หน้าที่ ๙ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน

                                          นรก

           

    ๐นรก แปลว่า "สถานที่ๆไม่เคยมีความสุขเลย" 

    -นรกทั้งหมดมี  ๔๕๗  ขุม  โดยแบ่งออกเป็น ๔  ประเภท  คือ:-

       ๑.มหานรก   มี  ๘  ขุม

       ๒.อุสสุทนรก  มี  ๑๒๘  ขุม

       ๓.ยมโลกนรก  มี  ๓๒๐  ขุม

       ๔.โลกันตนรก  มีขุมเดียว

              มหานรก

    ๐มหานรก  แปลว่า "นรกขุมใหญ่"  มี  ๘   ขุม  คือ:-

      ๑.สัญชีวะนรก              คือนรกที่ไม่มีวันตาย

      ๒.กาฬะสุตตะนรก        คือนรกที่ลงโทษตามเส้นได้

      ๓.สังฆาฏะนรก             คือนรกที่ลงโทษด้วยการบดขยี้

      ๔.โรรุวะนรก                คือนรกที่เต็มไปด้วยการร้องไห้

      ๕.มหาโรรุวะนรก          คือนรกที่เต็มไปด้วยการร้องไห้อันมากมาย

      ๖.ตาปะนรก                 คือนรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน

      ๗.มหาตาปะนรก         คือนรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนอย่างเหลือประมาณ

      ๘.อเวจีมหานรก           คือนรกที่ปราศจากคลื่นอันเบาบาง

                 นรกภูมิ
  นรกภูมิคือสถานที่จองจำผู้ที่กระทำบาปสถานหนัก ต้องชดใช้บาปจากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ โดยอาศัยร่างที่เป็นกายหยาบรับโทษ เช่น ถูกเลื่อยกาย ถูกหั่นร่างเป็นชิ้น ๆ ถูกไฟครอก ถูกตำด้วยสาก ถูกโยนใส่กระทะน้ำเดือด ปีนต้นงิ้ว เป็นต้นมนุษย์เมื่อตายไป มิใช่ว่าจะถูกยมทูตพาไปพบพระยายมราช เพื่อตัดสิน ไต่ถามก่อนการรับโทษในนรกทุกคนไป  เป็นเฉพาะบางคนบางพวกเท่านั้น คือโดยปกติแล้วคนเราในโลกที่เห็นกันอยู่นี้ มีนิสัย จิตใจ และความประพฤติดีเลว แตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ
   ๑.พวกที่ชอบใจในการบำเพ็ญกุศลมาก
   ๒.พวกที่ชอบทั้งกุศลและอกุศลปะปนกันไป ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
   ๓.พวกที่ชอบทำอกุศลมากกว่ากุศล
   ๔.พวกที่ชอบแต่ทางอกุศลอย่างเดียว
   เมื่อจิตใจมนุษย์ต่างระดับกันดังนี้ เมื่อถึงเวลาตาย ความเป็นไปย่อมแตกต่างกัน
     พวกที่ ๑ ขณะใกล้จะตาย ย่อมระลึกนึกถึงเรื่องที่เป็นบุญ เป็นกุศล ที่ตนได้เคยประกอบเอาไว้ได้มาก บุคคลเหล่านี้ตายแล้วย่อมไปสู่สุคติภูมิ
     พวกที่ ๒ บุคคลพวกนี้ยามใกล้จะตาย ถ้าตนเองได้พยายามระลึกนึกถึงบุญกุศลให้มากเข้าไว้ หรือมีผู้อยู่ใกล้คอยช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศลกรรมนั้น บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถพ้นจากอบายภูมิได้เหมือนกัน เว้นแต่ตนเองไม่พยายามนึก อีกทั้งไม่มีผู้ใดคอยช่วยเตือนให้นึก จิตใจจึงมีแต่ความกลุ้มใจ เสียใจ ห่วงใยในทรัพย์สมบัติ ผู้คน หรือเรื่องกังวลอื่น ๆ ตายแล้วย่อมเข้าสู่อบายภูมิ
     พวกที่ ๓ พวกนี้มีอกุศลอาจิณกรรม คือมีบาปที่กระทำสั่งสมอยู่เป็นนิจ มากกว่ากุศล เมื่อใกล้จะตาย ลำพังตนเองแล้วไม่มีทางที่จะนึกถึงกุศลกรรมได้ และการที่จะให้คนธรรมดา เช่น ญาติพี่น้องผู้ใกล้ชิด ช่วยเตือนสติใหระลึกถึงบุญที่ทำเอาไว้ จะต้องช่วยเหลือกันอย่างแรงกล้าเป็นพิเศษจริง ๆ จึงพอจะช่วยได้
     พวกที่ ๔ พวกนี้ตายแล้วไม่พ้นจากการไปสู่อบายภูมิได้เลย ยกเว้นจะได้รับการช่วยเหลือจากท่านผู้มีบุญบารมีแก่กล้าอย่างแท้จริง เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัครสาวก มหาสาวกเท่านั้น นอกจากนี้ตนเองยังจะต้องมีกุศลกรรมที่เคยสร้างสมไว้ในชาติก่อน ๆ ที่มีกำลังมากด้วย จึงจะพอพ้นจากอบายภูมิได้
   ในบุคคลใกล้จะตายทั้ง ๔ ประเภทนี้ พวกที่ ๑ ตายแล้วไปสู่สุคติภูมิ พวกที่ ๔ ไปสู่ทุคติภูมิ โดยทันที ไม่ต้องพบพระยายมราชแต่ประการใด
  ส่วน พวกที่ ๒ และ ๓ นั้น ถ้าระลึกถึงกุศลกรรมไม่ได้ จะต้องไปสู่นรก แล้วจะมีโอกาสได้พบพระยายมราชเพื่อทำการไต่ถาม และช่วยตนเองให้พ้นจากนรกอีกครั้ง หากได้สติตอบคำถามของพระยายมราชได้ถูกต้อง
   คำถามของพระยายมราช เป็นคำถามเกี่ยวกับเทวทูต ๕ อย่าง คือ:-
     ๑. เมื่อเห็นเด็กแรกเกิดคิดอย่างไร?
     ๒.เมื่อเห็นคนแก่คิดอย่างไร?
     ๓. เมื่อเห็นคนเจ็บป่วยคิดอย่างไร?
     ๔. เมื่อเห็นคนถูกลงโทษคิดอย่างไร?                                                            

