          สวรรค์ ๖ ชั้น

   ๐สวรรค์ทั้งหลายแบ่งออกเป็น  ๖  ชั้น   คือ:-

      ๑.จาตุมหาราชิกา

      ๒.ดาวดึงส์

      ๓.ยามา

      ๔.ดุสิต

      ๕.นิมมานรดี

      ๖.ปรนิมมิตวสวัตดี

                 สวรรค์ชั้นที่ ๑
   ๐สวรรค์ชั้นที่ ๑ คือ ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ
   สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาอยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไป ๔๖๐๐๐ โยชน์ เป็นแดนสุขาวดี ที่มีเทวราชผู้เป็นใหญ่อยู่ ๔ พระองค์  ทรงเป็นผู้ปกครองดูแลเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นนี้ จึงได้ชื่อว่า "จาตุมหาราชิกา"   แปลว่า "ท้าวมหาราชทั้ง ๔"   ท้าวมหาราชทั้ง ๔  คือ :-                      

                  ท้าวมหาราชทั้ง ๔

    

     ๑.ท้าวธะตะรัตฐะมหาราช

     ๒.ท้าววิรุฬหะกะมหาราช

     ๓.ท้าววิรูปักขะมหาราช

     ๔.ท้าวเวสสุวัณ หรือ ท้าวกุเวรมหาราช

   ท้าวธะตะรัฏฐะมหาราช  เป็นผู้ปกครองเทวดาและพวกคนธรรพ์ทั้งหลาย  ทางด้านทิศตะวันออกของภูเขาพระสุเมรุ
   ท้าววิรุฬหกะมหาราช  เป็นผู้ปกครอบเทวดาและพวกกุมภัณฑ์ทั้งหลาย  ทางด้านทิศใต้ของภูเขาพระสุเมรุ
   ท้าววิรูปักขะมหาราช  เป็นผู้ปกครองเทวดาและพวกนาคทั้งหลาย  ทางด้านทิศตะวันตกของภูเขาพระสุเมรุ
   ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ  เป็นผู้ปกครองเทวดาและพวกยักข์ทั้งหลาย  ทางด้านทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุ

   สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีเมืองใหญ่เป็นเทพนครอยุ่ถึง ๔ เทพนคร แต่ละเทพนครมีป้อมปราการ เป็นกำแพงทองทิพย์เหลืองอร่ามงามยิ่งนัก และประดับประดาไปด้วยสัตตรัตนะแก้ว ๗ ประการ   ภายในเทพนครอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีปราสาทแก้ว ซึ่งเป็นวิมานอันเป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้าทั้งหลายตั้งเรียงรายอยู่มากมาย  พื้นภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดาทั้งหลายเป็นพื้นแผ่นทองคำเหลืองอร่ามรุ่งเรืองเลื่อมพรรณราย  ราบเรียบประดุจหน้ากลองและอ่อนนุ่มดังฟูกผ้า เมื่อเทวดาเหยียบลงไปก็จะอ่อนนุ่มแล้วก็เต็มขึ้นมาดังเดิมเมื่อย้างเท้าไปข้างหน้า
   นอกจากนี้ ยังมีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว เต็มไปด้วยดอกบัวนานาชนิด ส่งกลิ่นทิพย์หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ มีดอกไม้นานาพรรณ มีสีสันวิจิตรตระการตา และมีรุขชาติต้นไม้สวรรค์ซึ่งมีผลอันโอชารสยิ่งนัก  มิ่งไม้ในสวงสวรรค์ มีดอกมีผลเป็นทิพย์ ปรากฏให้เหล่าชาวสวรรค์ได้ชื่นชมตลอดกาลไม่มีวันร่วงโรยและหมดไปเลย
   สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา จำแนกย่อยพื้นที่บริเวณของหมู่เทพอย่างละเอียดลงไปอีก ตามขั้นตอนการถือกำเนิดเอาไว้ดังนี้
                            อุปัตติเทพ

    

               นี่คือลักษณะของวิมานของอุบัติเทพ
   ๐อุบัติเทพ  คือเทพที่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยการอุบัติขึ้น โดยมีกายทิพย์ หรือ กายละเอียด เป็นวัยหนุ่มสาวขึ้นมาทันใด ถ้าเป็นเพศชาย เมื่อสร้างบุญไว้มากพอที่จะมีวิมานเป็นของตนเองก็จะไปถือกำเนิดเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งในวิมานของตนเองเลย  ถ้าเป็นเพศหญิง เมื่อสร้างบุญมาไม่มากพอที่จะมีวิมานของตนเอง ต้องไปถือกำเนิดเป็นบาทบริจาริกาของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง
   ถ้าหญิงหรือชายสร้างบุญไว้น้อย  ก็จะถือกำเนิดเป็นเทพผู้คอยดูแลในเรื่องเครื่องทรงของเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง
   ถ้าสร้างบุญกุศลไว้มากพอ ก็จะอุบัติขึ้นมาเป็นเจ้าของวิมาน พรั่งพร้อมด้วยบริวาร
และสิ่งของอันเป็นทิพย์อย่างมากมายในทันที

   อุบัติเทพ เทวดาประเภทนี้จะต้องมีวิมานอันสวยงามเป็นที่อยู่อาศัย   วิมานของเทวดามีลักษณะต่างกัน  ถ้าเทวดาองค์ไหนมีบุญมากก็จะมีวิมานใหญ่โตสวยงาม  ถ้าเทวดาองค์ไหนมีบุญน้อยวิมานก็จะเล็กสวยงามไม่มากตามลำคับชองบุญ  เหมือนกับบ้านเรือนในโลกมนุษย์ของเรา  ถ้าคนไหนร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองมากก็จะมีบ้านเรือนหลังใหญ่สวยงามมีเตรื่องประดับประดาที่มีค่าและสวยงามมาก  แต่ถ้าคนไหนยากจนก็จะมีบ้านเรือนหลังเล็กไม่ค่อยสวยงามมีเครื่องประดับตกแต่งน้อย

   เทวดาทั้งหลายไม่มีพ่อแม่ เพราะเป็นพวกโอปปาติกะ คือเกิดแล้วก็เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวในทันที มีทั้งเพศชายและเพศหญิง เพศชายเรียกว่า "เทพบุตร"  หรือบาทีก็เรียกเทวดา  ส่วนเพศหญิงเรียกว่า "เทพธิดา" หรือบางทีก็เรียกว่านางฟ้า
  เทวดามีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์มาก และมีความเป็นอยู่สุขสบาย พรั่งพร้อมด้วยกาม คุณ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์หมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอยหรือที่อยู่อาศัย ซึ่งเรียกว่า "วิมาน" ก็ล้วนแต่เนรมิตขึ้นมาทั้งสิ้น เทวดาไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีการแก่ เวลาตายร่างกายก็หายวับไปทันที ไม่มีการเน่าเปื่อย เนื่องจากเหล่าเทวดามีความเป็นอยู่สุขสบาย ร่างกายไม่มีการเจ็บป่วย ไม่แก่เฒ่า ทำให้การปฏิบัติธรรมทำได้ยากเพราะมันมองไม่เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิต นอกจากเทวดาที่อาศัยอยู่ในสวรรค์แล้ว ยังมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาบางจำพวกอาศัยอยู่ในที่ต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น เทวดาที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือน เราเรียกกันว่า "ผีบ้านผีเรือน" เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้เรียกว่า "รุกขเทวดา" ถ้าเป็นหญิงบางทีก็เรียกว่า "นางไม้" เทวดาที่ดูแลอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เราก็เรียกกันทั่วไปว่า "เจ้าที่เจ้าทาง"  แม้ว่าเทวดาเหล่านี้จะอาศัยอยู่ที่เดียวกับเรา แต่เราไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา เพราะร่างกายของเทวดาเป็นกายทิพย์ การที่จะเห็นเทวดาได้ เราจะต้องมีตาทิพย์ หรือไม่ก็เทวดาเนรมิตกายให้เห็นเราจึงจะเห็นได้

         นาคพิภพหรือเมืองบาดาล

    

           นี่คือรูปพญานาคที่โผล่ขึ้นมาให้คนเห็น        
             พญานาค
   ตามคติศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน นาค  คืองูใหญ่มีหงอน อาศัยในเมืองบาดาล แปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ในทางประติมานวิทยามักแสดงในสามรูปแบบคือ มนุษย์มีงูที่ศีรษะ งู หรือครึ่งงูครึ่งมนุษย์   นาคเพศหญิงเรียกว่านาคี  นาคผู้เป็นหัวหน้า เรียกว่าพญานาค  ถือเป็นสัตว์เทพเจ้าที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องปรัมปราในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  นาคเป็นเจ้าแห่งงู แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา แบ่ง ออกเป็น ๕ ตระกูลใหญ่ คือ:-
    ๑.ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง
    ๒.ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว
    ๓.ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง
    ๔.ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ
   พญานาคเกิดได้ทั้ง ๔ แบบ คือ:-
    ๑.แบบโอปะปาติกะ เกิดแล้วโตทันที
    ๒.แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม
    ๓.แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์
    ๔.แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่
  พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก            เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญที่เจือด้วยราคะ
      คุณลักษณะและคุณสมบัติ
   ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของศาสนาฮินดู ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ ๑ ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ ๗ ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ ๗ ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้
   นาคมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคนสามา รถ แปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
   นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไรได้  ก็แต่ในสภาวะ ๕ จะต้องปรากฏรูปลักษณ์เป็นนาคเหมือนเดิม คือ:-

     ๑.ขณะเกิด

     ๒.ขณะลอกคราบ

     ๓.ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค

     ๔.ขณะนอนหลับโดยไม่มีสติ

     ๕.ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
   นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง ๖๔ ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง, ตะขาบ, คางคก, มด ฯลฯ มีพิษได้  ก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหางไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก ๑๕ วัน
   นาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่ ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน ๑ โยชน์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง ๗ ชั้น เรียงซ้อนๆ
กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
   นาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วสมสู่กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว ๓ เศียร  ๕ เศียน และ ๗ เศียร
   สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลกจนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ
    ความเชื่อเกี่ยวพันกับชีวิต น้ำและธรรมชาติ
   นาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ จึงปรากฏความเชื่อเรื่องนาคที่เกี่ยวกับน้ำไว้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
   ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง ๔ ด้าน เป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช
   ที่ปราสาทพนมรุ้ง คูเมืองที่เป็นสระน้ำ ๔ ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ ดังนั้น นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมีพญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
   แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิดของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์
    นาคให้น้ำ
   ด้วยความที่นาคเป็นสัญลักษณ์แห่งน้ำ ดังนั้น คำเสี่ยงทายในแต่ละปีที่จะทำนายถึงปริมาณของน้ำและฝนที่จะตกในแต่ละปีเพื่อใช้ในการเกษตร   จึงเรียกว่า "นาคให้น้ำ" จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน ๗ ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ ๑ ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ ๗ ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้
ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา ซึ่งคำทำนายเรื่องนาคให้น้ำนี้ จะปรากฏเห็นได้ชัดที่สุด คือ ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในวันพืชมงคลของแต่ละปี
     พญานาคในพระพุทธศาสนา
   เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อัชปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ ๗ วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด ๗ วัน ได้มีพญานาคชื่อมุจลินท์ เข้ามาวงด้วยขด ๗ รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นชายหนุ่มยืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
   ความเชื่อดังกล่าวทำให้เป็นที่มาของการสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็น
บัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา
   พญานาค เป็นสะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
   นาคสะดุ้ง ซึ่งเป็นประติมากรรมที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็เสด็จลงมาทางบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน ๒ ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้
  ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือบั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา
   ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุแต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอน กลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน
   ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด และก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม ๘ ข้อเสียก่อน ในจำนวน ๘ ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า" และจึงเรียกการบวชนี้ว่า "บวชนาค"

         พญานาคในพุทธประวัติ
  เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยเลิกกระทำทุกรกิริยา และนางสุชาดานำข้าวปายาสไปถวาย หลังจากเสวยหมดแล้วได้ทรงนำถาดทองไปลอยในแม่น้ำเนรัญชรา ถาดทองได้ลอยทวนกระแสน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอก พอถึงวนแห่งหนึ่งก็จมลงไปยังที่อยู่แห่งพญากาฬนาคราช
  พญากาฬะนาคราช หรือ พญากาฬะภุชคินทร์ มีอายุมากจะหลับอยู่เป็นนิตย์ จะตื่นต่อเมื่อได้ยินเสียงถาดทองที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงลอยลงไปกระทบกับถาดที่มีอยู่เดิม ตามประวัติว่ามีอยู่แล้ว ๓ ถาด เป็นของพระพุทธกุกกุสันธ ๑ พระพุทธโกนาคมน์ ๑ และพระพุทธกัสสป ๑ แสดงว่าพญากาฬนาคราชได้พบพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๓ พระองค์ มาตื่นอีกครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ และจะมีอายุยืนต่อไปจนถึงพระศรีอารยเมตไตรยมาตรัส ขณะนี้กำลังนอนหลับอยู่ เรียกว่านอนคอยพระพุทธเจ้าโดยแท้
   นอกจากพญากาฬะภุชคินทร์แล้วยังมีนาคสำคัญอีกตนหนึ่ง บังเกิดสระโบกขรณี (โปรกขรณี = สระบัวหรือตระพังน้ำ) ซึ่งอยู่ใกล้ต้นจิกที่ประทับของพระพุทธเจ้าคือหลังจากประทับ ณ ภายใต้ไม้อัชปาลนิโครธ (ต้นไทร) ครบ ๗ วันแล้ว ได้เสด็จไปสู่ต้นมุจลินท์ คือต้นไม้จิกประทับภายใต้ร่มไม้จิกอีก ๗ วัน  ในระหว่างนั้นมีเมฆครื้มและมีฝนตกตลอดทั้ง ๗ วัน พญามุจลินทนาคราชทราบเหตุแปรปรวนของเมฆฝน จึงขึ้นมาจากสระก็แลเห็นบุรุษหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นจิก มีลักษณะงามเปล่งปลั่งก็นึกในใจว่า
   “ท่านผู้นี้มีสิริวิลาศเลิศ ชะรอยจะเป็นเทพดาพิเศษประดับด้วยฉัพพรรณรังสี”
   ฉัพพรรณรังสีได้แก่รัศมี ๖ ประการ ได้แก่
   ๑. นีล สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน
   ๒. ปีต สีเหลืองเหมือนหรดาลทอง
   ๓. โลหิต สีแดงเหมือนตะวันอ่อน
   ๔. โอทาต สีขาวเหมือนแผ่นเงิน
   ๕. มัญเชฐ สีหงสบาท สีเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่
   ๖. ประภัสสร สีเสื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
   ฉัพพรรณรังสีนี้น้อยคนนักที่จะได้เห็น พญามุจลินทนาคราชเห็นแล้วก็ทราบชัดว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ และที่เสด็จมาสู่นิวาสสถานแห่งตนนั้น ก็ด้วยพระมหากรุณา เป็นมหาบุญลาภอันใหญ่ยิ่ง สมควรที่ตนจะต้องช่วยปกป้องมิให้พระองค์ถูกต้องลมฝน เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็เข้าไปขดขนดกายได้ ๗ รอบแวดล้อมองค์พระศาสดาจารย์ แล้วก็แผ่พังพานอันใหญ่ขึ้นป้องปกเบื้องบน เพื่อให้พ้นจากอากาศร้อนและเย็น เมื่อต้องแดด
ลมและฝน ทั้งยังช่วยปัดเป่ายุงและงูต่างๆ มิให้มาสัมผัสพระวรกาย
   ครั้นล่วง ๗ วันไปแล้วฝนก็หยุด พญามุจลินท์จึงคลี่คลายขนดกายออก แปลงกายเป็นมนุษย์น้อมกายถวายอัญชลีเฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระสัพพัญญู
   เหตุการณ์ตอนนี้ เป็นเหตุให้เกิดพระพุทธรูปปางนาคปรก นิยมทำรูปพญานาคมี ๗ เศียร
   ณ แม่น้ำเนรัญชรา มีนักบวช ๓ คนพี่น้องปลูกอาศรมเรียงรายอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสายนี้ คนพี่ชื่ออุรุเวลกัสสป คนที่สองชื่อนทีกัสสป และคนที่สามชื่อคยากัสสป หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังอาศรมอุรุเวลกัสสปได้ตรัสขออนุญาตว่า
   “ดูกรกัสสป ถ้าท่านไม่ลำบากใจแล้ว ตถาคตจะขออาศัยอยู่ในโรงเพลิงของท่านสักคืนหนึ่ง”
   “ดูกรสมณะ เรามิได้หนักใจที่ท่านจะอยู่ แต่ทว่ามีพญานาคตนหนึ่งมีพิษร้ายกาจนัก มาอาศัยอยู่ในโรงเพลิงนั้นท่านต้องระวังให้ดี อย่าให้พญานาคทำร้ายเอาได้”
   “พญานาคไม่เบียดเบียนตถาคต ท่านจงอนุญาตให้ตถาคตอาศัยในโรงเพลิงสักคืนหนึ่งเถิด”
   พระพุทธเจ้าตรัสดังนั้นถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง อุรุเวลกัสสปจึงได้ตอบอนุญาตว่า “ดูกรมหาสมณะ ท่านจงอยู่โดยปรกติสุขเถิด”
   พระพุทธเจ้าทรงได้รับอนุญาตเช่นนั้นแล้วืก็เสด็จเข้าไปในโรงเพลิงนั้นแล้วลาดปูซึ่งสันถัต (ผ้ารองนั่ง) ประทับนั่งขัดสมาธิ ตั้งพระกายให้ตรงดำรงพระสติเฉพาะหน้าต่อพระกัมมัฏฐานภาวนานุโยค
   ฝ่ายพญานาคเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาสถิตในที่นั้น ก็มีจิตคิดขึ้งเคียดไม่พอใจ ได้พ่นพิษเป็นควันตลบพระพุทธเจ้าก็ทรงบันดาลให้ควันนั้นหมดไป ทำให้พญานาคโกรธพ่นพิษเป็นเพลิงพลุ่งโพลงขึ้น พระพุทธเจ้าก็ทรงบันดาลให้เป็นเพลิงออกปะทะ ทำให้เกิดแสงเพลิงโชติช่วงราวกับจะเผาพลาญโรงเพลิงนั้นให้วอดวาย บรรดาชฎิลทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็พากันมามุงล้อมรอบโรงเพลิงพูดกันว่า
   “ดูกรชาวเรา พระมหาสมณองค์นี้ มีสิริรูปอันงดงามยิ่งนัก น่าเสียดายจะมาวอดวายเสียด้วยพิษแห่งนาคในครั้งนี้”
   แต่เหตุการณ์หาได้เป็นไปตามที่พวกชฎิลนับพันคนคาดคิดไม่ เพราะพอรุ่งเช้าพระพุทธเจ้าก็สามารถทำให้พญานาคสิ้นฤทธิ์ บันดาลให้พญานาคขดขนดกายลงอยู่ในบาตรได้สำเร็จ เป็นการปราบพญานาคครั้งแรกของพระพุทธเจ้า
   ดังได้กล่าวแล้วว่าพญานาคอาจแปลงเป็รมนุษย์ได้และเคยแปลงมาบวช มีเรื่องในพระไตรปิฎกจึงขอคัดมารวมไว้ด้วยครั้งนี้

   วิธีปฏิบัติตนให้พ้นจากอัตภาพความเป็นพญานาค

   นาคตัวหนึ่งอึดอัดระอาเกลียดกำเนิดนาค ซึ่งนาคนั้นได้มีความดำริว่าด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากการกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน ครั้นแล้วได้ดำริต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แลเป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม หากเราจะพึงบาชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้เราก็จะพ้นจากการกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน ครั้นแล้วนาคนั้นจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม แล้วเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท
   สมัยต่อมา พระนาคนั้นอาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับภิกษุรูปหนึ่ว ครั้นปัจจุบันสมัยแห่งราตรี ภิกษุรูปนั้นตื่นนอนแล้ว ออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้งครั้นภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว พระนาคนั้นก็วางใจจำวัด วิหารทั้งหลังก็เต็มไปด้วยงูขนดยื่นออกไปนอกหน้าต่าง ครั้นภิกษุรูปนั้นกลับมา ผลักบานประตูด้วยตั้งใจจักเข้าวิหาร ได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงูเห็นขนดยื่นออกไปทางหน่้าต่าง ก็ตกใจจึงร้องเอะอะขึ้น
   ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไป แล้วถามภิกษุรูปนั้นว่า “อาวุโส” ท่านร้องเอะอะไปทำไม”
   ภิกษุรูปนั้นบอกว่า “อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงู ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง”
   ขณะนั้นพระนาคนั้นได้ตื่นเพราะเสียงนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะของตน

   ภิกษุทั้งหลายจึงถามพระนาคว่า"ท่านเป็นใคร?"
   พระนาคตอบว่า “ผมเป็นนาคขอรับ”
   ภิกษุทั้งหลายจึงถามว่า “อาวุโส ท่านทำเช่นนั้นเพื่อประสงค์อะไร”
   พระนาคนั้นจึงแจ้งเนื้อความแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุได้ทราบจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเหตุที่เป็นเค้ามูลนั้น และเป็นเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นได้ทรงประทานพระพุทธโอวาทแก่นาคนั้นว่า
   “พวกเจ้าเป็นนาคมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา ไปเถิดเจ้าจงไปรักษาอุโบสถศีลขในวันสิบสี่ที่สิบห้าค่ำ และแปดค่ำแห่งปักษ์นั้น
แหละด้วยวิธีนี้เจ้าจักพ้นจากกำเนิดนาค และจักกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์ในเร็วพลัน”
   ครั้นนาคนั้นได้ทราบว่า ตนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดาก็เสียใจ หลั่งน้ำตาส่งเสียงดังแล้วหลีกไป
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
   “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาคมีสองประการนี้คือ เวลาเสพเมถุนธรรมกับนางนาคผู้มีเชื้อชาติเสมอกันหนึ่ง เวลาวางใจนอนหลับหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาคสองประการนี้แล
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือดิรัจฉาน ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสียๆ”
   บางทีจะเป็นด้วยเรื่องนี้เอง ที่มีผู้แต่งตำนานเสริมว่า นาคได้ฝากชื่อไว้ให้เรียกผู้ที่จะบวชว่า นาค ก็เป็นได้ และที่ต้องซักถามผู้ที่มาขอบวชว่า
“มนุสโสสิ” เป็นมนุษย์หรือ ก็เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่พวกอมนุษย์แปลงตัวมาบวชนั่นเอง
   งูและนาคมีทั้งที่ดีและร้าย ประเภทดุร้ายแม้ฤาษีหรือนักบวชก็เกรงกลัว อย่างอุรุเวลกัสสปะยังต้องยอมให้นาคอยู่ในโรงเพลิง บางทียังยกย่องนับถือบูชาเสียอีกด้วย เช่นอัคคิทัตฤาษีและบริวารนับถือพญานาคอหิฉัตตะ   ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดอัคคิทัตฤาษีก็มีปัญหากับพญานาค ต้องทรงให้พระโมคคัลลานะไปทรมานจนสิ้นพยศยอมอยู่ในอำนาจ ทำให้อัคคิทัตและบริวารเห็นเป็นอัศจรรย์ที่ปราบพญานาคผู้มีฤทธิ์ได้ จึงยอมรับเคารพบูชาพระพุทธเจ้า
   ตามที่ทราบกันดีแล้วว่า ในอินเดียเต็มไปด้วยงูหรือนาค ฉะนั้นในเรื่องพระพุทธศาสนา จึงมีนาคมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เช่นในบทสวดมนต์มหาสมัยสูตร ได้ออกชื่อนาคหลายพวก เป็นต้นว่าในเมืองเวสาลีมีนาคอยู่ในสระชื่อ นาสภะ ตัจฉะกะนาคราช กัมพลนาค และ อัสตรนาค พวกนาคที่อยู่ในป่าก็มี ปายาคะ ส่วนนาคสกุล ธะตะรัฏฐะ อยู่ในแม่น้ำยมุนา นาคเหล่านี้พร้อมด้วยเทวดามาฟังพระธรรมเทศนากันอย่างเนืองแน่น พระพุทธเจ้า
ทรงแนะนำให้บรรดาสาวกได้รู้จักกับบรรดาเทวดายักษ์ และนาคทั้งหลาย ซึ่งก็คงเพียงแต่ทรงชี้ว่านั่นเทวดาองค์นั้นองค์นี้ นี่ยักษ์ นั่นนาค คงไม่ถึงกับคุ้นเคยได้พูดคุยกัน เพราะท่านเหล่านั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาจบแล้วก็แยกย้ายกันกลับวิมานของตน และเนื่องจากความไม่คุ้นเคยกันจึงมีเรื่องเกิดขึ้น
   ตามเรื่องว่าสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ในครั้งนั้นพระภิกษุรูปหนึ่งถึงมรณภาพด้วยถูกงูร้ายกัดทำให้พระจำนวนมากตกใจกลัวด้วยไม่เคยเกิดเหตุเช่นนี้มาก่อน จึงได้พากันเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องให้ทรงทราบ ได้มีรับสั่งว่า
   “ภิกษุทั้งหลาย งูไม่น่าจะกัดพระ เพราะตามธรรมดาพระจะอยู่ด้วยความเมตตา บางทีพระรูปนั้นจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตแก่พญางูทั้ง ๔ เหล่าเป็นแน่ จึงถูกงูทำร้าย ถ้าหากภิกษุจะแผ่เมตตาแก่พญางูทั้ง ๔ ตระกูลนั้นแล้ว ก็คงไม่ถูกงูทำร้ายเลย”
   ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิตแก่พญางูทั้ง ๔ เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตัว เพื่อป้องกันตัวต่อไป”
   เมื่อรับสั่งดังนี้แล้ว ได้ตรัส ขันธปริตร มนต์ป้องกันตัวที่ทรงประทาน จะยกมาพอเป็นตัวอย่างดังนี้
      ๐วิรูปกฺเขหิ เม เมตฺตํ
      เมตฺตํ เอราปเถหิ เม
      ฉพฺยาปุตฺเตหิ เม เมตฺตํ
      เมตฺตํ กณฺหาโคตม เกหิ จ
             คำแปล
   ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับพญานาคทั้งหลายสกุล วิรูปักข์ ด้วย (ตระกูลสีทอง)
   ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับพญานาคทั้งหลายสกุล เอราบถ ด้วย (ตระกูลสีเขียว)
   ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับพญานาคทั้งหลายสกุล ฉัพยาบุตร ด้วย (ตระกูลสีรุ้ง)
   ความเป็นมิตรของเรา จงมีกับพญานาคทั้งหลายสกุล กัณหาโคตมกะด้วย (ตระกูลสีดำ)
   ตั้งแต่นั้นสืบมา ขันธปริตร ได้เป็นมนต์ภาวนาให้พ้นจากการประทุษร้ายของงู ตลอดจนภูตผีปีศาจทั้งาย สมดังคำแปลท้ายบทสวดมนต์มีความว่า
   “เทพยดาและนาคทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์มาก ซึ่งสถิตอยู่มนอากาศก็ดีที่สถิตอยู่ในภาคพื้นก็ดี เทพยดาและนาคเหล่านั้นจะตามรักษาซึ่งท่านทั้งหลาย ด้วยความเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความสุข”
   พญาวิรูปักข์นาคราชในบทสวดมนต์นั้น เป็นที่รู้จักในคัมภีร์พระพุทธศาสนาว่าเป็นโลกบาลประจำทิศตะวันตกนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ในบทสวดมนต์ยังมีพญานาคอันธพาลอีกตนหนึ่ง มีชื่อว่า พญานันโทปนันทนาคราช ตามเรื่องว่า

   ครั้งหนึ่ง ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ถวายอภิวาทอาราธนาสมเด็จพระโลกนาถเสด็จไปฉันอาหารบิณฑบาต พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกทั้ง ๕๐๐ รูป ณ นิเวศน์ของตน ครั้นถึงเวลา
กำหนดนัด พระพุทธเจ้าก็ทรงพาพระอริยสาวกเหาะไปทางอากาศ ผ่านไปเหนือที่อยู่ของพญานันโทปนันทนาคราชๆ เห็นเช่นนั้นก็โกรธ ไม่พอใจที่พระมาเหาะข้ามหัวก็สำแดงฤทธิ์เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า เนรมิตกายให้ใหญ่ยาวเอาขนดหางพันเขาพระสุเมรุไว้เจ็ดรอบ แล้วแผ่พันพานบังดาวดึงส์ไว้ บันดาลให้เกิดหมอกควันมืดมัวไปทั่ว
   พระรัฐบาลซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยเห็นอากาศแปรปรวนเช่นนั้นก็แปลกใจทูลถามพระพุทธเจ้าว่า แต่ก่อนได้เคยตามเสด็จมาก็ได้เห็นยอดเขาสุเมรุงามไปด้วยแก้ว ๗ ประการ แต่เหตุไฉนวันนี้จึงมองไม่เห็น พระพทธเจ้ารับสั่งว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะพญานันโทปนันทนาคราชดูหมิ่นตถาคตและภิกษุทั้งหลาย  จึงแกล้งทำให้มืดมัวเพื่ออวดอ้างฤทธิ์อำนาจ พระรัฐบาลเมื่อทราบดังนั้นจึงพนมมือขอประทานโอกาสรับอาสาปราบพญานาค แต่พระ
พุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตแม้พระเถระอื่นๆ ก็เช่นกัน ครั้นพระโมคคัลลานะเถระเจ้าเข้ามาทูลอาสาพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตตรัสว่าเรื่องนี้เหมาะกับโมคคัลลานะด้วยมีอิทฤทธิ์พอที่จะปราบกันได้ ตรัสแล้วก็พาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายขึ้นไปดูเหตุการณ์บนยอดภูเขา
   พระโมคคัลลานะได้รับพุทธานุญาตแล้วเนรมิตกายเป็นพญานาคตัวใหญ่ยาวกว่าพญานันโทปนันท ๑ เท่าโอบรัดพญานันโทปนันทเข้ากับภูเขาพระสุเมรุจนไม่อาจขยับตัวได้ พญานันโทฯ หมดหนทางก็พ่นไฟเข้าใส่ แต่พระเถรเจ้ากลับเพิ่มขนาดลำตัวขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ไฟก็ไม่อาจทำอันตรายได้ ซ้ำร้ายกลับย้อนเข้าตัวพญานันโทฯ ได้รับความร้อนจนสุดที่จะทนทาน แม้จะหันเหียนเปลี่ยนวิธีเป็นอย่างอื่นก็ถูกแก้กลับได้รับทุกขเวทนายิ่งขึ้น ท้ายที่สุดก็จำแลงกายเป็นกุมารเข้าไปกราบยอมตนเป็นศิษย์ไม่คิดสู้อีกต่อไป
   สรุปว่าเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพญานาคนันโทปนันทนาคราชแล้ว พญานาคก็ละพยศยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา  การปราบพญานาคตามพุทธประวัติดังกล่าวเป็นการปราบพญานาคบนบก ยังมีการปราบพญานาคที่อยู่ในน้ำอีก ๒ ตัว คือในพรรษาที่ ๕ ได้เสด็จจากวิหารเชตวันไปยังนาคทวีป (เกาะนาค) เพื่อปราบพญานาคจุโฬทร และพญานาคมโหทร ก็หมดเรื่องที่เกี่ยวกับพญานาคในพุทธประวัติแต่เพียง
เท่านี้

          ข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับพญานาค

        

     หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี  ท่องเมืองพญานาค
   เรื่องถ้ำเรื่องป่าเขาแดนลี้ลับอันตรายต้องยกให้หลวงปู่คำคะนิง ท่านผ่านถ้ำผ่านภูเขามานับร้อยนับพันแห่งในอินโดจีนและฝั่งโขงทั้งสองฟากผจญเสือ ผจญช้าง กระทิงป่า มหิงสา หมียักษ์และงูร้ายอสรพิษนานาชนิด มาแล้วอย่างโชกโชน ตลอดจนภูตวิญญาณร้ายกาจสารพัดภูตผีปีศาจคะนองไพรและที่น่าสนใจที่สุด
   “หลวงปู่คำคะนิงเคยเข้าไปในถ้ำใต้แม่น้ำโขง เดินสามวันสามคืนไม่หยุดยั้ง พบเมืองบาดาลนาคพิภพของพญานาค มหัศจรรย์ที่สุด”  หลวงปู่คำคะนิง จุลละมณีเป็นชาวคำม่วน แขวงคำม่วน ประเทศลาว (ปัจจุบันท่านได้มรณะภาพไปแล้ว) แรกเริ่มเดิมทีก่อนจะเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้น มีครอบครัวลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน  แต่พออายุได้ ๓๐ ปีก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือน จึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤๅษีดาบส ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลานานถึง ๑๕ ปี ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร ถือสัจจะเคร่งในศีลฤๅษีโยคี ฝึกตนอย่างเคร่งเครียดละเว้นความชั่วทุกประการ  ๗ วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง ๑๕ วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง เป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อพิสูจน์กำลังใจและความทรหดอดทนของตนว่า มีความกลัวตายไหม ? อาลัยใยดีในสังขารร่างกายขนาดไหน ?  จากการปฏิบัติตนแบบฤๅษีชีไพรอย่างยิ่งยวดนี้เอง ทำให้ท่านพบกับความสันติสงบ
   กายสงบจิตอย่างล้ำลึก มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ใน  องค์ฌานสมาธิ เป็นพระฤๅษีผู้แก่กล้าฌานสมาบัติ สามารถเข้าฌานได้นานวัน โดยไม่อ่อนเพลีย ไม่หิวโหย  ร่างกายกระชุ่มกระชวยแข็งแรงเป็นปกติ สามารถเดินธุดงค์ขึ้นเขาลงห้วยได้เหมือนคนหนุ่มฉกรรจ์ เพียงแต่ว่าร่างกายไม่อ้วน ร่างกายผอมเกร็ง แข้งขามือกำได้รอบ แต่ทว่าแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ ไปไหนมาไหนในป่าในถ้ำ สัตว์ป่าก็เป็นมิตรไม่กล้ามาทำอันตราย ด้วยอำนาจเมตตาที่แผ่ออกมาจากฌานสมาธิอยู่แต่ในป่าในถ้ำนับร้อยนับพันถ้ำในภูเขาแดนลาว เสวยสุขในฌานจนเบื่อหน่าย เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ ไปสู่มรรค ผลนิพพาน หลวงปูคำคะนิงจึงได้ลาเพศฤๅษีดาบส เข้าสู่พระพุทธศาสนา อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เพื่อปฏิบัติธรรมสู่ทางพ้นทุกข์ อันถูกต้องร่องรอย เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็ยังถือมั่นอยู่ในสัจจอธิษฐานคืออยู่ในป่าในถ้ำเป็นวัตร ไม่ยอมเข้าอยู่หมู่บ้านหรือสำนักสงฆ์และวัดวาอารามใด ๆ  เป็นเด็ดขาด มุ่งถือ “พระธรรม” คือการปฏิบัติทางจิตเพื่อความหลุดพ้นเป็นใหญ่ ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาตามถ้ำตามทิวเทือกเขาต่าง ๆ ในแดนลาวปีแล้วปีเล่า ตราบจนกระทั่งเวลานี้ได้ ๒๗ พรรษา ถ้ารวมเป็นพระฤๅษีด้วยก็เป็น ๔๒ พรรษา
      ถ้ำมืดชาวบังบด
   เมื่อหลายปีที่ผ่านมา หลวงปู่คำคะนิงได้ทราบจากคำเล่าลือของชาวบ้านและพระธุดงค์ว่า ณ ที่ถ้ำมืดใกล้กับภูปัง ฝั่งไทยเขตโขงเจียม อยู่เลยอำเภอบ้านด่านขึ้นไปทางเหนือนั้น เป็นถ้ำ “เมืองลับแล” หรือที่ชาวบ้านเรียก “ชาวบังบด”
   “ถ้ำมืด” นี้เป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์มี เหล็กไหล ชาวเมืองลับแลหวงแหนมาก แต่วันดีคืนดี ใครมีวาสนาหลงเข้าไปในถ้ำเมืองลับแลที่ว่านี้ จะได้รับแก้วแหวนเงินทองจากชาวลับแล หรือไม่ก็ได้พระทองคำมาบูชาลึกลงไปใน “ถ้ำมืด” เป็นนครเร้นลับใต้พิภพ คือเมืองบาดาลของพญานาค อยู่ใต้แม่น้ำโขง เป็นเมืองใหญ่โตมโหฬาร ถ้าเข้าไปจากถ้ำฝั่งไทยจะลอดไปใต้แม่น้ำโขง เป็นอุโมงค์กว้างใหญ่และมีทางแยกไปสลับซับซ้อนคล้ายรวงผึ้ง สามารถจะทะลุขึ้นฝั่งโขงด้านประเทศลาวได้สบายมาก
   อุโมงค์บางสายทะลุไปออกแก่งลี่ผีแม่น้ำสีทันดร ระยะทางนับร้อยกิโลเมตร อุโมงค์บางสายซึ่งเป็นเมืองบาดาลนี้ไปทะลุออกเมืองญวน
ประเทศเวียตนาม ซึ่งพระธุดงค์หลายรูปได้นั่งทางในตรวจสอบด้วยกระแสญาณแล้ว เห็นตรงกันว่าเป็นความจริง  ได้มีชาวบ้านพวกแสวงหาทรัพย์
สินโบราณสมบัติปู่โสมหลายคณะ ได้เข้าไปค้นหาสมบัติในถ้ำมืดนี้ ปรากฏว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่ลักษณะถ้ำตัน ไม่มีอุโมงค์ลับซับซ้อน ไม่มีเมือง
พญานาคไม่มีเหล็กไหล ไม่มีทรัพย์สมบัติโบราณแต่อย่างใดเลย
   พวกคนโลภโมโทสันทั้งหลายต่างผิดหวังพากันด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้าหาว่าโกหกหลอกลวงนั่งหลับตาพยากรณ์ส่งเดชอวดอุตริมนุสธรรม
ด่าว่านินทาพระสงฆ์องค์เจ้า ผลกรรมทันตาเห็น ปรากฏว่าพวกค้นหาสมบัติในถ้ำ พากันหาทางออกจากถ้ำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่จุดคบไฟสว่าง
พวกเดียวกันแท้ ๆ ก็มองไม่เห็นกันต่างหลงทางเดินร้องตะโกนเรียกหากันโหวกเหวกอยู่ ๑๕ วัน อดข้าวอดน้ำแทบตาย จนต้องดื่มน้ำปัสสาวะ
ตัวเองแทนน้ำ พอวันที่ ๑๖ จึงหาทางออกจากถ้ำได้ นับเป็นเรื่องเร้นลับอาถรรพณ์ น่าพิศวง
       ค้นหาด้วยฌาน
   หลวงปู่คำคะนิงอยากจะพิสูจน์ความจริงเรื่อง “ถ้ำมืด” นี้ให้กระจ่างออกมา จึงได้เดินทางมายังถ้ำมืด ได้พบว่า เป็นถ้ำกว้างใหญ่มาก ถ้าติดฟืนไฟให้สว่างขึ้นในถ้ำมืดนั้นสามารถจะใช้เป็นห้องประชุมผู้คนได้เป็นหมื่น ๆ คนทีเลยเดียว
  ในถ้ำนี้มีค้างคาวอาศัยอยู่มาก มีลำธารไหลลอดใต้ภูเขาอยู่ในถ้ำ มีบาตรโบราณเก่า ๆ บรรจุพระเครื่องหักชำรุดและผ้าไตรผุเปื่อยซุกอยู่ซอกถ้ำแห่งหนึ่ง แสดงว่ามีคนเข้ามาบูชาเอาพระเครื่องไปหรือแก้บนผีสางเทวดา
  หลวงปู่คำคะนิงได้ออกเดินสำรวจดูถ้ำมืด ใช้คบไฟจุดให้แสงสว่าง สำรวจตรวจดูทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ไม่พบว่ามีช่องทางจะทะลุเข้าไปข้างในได้อีกเลย มันเป็นถ้ำตันขนาดใหญ่ คล้ายห้องโถงที่มีทางเข้าและออกทางเดียวเท่านั้น  ที่เล่าลือกันว่า ถ้ำนี้เป็นถ้ำเมืองลับแลและมีอุโมงค์ลับลงไปใต้บาดาลเป็นเมืองพญานาคนั้นเห็นจะรู้เห็นด้วยสายตาธรรมดาไม่ได้ เพราะสิ่งดังกล่าวเป็นสภาวะทิพย์ มีความละเอียดอ่อนสุขุมยิ่ง
กว่าสายลม เบาบางยิ่งกว่าใยแมงมุม แต่ทว่าแข็งกล้ายิ่งกว่าเหล็กเพชร มีอานุภาพยิ่งกว่าสายฟ้า สามารถจะให้คุณและโทษแก่มนุษย์ผู้หยาบช้าจิตใจสกปรกโลภโมโทสันได้ถึงแก่วิบัติฉิบหายในพริบตา
   ฉะนั้นจำจะต้องใช้อำนาจฌานสมาธิตรวจสอบด้วยทางในให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อหลวงปู่คำคะนิงนั่งเข้าฌานตรวจสอบด้วยทางใน เห็นนิมิตปรากฏสว่างจ้าขึ้นตรงมุมถ้ำด้านหนึ่ง มองเข้าไปตรงผนังถ้ำเห็นใสกระจ่างคล้ายผนัง ถ้ำทำด้วยแผ่นกระจก ในผนังถ้ำนั้นมีบ่อน้ำ  หินในบ่อน้ำนี้มีหินก้อนหนึ่งแช่อยู่รูปร่างคล้ายจระเข้เสียงในนิมิตบอกว่า ให้ข้ามหรือรอดให้ท้องจระเข้หินนี้เข้าไป แล้วจะพบประตูลับแลเข้าสู่ถ้ำข้างใน  เมื่อทราบแล้ว
ดังนั้น หลวงปู่คำคะนิงจึงได้ออกจากสมาธิแล้วออกเดินสำรวจถ้ำมืดอีกครั้ง โดยตรงไปที่ผนังถ้ำที่ปรากฏเห็นในนิมิตก็พบด้วยความประหลาดใจว่ามีหินย้อยลงมาคล้ายหลืบฉากเล็ก ๆ ซึ่งตอนแรกเดินตรวจดูอย่างละเอียดแล้วไม่ได้พบหินย้อยตรงนี้ ดูคล้ายตาเซ่อไปเองหรือไม่ก็มีอะไรบังตาไว้ยังงั้นแหละ  หลวงปู่คำคะนิงจึงนั่งยอง ๆ ลงชะโงกเข้าไปดูในซอกหลืบหินย้อยนี้ก็พบว่า เป็นซอกมุมทำเลพิกล มีรูดำมืดเข้าไป เป็นรูขนาดคนธรรมดามุตคลานเข้าไปได้ทีละคน แต่เมื่อเข้าไปแล้วจะเป็นรูตันหรือข้างในเป็นเหวลึกยังไม่รู้ อาจเป็นรูเข้าสู่ที่อยู่อาศัยของงูเหลือมยักษ์ก็เป็นได้
       ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
  การที่จะมุดคลานเข้าไปนับเป็นการเสี่ยงต่ออันตรายอย่างยิ่ง แต่หลวงปู่คำคะนิงไม่เคยนึกหวาดกลัวเลย เพราะมีประสบการณ์เรื่องมุดสำรวจถ้ำ เสี่ยงมฤตยูมาแล้วอย่างโชกโชนนับถ้ำไม่ถ้วน   ประการสำคัญที่สุดก็คือพระกรรมฐานอย่างท่านซึ่งจาริกธุดงค์อยูในป่าเขาแดนอันตรายร้อยแปดพันเก้าประการนี้ ได้อธิษฐาน “ตาย” ไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่สมาทานธุดงค์แล้วนั่นคือพร้อมเสมอที่จะตายทุกเวลา ไม่อาลัยเสียดายชีวิต ถ้ากรรมเก่าในอดีตสร้างไว้ให้ผล ก็พร้อมที่จะอุทิศสังขารร่างกายให้ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าด้วยความยินดี เพื่อชดใช้กรรมเก่าให้หมดสิ้นกันไปเสียเลยในชาตินี้ ไม่ต้อง
ติดค้างหนี้เวรหนี้กรรมกันอีกต่อไป
   พระธุดงค์ขณะตกเป็นเหยื่อเสือขบกัดหรือตกเป็นเหยื่องูเหลือม ท่านจะต้องตั้งสติให้มั่นคง กำหนดจิตให้แช่มชื่นเบิกบานใจที่ได้อุทิศร่างตัวเองให้เป็นอาหารของสัตว์นั้น ๆ   แล้วจึงแผ่เมตตาให้อโหสิสัตว์ตัวนั้นไม่ขออาฆาตจองเวร จากนั้นก็ปล่อยวางสังขารร่างกายรูปนามขันธ์ห้าโดยสิ้นเชิงเจริญวิปัสสนากำหนดอารมณ์ปัจจุบันเป็นตัวปัญญา  เมื่อจิตปล่อยวางได้แล้วเช่นนี้ ความเจ็บปวดขณะตกอยู่ในปากสัตว์ก็จะไม่มี จะมีแต่สติติดตามจิตอยู่ทุกขณะจิตเป็นอารมณ์ปัจจุบัน เมื่อวิญญาณในขันธ์ห้าดับคือสิ้นใจตาย สติก็ยังดำรงอยู่ว่าขันธ์ห้าของตนแตกดับแล้ว  ตอนนี้เองจิตในจิตหรือตัวสติปัญญา อันเป็นนามธรรม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สว่าง สะอาดบริสุทธิ์ ก็จะสืบต่อเป็นสันสติออกจากร่างไปสู่กระแสมรรค ผลนิพพานแดนสงบสันติสุข ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป  เมื่อพระธุดงค์ตัดสินใจพร้อมที่จะตายได้ทุกเวลาเช่นนี้จิตย่อมยังเกิดความเบาสบาย ชุ่มชื่นเบิกบาน มีความกล้าหาญอยู่ตลอดเวลา ไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น

   อะไรจะเกิดขึ้นก็ให้มันเกิดขึ้น ถ้าเป็นกรรมเก่าส่งผลก็พร้อมที่จะยอมรับกรรมนั้น แต่ถ้าไม่เคยสร้างกรรมเวรไว้ในอดีต หากเผชิญอันตรายใดๆ ธรรมะย่อมปกปักรักษาให้ปลอดภัย   สรุปแล้วพระธุดงค์ท่านเชื่อมั่นใน “พระธรรมย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม” และเชื่อใน “กฎแห่งกรรม”
    มีอะไรอยู่ข้างในขอดูหน่อย
   หลวงปู่คำคะนิงจึงกำหนดจิตอธิษฐานว่า สาธุ นโม ขอนมัสการแด่พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ อันเป็นสรณะที่พึ่งประเสริฐสูงสุด อาตมาภาพจักขออนุญาตเข้าไปในถ้ำสถานอันลึกลับแห่งนี้ ขอปวงเทพเจ้าทั้งหลาย อันมีเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ ตลอดจนยักษ์ คนธรรพ์ และพญานาคทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ ณ ถ้ำสถานแห่งนี้ จงได้รับทราบและเปิดทางสะดวกให้แก่อาตมาภาพด้วยเถิด  อาตมาภาพอยากจะขอเข้าไปดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็น
วาสนาบุญหูบุญตา ถ้าหากมีจริงก็ขอให้ได้ดูชมสมใจ มิได้มีเจตนาโลภโมโทสันอยากได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทรัพย์สมบัติของพวกท่านแต่ประการใดเลย
   เมื่ออธิษฐานจบแล้ว หลวงปู่คำคะนิงก็จุดเทียนเล่มใหญ่ที่เตรียมมาในย่ามหลายห่อ แล้วมุดคลานเข้าไปในรูดำมืดนั้น เข้าไปลึกประมาณสองร้อยวาก็ทะลุออก คูหาถ้ำข้างในเป็นถ้ำกว้างประมาณห้าวา เพดานสูง มีหินย้อยจากเพดานและผนังถ้ำสีขาวหม่น ๆ แต่งดงาม บ้างเป็นพู่พวงห้อยลงมาคล้ายม่านหรือโคมระย้า พื้นถ้ำเป็นตระพักซ้อนขึ้นไปมีขั้นบันไดธรรมชาติ  บนตระพักนั้นเป็นแอ่งน้ำใสแจ๋วปานกระจกมีหินรูปร่างคล้ายจระเข้แช่ขวางอยู่ในแอ่งน้ำ ถัดลึกเข้าไปมองเห็นปากอุโมงค์ดำมืดพอที่จะคลานมุดเข้าไปได้ก็ปรากฏว่าตรงกับนิมิตในสมาธิเป็นความจริงทุกประการ
   หลวงปู่คำคะนิงจึงเดินลุยลงไปในแอ่งน้ำนั้นซึ่งลึกแค่เอว พอไปถึงจระเข้หินจึงปีนป่ายขึ้นหลังมันเพื่อจะข้ามไป แต่เป็นที่น่าประหลาดว่าจระเข้หินนั้นเคลื่อนไหวได้ มันยกตัวลอยสูงขึ้นเหนือน้ำปิดปากอุโมงค์ไว้ เอ๊ะ...นี่มันยังไงกัน ? หลวงปู่คำคะนิงแปลกใจ จึงลองเอาเท้าแหย่เข้าไปใต้ท้องจระเข้หินดูทำท่าคล้ายจะมุดลอดใต้ท้องมันไป แปลกอีกแล้ว จระเข้หินก็จมตัวลงในน้ำไม่ยอมให้มุดลอดไปอีก นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว
ต้องเป็นสิ่งลึกลับอาถรรพณ์คอยพิทักษ์รักษาปากถ้ำไว้เป็นแม่นมั่น  ท่านจึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นดัง ๆ ว่า  “โอ๊ย...ผู้ข้า... ขอเข้าไปเบิ่งบูชาหูบูชาตา  ดอก ถ้ามีอะไรขอดูหน่อย ไม่มีเจตนาอย่างอื่นใดดอก”  ทันทีท่านอธิษฐานจบลง แปลกแท้ ๆ จระเข้หินจมตัววูบลงไปกบดานอยู่ใต้น้ำราวมีชีวิต อนุญาตให้หลวงปู่คำคะนิงลุยน้ำข้ามหลังมันไปโดยสะดวก จากนั้นก็คลานมุดเข้าไปในปากอุโมงค์ดำมืดนั้น
   ตอนนี้แสงเทียนยังจุดสว่างถือไว้อยู่ตลอดเวลา เทียนจะดับไม่ได้ เพราะแสงเทียนคือสิ่งบอกเตือนว่า อากาศในถ้ำมีพอหายใจหรือไม่อุโมงค์ลาดต่ำลึกลงไปยาวประมาณสามสิบวาก็ทะลุถึงอีกคูหาถ้ำ เป็นถ้ำกว้างพอสมควรเพดานสูงโค้ง มีหินย้อยใหญ่น้อยทั้งยาวและสั้น สีต่าง ๆ เช่น น้ำตาลอ่อน ขาวนวล แดงและเหลืองรูปร่างแปลก ๆ คล้ายจีบม่านแพรเป็นริ้ว ๆ ก็มี คล้ายสายน้ำตกก็มี สลับซับซ้อนคล้ายตำหนักที่เทพเจ้าสร้างไว้เมื่อกระทบแสงไฟเทียนจะเกิดประกายระยิบระยับดุจโรยด้วยกากเพชร สวยงามวิจิตรพิสดารมาก
    พุทโธคุ้มหัว
   ตรงกลางถ้ำมีสิ่งมีชีวิตร่างหนึ่งตระหง่านอยู่ ทำให้หลวงปู่คำคะนิงต้องตะลึงจังงังสิ่งมีชีวิตนั้นคือพญางูตัวหนึ่งใหญ่เท่าต้นตาล ดำมะเมื่อมเลื่อมพราย ชูคอขึ้นสูงท่วมหัว นัยน์ตาเขียวเปล่งประกายเจิดจ้าคล้ายแสงมรกต จ้องมองมายังหลวงปู่คำคะนิงอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นพญางูที่ไม่มีหงอนหลวงปู่คำคะนิงเล่าถึงตอนนี้ว่า ท่านไม่รู้สึกหวาดกลัวมัน แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด จะกลัวไม่ได้ ถ้านึกกลัวจะเป็นอันตราย ต้องกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกภาวนา “พุทโธ ๆ ๆ ” ไว้ในใจเรื่อย ๆ
“ท่องพุทโธตัวเดียวนี้แหละคุ้มครองได้หมด พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์รวมลงอยู่ที่พุทโธตัวเดียวนี้แหละ พุทโธตัวเดียวเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในสากลโลกนี้ จำไว้ให้ดี คาถาของหลวงปู่มีพุทโธตัวเดียว ใช้ได้ทุกอย่างแล้วแต่จะอธิษฐานเอา ”
“เมื่อหลายปีมาแล้ว หลวงปู่อยู่ในถ้ำ พวกผู้ร้ายห้าหกคนมันมาปล้น มันคิดว่าหลวงปู่ร่ำรวยเพราะญาติโยมมาหามาก มันเอาปืนอาก้าจ่อยิงหัวหลวงปู่นะ”
“หลวงปู่หลับตาภาวนาพุทโธ ๆ ๆ ตัวเดียวนี้แหละ มันยิงกันใหญ่ ปืนมันไม่ลั่นเลย หลวงปู่ก็บอกมันว่า เอาเลยยิงให้หลวงปูตายเลย ถ้าเราเคยมีเวรกรรมต่อกัน”
“แต่มันก็ยิงหลวงปู่ไม่ออกเพราะพุทโธตัวเดียวแท้ ๆ คุ้มครอง พวกมันก็พากันหนีไป แล้วตำรวจก็จับได้”
   เมื่อกำหนดจิตกาวนาพุทโธ ๆ ๆ แล้ว หลวงปู่คำคะนิงได้พูดขึ้นกับพญางูดัง ๆ ว่า อาต มาภาพถือสัจจะที่เข้ามานี้ มาขอดูชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของท่าน ถ้ามีอะไรก็ขอดูชมให้สมใจเพื่อเป็นวาสนาบุญตาด้วยเถิด ขอดูชมเฉย ๆ ไม่เอาอะไรไปหรอก
     อุโมงค์แก้วอยู่ใต้แม่น้ำโขง
  เมื่อกล่าวจบลง สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น พญางูใหญ่ลดหัวลงต่ำทันที มันเลื้อยเข้าไปข้างใน ตัวมันยาวใหญ่มาก หลวงปู่คำคะนิงยังคงยืนงุนงงถือเทียนเฉยอยู่  พญางูได้เอี้ยวคอหันมาดูแล้วผงกหัวให้คล้ายเป็นเชิงบอกให้ตามไป หลวงปู่คำคะนิงจึงถือเทียนเดินตามไปห่าง ๆ ลำตัวพญางูยาวคล้ายจะไม่สิ้นสุด ท่านเดินตามไปข้าง ๆ มัน  ครั้นแล้วมันก็หยุดลง ทำหัวก้ม ๆ เงย ๆ ลงที่พื้นถ้ำ 2 - 3 ครั้ง ตรงนั้นเป็นปากหลุมถ้ำดำมืด ท่านเข้า
ใจได้โดยวิถีจิตว่าพญางูบอกกล่าวไม่ให้ลงไปในปากถำหลุมดำมืดนั้น เพราะจะเป็นอันตรายให้ระวัง
  จากนั้นพญางูได้เลื้อยตรงไปทางขวามือแล้วหันมาผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ท่านเข้าไปดู เมื่อเข้าไปดูพบว่าตรงนั้นมีหินย้อยลงมาสวยงามมากคล้ายม่านแพรริ้ว ๆ พญางูได้ยื่นหัวของมันชะโงกเข้าไปข้างๆ หินย้อยรูปม่านปรากฏว่ามีรูใหญ่ดำมืด พญางูผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายจะบอกให้ลงไปในรูนี้
   จากนั้นมันก็เลื้อยนำทางลงไปก่อน ท่านถือเทียนจุดสว่างลงไปในรูนี้ตามหลังมันไป ทางลงราบรื่นเกลี้ยงเกลา เพดานและผนังอุโมงค์ทางลงกระทบแสงเทียนเป็นประกายระยิบระยับพร่างพรายไปหมด คล้ายแสงดาวนับแสนนับล้านดวงในท้องฟ้า บอกให้รู้ว่าเป็นพวกแร่ธาตุอัญมณี อุโมงค์ทางลงลาดต่ำลงไปเรื่อย ๆ จากการกำหนดหมายจดจำไว้
   หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า "อุโมงค์นี้พุ่งตรงไปยังด้านทิศตะวันออกคือแม่น้ำโขง อุโมงค์ยาวมาก เดินจนรู้สึกเหนื่อย เทียนหมดไปหลายเล่มเมื่อท่านหยุดยืนพักเหนื่อย พญางูก็จะหยุดบ้างแล้วเอี้ยวคอมาดูผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ คล้ายบอกให้ตามไป ท่านก็ออกเดินต่อไปอีก กะว่าเดินไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นคูหาถ้ำกว้าง วิจิตรพิสดารด้วยหินย้อยเป็นหลืบฉากคล้ายท้องพระโรง มีแสงสว่างรุ่งเรืองอันเกิดจากหินย้อยเปล่งแสงคล้ายดวงดาวตอนนี้เทียนที่จุดสว่างนำทางได้ดับลง หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกหายใจไม่ออก ไม่มีอากาศหายใจ จึงกำหนดจิตอธิษฐานขึ้นว่า
   “โอ๊ย...ข้าน้อย...ขอให้ได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เถิด ข้าน้อยอยากเบิ่ง อย่าเพิ่งให้ตายเลย”
   อธิษฐานจบก็มีอากาศหายใจอย่างสดชื่น รู้สึกร่างกายหายเหนื่อยกระปรี้กระเปร่าขึ้น ตอนนี้พญางูใหญ่ซึ่งหยุดดูอยู่ไต้ผงกหัวขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ตามไปเมื่อออกเดินไปก็เห็นเพดานอุโมงค์ข้างบนเป็นหินสีขาวใสกระจ่างเหมือนกระจก กว้างประมาณยี่สิบวา มองขึ้นไปเห็นเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลเอื่อย เห็นท้องฟ้าอยู่เหนือน้ำด้วยความรู้สึกบอกว่า ข้างบนคือแม่น้ำโขง เวลานี้ท่านกำลังอยู่ในอุโมงค์แก้วเมืองบาดาลใต้แม่น้ำโขง   พญางูเลื้อยนำทางเข้าถ้ำโน้นออกถ้ำนี้วกไปวนมาคล้ายรวงผึ้งยักษ์ แต่ละถ้ำสวยงามพิสดารด้วยหินงอกหินย้อย ตามผนังถ้ำรุ่งเรืองไปด้วยแสงแก้วมณีสีต่าง ๆ สว่างไสวเต็มไปหมด
           เมืองใต้พิภพ
   เดินไปเรื่อย ๆ ๓ วัน ๓ คืน ไม่ได้ฉันข้าวน้ำอะไรเลย แต่ไม่รู้สึกหิวโหยอ่อนเพลียแต่ประการใด กลับมีแต่ความรู้สึกอันสดชื่นเบิกบาน ร่างกายกระชุ่มกระชวยผาสุก อุโมงค์และคูหาถ้ำน้อยใหญ่ที่พญางูใหญ่นำเที่ยวดูชม ล้วนงามรุ่งเรืองตระการตา ทำให้เพลิดเพลินเจริญใจจนลืมเวลาที่ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว  จนกระทั่งมาถึงแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยอยู่ใต้พิภพ น้ำไม่ลึกมองเห็นกรวดทรายสีต่าง ๆ ระยิบระยับอยู่ใต้น้ำที่ใสกระจ่างปานกระจก พญางูใหญ่เลื้อยปราดลงไปในแม่น้ำแล้วหายวับไป จะว่ามุดน้ำหนีไปก็ไม่ใช่เพราะจับตาดูอยู่ เป็นการหายไปเฉย ๆ คล้ายแสงไฟดับยังงั้นแหละ  แต่พอหลวงปู่คำคะนิงขึ้นถึงฟากฝั่งตรงข้ามก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า มีรอยเท้ามนุษย์เพิ่งขึ้นจากน้ำไปใหม่ ๆ รอยนั้นเปียกน้ำอยู่ แต่ไม่เห็นตัวคนพลันหลวงปู่คำคะนิงก็ล่วงรู้ได้ด้วยญาณว่า แม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ขวางกั้นด่านชั้นในเข้าสู่เมืองพญานาคใต้พิภพ