     ๕.เมื่อเห็นคนตายคิดอย่างไร?                                                       

      พระยายมราชจะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เคยเห็นเทวทูตเหล่านี้บ้างหรือไม่ เมื่อเห็นแล้วเคยนึกอย่างไรบ้างเกี่ยวกับตนเอง  ถ้าบุคคลนั้น ๆ ตอบว่าเคยเห็น และนำมาคิดพิจาร ณาเทียบเคียงว่าตนเองก็จะต้องมีสภาพเดียวกันนี้ จึงได้พยายามสร้างทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อจะได้เป็นหนทางพ้นไปจากความทุกข์เหล่านั้น
   ในขณะที่ตอบคำถาม พระยายมราชอยู่นี้ ถ้าผู้นั้นบังเอิญนึกถึงกุศลที่ตนเคยประกอบเอาไว้ได้ ก็จะพ้นจากการต้องไปตกนรกทันที แต่ถ้าระลึกไม่ได้ คงตอบไปแต่เรื่องยินดีพอใจ สนุกสนานไปตามวิสัยธรรมดาของโลก พระยายมราชจะถามเตือนด้วยเทวทูตอย่างที่ ๒ อย่างที่ ๓ เรื่อยไปตามลำดับ เพื่อช่วยให้พยายามนึกถึงบุญกุศลให้ได้ เมื่อผู้นั้นนึกไม่ได้จริง ๆ พระยายมราชจะช่วยเตือนสติให้อีกครั้งว่าเคยทำกุศลสิ่งใดไว้บ้าง ทั้งนี้ด้วยเหตุที่สมัยบุคคลเหล่านั้นประกอบการกุศลดังกล่าว มักจะแผ่ส่วนกุศลให้พระยายมราชด้วย (ถ้าหากไม่เคยแผ่ส่วนกุศลไปให้พระยายมราช พระยายมราชจะนึกถึงกุศลของผู้นั้นไม่ออกเช่นเดียวกัน)
  เมื่อพระยายมราชเตือนสติ และผู้นั้นระลึกถึงกุศลกรรมของตนขึ้นมาได้ และกล่าวตอบพระยายมราชไป ผู้นั้นย่อมจะพ้นจากนรกได้ ส่วนผู้ที่นึกถึงกุศลกรรมใด ๆ ไม่ออกจริง ๆ แม้พระยายมราชจะถามเตือนด้วยเรื่องเทวทูตจนครบทั้งห้าแล้ว ประกอบทั้งตนไม่เคยอุทิศแผ่ส่วนกุศลใดให้พระยายมราชเลย เป็นเหตุให้พระยายมราชไม่สามารถนึกถึง
กุศลกรรมนั้น ๆ นำมาเตือนสติได้ ผู้นั้นก็จำต้องตกลงสู่นรกโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงสำหรับสัตว์ที่มิได้ประกอบกุศลกรรมไว้บ้างเลยในสมัยเป็นมนุษย์เหล่านี้ เมื่อพระยายมราชหมดหนทางช่วยเหลือ จึงกล่าวว่า “ท่าน ไม่ได้กระทำความดี ทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้เลย เพราะมัวประมาทมัวเมาเสีย ท่านจำต้องถูกนายนิรยบาลลงโทษ บาปกรรมอันนี้มิใช่ผู้ใดอื่นทำให้ท่านเลย เป็นเพราะท่านทำของท่านไว้เอง จึงต้องรับโทษของกรรม”
   