   เมื่อพวกพญานาคหรืองูใหญ่เลื้อยลงสู่แม่น้ำนี้แล้ว จะกลายร่างจากงูใหญ่เป็นร่างมนุษย์ไปในบัดดล แน่แล้วพญางูผู้นำทาง จะต้องเป็นเจ้าของรอยเท้ามนุษย์เปียกน้ำ
ท่านจึงออกเดินสะกดรอยนั้นไป แต่เพื่อป้องกันหลงทางในตอนขา กลับ จึงได้เก็บเอาก้อนหินมาวางไว้เป็นเครื่องหมาย  เดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นคูหาถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล เพดานถ้ำอยู่สูงลิ่วเป็นรูปโค้งคล้ายท้องฟ้าจำลอง แสงสว่างรุ่งเรืองสดใสคล้ายอาบด้วยละอองสีทอง ทำให้จีวรย้อมฝาดของหลวงปู่กลายเป็นสีทองเข้ม ไหลออกไปสุดสายตาเป็นแสงสว่างสีชมพูอ่อน ๆ  สลัวหมอกมัวมองไม่ทะลุภายในคูหาถ้ำแห่งนี้มีพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่สูงลิบลิ่ว เป็นทองคำทั้งแท่ง สุกปลั่งอร่ามพร่างพราย ชวนให้ตะลึงลาน รอบ ๆ องค์มหาเจดีย์ทองคำ มีพระพุทธรูปทองคำตั้งเรียงรายไว้เป็นชั้น ๆ มากมายสุดคณานับ แต่ละชั้นทำด้วยหินผลึกสลักลายทองคำลวดลายละเอียดยิบ กระถางธูปและเชิงเทียนตั้งเรียงราย ตัว กระถางเป็นสีมรกตจางใส โตขนาดช่วงแขนโอบภายในกระถางบรรจุไว้ด้วยทรายทองคำเต็มสำหรับปักธูปซึ่งจุดส่งควันกรุ่น มีกลิ่นหอมตลบอบอวลชื่นใจ เชิงเทียนเป็นมณีแดง เทียนที่จุดมีทั้งเทียนขาว เหลือง แดง 

   ถัดออกไปเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบพระมหาเจตีย์  กำแพงแก้วฝังไว้ด้วยเพชรเม็ดใหญ่ ๆ ตามลวดลายกนกส่องแสงวูบวับเป็นประกายดุจดวงดาวนับหมื่นนับแสนดวงมาประดับไว้ ณ ที่นั้นนอกกำแพงแก้วออกไปเป็นมหาวิหารคด และพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวประดับลวดลายด้วยเส้นลายทองคำฝังแก้วเจ็ดประการงามรุ่งเรือง
วิจิตรพิสดารน่ามหัศจรรย์จริง
“หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปนะ ไม่ได้เข้าฌานถอดกายทิพย์ไป แต่ไปด้วยร่างกายแก่เฒ่าของหลวงปู่นี้แหละ หลวงปู่ยังเข้าไปโอบกอดพระมหาเจดีย์ทองคำเลย เป็นทองคำจริง ๆ เนื้อแน่นหนาทึบเย็นเหมือนน้ำ หลวงปู่ดูละเอียดหมด ยังได้จุดธูปเทียนในภาชนะแก้วทองสักการะเลย” หลวงปู่คำคะนิงกล่าวยืนยันเป็นถ้อยคำแข็งแรง
       มนุษย์นาค
   มีคนถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่พบพระสงฆ์องค์เจ้าหรือเปล่าครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า "ไม่มีพระเณร เงียบมาก เงียบจนกระทั่งหลวงปู่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตึก ๆ หลวงปู่เดินเที่ยวดูหมด ไม่มีพระเณรเลยสักองค์จริง ๆ  มีกุฏิหินอ่อนสีขาวหลังคาเป็นแก้วประพาฬปลูกไว้เรียงรายหลายสิบหลัง ปิดประตูหน้าต่างเงียบ คล้ายเป็นวัดร้าง” หลวงปู่กล่าว
   มีคนถามว่า “วัดนี้ไปอยู่ในถ้ำใต้บาดาลได้อย่างไรครับ”
    หลวงปู่ตอบว่า "“มีผู้สร้างขึ้นไว้ ไม่ใช่มนุษย์บนโลกสร้าง แต่ เป็นมนุษย์นาคสร้าง”
  มีคนถามว่า “มนุษย์นาคคืออะไรครับ”
  หลวงปู่ตอบว่า “ก็พญานาคนั่นแหละ ที่นี่เป็นเมืองบาดาลของพวกพญานาค พวกเขานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน พญานาคเป็นสิ่งมีชีวิตเร้นลับ เป็นกึ่งสัตว์เดรัจฉานและกึ่งเทพเจ้า มีมหิทธานุภาพมาก สามารถจำแลงกายเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวสวยงามได้ ชอบทำบุญสร้างกุศลในพุทธศาสนา  หลวงปู่ว่าเป็นไปได้ที่พวกพญานาคสร้างวัดทองคำประดับด้วยแก้วมณีอันมีค่านี้ไว้สักการะบูชา เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงพระรัตนตรัย”
   มีคนถามว่า “หลวงปู่ทำไมไม่อยู่จำพรรษาที่นั่นล่ะครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “อยู่ไม่ได้ เพราะหลวงปูแค่ขออนุญาตเขาเข้าไปดูชมให้เป็นบุญหูบุญตาเท่านั้น”
   มีคนถามว่า “นอกจากวัดที่หลวงปู่เห็นแล้วมีอะไรอีกครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่เดินดูชมบริเวณวัดจนทั่วแล้วก็เลยไปทางสระใหญ่มีดอกบัวสีต่าง ๆ ขึ้นเต็มไปหมด ดอกบัวส่งกลิ่นหอมชื่นใจมาก มี
สนามหญ้าสีเขียวตัดเรียบ มีสวนดอกไม้กว้างสุดสายตา แล้วก็มีทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่น ๆ  สองข้างทางเป็นต้นไม้ทั้งดอกทั้งใบสี
แปลก ๆ ลูกผลยั้วเยี้ยเลย ก็เลยเดินเข้าไปตามทางนี้ รู้สึกกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้รุนแรงยิ่งขึ้น หอมจนฉุนกึ้กขึ้นจมูกเลย หลวงปู่รู้สึกวิงเวียน"
      ดาบสฤๅษี
   พอดีเดินเข้าไปถึงเบื้องผาแห่งหนึ่ง มีขั้นบันไดหินทอดขึ้นไปสูงประมาณสองวา พบคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เป็นพระฤๅษีดาบสผมยาว
   มีคนถามว่า “เป็นพระฤๅษีหรือครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “เป็นคนนี่แหละ แก่เฒ่าแล้ว ผมขาวยาวหนวดเครายาวถึงเอวเลยทีเดียว นั่งพิงหมอนขวานใบใหญ่อยู่ใต้เงื้อมผา อาสนะที่นั่งเป็น
เบาะปูลาด”
   หลวงปู่ก็นั่งลงยกมือไหว้ ตาแกคนนั้นร้องห้ามหลวงปู่ไว้ ไม่ให้ไหว้ แกบอกว่า ข้าเจ้าไม่ใช่พระ อย่าไหว้ข้าเจ้าให้เป็นบาปเลย ข้าเจ้าเป็นตาปะโสหรือ
ดาบสฤๅษี”
   มีคนถามว่า “ดาบสฤๅษีเป็นพญานาคแปลงกายหรือครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “ไม่ใช่ ท่านบอกว่าท่านบวชเป็นพระฤๅษีดาบสมาได้ 3,000 ปีแล้ว บำเพ็ญศีลเจริญภาวนาอยู่ แก่งลี่ผี”
   มีคนถามว่า “เป็นไปได้หรือครับ ที่คนเราจะมีอายุถึงสามพันปี”
   หลวงปู่ตอบว่า “พวกฤๅษีดาบสที่บำเพ็ญพรตเจริญภาวนาในพระธรรมจนบรรลุอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ท่านย่อมมีอำนาจสามารถยืดอายุเวลาให้ยืน
นานออกไปได้นับพัน ๆ ปี อันนี้หลวงปู่เชื่อว่าเป็นความจริง มันเป็นวิชชาลึกลับ”
      แก่งลี่ผี
   มีคนถามว่า “แก่งลี่ผีอยู่ที่ไหนครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “แก่งลี่ผีอยู่ในแม่น้ำโขง เบื้องทิศใต้นครจำปาศักดิ์ลงไป แม่น้ำโขงแถว ๆ นั้นมีเกาะแก่งมากมายนับร้อย ๆ เกาะ แล้วมีภูเขาลูก
หนึ่งขวางกั้นแม่น้ำโขงอยู่ แม่น้ำโขงไหลข้ามเขาไปกลายเป็นน้ำตกลงไป”
   ชาวบ้านเรียกว่า "ลี่ผี" หมายถึงที่ดักปลาของภูตผี ท่อนซุงใหญ่ ๆ ขนาดหลายคนโอบตกลงไปในแก่งลี่ผีจะแหลกละเอียดหมด เรือแพผ่านเข้าไปไม่ได้
 เป็นวังน้ำวนแก่งน้ำตกมฤตยู แล้วยังมีอุโมงค์ใต้น้ำ ให้น้ำโขงไหลลอดภูเขาด้วยหลายอุโมงค์
“ภูเขาลูกนี้ลึกลับอาถรรพณ์ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พวกฤๅษีชีไพรตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ชอบไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่น เพราะเงียบสงบ คนไปรบกวน
ไม่ได้”
   มีคนถามว่า “ดาบสฤๅษีตนนี้ มาทำไมที่นี่”
   หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่ถามดูแล้ว ท่านดาบสผู้มีอายุยืนนานเล่าให้ฟังว่า พวกบังบดนิมนต์ท่านมาเทศนาธรรม”
   มีคนถามว่า “พวกบังบด คืออะไรครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “หมายถึงพวกลับแลหรือพวกมีสภาวะเป็นทิพย์ อย่างพวกพญานาคนี้ก็ถือว่าเป็นพวกลับแลพวกหนึ่งได้เหมือนกันเพราะมีสภาวะทิพย์”
“พระฤๅษีดาบสบอกว่า ท่านมาเทศนาธรรมอบรมชาวลับแลได้สามวันแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรอยู่ภูจอมทองฝั่งลาว”
  มีคนถามว่าว่า“แล้วพวกชาวเมืองลับแลไปไหนหมด ทำไมไม่เห็นสักคนเดียว ท่านตอบว่า พวกชาวลับแลไม่อยากแสดงตัวให้เห็น หลวงปู่เลยบอกท่านว่า จะเข้าไป
เที่ยวดูชมข้างในต่อไป ท่านได้ห้ามไว้”
   มีคนถามว่า “ทำไมพระฤๅษีถึงห้ามไว้ครับ”
       กฎลึกลับ
   หลวงปู่ตอบว่า “พระฤๅษีท่านบอกว่า ข้างในมันเป็นเวียงวังของพญานาค เป็นเขตอาถรรพณ์ หากมนุษย์เข้าไปแล้วจะต้องอยู่ที่นั่นเลย กลับออกมา
ไม่ได้ ถ้ากลับออกมาต้องตายลูกเดียว มนุษย์ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีวิชาอาคม ได้ฌานสมาบัติ ถึงจะมีอำนาจต้านทานพิษร้ายแรง
ของพญานาคได้  แต่เมื่อเข้าไปแล้วต้องจำพรรษาอยู่ในเวียงวังพญานาคตลอดไป จะออกมาไม่ได้”
   มีคนถามว่า “ทำไมถึงกลับออกมาไม่ได้ ครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “มันเป็นกฎลึกลับของเมืองบาดาลเป็นอย่างนั้น อย่างพระฤๅษีดาบสท่านมาจากแก่งลี่ผี ท่านก็ยับยั้งอยู่แค่เขตวัดมหาเจดีย์ทองคำ
นี้เอง ไม่เข้าไปในเขตเวียงวังของพญานาค ถ้าเข้าไปแล้วท่านว่าต้องอยู่เป็นสมภารเจ้าวัดในเมืองบาดาลตลอดไป กลับออกมาอีกไม่ได้ ดังนั้นพวก
พญานาคจึงออกจากเวียงวังชั้นในมาฟังธรรมเทศนาของท่านที่ข้างนอกแห่งนี้”
   มีคนถามต่อไปว่า “แล้วหลวงปู่ไปทีไหนอีก”
   หลวงปู่ตอบว่า “พระฤๅษีดาบสท่านบอกให้หลวงปู่กลับ ท่านว่าหลวงปู่มาสามวันแล้ว อย่าอยู่นานกว่านี้เลยไม่ดี อาจแพ้พิษของพวกพญานาคได้
เพราะในอาณาเขตใต้พิภพเมืองบาดาลนี้ พวกพญานาคคายพิษอันตรายไว้ทั่วไป อากาศเป็นพิษกับมนุษย์และสัตว์ทั่วไป หลวงปู่ได้รับคำเตือน
เช่นนั้นก็เลยกลับออกมา” .
   มีคนถามว่า “กลับออกมายังไงครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “กลับออกมาทางเก่า พอข้ามแม่น้ำที่หลวงปู่ทำเครื่องหมายกองหินไว้ก็พบพญางูใหญ่ตัวนั้นอีก แปลกแท้ ๆ เขามารออยู่แล้วคล้ายๆจะรู้ว่าหลวงปู่จะกลับมา”
   มีคนถามว่า “พญางูตัวนั้นนำทางอีกใช่ไหมครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “เออ...ขากลับนี้เขาเลื้อยนำหน้าพากลับทางลัด เป็นอุโมงค์มีขั้นบันไดหิน สูงชันมาก สองข้างอุโมงค์มีแสงสว่างคล้ายแก้วระยิบ
ระยับ แล้วก็มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล หลวงปู่รู้สึกว่ามาประมาณเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ในราวสักครึ่งชั่วโมงกระมัง”
   มีคนถามว่า “กลับมาถึงไหนครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “ก็กลับมาถึงถ้ำมืดนั่นแหละ หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปแน่นะครับ ”
   หลวงปู่ตอบว่า “จะฝันอะไร ก็หลวงปู่เดินไปด้วยขาของตนเอง หลวงปู่ได้ไปเห็นมาจริงๆ ก็เลยมาเล่าให้พระสงฆ์องค์เจ้าด้วยกันฟังรู้กันหมดแล้ว”
   อาจารย์คำดี
   หลวงปู่ท่านพูดต่อไปว่า “คืออย่างนี้ หลวงปู่ลืมเล่าให้ฟังตอนแรก ทีแรกนั้นตอนจะได้ไปถ้ำมืด เพื่อค้นหาถ้ำเมืองพญานาคใต้บาดาล ท่านอาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง พาพวกชาวบ้านจากจังหวัดศรีสะเกษมาไหว้หลวงปู่ มากันเต็มสองคันรถเลย  พวกอาจารย์คำดีอยากได้พระเครื่องของโบราณในถ้ำมืดไปบูชา แล้วก็มีพวกฆราวาสที่มาด้วย เป็นนักวิชาอาคมเก่งไสยศาสตร์ เขาอยากค้นหาเหล็กไหลในถ้ำมืดด้วย  ทีนี้ก็อยากจะให้หลวงปู่พาไปถ้ำมืด  ลำพังพวกพระพวกโยมที่มาจากศรีสะเกษกลัวจะแพ้ภัยตัวเองเป็นอันตราย เพราะข่าวเล่าลือว่าถ้ำมืดศักดิ์สิทธิ์ เฮี้ยนหลาย เป็นเมืองลับแลมีงูใหญ่ตัวเท่าต้นตาลให้คนเห็นอยู่บ่อย ๆ พวกเขาหวังพึ่งหลวงปู่ในเรื่องนี้ ว่าคงจะช่วยคุ้มครองให้เขาได้  หลวงปู่ไม่อยากขัดศรัทธาก็เลยไป เพราะได้ตั้งใจไว้อยู่แล้วเหมือนกัน อยากจะไปพิสูจน์ความจริงเรื่องถ้ำมืดนี้
   มีคนถามว่า “พวกที่ไปด้วย ทำไมไม่เข้าไปเที่ยวเมืองพญานาคกับหลวงปูละครับ”
   หลวงปู่ตอบว่า “เขากลัวกันหมด ไม่กล้าเข้าไปกับหลวงปู่น่ะซี พวกเขาทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำกัน อ้อนวอนขอพระเครื่องพระบูชาของโบราณ และขอเหล็กไหลด้วย”
   หลวงปู่ไม่ยุ่งด้วยกับพิธีของเขา หลวงปู่ใช้สมาธิอธิษฐานธรรมตรวจสอบ   ทีนี้พวกเขาเกิดกลัวกันขึ้นมาเพราะมีนิมิตอะไรบางอย่างในพิธีของเขา รู้สึกว่าเขาจะพบนิมิตเป็นงูใหญ่น่ากลัวมาก พอหลวงปู่จะเข้าถ้ำลึก พวกเขาไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ฉุดแขนพระอาจารย์คำดีจะให้มุดเข้ารูถ้ำไปด้วยกัน พระอาจารย์คำดีกลัวมาก ไม่ยอมเข้าท่าเดียว บอกว่าจะคอยอยู่ข้างนอกถ้ำมืด  เมื่อพวกเขากลัวกันไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ไล่ให้พระอาจารย์คำดีพาญาติโยมทั้งหมดหนีไปให้ห่างไกล อย่าอยู่ใกล้ถ้ำมืดเป็นอันขาด เพราะหากมีอะไรออกมาแปลก ๆ เช่น พญางูใหญ่ออกมา จะทำให้พวกเขาตกใจกลัว อาจพากันวิ่งหนีด้วยความเสียขวัญตกเหวตกหน้าผาตายกันหมด   พวกเข้าก็เชื่อ พากันรีบหนีออกจากถ้ำมืดไปคอยหลวงปู่อยู่ตั้งไกล สามวันให้หลัง เมื่อหลวงปู่กลับออกมาพวกเขาก็ยังคอยอยู่ตรงนั้น”
   มีคนถามว่า “หลวงปู่ไม่ได้อะไรออกมาฝากพวกพระอาจารย์คำดีบ้างหรือครับ อย่างเช่น พระเครื่องของโบราณ”
   หลวงปู่ตอบว่า “ไม่มี......หลวงปู่ไม่เห็นมีพระเครื่องที่เขาอยากได้กัน อีกอย่างไม่กล้าหยิบเอาอะไรออกมา เพราะได้บอกเจ้าถ้ำเจ้าเขาแล้วว่า ไม่ต้อง
การอะไร อยากจะเข้าไปดูชมเพื่อเป็นวาสนาบุญตาเท่านั้น”
   หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ปัจจุบัน ท่านได้มรณภาพไปแล้ว สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย เก็บรักษาไว้ในโลงแก้ว ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี ใครเดินทางไปท่องเที่ยวในละแวกนั้น ไปกราบนมัสการหลวงปู่ได้นะ

   หลวงปู่ชอบสอบถามบุรพกรรมของพญานาค

    
  ๐หลวงปู่ชอบถามถึงบุรพกรรมของกากะละนาคราชกับคู่บารมี มีวิมานอยู่ที่แม่น้ำโขงใต้ผาห่มพร้าว
   หลวงปู่ชอบถามว่า "กรรมอะไรที่ทำให้ท่านทั้งสองได้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา กรรมอะไรที่ทำให้ท่านทั้งสองได้มาปกปักรักษาสมบัติของ
พระศาสนาอยู่ที่นี่"
   กากะละนาคราชบอกหลวงปู่ว่า "ชาติที่ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นคนใจนักเลงใจร้อนมุทะลุ เมียข้าพเจ้าจึงชวนเข้าวัดปฏิบัติธรรมถือศีลอุโบสถในวันพระ บุญที่ข้าพเจ้ารักษาศีลห้าและศีลอุโบสถ ประกอบกับบุญที่ข้าพเจ้าอุปัฏฐากพระสงฆ์องค์เณร บุญกุศลนี้จึงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นเทวะภูมิพญานาคในชาติปัจจุบัน  

   ตอนเป็นมนุษย์ปฏิบัติอยู่ในวัดวาศาสนา ข้าพเจ้าเผลอพลาดกรรมเพียงครั้งเดียวในการปฏิบัติต่อสมบัติศาสนา ข้าพเจ้ากับเมียยืมจอบเสียมมีดพร้าของวัดเอาไปปลูกผักทำไร่ พอพืชผักออกผลข้าพเจ้ากับเมียก็นำมาทำอาหารถวายพระสงฆ์องค์เณรในวัด มีดพร้าจอบเสียมที่ยืมของสงฆ์ไปชำรุดแตกหักข้าพเจ้าก็ไม่ได้นำมาใช้คืนให้สงฆ์ ปล่อยทิ้งสมบัติของสงฆ์เหล่านี้ไปเพราะชะล่าใจคิดว่ากรรมเล็กน้อยจักไม่เป็นผลเพราะตนเองไม่มีเจตนายักยอกของสงฆ์    ก่อนตายจิตข้าพเจ้าไปติดยึดกับของสงฆ์ที่ตนเองเคยยืมไปใช้แล้วไม่ส่งคืน เพราะจิตติดยึดในของสงฆ์ที่ตนเองยืมไปใช้ไม่ส่งคืนจึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดเป็นพญานาคปกปักรักษาสมบัติพระศาสนา ถ้าจิตตนเองไม่ไปติดยึดเรื่องนี้ก่อนตาย ข้าพเจ้าจักได้เกิดเป็นเทพเทวดาในชั้นภูมิที่สูงกว่านี้   ส่วนคู่บารมีข้าพเจ้าเขาปรารถนาเกิดเป็นคู่บารมีกับข้าพเจ้าตลอดไป ความปรารถนาประกอบบุญของเขา จึงทำให้เขาได้มาเกิดเป็นพญานาคคู่บารมีของข้าพเจ้า"
   หลวงปู่ชอบถามว่า " ทำไมบ้านเมืองพญานาคจึงได้มีชื่อว่า “ เมืองบาดาล ”
   พญานาคเจ้าจอมผาห่มพร้าวบอกท่านว่า " เมืองบาดาล " คือชื่อที่มนุษย์เรียกกันขึ้นมาเอง พวกข้าพเจ้ามีทิพย์วิมานซ่อนเหลื่อมใกล้กับภูมิมนุษย์
   พญานาคบางหมู่บางเหล่าก็อยู่ในสวรรค์ บางหมู่บางเหล่าก็อยู่ภูเขา บางหมู่บางเหล่าก็อยู่ในน้ำ บางหมู่บางเหล่าก็อยู่ใต้พิภพใต้บาดาล พวกข้าพเจ้าจะเรียกชื่อเมืองตามชื่อของพญานาคผู้เป็นใหญ่"
   หลวงปู่ชอบถามว่า "โลกมนุษย์อาศัยแสงสว่างจากไฟฟ้า  จากแสงพระอาทิตย์  จากแสงเดือนและแสงของดวงดาว บ้านเมืองพวกท่านอาศัยแสงส
ว่างจากอะไรเป็นเครื่องดำรงอยู่"
   พญานาคผาห่มพร้าวบอกท่านว่า "แสงสว่างของพระอาทิตย์ แสงเดือนแสงดาวไม่สามารถส่องถึงนาคพิภพได้ ที่นาคพิภพไม่มีกลางวันกลางคืนเหมือนกับโลกมนุษย์ ที่เมืองนาคพิภพของพวกข้าพเจ้าจะมี " แก้วแสงทิพย์ " สว่างไสวอยู่สี่มุมเมือง แสงแก้วทิพย์นี้จะสว่างไสวอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันดับ แสงสว่างของแก้วแสงทิพย์เย็นใสไม่ร้อนเหมือนแสงพระอาทิตย์ แก้วทิพย์แสงเมืองนี้เกิดจากบุญฤทธิ์ของพวกข้าพเจ้า พญานาคทุกตนจะมีแก้วทิพย์ประจำตัว แก้วทิพย์บุญฤทธิ์จะเป็นแก้วสารพัดนึกที่พญานาคทุกตนใช้ในการนิรมิต"
   หลวงปู่ชอบถามว่า "พวกมนุษย์กินเนื้อสัตว์ กินพืชผักเป็นอาหาร พวกพญานาคเขาพากันกินอะไรเป็นอาหาร"
   เจ้าจอมผาห่มพร้าวตอบท่านว่า "พญานาคเป็นพวกกายทิพย์ไม่มีเวทนาหิวโหยเหมือนมนุษย์ ความเหนื่อยความหิวไม่มีในพญานาค พวกข้าพเจ้า 
อิ่มในบุญ " จึงไม่มีเวทนาหิวโหยเหมือนพวกกายหยาบอย่างมนุษย์และเดรัจฉาน"
   หลวงปู่ชอบถามว่า "พญานาคมีฤทธิ์เดชมากแค่ไหน"  
   เจ้าจอมผาห่มพร้าวบอกท่านว่า "พญานาคมีฤทธิ์มากเกินจะประมาณได้ ถ้าพวกข้าพเจ้าอยากจะทำร้ายผู้ใด เพียงแค่เพ่งฤทธิ์ใส่มนุษย์หรือสัตว์ผู้นั้น  มนุษย์และสัตว์ผู้นั้นก็จะแหลกเป็นจุลในทันที พวกพญานาคมีหิริโอตัปปะ อันเป็นธรรมะที่สูงกว่ามนุษย์ธรรมดา ถ้าไม่เคยมีกรรมอันหนักต่อกันแล้วพวก พญานาคจะไม่ทำร้ายมนุษย์และสัตว์ให้ถึงแก่ความฉิบหายของชีวิต พญานาคมีฤทธิ์จะจำแลงเป็นอะไรก็ได้ตามที่อยากจะเป็น แต่
สุดท้ายต้องกลับคืนสู่อัตภาพภูมิเดิมของตน"
   หลวงปู่ชอบถามว่า "เวลาพวกท่านอยู่บ้านเมืองของตน พวกพญานาคเขามีรูปร่างแบบใด"
   พญานาคเจ้าจอมผาห่มพร้าวบอกท่านว่า "พวกข้าพเจ้ามีรูปร่างเป็นมนุษย์เหมือนกับพระคุณเจ้านี้แหละ ไม่แตกต่างอะไรกับพวกท่านเลย"
   หลวงปู่ชอบถามว่า "รูปร่างของพญานาคเกิดขึ้นได้อย่างไร"
   กากะละนาคราชบอกท่านว่า "รูปร่างของพญานาคจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุหกประการ..
    ๑.เวลาแสดงตน
    ๒.เวลาเกิดโทสะ
    ๓.เวลาเดินทาง
    ๔.เวลาเผลอสติ
    ๕.เวลาแสดงฤทธิ์
    ๖.เวลาจิตเกิดปฏิพัทธ์ในกาม
   หลวงปู่ชอบถามว่า "พญานาคขึ้นมาโลกมนุษย์เพราะเหตุอะไร"
   กากะละนาคราชบอกท่านว่า "พญานาคขึ้นมาโลกมนุษย์ด้วยเหตุหลักสี่ประการคือ
   ๑.มาเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องหมายของพระศาสนา เช่น พระพุทธรูป สถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารริกธาตุของพระพุทธเจ้า ของ
พระอรหันต์สาวก
   ๒.มาเพื่อกราบไหว้ฟังธรรมกับท่านผู้ทรงธรรม
   ๓.มาเพื่อบำเพ็ญบุญบารมีให้กับตนเอง
   ๔.มาเพื่อเที่ยวชมโลกมนุษย์ แต่มาเที่ยวโลกมนุษย์จะไม่ขึ้นมาบ่อย เพราะโลกมนุษย์วุ่นวายเต็มไปด้วยกิเลส บ้านเมืองพวกข้าพเจ้าสงบร่มเย็นกว่า
โลกมนุษย์..
   หลวงปู่ชอบถามว่า "พวกมนุษย์มีการทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่าทำร้ายกัน พวกพญานาคเป็นแบบนี้เหมือนกับพวกมนุษย์หรือไม่"
   พญานาคตอบท่านว่า "พวกพญานาคก็มีการวิวาทกันเหมือนกับมนุษย์ พอวิวาทกันพญานาคราชผู้เป็นเจ้าครองเมืองจะเป็นผู้พิพากษาเรื่องให้
การเข่นฆ่ากันในสังคมของพญานาคจะไม่มี เพราะพญานาคมี " เทวะธรรม " ครองใจอยู่"
  กากะละนาคราช เจ้าจอมพญานาคผาห่มพร้าวได้ตอบในทุกแง่ที่ท่านอยากรู้ กากะละนาคราชตอบทุกเรื่องที่องค์ท่านถาม พอถึง
กาลสมควรกากะละนาคราชและคู่บารมีพากันลาองค์ท่านกลับไปยังบ้านเมืองของพวกเขา
   หลวงปู่ชอบเล่าว่า เวลาพญานาคทั้งสองกลับ เขาจะกลายร่างเป็นพญานาคจมลงไปในแม่น้ำโขงหน้าถ้ำผาห่มพร้าว เขาไม่ได้เอาหัวมุดลงไปในน้ำ
เหมือนพฤติกรรมแบบงูทั่วไป ท่านว่ากิริยาแบบนี้เป็นกิริยาในการไปการมาที่เป็นลักษณะเฉพาะของพวกพญานาคทั้งสี่ตระกูล"
   พญานาคจะมีพฤติกรรมแตกต่างจากงูทั่วไปคือ เวลาพญานาคเดินทางเขาจะลอยตัวไปในอากาศลักษณะพุ่งไปข้างหน้าเหมือนลูกธนูพุ่งออก
จากเกาฑัณคันศร หรือลอยไปในลักษณะเหมือนคลื่นน้ำ ต่างจากพวกงู พวกงูเวลาไปจะเลื้อยวกวนออกซ้ายออกขวา..
   พญานาคจะไม่เอาหัวของตนเองแตะพื้นดินเหมือนกับงู พญานาคเวลาพักจะขดเป็นชั้นวงเอาหัวพาดวางไว้ที่ลำตัว
เรื่องนี้องค์ท่านเคยถาม “ เทพนาคา ” พญานาคผู้พิทักษ์รักษา " พระพุทธบาทสี่รอย " เมืองเชียงใหม่ เพราะอะไรพญานาคจึงต้องแสดงกิริยาที่
แตกต่างจากงู
   เทพนาคาบอกองค์ท่านว่า พญานาคเป็นเทพ มีศักดิ์เหนือกว่าพวกงูที่เป็นเดรัจฉาน พญานาคจึงแสดงศักดินาทิฐิตนเองแบบนี้
ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม  วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
  พญานาคที่พระพุทธเจ้าได้ทรงฝึกฝนแล้ว
   ๑.นันโทปนันทนาคราช

   ๒.อปลาลนาคราช
   ๓.จุโฬทรนาคราช
   ๔.มโหทรนาคราช
   ๕.อัคคิสิขะนาคราช
   ๖.ธูมสิขะนาคราช
   ๗.อาละวาฬะนาคราช
   ๘.กาฬะนาคราช     

   ๐นาคพิภพเป็นภพที่เป็นที่อยู่ใกล้กับมนุษย์มากที่สุด มีลักษณะเป็นงูต่าง ๆ

         ภูมเทวดาหรือภูมิเทวดา

    

   ๐ภูมเทวดา  คือเทวดาที่อาศัยอยู่ในพื้นดินและบ้านเรือน เช่น เจ้าบ้านเจ้าเรือน  เจ้าที่เจ้าทาง   เทวดานั้น นับได้ว่าเป็นภพภูมิที่เป็นทิพย์และเป็นสุข มีรูปร่างกายที่สวยงามและเป็นทิพย์ตอนเด็กๆ เราย่อมชอบและฝันจะเป็นเทวดากันทั้งสิ้นเพราะมีฤทธิ์มากมาย อยากได้อะไรก็เสกเอา อยากไปไหนก็หายตัวไปความจริงแล้วเทวดาไม่ได้มีฤทธิ์กันทุกองค์ ท่านก็เหมือนมนุษย์เราที่ยังเสพกามอยู่ เพียงแต่มีความสุขกว่า เพราะ
   ๑.เทวดาไม่แก่เลย เทวดาชายจะมีอายุราว ๒๐ ปี  ตลอดอายุขัย เทวดาหญิงจะเป็นสาวอายุราว ๑๖ ตลอดอายุขัย
   ๒.เทวดาจะไม่เจ็บป่วยเหมือนมนุษย์ ยิ่งอายุมาก ยิ่งผิวพรรณสวยงามยิ่งขึ้น
   ๓.กายทิพย์ของเทวดาบริสทธิ์ไร้มลทิน
   ๔.เทวดาไม่เคยหิว แต่ก็ต้องกินอาหารทิพย์เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ คือ เป็นทิพย์อยู่เช่นนั้น อาหารทิพย์ไม่มีกากจึงไม่ต้องขับถ่ายออกมา
   ๕.เทวดาไม่ต้องลำบากในการทำงาน เพราะอยากได้อะไรก็เนรมิตบริวารทำให้ ตลอดเวลา
   ๖.เทวดามีเสื้อผ้าทิพย์ที่สวยงาม พอดีตัวเสมอ มีทิพย์สมบัติมากมายใช้ไม่หมด แม้จะพร่องไปบ้างก็จะผุดขึ้นมาใหม่ตามบุญที่ทำไว้
   ๗.กิจกรรมหลักของเทวดาคือ เสวยสุข เพลิดเพลินเจริญใจในสิ่งที่ชอบ เที่ยวชม ธรรมชาติ กินเลี้ยงสังสรรค์ เล่นดนตรี ดูการละเล่น
   เทวดาก็มีอายุขัยและหมดอายุขัยได้เพราะ
   ๑.หมดอายุขัย เพราะอยู่นานครบอายุของสวรรค์ชั้นนั้น
   ๒.หมดบุญ สิ้นบุญก่อน เพราะมีบาปมาตัดรอน
   ๓.ลืมกินอาหาร คือหากลืมกินอาหารทิพย์ก็จะตายทันที ทำให้เทวดาต้องมีสติเสมอ
   ๔.โกรธ หากเผลอโกรธแล้วหัวใจจะลุกเป็นไฟ เผาไหม้ตนเองจนตายทันที
   เทวดาใกล้จะหมดอายุขัยจะมีสัญญาณบอกดังนี้
     ๑.เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเองเหี่ยวเฉาและไม่มีกลิ่นหอมอีก
     ๒.อาภรณ์หม่นหมองลง
     ๓.ไม่มีความสุขเหมือนเดิม เริ่มมีเหงื่อไคล
     ๔.ที่นั่งร้อนและแข็งกระด้าง
     ๕.ผิวพรรณเหี่ยวแห้งลง ไม่มีรัศมี
   สวรรค์ที่มีเทวดาอยู่มากที่สุดคือ สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ปกครองโดยท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔  คือ:-
     ๑.ท้าวธะตะระฐะมหาราช ปกครอง อมนุษย์  คือ:-