             มหานรก ๘ ขุม

   ๑. สัญชีวนรก คือนรกที่ไม่มีวันตาย  สรรพสัตว์ที่มาอุบัติบังเกิดในนรกขุมนี้ ถึงแม้จะได้รับทุกข์โทษจนตายแล้ว ก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก เป็นอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดกรรม
   ๒. กาฬสุตตนรก คือนรกเส้นด้ายดำ  สรรพสัตว์ที่มาเกิดในขุมนรกนี้ จะถูกลงโทษโดยนายนิรยบาล โดยการเอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นตามร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดมาเฉือนกรีดตามเส้นดำที่ตีไว้ไม่ให้ผิดรอยได้
   ๓. สังฆาฏนรก คือนรกบดขยี้สัตว์  สรรพสัตว์ที่เกิดในนรกขุมนี้ จะถูกภูเขาเหล็กบดขยี้ร่างกายให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา
   ๔.โรรุวนรก คือนรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ สรรพสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ เป็นสัตว์ที่ได้รับทุกข์โทษแสนสาหัสต้องร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาอยู่ตลอดเวลา
   ๕. มหาโรรุวนรก คือนรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย สรรพสัตว์ที่มาอุบัติในนรกขุมนี้ ได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส ร้องไห้เสียงระงมไปทั่วทั้งนรก
   ๖. ตาปนรก คือนรกที่ทำให้สัตว์เร่าร้อน  สรรพสัตว์ทั้งหลายที่อุบัติในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อนมีหลาวเหล็กใหญ่โตเท่าต้นตาล โชติช่วงแดงฉานไปด้วยเปลวไฟจำนวนประมาณหลายหมื่นหลายแสนแน่นเต็มนรกไปหมด หลาวเหล็กแต่ละอันมีสัตว์นรกเสียบอยู่บนปลายหลาว มีเปลวไฟพุ่งขึ้นภายใต้หลาวเหล็ก ไหม้เผาผลาญสังหารสัตว์นรกทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา เนื้อหนังมังสาของสัตว์นรกทั้งหลายไหม้สุกพองอยู่เหนือปลายหลาวเหล็ก ต้องเสวยทุกข์เวทนาดิ้นพล่านไปมา จนกระทั่งเนื้อหนังสุกพองไปด้วยอำนาจไฟนรก แล้วก็ถูกหมานรกฉีกเนื้อกิน แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาตามเดิม วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม
   ๗. มหาตาปนรก คือนรกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเหลือประมาณ  สรรพสัตว์ทั้งหลายที่อุบัติในนรกขุมนี้ ต้องได้รับทุกข์โทษเร่าร้อนเป็นที่สุด ภายในกำแพงอันกว้างขวางใหญ่โตนั้น มีภูเขาเหล็กลุกเป็นไฟตั้งอยู่เป็นลูกๆ ตามพื้นข้างภูเขามีขวากเหล็กแหลมคมลุกแดงด้วยไฟ ปักเรียงรายอยู่เหนือพื้น
   นาย นิรยบาลถืออาวุธหอกดาบแหลนหลาวลุกแดงด้วยไฟไล่ทิ่มแทงสัตว์นรกทั้งหลายให้ ขึ้นไปบนภูเขาไฟแดงฉาน สัตว์นรกทั้งหลายตกใจกลัวนายนิรยบาล ก็พากันวิ่งไปบนยอดเขานรก ต่อจากนั้นก็มีลมกรดอันร้อนแรงคมกล้าพัดมาด้วยกำลังลมนรก ทำให้สัตว์พลัดตกลงมาจากยอดเขา ถูกขวากนรกร้อนแรงซึ่งอยู่เบื้องล่าง เสียบร่างกายทะลุเลือดแดงฉาน ทรมานทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดและความรุ่มร้อนแสนสาหัส
   ๘. อเวจีนรก คือนรกที่ปราศจากความบางเบาแห่งทุกข์ นรกขุมนี้ เป็นนรกขุมใหญ่กว่าบรรดานรกทั้งหลาย ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กที่มีเปลวไฟโชติช่วงสัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในมหานรกอเวจีนี้มีมากกว่านรกขุมอื่น แออัดยัดเยียดเบียดเสียดกัน ได้รับทุกข์ทรมานด้วยการถูกเปลวไฟนรกอันร้อนระอุเผาไหม้อยู่อย่างนั้นตลอดเวลาจนกว่าจะสิ้นกรรม
            อุสสุทนรก
   ๐อุสสุทนรกแปลว่า "นรกที่นูนเด่น"  หมายความว่าอุสสุทนรกนั้นมีภูเขาที่ชื่อว่า "กะลากะบรรพต" ล้อมรอบเวลามองดูจะปรากฏแก่ตาสัตว์นรกทั้งหลายประดุจดังกองเพลิงอันลุกโชติช่วงซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน  

    -มหานรกกั้ง  ๘  ขุม  จะมีนรกบริวาร  ๔ ขุม ทั้ง ๔ ทิศ  คือ:-

       -ทิศด้านหน้ามี  ๔   ขุม

       -ทิศด้านหลังมี  ๔   ขุม

       -ทิศด้านเหนือมี  ๔  ขุม

       -ทิศด้านใต้มี  ๔  ขุม

       -อุสสุทนรกทั้งหมดมี  ๑๒๘  ขุม

    -อุสสุทนรกที่เป็นนรกบริวารซึ่งล้อมรอบมหานรกชั้นที่ ๑ จะมีชื่อเหมือนกันหมดทั้ง ๔ ทิศ  คือ:-

          ๑.คูถะนรก               คือนรกที่เต็มไปด้วยหมู่หนอน

          ๒.กุกกุฬะนรก          คือนรกที่มีเถ้าอันรุ่มร้อน

          ๓.อะสิปัตตะนรก       คือนรกที่มีใบหอกใบดาบตกลงมาจากต้นไม้

          ๔.เวตตะระณีนรก     คือนรกที่เต็มไปด้วยน้ำเค็ม    
     ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึงวิธีลงโทษในอุสสทนรกที่อยู่ในทิศทั้ง ๔ ของสัญชีวะมหานรกเป็นตัว อย่างเท่านั้น นอกนั้นก็จะมีชื่อและลักษณะการลงโทษเช่นเดียวกันทั้งหมด
    -นรกขุมที่ ๑ คือคูถะนรก     
     คูถนรก คือ นรกอุจจาระเน่า สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากมหานรกแล้ว แต่ก็ยังไม่หลุดพ้นจากวงจรนรก ต้องเสวยทุกข์ต่อไป ในนรกขุมบริวารที่ใกล้ชิดกับมหานรกอันดับที่ ๑ คือ คูถะนรก จะถูกทรมานอยู่ในนรกอุจจาระ ลักษณะของคูถนรก เต็มไปด้วยหมู่หนอน มีปากแหลมดังเข็ม ตัวอ้วนพีใหญ่เท่าช้าง เมื่อสัตว์นรกตกลงมาสู่คูถนรก เจ้าหนอนนรกจะแสดงอาการดีอกดีใจ เข้ามาล้อมเกาะกัดกินเนื้อของสัตว์นรกนั้นอย่างเอร็ดอร่อยจนเหลือแต่กระดูก แล้วก็แทะกระดูกเข้าไปอีก หนอนบางตัวที่มีขนาดเล็กก็จะคลานชอนไชเข้าไปในปากกัดกินปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ กระเพาะ แล้วก็ออกทางทวารด้านล่างและด้านบน เป็นอย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม
    -นรกขุมที่ ๒ คือกุกกุฬะนรก         
     กุกกุฬะนรก คือ นรกขี้เถ้าร้อน ครั้นพ้นจากกำแพงของคูถนรกแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้พ้นจากนรกอุจจาระเน่าแล้ว ยังต้องถูกทรมานในนรกขุมบริวารอันดับที่ ๒ คือ กุกกุฬะนรก ซึ่งตั้งอยู่ติดต่อกับคูถนรก ลักษณะของกุกกุฬะนรก เต็มไปด้วยเถ้าร้อนสำหรับเผาสัตว์นรกทั้งหลายให้ได้รับทุกขเวทนาอันแก่กล้า ถูกเถ้าเผาสรีระให้ย่อยยับละเอียดเป็นจุณ เมื่อเศษบาปกรรมยังไม่สิ้นตราบใด ก็ต้องตายเกิดตลอดกาลนานจนกว่าจะสิ้นกรรม  
   -นรกขุมที่ ๓ คืออสิปัตตะนรก

    อสิปัตตะนรก คือ นรกป่าไม้ดาบ ครั้นพ้นจากกำแพงของกุกกุฬนรกแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายที่มีอกุศลกรรมเหลืออยู่นั้น ถึงแม้พ้นจากนรกขี้เถ้าร้อนแล้ว จะต้องเจอนรกขุมบริวารอันดับที่ ๓ คือ อสิปัตตนรก ก็ยังต้องถูกเบียดเบียนอยู่ในนรกป่าไม้ใบดาบ ซึ่งอยู่ติดต่อกับกุกกุฬนรก ลักษณะของอสิปัตตนรก จะมีลักษณะเป็นเหมือนอุทยาน มีต้นไม้คล้ายกับมะม่วง เมื่อสัตว์ที่ยังไม่หมดสิ้นกรรมชวนกันไปเดินเล่นในอุทยานนี้ เห็นมีต้นไม้ใหญ่ ตั้งใจว่าจะไปนั่งอยู่ใต้ร่มไม้นั้น แต่พอเข้าไปยังไม่ทันจะได้นั่งดั่งใจปรารถนา ก็มีลมพัดมาอย่างแรง ใบมะม่วงก็หลุดและปลิวลงมากลายเป็นหอกเป็นดาบ ทิ่มแทงร่างของสัตว์นรกเหล่านั้น จนแขนขาด คอขาด ขาขาด มีแผลเหวอะหวะเต็มไปทั่วร่างกาย เลือดแดงฉานออกมา จากนั้นก็มีสุนัขนรกร่างกายใหญ่โตเท่าช้างสาร วิ่งมากัดกินเลือดเนื้อของสัตว์นรกนั้นจนเหลือแต่กระดูกจากนั้นยังมีแร้งนรกซึ่งมีปากเป็นเหล็ก ตัวโตประมาณเท่าเกวียนเท่ารถ พากันมาโฉบเฉี่ยวยื้อแย่งจิกทึ้งเนื้อสัตว์นรก ฉีกกินเป็นอาหาร กรรมยังไม่สิ้น ต้องเสวยทุกขเวทนาไปอย่างนี้ตลอดเวลา       
   -นรกขุมที่ ๔ คือเวตรณีนรก         
  เวตรณีนรก คือ นรกแม่น้ำเค็มมีหนามหวาย ครั้นเมื่อสัตว์นรกพ้นจากกำแพงของอสิปัตตนรก  สัตว์นรกที่ยังมีอกุศลกรรมเหลืออยู่ ถึงแม้จะหลุดพ้นจากนรกป่าไม้ดาบแล้ว ก็ยังไม่หมดสิ้นการทรมาน จะต้องมาสู่นรกขุมนี้อีก ซึ่งเป็นนรกขุมบริวารอันดับที่ 4 อยู่ติดกับอสิปัตตนรก ลักษณะของเวตรณีนรก จะมีน้ำเค็ม แสบ ตั้งอยู่ชั่วกัปป์ มีเครือหวายหนามเหล็กล้อมอยู่โดยรอบเป็นขอบขัณฑ์ มีดอกปทุม (ดอกบัว) ผุดบานล่อใจให้ชวนชม เมื่อสัตว์นรกเห็นแล้วก็เข้าใจว่าเป็นแม่น้ำใสสะอาดเย็นสนิทน่าอาบ น่าดื่ม ก็พากันดีอกดีใจ หวังจะอาบดื่มกินให้สบาย จึงวิ่งด้วยความเร็วกระโจนลงไปในแม่น้ำ ทันใดนั้นเองเครือหวายเหล็ก ซึ่งคมเหมือนหอกเหมือนดาบ ก็บาดร่างกายทำให้เป็นแผลในน้ำเค็ม ทั้งเจ็บทั้งแสบ แล้วก็เกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้เผาร่าง  เผาทั้งๆ ที่อยู่ในแม่น้ำ จนไหม้เกรียมเหมือนกับต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ บางตนร่างห้อยอยู่บนเครือหนาม ในไม่ช้าร่างนั้นก็ต้องตกลงไปโดนดอกบัวเหล็กที่มีกลีบแหลมคมเป็นกรดซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำเค็มมีเปลวไฟติดอยู่ตลอดเวลา ในบัวเหล็กแดงก็บาดร่างกายขาดวิ่น สัตว์นรกคิดว่า ถ้าดำลงไปในแม่น้ำที่ลึกกว่านี้ คงจะหลุดพ้นจากการทรมานได้ จึงกลั้นใจดำน้ำลงไป แต่แล้วกลับถูกคมดาบซึ่งหงายอยู่ภายใต้น้ำนั้นบาดเอา เจ็บแสนสาหัส เท่านี้ยังไม่พอ ยังถูกนายนิรยบาลใช้ หอก หลาว แหลน จ้วงแทงเอา เหมือนกับมนุษย์ใช้ฉมวกแทงปลาในน้ำฉันใดฉันนั้น