       ๑.๑คนธรรพ์   คือเทวดาที่ชำนาญในการขับร้อง

       ๑.๒วิทยาธร   คือเทวดาที่มีความรุ้มาก มีคาถาอาคม

       ๑.๓กุมภัณฑ์   คือยักษ์ท้องโต พุงใหญ่ ทำหน้าที่ลงไปทรมานสัตว์ในเมืองนรก

       ๑.๔กินนร กินรี   คือเป็นสัตว์กึ่งเทวดา
    ๒. ท้าววิรุฬหะกะมหาราช ปกครองครุฑ ครุฑคือเทวดาพวกหนึ่งที่มีกายเป็นมนุษย์มีหัวเป็นนกยักษ์
    ๓ ท้าววิฬูปักขะมหาราช ปกครองพวกนาค เป็นงูที่มีจิตใจใฝ่ธรรม มีฤทธิ์มากที่สุดในบรรดาเทวดา แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้
   ๔.ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร ปกครองยักษ์   คือเทวดาที่ดูโหดเหี้ยม ขึงขัง ร่างกายแข็งแรง มือเท้าใหญ่ คอยทำหน้าที่ทรมานสัตว์นรก คล้ายๆ กุมภัณฑ์
   เทวดาในชั้นนี้ ทำบุญมากกว่าบาป โดยมากทำบุญแล้วผลแห่งบุญ ขอให้สวย ขอให้รวย และทำบุญไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ยังทำบุญมากกว่าบาป
     กรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา
   ๑.รักษาศีล ๕ หรือ ศีล ๘ บริบูรณ์
   ๒.มีความละอายในการทำบาปมาก
   ๓.มีความกตัญญูไม่ดูหมิ่นผู้อาวุโส
   ๔.ทำบุญบ่อย โดยเจตนาแห่งบุญจะนำไปเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ กัน
   ๕.ทำบุญแล้วชักชวนคนอื่นให้ทำบุญด้วย
   ก่อนตายไปเป็นเทวดา เมื่อจิตจะดับจะรู้สึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยทำไว้อันเป็นกุศล วัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ของบุญทานที่เคยทำ เห็นวิมาน ราชรถ สวรรคสมบัติ
   รู้สึกปีติเบิกบานในธรรม ตั้งมั่นในกุศล  อาการเหล่านี้ผุดขึ้นเอง บังคับให้เกิดไม่ได้ ต้องทำบุญสั่งสมมาเท่านั้นจึงมีได้
   อนึ่งในหมู่มนุษย์ก็ย่อมมี มนุสเทโว หรือ คนใจเทวดาอยู่ในโลกมนุษย์ คนๆ นั้นนอกจากรัษาศีล ๕ แล้ว ยังชอบทำบุญให้ทาน ชวนคนอื่นทำความดี ไม่ยอมทำชั่วแม้เพียงเล็กน้อยเพราะกลัวบาป
   เทวดานั้นมนุษย์เราก็เป็นได้ทุกคน ไม่ต้องรอให้ตายจากภพนี้ก็เข้าถึงความเป็นเทวดาได้  ส่วนสุขในสมบัติทั้งหลายนั้นจะตามมาเอง หากถือธรรมของเทวดาเป็นข้อปฏิบัติ

           ภูมิเทวดา
   เทวดาอยู่ใกล้ ๆ บ้านเราก็มีเยอะ เดินกันออกเกลื่อน เท้าไม่ถึงดิน หน้าตาสวย ๆ แต่งตัวเรียบร้อย ผิวละเอียด สวยกว่าคนมาก จะว่าเดินอยู่สูงบนอากาศก็ไม่ใช่ เทวดาประเภทนี้ เขาเรียกว่า ภุมเทวดา
   ภุมเทวดาหรือภูมิเทวดา ภาษาบาลีอ่านว่า ภู-มิ แล้วก็เทวดา ภูมิ แปลว่า แผ่นดิน เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ แปลรวมกันก็ได้ความว่า "ผู้ที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดิน"  มีเดินกันเกลื่อนไปหมด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสุภาพสวยงาม ลีลาเดินก็สวย มีข้อสังเกตสำคัญ ก็คือ ตั้งแต่ปลายมือลงไปถึงปลายนิ้วปรากฏมีสีแดง แต่ละองค์ก็แดงไม่เสมอกัน องค์ที่มีสีแดงเข้มกว่า ก็มีฤทธิ์ มากกว่าองค์ที่มีสีแดงจางกว่า เรียกว่า ฤทธิ์ของแต่ละองค์จะอยู่ที่มือนั่นเอง
   ภุมิเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่เหมือนกัน แต่วิมานอยู่ใกล้ ๆ แผ่นดิน เรียกว่าตั้งอยู่เฉียด ๆ แผ่นดิน สูงกว่าแผ่นดินประมาณสักคืบหรือศอก ไม่ได้ตั้งอยู่ในดิน คือไม่ได้ปักเสานี่เป็นวิมานของเทวดาประเภทนี้
   เทวดาประเภทนี้ทำบุญอะไรไว้?
   เรื่องนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เอาไว้ หรือ อาจจะเคยอ่านพบแล้วแต่จำไม่ได้ก็ไม่ทราบ ก็เลยลองถามเทวดาองค์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ท่านแต่งกายด้วยเครื่อง ขาวทั้งชุดหน้าตาอิ่มเอิบท่านยิ้มระรื่นเตรียมพร้อมที่จะตอบคำถาม
   ท่านบอกว่าท่านเคยเกิดเป็นคน เป็นเพื่อนหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้วย ตอนนั้นชื่อ ขุนสมาหารราชวัตร เกษียณราชการแล้ว เคยปลูกบ้านอยู่อำเภอธัญญบุรี จังหวัดปทุมธานี มีภริยาชื่อคุณสมถวิล ท่านเล่าว่าเคยมีเพื่อนตายไปแล้วมาเข้าฝันบอกชวนว่า "ให้มาเป็นภุมิเทวดา มีความสุขมาก ท่านก็เลยตั้งใจมา  ปกติท่านก็รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตั้งใจให้ศีลบริสุทธิ์ เวลากลับไปบ้านก็รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์แล้วก็ตั้งใจว่าตายแล้วก็จะมาเป็นภุมิเทวดา
   ความจริงคนที่รักษาศีลห้าบริสุทธิ์นี่ จะเป็นอากาศเทวดาก็ได้แบบสบาย ๆ แต่คนที่มีคุณสมบัติเป็นเทวดาชั้นสูงกว่า แต่ต้องการเป็นเทวดาชั้นต่ำกว่านี่เขาไม่ห้ามสุดแล้วแต่ใจแต่คนที่มีบุญบารมีเป็นเทวดาชั้นต่ำ แล้วอยากเป็นชั้นสูง เป็นไม่ได้  เขาห้าม
   หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็บอกท่านภุมิเทวดาองค์นั้นว่า ความจริง บุญประเภทที่ท่านทำไว้แล้วนั้น ท่านจะสามารถไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงค์ได้แบบสบาย ๆแล้วถามว่า โยมจะไปไหม  ท่านก็ตอบว่า ไป แต่บอกว่าต้องรอให้หมดอายุในสวรรค์ชั้นนี้เสียก่อน
   หลวงพ่อจึงถามท่านว่า "ชั้นนี้มีอายุเท่าไร"
   ท่านบอกว่า "ชั้นนี้เขาเรียกว่า อยู่ในเขตของชั้น จาตุมหาราช จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ดี มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์  เท่ากับ ๙ ล้านปีในเมืองมนุษย์
ถ้าเปรียบกับมนุษย์ ก็ ๕๐ ปีมนุษย์ เท่ากับวันหนึ่งคืนหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
๕๐๐ ปีทิพย์ แล้ว ก็สามารถไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงค์ได้ เพราะหมดระยะเวลาที่จะอยู่ในที่นี้แล้ว
   สำหรับภุมเทวดานี่ เรายกศาลบูชาท่านเพื่ออะไร?  จะไม่ยกศาลได้ไหม?
   หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า จะเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตาม เราควรบูชา เพราะอะไร?  เพราะว่าท่านที่จะเป็นเทวดาได้ ก็ต้องมีคุณธรรมวิเศษ ๒ ประการ คือ:-
    ๑.หิริ ได้แก่ความละอายต่อความชั่ว 
    ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลังผลของความชั่วจะมาถูกต้องตน จะให้ผลเป็นความทุกข์
   ไม่ว่าจะเป็นเทวดาชั้นสูงหรือชั้นต่ำก็ตาม ต้องเป็นคนอายบาป แล้วก็กลัวบาป อายชั่ว กลัวชั่ว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จึงเห็นว่า การยกศาลบูชาภุมิเทวดา เป็นการสมควร และไม่ขัดพระรัตนตรัย ไม่ขาดจากไตรสรณาคมน์
   พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สาวกของท่านมีความเคารพในเทวดา ตัวอย่างในอนุสติ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอน ให้เจริญเทวดานุสติกรรมฐาน คือ การนึกถึงความดีของเทวดา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ บอกว่า ขอสนับสนุนว่าการยกศาลพระภูมินั้นดีจริง ๆ  แต่เมื่อท่านยกแล้ว ท่านต้องทำให้ถูกให้ดีด้วยนะ มันถึงจะได้ดี เมื่อยกศาลพระภูมิแล้ว ควรบูชาทุกวัน ถ้าจะมีกล้วย อ้อย น้ำท่าบ้างก็ตามอัธยาศัย ขนมนมเนยอะไรก็ตาม ให้เป็นไปตาม
อัธยาศัยของท่าน
   การบูชาเทวดาจุดธูปกี่ดอก จุดเทียนกี่เล่ม พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไว้ เขามาโมเมกันในตอนหลัง นี่มันเรื่องของการคิดขึ้นที่หลัง จะจุดกี่ดอกก็ตามใจท่าน คำว่าบูชา แปลว่านับถือ จึงอย่าบูชาเพื่อเอาเทวดามารับใช้ อย่าเอาเทวดามาบอกหวย แบบนี้ไม่ถูก เทวดาไม่ใช่คนใช้  ความจริงเทวดาไม่ได้มาอยู่ที่ศาลของเรา เทวดามีวิมานของท่านเอง ถ้าท่านจะบูชาเทวดาแบบปฏิบัติบูชาก็ดีมาก คือท่านต้อง ๑ อายต่อความชั่ว และ ๒ เกรงกลังผลของความชั่ว แต่ถ้าท่านเอาน้ำและอาหารไปไหว้ ก็เรียกว่าเป็น อามิสบูชา แต่ถ้าท่านทำการบูชา เสร็จแล้วท่านไปทำความชั่ว ละก็การบูชาอย่างนี้จะไม่มีผล
     พระอาจารย์ทูล! เล่าถึงอดีตชาติสมัยเกิดเป็นรุกขเทวดา และบอกว่าทำไม เทวดาชั้นต่ำมีโอกาสสร้างบารมีมากกว่าเทวดาฃั้นสูงให้หลวงปู่ขาวฟัง การไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูง โอกาสที่จะได้สร้างบารมีนั้นยากมาก วันคืนผ่านไปๆ ไม่ได้นึกถึงบุญกุศลอย่างใด มีแต่เสพสุขในกามคุณที่เป็นทิพย์เท่านั้น มนุษย์เขาทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาอย่างไรก็ไม่เคยรู้เรื่อง ถึงเมืองมนุษย์จะร้องกล่าวบทชุมนุมเทวดาให้มาร่วมบุญกุศล เทวดาขั้นสูงเขาก็ไม่ได้มาร่วมงานด้วย ที่มานั้นเป็นเทวดาชั้นต่ำๆ ที่เรียกว่า รุกขเทวดาและภุมเทวดา นั่นเอง หลวงปู่(หลวงปู่ขาว อนาลโย) พูดว่า ไหนลองเล่ามาให้ฟังซิว่าเขามากันอย่างไร จึงได้เล่าต่อไปว่า
   ในสมัยหนึ่งกระผมเป็นหัวหน้าอุบาสกอุบาสิกาอยู่ในเมืองมนุษย์ ได้พาคณะศรัทธาทั้งหลายไปบำเพ็ญกุศลตามวัดต่างๆ และทำประโยชน์ในสาธารณกุศลทั่วไป มีวัดหนึ่งเป็นถ้ำใหญ่ มีพระเป็นจำนวนมาก กระผมได้พาหมู่คณะไปบำเพ็ญกุศลในวัดนี้เป็นประจำ และทำไปจนตราบเท่าอายุขัย เมื่อกระผมตายไป จึงได้ไปเกิดเป็นรุกขเทพบุตร ได้ไปอาศัยตันรังใหญ่ต้นหนึ่งในป่าใหญ่แห่งนั้น กระผมสามารถเนรมิตให้ต้นรังใหญ่กลายเป็นปราสาทได้อย่างสวยงาม และได้เป็นใหญ่ในหมู่รุกขเทวดาทั้งหลาย ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันพระ ๘ ค่ำ วันพระ ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ  กระผมจะพาหมู่เทวดาทั้งหลายไปบำเพ็ญกุศลตามวัดต่างๆ โดยจะออกเดินทางในช่วงตี ๓-๕ ก่อนที่มนุษย์เขาจะไปถึง สำหรับพาหนะที่ใช้เดินทางนั้นไม่เหมือนกัน บางกลุ่มเขาก็เนรมิตเป็นปราสาทนั่งอยู่ในนั้น แล้วพากันลอยไปเป็นกลุ่มๆ ดูแล้วสวยงามมาก ระดับความสูงที่ลอยไปนั้น สูงกว่าปลายไม้ไปไม่กี่เมตร บางกลุ่มก็แยกไปที่ต่างๆ ตามต้องการ แต่ใครจะไปที่ไหนต้องมารายงานตัวต่อกระผมทุกครั้งไป
  อีกงานหนึ่งเรียกว่างานรับเชิญ นั่นคืองานบุญกุศล พวกเทพเหล่านี้จะได้ไปในงานนี้บ่อยครั้งทีเดียว เพราะมนุษย์เวลาทำบุญได้อัญเชิญเทวดา คำอัญเชิญเทวดานั้น มีความหมายแปลว่าอย่างไรก็ให้ไปถามท่านนักปราชญ์เอาเอง และมีเทวดาอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า เคหเทวดา คือ เทวดาที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนของมนุษย์ เทวดากลุ่มนี้ไม่ต้องเชิญเขาก็รู้หน้าที่กันเอง เพราะเขาถือว่าเป็นเจ้าของบ้านดูแลรักษาบ้านนั้นอยู่ เมื่อเจ้าของบ้านจะ
ทำบุญเขาก็ส่งข่าวให้รุกขเทวดาให้มาร่วมบุญนี้เหมือนกัน บ้านที่เทวดากลุ่มนี้อยู่เจ้าของบ้านต้องมีคุณธรรม มีการบำเพ็ญกุศลอยู่เสมอ เช่น เทวดาที่อาศัยบ้านของโยมแม่ของพระโสณกุฏิกัณณะที่ร้องทำนองสรภัญญะให้พระพุทธเจ้าฟัง เมื่อร้องจบพระพุทธเจ้าก็อนุโมทนาสาธุ เทวดาของโยมแม่ของพระโสณะ ก็ได้สาธุด้วยเช่นกัน ฉะนั้น รุกขเทวดา ภุมเทวดา หรือเคหเทวดา จึงได้เปรียบกว่าหมู่เทวดาชั้นสูง เพราะได้บำเพ็ญบารมีกับ
หมู่มนุษย์เป็นประจำ
    เมื่อเล่าเรื่องเทวดาทั้งหมดให้หลวงปู่(หลวงปู่ขาว อนาลโย)ฟัง หลวงปู่ก็ยอมรับว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แล้วหลวงปู่ก็ได้อธิบายต่อไปว่า การเป็นเทวดาอยู่ในระดับต่ำนี้มีกำไร เพราะได้บำเพ็ญบุญกุศลร่วมกันกับหมู่มนุษย์มิได้ขาด ได้อนุโมทนาส่วนบุญที่มนุษย์ได้ทำแล้ว การไปอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงๆ นั้นก็เหมือนอย่างที่ท่านว่านั้นแหละ ถึงจะไปอยู่ก็อยู่ได้ไม่ตลอด เมื่อบุญกุศลหมดเมื่อไรก็ต้องลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก เพราะการทำบุญกุศลนั้นต้องกระทำอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก็ต้องมา สร้างบารมีอยู่ที่เมืองมนุษย์นี้ทั้งนั้น
   ฉะนั้น เมืองมนุษย์นี้จึงเป็นสถานที่สร้างบารมี ถ้าผู้มีความประมาทลืมตัว ก็เอาเมืองมนุษย์นี้เป็นสถานที่ทำบาปอีก น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ส่วนใหญ่จะทำเพื่อเสียประโยชน์ให้ตัวเองทั้งนั้น คำว่าเสียประโยชน์นั้น คือเราทำในสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง เมื่อทำไปแล้วผลที่ไม่ดีก็ต้องได้รับเอง
   • พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปัญโญ
  วัดป่าบ้านค้อ ตำบนเขือน้ำ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

       อนาถบิณฑิกะเศรษฐีไล่เทวดาออกจากซุ้มประตู
  ขณะนั้นเทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้ เมื่อเห็นเศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฎกายต่อหน้าท่านเศรษฐีกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุญเสียเถิด แล้วทรัพย์
สินเงินทองก็จะเพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม
   เศรษฐีจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร ?”
   เทวดากล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน”
   เศรษฐีพูดว่า “ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจงออกไปจากซุ่มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้
ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด”
  เทวดาตกใจไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ่มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็นเทวดาไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้ช่วยเหลือ เมื่อไม่มีเทวดาตนไหนช่วยเหลือได้ จึงเข้าขอความช่วยเหลือจากท้าวสักกเทวราชๆ ก็เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า “ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน ๘๐ โกฏิ ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่งพังจมหายไปในสายน้ำ ท่านจงไปนำทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และอนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้”

   เทวดาก็ไปทำตามคำแนะนำนั้น ก็ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วก็ได้อยู่ ณ ที่ซุ้มประตูเหมือนเดิมอีกต่อไป

                 รุกขเทวดา

  

        ที่อยู่อาศัยของรุกขเทวดา ๑๐ ตำแหน่ง
   ต้นไม้อันเป็นสถานที่ๆสิงสู่อยู่อาศัยของรุกขเทวดา อันหมายถึงกลุ่มเทวดาผู้อาศัยตามต้มไม้ เรียกว่า ภูตคาม ซึ่งมีความหมายว่า "บ้านของภูต" 