             ยมโลกนรก

   ๐ยมโลกนรกแปลว่า "นรกที่เป็นแผ่นดินของพญายมราช"  

   ยมโลกนรกมี ๓๒๐ ขุม อยู่รอบ ๔ ทิศๆ ละ ๑๐ ของมหานรกแต่ละขุม
  ๑.โลหกุมภีนรก เป็นหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบร้อนเดือดพล่านตลอดเวลา สัตว์ที่เกิดต้องรับทุกข์ทั้งแสบทั้งร้อน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ถูกต้มเคี้ยวในหม้อเหล็กนรกนั้นจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วที่ตนได้ทำมา
    -บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ มาต้มในหม้อน้ำร้อน แล้วเอามากินเป็นอาหาร
  ๒. สิมพลีนรก เต็มไปด้วยป่างิ้วนรก มีหนามแหลมคมเป็นกรดยาวประมาณ ๓๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟแรงอยู่เสมอ สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ทรมานจนสิ้นกรรมชั่วของตน
    -บุพกรรม เช่น คบชู้สู่สาว ผิดศีลธรรมประเพณี ชายเป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น หญิงเป็นชู้สามีของผู้อื่น หรือชายหญิงที่มีภรรยาหรือสามี ประพฤตินอกใจไปสู่หาเป็นชู้กับผู้อื่นมักมากในกามคุณ
   ๓. อสินะขะนรก สัตว์นรกที่เกิดมามีรูปร่างแปลกพิกล เช่น เล็บมือเล็บเท้าแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ หอก ดาบ จอบ เสียม สัตว์นรกเหล่านี้เหมือนคนบ้าวิกลจริต บ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถากตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นอาหาร ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกรรม
    -บุพกรรม เช่น เมื่อเป็นมนุษย์ชอบลักเล็กขโมยน้อย ขโมยของในสถานที่สาธารณะและของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
  ๔. ตามะโพทนะรก มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงปนด้วยหินกรวด ร้อนระอุตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกข์ โดยการถูกกรอกด้วยน้ำทองแดง และกรวดหินเข้าไปทางปาก จนกว่าจะสิ้นกรรม
    -บุพกรรม ด้วยผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อนๆ เป็นคนใจอ่อน มัวเมาประมาท ดื่มกินสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายค้นบ้าเป็นเนืองนิจ
  ๕.อโยคุฬะนรก เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด อกุศลกรรมบันดาลสัตว์นรกที่มาเกิดเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้วเหล็กแดงนั้นก็เผาไหม้ไส้พุง ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม
    -บุพกรรม เช่น แสดงตนว่า เป็นคนใจบุญใจกุศล เรี่ยไรทรัพย์ ว่าจะนำไปทำบุญสร้างกุศล แต่กลับยักยอกเงินทำบุญของผู้อื่นมาเป็นของตน การกุศลทำบ้างไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ หลอกลวงผู้อื่น
   ๖.ปิสสะกะปัพพะตะนรก มีภูเขาใหญ่ ๔ ทิศ เคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน กลิ้งไปมาบดขยี้สัตว์นรกที่มาเกิดให้บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียดจนตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก ถูกบดขยี้อีกจนตายเรื่อยไปจนจะหมดสิ้นกรรมของตน
    -บุพกรรม เช่น เคยเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ประพฤติตนเป็นคนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฎร ทำร้ายร่างกาย ขูดรีดเอาทรัพย์เขามาเกินพิกัดอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย
 ๗.ธุสะนรก สัตว์นรกที่มาเกิดในนรกขุมนี้จะมีความกระหายน้ำมาก เมื่อพบสระมีน้ำใสสะอาดก็จะดื่มกินเข้าไป อำนาจของกรรมบันดาล ทำให้น้ำนั้นกลายเป็นแกลบ เป็นข้าวลีบลุกเป็นไฟเผาไหม้ท้องและลำไส้ เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส จากกรรมชั่วที่ทำมา
    -บุพกรรม เช่น คดโกง ไม่มีความซื่อสัตย์ ปนปลอมแปลงอาหารและเครื่องใช้แล้วมาหลอกขายให้ผู้อื่นได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยมิชอบ
  ๘. สีตะโลสิตะนรก เต็มไปด้วยน้ำเย็นยะเยือก เมื่อสัตว์นรกที่มาเกิดตกลงไปก็จะตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมาอีกก็จะถูกจับโยนลงไปอีกเรื่อยไปจนสิ้นกรรมชั่วของตน
    -บุพกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงในบ่อ ในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์เป็นๆ ทิ้งน้ำให้จมน้ำตาย หรือทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้รับความทุกข์
  ๙. สุนะขะนรก เต็มไปด้วยสุนัขนรก ซึ่งมี ๕ พวกคือ หมานรกดำ หมานรกเหลือง หมานรกแดง หมานรกต่างๆ และยังมีฝูงแร้งกา นกตะกรุม สัตว์นรกที่เกิดจะถูกสุนัข แร้ง กา ไล่ขบกัด ตรงลูกตา ปากและส่วนต่างๆ ได้รับทุกขเวทนาจากผลกรรมชั่วทางวจีทุจริต
    -บุพกรรม คือ ด่าว่าบิดามารดา ปู่ย่าตายาย พี่ชายพี่สาวและญาติทั้งหลายไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็น ผู้เฒ่าผู้แก่ ตลอดจนพระภิกษุสงฆ์สามเณร
   ๑๐. ยันตะปาสาณะนรก มีภูเขาประหลาด ๒ ลูก เคลื่อนกระทบกันตลอดเวลา สัตว์นรกที่มาเกิดจะถูกภูเขาบีบกระแทกได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ตายแล้วก็กลับเป็นขึ้นมา จนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วของตน
    -บุพกรรม เช่น เป็นหญิงชายใจบาปหยาบช้า ด่าตีคู่ครองด้วยความโกรธ แล้วหันเหประพฤตินอกใจไปคบชู้เป็นสามีภรรยากับคนอื่นตามใจชอบ

           โลกันตะนรก

    ๐โลกันตะนรกแปลว่า "นรกที่อยู่ระหว่างจักรวาล"

    ๐ นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกดังกล่าวมาแล้ว ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่แปลกประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในระหว่างจักรวาล ๓ จักวาล ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับการเอาดอกบัว ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น
    ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ จักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก  นรกขุมนี้พิเศษสุดคืออยู่นอกจักรวาล
   ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดสนิท แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการเปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น
    สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนักปานภูเขาใหญ่ ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น
ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมนมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า “อโห! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมเราจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงเราผู้เดียวกระมัง”
   เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์ทั้งหลายที่ตายแล้วไปเกิดในที่อันแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง
   ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีอกดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกันแม้กระทั่งกัดกินแขนของตนเอง โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร
   ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้น  เลยพากันดำดิ่งนรกพลัดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว
   สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือกซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลงมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่าง
กายอันใหญ่โตและเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำฉะนั้น
   ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นกัดกินร่างกายอย่างทรมาน และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนรับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด ชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงอาจจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้ แต่บางตนก็อาจหลายพุทธันดร
   ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้ ?
   สัตว์นรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตฆ่าท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก
   แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไปครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีสภาพมืดมนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมา
อุบัติในโลกเรานี้แล้ว    เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งโลกันตนรก  สัตว์นรกที่มาเกิดต้องรับทุกขเวทนาเป็นเวลาพุทธันดรหนึ่งหรือกว่านั้น
   แม้โลกันตนรกจะเป็นนรกขุมใหญ่ที่มืดสนิทไม่มีแสงสว่างเลย แต่จะมีแสงเกิดขึ้นแว้บหนึ่งทำให้สัตว์นรกมองเห็นกันได้ จึงรู้ว่ามีสัตว์นรกอื่นอยู่ด้วยกันมากมาย เหตุการณ์ที่จะทำให้สัตว์นรกในขุมนี้มองเห็นกันได้มี ๕ อย่าง คือ
   ๑. เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงปฏิสนธิในพระครร์ภ์ของพระมารดา
   ๒. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ
   ๓. เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
   ๔. เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องธัมมจักรกัปปวัตนสูตร (ธรรมจักร)
   ๕. เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน

                  ความหมายของกัปป์  

    - กัปป์ หรือ กัลป์ คือ ระยะเวลาแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่นับด้วยวัน เดือน ปีไม่ได้ ถ้าจะนับให้ได้  ให้เขียนเลขศูนย์ลงไป ๑๔๐ ตัว แล้วเติมเลข ๑ ข้างหน้า จึงจะเป็นระยะเวลา ๑ กัปป์ ความหมายของกัปป์ สมมติให้มีหลุมๆหนึ่ง กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ และสูง ๑ โยชน์  เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี ให้หยิบเมล็ดพันธ์ผักกาดออกมา ๑ เม็ด แล้วใส่ลงไปในหลุมให้เต็มจนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็นเวลา ๑ กัปป์ นรกขุมใหญ่ ต้องโทษเพราะไม่เคารพ และผิดในกรรมบถ ๑๐ เมื่อเราเสียชีวิต หากพลาดพลั้งต้องตกนรก กรรมของเราจะถูกพิจารณา คือ กรมหนักที่สุดของเรามีอยู่เท่าไร เทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็จะไปยังขุมใหญ่นั้นๆ เมื่อเสร็จสิ้นจากขุมใหญ่แต่ละขุมแล้ว ต้องไปลงเกิดในนรกขุมบริวารอีก ๔ ขุมเสียก่อน แล้วมาตรวจดูอีกครั้งว่ามีกรรมเหลือเท่าไร จากนั้นจึงมาเปรียบเทียบใหม่ ว่ากรรมที่หนักที่สุดนั้นมีอยู่เท่าไรเทียบได้กับขุมใหญ่ขุมไหน ก็ไปยังขุมใหญ่นั้นๆ ต่อไป ...วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกรรม       