   คาม แปลว่า "บ้าน หรือ หมู่บ้าน"    ภูตะ  แปลว่า "เทวดา ภูต  ผี  ปีศาจ"  ภูตคาม  จึงแปลว่า "บ่านของเทวดา"    ภูตคาม มี ๕  ชนิด คือ:-
   ๑.ไม้อันเกิดจากเหง้า(ราก)
   ๒.ไม้อันเกิดจากลำต้น
   ๓.ไม้อันเกิดจากข้อ เช่น อ้อย ไผ่ รวมถึงต้นไม้ เถาวัลย์และหญ้าบางชนิดที่มีรากงอก ออกตามข้อกิ่งก้านสามารถเติบโตเป็นต้นใหม่ได้
   ๔.ไม้อันเกิดจากยอด
   ๕.ไม้อันเกิดจากเมล็ด
   จากมูลคันธทานูปการสูตร สารคันธาทิทานูปการสูตร และ คันธัพพกายสังยุต สุทธกสูตร ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวผนวกรวมทั้ง ๓ สูตร รวมเป็น ๑๐ จุด ดังนี้
   ๑.ไม้อันมีกลิ่นที่ราก
   ๒.ไม้อันมีกลิ่นที่แก่น
   ๓.ไม้อันมีกลิ่นที่กระพี้
   ๔.ไม้อันมีกลิ่นที่เปลือก
   ๕.ไม้อันมีกลิ่นที่กะเทาะ(สะเก็ด)
   ๖.ไม้อันมีกลิ่นที่ใบ
   ๗.ไม้อันมีกลิ่นที่ดอก
   ๘.ไม้อันมีกลิ่นที่ผล
   ๙.ไม้อันมีกลิ่นที่รส(ยาง)
   ๑๐.ไม้อันมีกลิ่นที่กลิ่น
  และข้อมูลจาก ภูเขาคันธมาทน์ในป่าหิมพานต์จากหนังสือไตรภูมิ ได้สรุปรวมข้อมูลไม้หอม ๑๐ อย่าง ไว้ดังนี้
   ๑.มูลคันโธ ราก(เหง้า)หอม
   ๒.สารคันโธ แก่นหอม
   ๓.เผคคุคันโธ กระพี้หอม
   ๔.ตจคันโธ เปลือกหอม
   ๕.ปปฏิกาคันโธ สะเก็ดหอม
   ๖.รสคันโธ ยางหอม
   ๗.ปัตตคันโธ ใบหอม
   ๘.ปุปผคันโธ ดอกหอม
   ๙.ผลคันโธ ผลหอม
   ๑๐.สัพพคันโธ สรรพหอม(น่าจะหมายถึงต้นไม้ที่มีกลิ่นทั้ง๙ส่วนอยู่ในต้นเดียว)
ในต้นไม้ ๑๐  จุดหลักเหล่านี้วิมานของรุกขเทวดาสามารถสถิตย์อยู่ได้นั้น ในไตรภูมิพระร่วงได้กำหนดไว้  จุดด้วยกัน  ๓  คือ:-
   ๑.อยู่บนยอดไม้
   ๒.อยู่ตามกิ่งคาคบไม้
   ๓.อยู่ตามราก
   ทั้ง ๓ จุดนี้ หากจุดใดซึ่งมีวิมานตั้งอยู่เกิดผุพังโค่นหักไปนั้น วิมานซึ่งตั้งซ้อนทับอยู่กับไม้จุดนั้นก็จะพังตามไปด้วยเช่นกัน
   อนึ่ง รุกขเทวดา คือ กลุ่มของทิพยกายซึ่งอยู่อาศัยในต้นไม้ ซึ่งทิพยกายเหล่านี้ โดยมาก คือ กลุ่มของชาวจาตุมหาราชิกาทั้ง ๔ ประเภท ไม่จำเพาะเจาะจงว่า ต้องเป็นแค่พวกคนธรรพ์เท่านั้น แม้แต่พวกยักษ์ หรึอเปรตบางจำพวกก็อาศัยตามต้นไม้ได้ด้วยเช่นกัน
*จากสูตรเหล่านี้ทำให้ทราบได้ว่า ไมยราพ จากรามเกียรติ์ เป็น รุกขเทวดา! เพราะเมืองบาดาลของไมยราพ อยู่ในมิติซ้อนของเหง้า(ราก)บัว!!!(แบบ
เทวดาที่ซ้อนบนปลายเข็ม)
  ถามว่า "ต้นไม้ใหญ่ทุกๆ ต้นมีiรุกขเทวดาสิงอยู่จริงหรือไม่?"
  ตอบว่า "มีอยู่จริง  ในสมัยพุทธกาลตอนที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ มีภิกษุชาวเมืองอาฬวีรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระที่เพิ่งบวชใหม่  พระรูปนั้นเห็นภิกษุรูปอื่น
มีกุฏิอย่างดีเป็นของตนเอง ก็คิดอยากจะมีกับเขาบ้าง จะได้ใช้เป็นที่พักอาศัยกันแดดกันฝนได้
    ในสมัยพุทธกาล   วันหนึ่ง มีพระภิกษุรูปหนึ่งตัดสินใจแบกขวานเข้าไปในป่าเพื่อทำการตัดต้นไม้สำหรับนำมาสร้างกุฏิของตนเอง เมื่อพบเจอต้นไม้ใหญ่ที่
ถูกใจแล้ว ก็ลงมือฟันทันที โดยไม่รู้ว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น คือ “วิมาน” ของ “รุกขเทวดา” ครอบครัวหนึ่ง(รุกขเทวดา คือ เทวดาชั้นต่ำชนิดหนึ่ง ที่ใช้
ต้นไม้เป็นวิมานหรือที่พักอาศัย  รุกข=ต้นไม้  เทวดา=เทพหรือเทวดา)
        ฝ่ายรุกขเทวดาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อเห็นพระภิกษุรูปนั้นกำลังลงมือใช้ขวานฟันต้นไม้อยู่อย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนั้น ก็รีบลงมาห้ามปรามเสียยกใหญ่  อ้อนวอนอย่างไรพระภิกษุรูปนั้นก็มองไม่เห็นและไม่ได้ยินเลย เนื่องจากเป็นพระบวชใหม่ที่ยังไม่มีญาณวิเศษใดๆ  หนักๆ เข้ารุกขเทวดาผู้หญิงและลูกๆ ก็ต้องเข้ามาช่วยอ้อนวอนและร้องห้ามปรามด้วย  เนื่องจากต้นไม้ต้นนี้เป็นวิมานแห่งสุดท้ายของ ครอบครัวตน หากต้น
ไม้ต้นนี้ถูกโค่นลงไปก็เท่ากับว่าวิมานของตนถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ และทำให้พวกตนไม่มีวิมานสำหรับอยู่อาศัย  บางช่วงรุกขเทวดาก็ยกไม้ยกมือห้ามปรามและก้มกราบอ้อนวอน  แต่พระภิกษุรูปนั้นก็มองไม่เห็น กลับเงื้อขวานฟันสุดแรงเกิด จนทำให้รุกขเทวดาต้องแขนขาดและบาดเจ็บเลือดสาดไปตามๆ กัน
    เมื่อเห็นว่าขอร้องหรืออ้อนวอนดีๆ ไม่ได้  รุกขเทวดาครอบครัวนั้น ก็เลยพากันด่าทอและสาปแช่งพระภิกษุรูปนั้นด้วยความโกรธแค้นอย่างมากมาย
ไม่นานนักต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็ล้มลง ปล่อยให้รุกขเทวดาทั้งหมดพากันร้องห่มร้องไห้ด้วยความเศร้าและเสียใจอย่างสุดซึ้ง ในขณะที่พระภิกษุรูปนั้น
กลับรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องที่ตนเองสามารถโค่นไม้ใหญ่ต้นนั้นลงได้
    เมื่อเห็นว่าตนเองไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆ รุกขเทวดาครอบครัวนั้น ก็เลยพากันหอบลูกจูงหลานเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อร้องเรียน ขอความเป็นธรรมจากพระพุทธองค์
     เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้แล้ว ก็ได้รับสั่งให้พระภิกษุรูปนั้นมาเข้าเฝ้า พร้อมทั้งสอบถามเรื่องราวต่างๆ และได้ตำหนิพระภิกษุรูป
นั้นว่าเป็น “โมฆบุรุษ”(คนไร้สาระ) พร้อมทั้งทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นมา โดยทรงบัญญัติไว้ว่า หากภิกษุรูปใดทำลายภูตคาม(ภูตะ=ภูต,ผี  คามะ = บ้าน) หรือตัดต้นไม้ ภิกษุรูปนั้นจะต้องอาบัติ “ปาจิตตีย์”
      คราวนั้น ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของรุกขเทวดาครอบครัวนั้นด้วย ก็เลยเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อมาเนรมิตวิมานแห่งใหม่ให้รุกขเทวดาครอบครัวนั้นได้ใช้เป็นที่พักอาศัยต่อไป

      ข้อมูลของรุกขเทวดาที่ควรศึกษา
   เราก็จะยังอยู่ในดินแดนของมนุษย์เพื่อรู้จักกับเทวดาอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า "รุกขเทวดา" ท่านเทวดานี้มีบุญมากกว่าภุมเทวดาหน่อยหนึ่ง ท่านมีวิมานอยู่ที่ต้นไม้ก็จริง แต่ไม่ได้อาศัยอยู่ในต้นไม้  ท่านมีวิมานพะเข้าไว้กับต้นไม้ คือลอยใกล้เกือบติดอยู่กับต้นไม้ ถ้าต้นไม้ต้นนั้นถูกโค่นลงไป ก็เป็นอันว่าเทวดากลุ่มนั้นที่อยู่บนต้นไม่นั้น ก็ต้องเดินดินไปหาต้นไม้ที่มีแก่นต้นใหม่ต่อไป
   พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ต้นไม้ที่มีแก่นสูงเพียงคืบเดียว รุกขเทวดาก็ใช้เป็นวิมานได้แล้ว
   มีคำถามว่า "ทำบุญอะไรไว้จึงจะได้ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา?"
   คำตอบก็คือ ภุมเทวดา และ รุกขเทวดา ทั้งสองประเภทนี้ เป็นประเภท ทำบุญแบบไม่เต็มที่ ภุมเทวดานั้นเป็นประเภททำบุญแบบสักแต่ว่าทำ เช่น เห็นคนเขาไปวัดก็ไปด้วย เห็นคนอื่นเขาตักบาตรก็ตักด้วย คือทำตามเขาไปเพราะเห็นว่าเป็นประเพณีที่ปู่ย่าตายายทำมาก่อน ก็ทำตาม ๆ เขาไป แต่บุญนั้นก็ยังช่วยให้ไปเป็นเทวดาได้เหมือนกัน
   แต่สำหรับ รุกขเทวดานี้ ท่านตั้งใจทำความดีจริงๆ แต่ว่าทำไม่ครบ ไม่ถ้วน ตัวอย่างก็มีมาแล้วในสมัยพุทธกาล เช่น
   คนใช้ของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี มารับอาสาเป็นลูกจ้างครั้งแรก แล้วไม่ทราบว่าวันนั้นเป็นวันพระ ก็เลยออกไปทำงานตลอดวัน พอกลับมาตอนเย็น เห็นไม่มีใครกินข้าว จึงถามและได้ทราบจากแม่ครัวว่า ทุกคนในบ้านนี้ถืออุโบสถศีลกันหมดเพราะเป็นวันพระ ชายคนนั้นก็เลยขอสมาทานอุโบสถศีลกับเขาด้วยแต่เป็นแบบครึ่งวัน และขอรักษาเฉพาะการไม่กินข้าวเย็นเป็นต้นไปตลอดทั้งคืน แต่เพราะทำงานมาหนักมากและหิวโหย
พอตกดึก โรคลมจึงกำเริบ ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีก็ขอร้องให้ชายคนนี้กินข้าว และเอาอาหารดี ๆ ไปให้ และบอกว่าวันอื่นมีถมไปที่เราจะรักษาความดี 

   แต่ชายคนนี้ไม่ฟังและบอกว่า "ถ้าความดีเพียงครึ่งวันแค่นี้ข้าพเจ้ายังรักษาไม่ไหว แล้ว จะไปรักษาความดีมากกว่านี้ได้อย่างไร การจะยอมให้ศีลขาดนั้น  ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ความดีเพียงครึ่งวันแค่นี้ถ้าปล่อยให้ศีลขาดก็เลวเกินไป  ข้าพเจ้ายอมอดข้าวตายเสียดีกว่ายอมให้ศีลขาดพอตกดึก ปรากฏว่าชายคนนี้ก็ตายจริงๆ เมื่อตายไปแล้ว ดวงจิตวิญญาณ หรือ อาทิสมานกาย คือกายที่สิงอยู่ในกายเนื้อของชายคนนี้ ก็ล่องลอยไปเป็นรุกขเทวดา อาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในป่า

        คนตัดฟืนของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    ในสมัยพระพุทธเจ้ามีมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง มีนามว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านนั้นเวลาวันพระ ทุกคนในบ้านนั้นต้องรักษาอุโบสถศีล ปรากฎว่ามีวันหนึ่งเป็นวันพระ มีคนจนคนหนึ่งเข้ามาจะเป็นลูกจ้างของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านก็ถามว่า เธอทำงานอะไรได้บ้าง เขาก็บอกว่า ทำทุกอย่างตามที่ท่านจะใช้ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอกว่า งานอย่างอื่นมีเจ้าหน้าที่เต็มหมดแล้ว ที่ยังมีงานพร่องอยู่ก็คือคนตัดฟืน เพราะที่บ้านนั้นต้องเลี้ยงคนมาก เลี้ยงพระมาก ต้องตัดฟืนมาหุงข้าว เธอก็ยอมรับ หลังจากนั้นเธอกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ถือขวานเข้าป่าไปตัดฟืน ตัดฟืนแล้วกลับมาตอนเย็น
   พอถึงตอนเย็นก็ปรากฎว่า คนที่บ้านนั้นเงียบสงัดไม่มีเสียงเอะอะโวยวายเหมือนตอนเช้า ตอนเช้าต่างคนก็ขอข้าว ฉันขอข้าวฉันขอแกงฉันขอกับ ฉันต้องการอย่างนั้น ฉันต้องการอย่างนี้ แต่ว่าตอนเย็นสงบสงัดหมด เธอก็เข้าไปที่ครัว พอเข้าไปถึงโรงครัว แม่ครัวก็จัดอาหารเฉพาะเธอ ถ้าพิจารณาแล้ว กินก็เหลือนิดหน่อยให้ เธอก็ถามว่า วันนี้ทุกคนในบ้านเขากินข้าวกันหมดแล้วหรือ เห็นเงียบไป ตอนเช้าเอะอะโวยวาย แม่ครัวก็บอกว่า "วันนี้เป็นวันพระ ที่บ้านนี้ทั้งหมดทุกคนวันพระต้องรักษาอุโบสถ แม้แต่เด็กที่กำลังกินนมอยู่ ท่าน มหาเศรษฐียังให้บ้วนปาก และกินน้ำผึ้งหรือนมใสข้นแทน"  

   คนตัดฟืนนั้นก็ถามว่า "อุโบสถเป็นอย่างไร"

   แม่ครัวก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าอยากจะรู้ก็ให้ไปถามท่าน มหาเศรษฐีก็แล้วกัน ท่านมหาเศรษฐีสั่ง ทุกคนก็ทำตามสั่ง แต่ความรู้ไม่มี เขาอาจจะพอรู้บ้างแต่ว่าไม่กล้าอธิบาย"

   ชายคนนั้นก็เข้าไปหาท่านมหาเศรษฐี ท่านก็แนะนำว่า "อุโบสถศีลมีสิกขาบท ๘ คือศีล ๘ นี่แหละ แต่รักษาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เขาเรียกว่าอุโบสถศีล"

   คนตัดฟืนว่า "ตอนเย็นจะสมาทานได้ไหม"

   ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า "ถ้ารักษาเต็มวันไม่ได้ รักษาครึ่งวันก็ใช้ได้ "

   คนตัดฟืนก็สมาทานอุโบสถศีลกับท่านมหาเศรษฐี ท่านมหาเศรษฐีก็แนะนำว่า อุโบสถศีลมีศีล ๘ ข้อจะต้องรักษาให้ได้ ภายในกำหนดวันหนึ่งกับคืนหยนึ่ง  แต่เจ้ารักษาศีลตอนเย็น

 จะได้อานิสงส์ในการรักษาครึ่งหนึ่ง"

        บุญที่ทำให้เป็นรุกขเทวดา
   หลังจากนั้น ก็เป็นการบังเอิญ เมื่อเขาสมาทานศีลแล้ว เขาก็ไม่ได้กินข้าวเย็น เขากินแต่ข้าวเช้าและกินข้าวกลางวันที่ห่อไป งานตัดฟืนมันก็เป็นงานหนักแต่เขาไม่ได้กินข้าวเย็น เขาก็มานอนในที่พัก พอตกดึกเขาก็เกิดโรคลมในท้อง ลมพัดดันขึ้นมา มีอาการจุกเสียดมาก มีคนมารายงานท่านมหาเศรษฐี ท่านมหาเศรษฐีก็ไปแนะนำ นำอาหารที่มีรสเลิศ ๕ อย่างไปให้กิน บอกกินเสียเถอะ วันอื่น ๆ ยังมีอยู่ วันนี้ไม่เป็นไร ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ วันอื่นยังรักษาได้
   คนตัดฟืนก็ใจเด็ด เขาบอกว่า ความดีเต็มวันผมทำไม่ได้ แต่ผมรักษามันได้แค่ครึ่งวัน ถ้าผมจะตายเพราะว่าความดีครึ่งวัน ผมก็ยอมตาย ไม่ยอมกินอาหาร ท่นมหาเศรษฐีจะแค่นเท่าไร เขาก็ไม่ยอมกิน หลังจากนั้นมาท่านมหาเศรษฐีก็จำต้องกลับ ถึงเวลารุ่งขึ้นเขาตายพอดี ตายเพราะกำลังใจที่พอใจในอุโบสถศีล เป็นอันว่าบุญในโอกาสที่เขาทำได้ ทำคราวนั้นคราวเดียว เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา
   ในเวลานั้นก็ปรากฎว่ามีฤาษี ๖๐ ท่าน ตั้งใจจะไปบ้านท่านมหาเศรษฐี มีโฆษกะเศรษฐีเป็นต้น ซึ่งเขาอาราธนาไว้ว่า ถ้าเวลาหน้าแล้ง ขอให้ไปรับภัตตาหารที่บ้านเขา เขาจะเลี้ยงฤาษี ๖๐ คน แต่ท่านไม่ได้อภิญญา ฤาษี ๖๐ ท่านนี่ก็ไป ไปถึงต้นไม้ใหญ่มีพุ่มใหญ่ ก็คิดว่าต้นไม้นี่มีพุ่มใหญ่มีเงาดี เรานั่งพักสักครู่หนึ่งดีกว่า พอนั่งพักไปสักครู่หนึ่ง หัวหน้าฤาษีก็มีความรู้สึก คือท่านไม่ได้ทิพจักขุญาณ แต่มีความรู้สึกคิดว่า ต้นไม้นี้อาจจะมีรุกขเทวดาที่มีบุญมาก เพราะต้นไม้มีพุ่มใหญ่เหลือเกิน จึงนึกในใจว่า เวลานี้เราเดินมาเหนื่อย และมีความกระหายน้ำ ถ้าหากว่ารุกขเทวดาจะเมตตาเรา บันดาลน้ำที่สะอาดให้เรากินก็จะดี เทวดาก็บันดาลน้ำให้กิน
   ต่อมาเธอก็คิดว่า แหม เราเดินมาไกล มันร้อน ถ้ามีสระอาบน้ำได้ก็ดี เทวดาก็บันดาลสระอาบน้ำให้อาบ เมื่อความประสงค์ของฤาษีเป็นไปตามความประสงค์ ท่านก็คิดว่า เทวดาองค์นี้ต้องมีอานุภาพมาก ฉะนั้น จึงขอร้องด้วยวาจาว่า ขอเทวดาผู้มีคุณแสดงตัวให้   ปรากฎ เทวดาก็แสดงตัวให้ปรากฎ ท่านก็ถามว่า "ท่านรุกขเทวดา ท่านมีบุญญานุภาพมาก ข้าพเจ้าต้องการอะไร ท่านก็บันดาลให้ได้ทุกอย่าง และเวลานี้ก็เห็นวิมานของเทวดา
ด้วย เทวดาให้เห็นตัวด้วย เห็นวิมานด้วย วิมานท่านก็ใหญ่โตมโหฬารสวยสดงดงาม ตัวท่านก็มีความสง่า มีเครื่องประดับดี มีแสงสว่างมาจากกายอยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านทำบุญอะไรไว้"   พอท่านฤาษีถามอย่างนี้เทวดาก็อาย เทวดาก็บอกว่า "อย่าถามผมเลยขอรับ ผมอายเหลือเกิน เพราะบุญผมน้อย" ในเมื่อฤาษีคะยั้นคะยอถามหนักเข้า ขอร้องมากหนักขึ้น เทวดาก็ยอมบอก ตอบว่า "ผมมีบุญน้อย เป็นรุกขเทวดาเพราะรักษาอุโบสถศีลได้ครึ่งวันเท่านั้น"  ก่อนที่ผมจะมาเกิดเป็นรุกขเทวดาอาศัยอยู่ในต้นไม้นี้ ผมเป็นคนตัดฟืนของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีและได้รักษาอุโบสถศีลครึ่งวันตายแล้วก็มาเกิดในต้นไม้นี้

              อากาสัฏฐเทวดา          
    ๐อากาศเทวดาได้แก่ เทวดาที่มีวิมานของตนเองในอากาศ ตั้งอยู่ในอากาศ ภายใน และภายนอกของวิมาน จะประกอบด้วยรัตนะ ๗ อย่าง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจ ของกุศลกรรม คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ว เชียร เงิน และทอง บางวิมานก็มี ๒ รัตนะ บางวิมานก็มี ๓, ๔, ๕, ๖ รัตนะ ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ตนได้สร้างไว้ วิมานเหล่านี้ จะลอยหมุนเวียนไปในอากาศรอบ ๆ เขาสิเนรุราช

             ตัวอย่างอากาสัฏฐเทวดา

              นางมณีเมฆลาเทพธิดา

         

   ๐นางเมขลาเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ มีแก้ววิเศษดวงหนึ่ง ด้วยเหตุที่นางเมขลามีแก้วเป็นของวิเศษ บางทีคนจะเรียกนางว่า “มณีเมขลา”  ในทางพระพุทธศาสนา ปรากฏในชาดกเรื่อง พระมหาชนก ก็ถือว่า มณีเมขลา เป็นเทพธิดานางสมุทรเหมือนกัน มีหน้าที่ช่วยเหลือปกป้องสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์จากเรืออัปปาง โดยได้ช่วยพระโพธิสัตว์ (เจ้าชายมหาชนก) พ้นภัยในเหตุการณ์เรืออัปปาง
   ครั้งหนึ่งเป็นเทศกาลวสันตฤดู เทวดาและอัปสรต่างจับระบำรำฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน คราวนั้นรามสูรได้เข้ามาร่วมสนุก และได้พบกับนางเมขลา รามสูรพอใจในดวงแก้วและความงามของเมขลา จึงเที่ยววิ่งไล่จับนาง นางเมขลาก็เยาะเย้าทำท่าจะให้แก้ว แล้วก็ไม่ให้ ผละหนีไปเสีย พอรามสูรตามใกล้จะทันก็โยนแก้วฉายแสงเข้าตารามสูรให้ตาฟางตามหานางไม่พบ รามสูรก็โกรธ พอหายมัวตา ก็ขว้างขวานเกิดฟ้าผ่า ดังเปรี้ยงๆ
(บ้างก็ว่า เมื่อจับไม่ทันก็ใช้ขวานขว้าง แต่ไม่ถูก เพราะเมขลาใช้แก้วล่อจนเป็นฟ้าแลบ แสงแก้วทำให้ตารามสูรมัวจึงขว้างขวานไม่ถูก)
   เรื่องเมขลารามสูร ที่ปรากฏในวรรณคดีเก่า เรื่อง เฉลิมไตรภพ กล่าวถึงเรื่องเมขลากับรามสูร แตกต่างกันเล็กน้อย โดยมีรายละเอียดว่า    พระยามังกรการตนหนึ่ง จะไปไหนก็เอาดวงแก้วทูนศีรษะไว้ มังกรการได้แปลงเป็นเทวดาไปสมสู่กับนางฟ้า จนมีบุตรีชื่อ เมขลา เมื่อเจริญวัยขึ้นก็มีความงามยิ่ง มังกรการได้นำบุตรีและดวงแก้วไปมอบแก่พระอินทร์ (พระอิศวร) รามสูรเป็นเพื่อนกับพระราหู ผู้มีครึ่งตัวเพราะถูกจักรพระนารายณ์ตัด เมื่อครั้งแปลงเป็นเทวดาไปดื่มน้ำอมฤต (จากพิธีกวนเกษียรสมุทร) รามสูรคิดจะขอพรจากพระอินทร์ให้พระราหูกลับมีร่างดังเดิม และบังเอิญที่นางเมขลาได้ขโมยเอาดวงแก้วของพระอินทร์ไป จึงจะจับนางไปถวายเพื่อให้ได้ความดีความชอบก่อน เมื่อเจอนางเมขลาก็ไล่จับ แต่เมขลาก็หลบหลีกโยนแก้วล่อหลอกรามสูร รามสูรจึงขว้างขวานเพชรไป แต่อำนาจดวงแก้ววิเศษคุ้มครองนางเมขลาไว้ จวบจนบัดนี้ รามสูรก็ยังไม่ได้ตัวนางเมขลาและพระอินทร์ก็ยังไม่ได้ดวงแก้วมณีคืน เพราะยังเห็นแสงแก้วที่นางเมขลาฉายแสงเป็นฟ้าแลบแวบวับ และเสียงขวานของรามสูรเป็นฟ้าร้องเปรี้ยงปร้างอยู่ทุกวสันตฤดู แสดงว่า รามสูรยังติดตามเอาแก้วจากเมขลาอยู่จนทุกวันนี้ ฯ       
                   สุริยะเทพบุตร

           
   -สุริยะเทพบุตร   เป็นเทพประจำวันเกิดของคนเกิดวันอาทิตย์
   -สุริยะเทพบุตรเป็นเทพที่สิงสถิตย์อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของของจักรวาล 
       -มีผิวกายสีแดง
       -มีเครื่องประดับกายสีแดง
       -พาหนะคือราชสีห์แดง
       -มีอำนาจและหน้าที่ในการรักษาจักรวาลทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
            คาถาบูชาสุริยะเทพบุตร
     ๐เทวะราชา  ระวิเทโว               รัตตะวัณโณ  ปะทะมะราคะวัตถิโก
    สึหะวาหะนัง  กัตะวา                 จักกะวาลานุยันโต  อีสานะทิสายะ
    ฐิตะโกวะ  ตัง  นะมามิหัง ฯ
     ๐ให้สวดบูชาวันละ ๖ จบ  ก่อนสวดให้ตั้งนะโม ๓ จบ
     ๐ผล ที่จะได้รับ:- ปัดเป่าความชั่วร้ายต่างๆคุ้มครองป้องกัน ทำให้ผู้สวดมีอำนาจและการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้นโชคลาภจะเพิ่มพูนโชคชะตาจะสูง ขึ้น
        เรื่องชองสุริยริยเทพบุตร เกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
   สมัยนั้น สุริยเทพบุตรถูกอสุรินทราหูเข้าจับตัวไว้ ครั้งนั้น สุริยเทพบุตรระลึกถึง
พระพุทธเจ้า ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า "ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า  ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวงข้าพระองค์ตกอยู่ในภาวะคับขันขอพระองค์จงเป็นสรณะแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภสุริยเทพบุตร ได้ตรัสกับอสุรินทราหู
ด้วยพระคาถาว่า"สุริยเทพบุตรถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์เป็นสรณะ  ราหู ท่านจงปล่อยสุริยเทพบุตรเสียเถิด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์โลก สุริยเทพบุตรเป็นผู้ส่องแสง ทำความสว่างในที่มืดมิด มีสัณฐานเป็นวงกลม มีเดชสูง
ท่านอย่าอมสุริยเทพบุตรผู้เที่ยวไปในอากาศเลย  ราหู ท่านจงปล่อยสุริยเทพบุตรผู้เป็นบุตรของเราเสียเถิด
    ลำดับนั้น อสุรินทราหูปล่อยสุริยเทพบุตรแล้วก็เร่งรีบเข้าไปหาท้าวเวปจิตติ
จอมอสูรถึงที่อยู่ เป็นผู้เศร้าสลดใจ เกิดขนพองสยองเกล้า ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร
ท้าวเวปจิตติจอมอสูรได้กล่าวกับอสุรินทราหูผู้ยืนอยู่ ณ ที่สมควร ด้วยคาถาว่า  "ราหู ทำไมท่านจึงรีบปล่อยสุริยเทพบุตรเสียเล่า  ทำไมท่านจึงเศร้าสลดใจ มายืนกลัวอยู่เล่า"
  อสุรินทราหูกล่าวว่า "ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หากข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยสุริยเทพบุตรศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตก ๗ เสี่ยงมีชีวิตอยู่ก็จะไม่ได้รับความสุขเลย"

   สุริยเทพบุตรมีสุริยมณฑล  ๕๐  โยชน์  วัดผ่าศูนย์กลางวัดได้  ๕๐  โยชน์  วัดโดยกลมรอบวัดได้  ๑๕๐  โยชน์  มีรัศมีส่องแสงสว่างให้แก่มนุษย์และสรรพสิ่งในจักรวาล

    สุริยเทพบุตร คือดวงอาทิตย์ เป็นสัญญาลักษณ์บอกให้รู้ว่าจักรวาลกว้างใหญ่ประมาณเท่าใดให้ดูแสงสว่างของพระอาทิตย์ว่าส่องสว่างถึงไหนให้ถึอเอาจุดสิ้นสุดของแสงสว่างนั้นเป็นเครื่องวัด

                   จันทเทพบุตร

           

       จันทะเทพบุตร                            
    -จันทเทพบุตรเป็นเทพประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันจันทร์
    -จันทเทพบุตรเป็นเทพที่สิงสถิตย์อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของจักรวาล
    -มีผิวกายสีขาว
    -มีเครื่องประดับกายสีขาว
    -พาหนะคือม้าสีขาว
    -มีอำนาจและหน้าที่ในการรักษาจักรวาลทางด้านทิศตะวันออก
           คาถาบูชาจันทะเทพบุตร       
      ๐เทวะราชา  จันทะเทโว              ปีตะทานะวัณโณ  ปีตะทานะวัตถิโก
     อัสสะวาหะนัง  กัตะวา                  จักกะวาลานุยันโต  ปาจินะทิสายะ
     ฐิตะโกวะ  ตัง  นะมามิหัง ฯ
       ๐ให้สวดบูชาวันละ ๑๕ จบ   ก่อนสวดให้ตั้งนะโม ๓ จบ
       ๐ผลที่จะได้รับ:- ปัดเป่าความชั่วร้ายคุ้มครองรักษา  โชคชะตาจะดีขึ้นมีเสน่ห์และเป็นที่นิยมของคนทั่วไป

      ในพุทธศาสนาแบบเถรวาท พระจันทร์ หรือ จันทรเทพบุตร เป็นเทพบุตร ๑ ในเทพ ๓๓ องค์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานกว้าง ๑๔๗ โยชน์ ใหญ่ ๔๙ โยชน์ มีราชรถเทียมม้า ๑๐๐ ตัว เป็นผู้ขับเคลื่อนดวงจันทร์ ในสมัยพุทธกาลได้เป็นพระโสดาบัน
   พระจันทร์ เป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทศุภเคราะห์ ให้ผลในทางนุ่มนวลอ่อนโยน นั่นคือ ผู้ใดเกิดวันจันทร์ หรือมีพระจันทร์สถิตร่วมกับลัคนา มักมีอารมณ์อ่อนโยน เพ้อฝัน เจ้าชู้ มีเสน่ห์ รวนเร (แต่อาจมีเล่ห์เหลี่ยมมาก) ตามนิทานชาติเวร พระจันทร์เป็นมิตรกับพระพุธ และเป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดี เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตพระจันทร์เกิดเป็นคนจนผู้ยากไร้ พระเสาร์เกิดเป็นพ่อค้า พระราหูเกิดเป็นคฤหบดี พระพุธเกิดเป็นสุนัขในบ้านคฤหบดี คนจนได้ไปยืมเงินของคฤหบดี แต่ไม่มีเงินใช้หนี้จึงต้องหนีไป วันหนึ่งพ่อค้าผู้เป็นเพื่อนของคฤหบดี ได้มาพบคนจนเข้าจึงนำเรื่องไปแจ้งกับคฤหบดี สุนัขที่เฝ้าบ้านได้ฟังแล้วเกิดสงสารคนจนจึงเข้าขบกัดคฤหบดีจนไม่สามารถไปตามจับคนจนได้ ตั้งแต่นั้น พระจันทร์จึงเป็นมิตรกับพระพุธ ส่วนพระเสาร์จึงเป็นมิตรกับพระราหู และพระราหูเป็นศัตรูกับพระพุธ ส่วนเรื่องพระจันทร์เป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดีนั้น

   ครั้งหนึ่งพระจันทร์เกิดเป็นบุตรีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พระพฤหัสบดีเกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พระอาทิตย์เกิดเป็นมานพหนุ่ม พระอังคารเกิดเป็นวิทยาธร มานพหนุ่มได้มาเล่าเรียนวิชากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ จนสำเร็จวิชา อาจารย์จึงยกบุตรีให้ และให้ใส่นางไว้ในผอบทองเพื่อจะได้ปลอดภัย  วันหนึ่งมานพไปหาผลไม้ในป่า วิทยาธรได้ลักลอบมาเป็นชู้กับบุตรีอาจารย์ อาจารย์เข้าฌานและได้เห็นความประพฤติชั่วของบุตรี จึงคิดอุบายขึ้นมา
วันหนึ่งมานพกลับมาเยี่ยมอาจารย์ อาจารย์ได้หยิบเซี่ยนหมากออกมารับรองไว้สองเซี่ยน มานพเห็นผิดธรรมเนียมจึงไต่ถาม อาจารย์จึงให้รีบกลับไปที่เรือนและเปิดผอบดูเถิด เมื่อมานพหนุ่มกลับมา เปิดผอบพบนางผู้เป็นภรรยาเป็นชู้กับวิทยาธร วิทยาธรเห็นดังนั้นก็ตกใจ หยิบพระขรรค์ฟันศีรษะมานพหนุ่ม ส่วนมานพขว้างจักรเพชรไป ถูกขาวิทยาธรขาด ตั้งแต่นั้น พระจันทร์จีงเป็นศัตรูกับพระพฤหัสบดี ส่วนพระพฤหัสบดีเป็นมิตรกับ
พระอาทิตย์ และพระอาทิตย์เป็นศัตรูกับพระอังคาร จากตำนานนี้ผู้ใดที่เกิดวันจันทร์แล้วพระพุธโคจรเข้าสู่ดวงชะตา จะมีมิตรสหายเกื้อหนุน ได้ลาภยศทรัพย์สินเงินทอง รอดพ้นภัยพาล หากพระพฤหัสบดีโคจรเข้าสู่ดวงชะตา จะเกิดการทะเลาะวิวาทกับผู้ใหญ่ จะมีเรื่องต้องอับอายขายหน้า ฯ

              ภูเขาสิเนรุราช หรือ ภูเขาพระสุเมรุ

   

   ๐ภูเขาสิเนรุราช   คือภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล  ภูเขาสิเนรุราชประกอบด้วยสิ่งสำคัญดังนี้   คือ:-

     ๑.สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุราช

     ๒.เขาจักรวาล

     ๓.ภูเขาสัตตบริภัณฑ์ทั้ง  ๗  ลูก  คือ:-

       ๓.๑ภูเขายุคันธร
       ๓.๒ภูเขาอิสินธร
       ๓.๓ภูเขากรวิก
       ๓.๔ภูเขาสุทัสสนะ
       ๓.๕ภูเขาเนมินธร
       ๓.๖ภูเขาวินตกะ
       ๓.๗ภูเขาอัสกรรณ

   -รอบภูเขาพระสุเมรุเป็นแม่น้ำสีทันดร  รอบแม่น้ำสีทันดรขึ้นไปบนฝั่งเป็นป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหิมพานต์หลายร้อยชนิดเช่น ราชสีห์  หงสา  คชปักษา  มยุระคนธรรพ์ มังกรสกุณี  นาคปักษี เป็นต้น ที่ป่าหิมพานต์ยังมีสระอโนดาต ที่มีตาน้ำอยู่ ๔ ทิศ ลักษณะของแต่ละทิศก็จะเป็นหน้าสิงห์   หน้าช้าง   หน้าม้า    หน้าวัว   ตามลำดับทิศ   ที่เป็นหน้าวัวจะเป็นน้ำที่ไหลออกมาจากสระอโนดาตลงสู่แม่น้ำสีทันดร

       ๓.๘ ดวงอาทิตย์

       ๓.๙ ดวงจันทร์

       ๓.๑๐ ดาวฤกษ์และดวงดาวต่างๆ

    ๔.ทวีปใหญ่ทั้ง ๔   คือ:-

       ๔.๑ปุพพะวิเทหะทวีป

       ๔.๒ชมพูทวีป

       ๔.๓อมรโคยานทวีป

       ๔.๔อุตตะระกุรุทวีป      

           ที่อยู่ของเทวดา
   เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุราช จนกระทั่งถึงพื้นดินที่มนุษย์อาศัยอยู่

         ทางไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
   สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ในทานสูตรว่า"ถ้าผู้ใดให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทาน เมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา  ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังแล้วให้ทานมีจิตผูกพันในผลแห่งทานนั้น   ให้ทานแล้วมุ่งหว้งในผลการให้ทาน ให้ทานแล้วคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไปแล้วย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชกา"

 

 

เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 139,922