    มหากัปป์ คือระยะเวลา ๑ รอบของวัฏจักร อันเป็นการแตกดับของโลกครั้งหนึ่ง หรือเท่ากับ ๒๕๖ อันตรกัปป์ ๑ มหากัปป์ อุปมาว่ามีหลุมๆหนึ่งซึ่งซึ่งมีพื้นที่ กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ คือ กว้าง  ยาว  และสูงอย่างละ  ๑๖  กิโลเมตร ๑๐๐ ปี ให้เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาด ๑ เมล้ด มาทิ้งลงไปในหลุมนี้ ให้เอามาทิ้งลงไปทุก ๑๐๐ ปี  เมื่อหลุมนี้เต็มด้วยเมล็ดพันธ์ผักกาดแล้วจึงจะเท่ากับเวลา  ๑ มหากัปป์ 

   ๐ตารางการเปรียบเทียบ ประเภทของนรก ขุมใหญ่เรียงลำดับจากเบาไปหาหนัก
    ขุมที่ชื่อ อายุนรก เปรียบเทียบจำนวนวัน หมายเหตุ
     ๑.สัญชีวะนรก อายุขัย ๕๐๐ ปี    วันหนึ่งในนรกขุมนี้ = ๙ ล้านปีมนุษย์ หรือเท่ากับ ๔๕๐๐ ล้านปีมนุษย์
     ๒.กาฬปุตตะนรก อายุขัย ๑๐๐๐ ปี   วันหนึ่งในนรกขุมนี้ = ๓๖ ล้านปีมนุษย์ หรือเท่ากับ ๓๖๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
     ๓.สังฆาฏะนรก อายุขัย ๒๐๐๐ ปี   วันหนึ่งในนรกขุมนี้ = ๑๔๕ ล้านปีมนุษย์  หรือเท่ากับ ๒๙๐๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
     ๔.โรรุวะนรก  อายุขัย ๔๐๐๐ ปี   วันหนึ่งในนรกขุมนี้ = ๒๓๔ ล้านปีมนุษย์  หรือเท่ากับ ๙๓๖๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
     ๕. มหาโรรุวะนรก อายุขัย ๘๐๐๐ ปี   วันหนึ่งในนรกขุมนี้ = ๙๒๑๖ ล้านปีมนุษย์ หรือเท่ากับ  ๗๓๗๒๘๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
     ๖. ตาปะมหานรก  อายุขัย ๑๖๐๐๐ ปี   วันหนึ่งในนรกขุมนี้ = ๑๘๔๒๑๒ ล้านปีมนุษย์ หรือเท่ากับ ๒๙๔๗๓๙๒๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
     ๗. มหาตาปะนรก อายุขัย ๑ ส่วน ๒ กัปป์
     ๘. อเวจีมหานรก อายุขัย ๑ กัปป์

                 จบนรกภูมิ
                  เปรต

   ๐เปรตแปลว่า "ผู้ตายไปแล้ว"

    ถ้าถามว่ารู้จัก "เปรต” หรือไม่ เรามักจะได้คำตอบว่า เปรต ก็คือผีที่มีรูปร่างผอมโซ ตัวสูงเท่าต้นตาล มือใหญ่เท่าใบลาน แต่มีปากเล็กเท่ารูเข็ม จึงกินอะไรไม่ค่อยได้ ชอบปรากฎตัวมาขอส่วนบุญกับผู้อื่น คนที่เกิดเป็นเปรตก็เพราะบาปกรรมที่ทำร้ายพ่อแม่
    นี่คือภาพจำที่เราส่วนใหญ่ได้รับการสั่งสอนมาแต่เด็ก อีกทั้งยังได้เห็นรูปปั้นเปรตตามวัดหลายแห่งก็มีลักษณะดังกล่าว คนส่วนมากจึงคิดว่าเปรตมีเพียงแบบที่ว่าเท่านั้น แต่โดยแท้จริงแล้ว เรื่องราวของเปรตยังมีมากกว่านั้น ถ้าบอกว่า เปรตมีการแบ่งเป็น ๔ ประเภท ๑๒ ตระกูล ๒๑ ชนิด ผู้อ่านหลายคนคงรู้สึกแปลกใจ และคาดไม่ถึง ดังนั้น จึงอยากนำเรื่อง "เปรต”  มาเล่าสู่กันฟัง 
   ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนามีการกล่าวถึง "เปรต” อยู่หลายแห่ง อย่างในไตรภูมิพระร่วงอันเป็นพระราชนิพนธ์ของพญาลิไท (พระธรรมราชาที่ ๓) ที่สอนให้คนกลัวบาปและทำความดี ได้มีการกล่าวถึง "เปรตภูมิ” ว่าเป็นหนึ่งในอบายภูมิ ๔ ซึ่งคนชั่วตายแล้วต้องไปเกิดเพื่อชดใช้กรรม ภูมิทั้ง ๔ ได้แก่ นรกภูมิ ติรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และอสุรกายภูมิ โดยเปรตภูมิ นั้น เป็นดินแดนของผู้ที่ต้องรับกรรมด้วยความทุกข์ทรมานจากความหิวโหยอดอยากบ้าง จากความร้อนหนาวอย่างที่สุดบ้าง จากความเจ็บปวดอย่างที่สุดบ้าง และเปรตมีอยู่หลายจำพวกอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ ทั้งบนเขา ในน้ำในป่า ตามต้นไม้ใหญ่

   บางพวกข้างแรมเป็นเปรต ข้างขึ้นเป็นเทวดา บางพวกเป็นเปรตไฮโซ ได้อยู่ปราสาทแก้ว มีกำแพงแก้ว คูแก้วที่สวยงามล้อมรอบ บางพวกก็มีข้าทาสบริวาร มียวดยานพาหนะขี่ท่องเที่ยวไปในอากาศได้ และมีบางพวกที่มีลักษณะน่าเกลียดน่ากลัว น่าเวทนา ต้องทรมาน เพราะอดข้าวอดน้ำ ต้องกินสิ่งสกปรกโสโครก กินเนื้อหนังของตนเอง ซึ่งความแตกต่างนี้ก็ขึ้นกับความหนักเบาของกรรมชั่วที่ก่อนั่นเอง ดังตัวอย่างเช่น เปรตบางตนตัวงามดั่งทอง แต่ปากเหม็นมาก มีหนอนเต็มปาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเคยรักษาศีลมาก่อนตัวจึงงาม แต่เพราะได้ติเตียนยุยงพระสงฆ์ให้แตกแยก ปากจึงเหม็นมีหนอนเจาะไช เปรตบางตนเคยเป็นนายเมืองตัดสินความโดยรับสินบน กลับผิดเป็นถูก ไม่มีความยุติธรรม เมื่อตายไป จะเป็นเปรตที่มีวิมานเหมือนเทวดา มีเครื่องประดับแก้วแหวนเงินทอง มีนางฟ้า
เป็นบริวาร แต่จะได้รับความลำบากคือไม่มีอาหารจะกิน ต้องเอาเล็บขูดเนื้อหนังตัวเองมากิน เปรตบางพวกกระหายน้ำ แต่ดื่มไม่ได้ เพราะน้ำจะกลายเป็นไฟเผาตน พวกนี้ตอนมีชีวิตอยู่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอลำบากกว่า เอาของเขามาเป็นของตน และชอบใส่ร้ายคนอื่น
  ส่วนในพระไตรปิฎกก็มีการกล่าวถึงพระสาวกว่าได้พบเห็นและมีโอกาสสนทนากับเปรต โดยเปรตแต่ละตนก็จะเล่าว่าตนได้ทำกรรมอะไรบ้างสมัยเป็นมนุษย์ ครั้นตายลงจึงต้องมาเสวยผลกรรมดังที่เห็น
  สำหรับเปรตที่มีการแบ่งเป็นหลายพวกหลายประเภทและมีชื่อเรียกต่างๆ กันที่จะกล่าวต่อไปจากนี้ ส่วนใหญ่จะอยู่ในอรรถกถา ซึ่งเป็นคำภีร์ที่รวบรวมคำอธิบายความในพระไตร ปิฎกในภาษาบาลี เรียกว่า คัมภีร์อรรถกถา บ้าง ปกรณ์อรรถกถาบ้าง แต่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง เพียงแต่เป็นการอธิบายความหรือคำยากเพื่อให้เข้าใจง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมักจะแสดงทัศนะหรือวินิจฉัยของผู้แต่งสอดแทรกเข้าไปด้วย
  อนึ่งในอรรถกถาได้พูดถึง เปตวัตถุ (วัตถุที่นี้ แปลว่า เรื่อง เปตวัตถุ = เรื่องของเปรต) ว่าแบ่งเป็น ๔ ประเภท ได้แก่
      ๑. ปรทัตตูปชีวิกเปรต  คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการรับอาหารที่ผู้อื่นให้ โดยการเซ่นไหว้ เป็นต้น และเป็นเปรตประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์อุทิศให้
      ๒. ขุปปีปาสิกเปรต  คือ เปรตที่อดอยาก จะหิวข้าวหิวน้ำอยู่ตลอดเวลา
      ๓. นิชฌามตัณหิกเปรต  คือ เปรตที่ถูกไฟเผาไหม้ให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
      ๔. กาลกัญจิกเปรต  คือ เปรตจำพวกอสุรกาย มีร่างกายใหญ่โต แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง มีปากเล็กเท่ารูเข็มอยู่บนกลางศีรษะ ตาโปนเหมือนตาปู
      นอกจากแบ่งตามข้างต้นแล้ว ในคัมภีร์โลกบัญญัติปกรณ์ (คัมภีร์ที่อธิบายถึงการเกิดของมนุษย์และภพภูมิต่างๆ) รวมถึง ฉคติทีปนีปกรณ์ (คัมภีร์ว่าด้วยความรู้แจ้งแห่งภพทั้ง ๖) ได้แบ่งเปรตออกเป็น ๑๒ ตระกูลและได้พูดถึงกรรมที่
ทำให้ไปเป็นเปรตแต่ละตระกูล ดังนี้
      ๑. วันตาสาเปรต เป็นเปรตที่กินน้ำลาย เสมหะและอาเจียนเป็นอาหาร กรรมคือ ชาติก่อนเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวเห็นใครมาขออาหารก็ถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่เคารพสถานที่ ถ่มน้ำลายเสลดในสถานที่เหล่านั้น
     ๒. กุณปาสทาเปรต เป็นเปรตที่กินซากศพคนหรือสัตว์เป็นอาหาร กรรมคือ เคยเป็นคนตระหนี่ ใครมาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยต้องการแกล้งประชด ไม่เคารพในทานที่ทำ
     ๓. คูถขาทกเปรต เป็นเปรตที่กินอุจจาระเป็นอาหาร กรรมคือ ตระหนี่จัด เมื่อญาติตกทุกข์ได้ยากหรือมีใครมาขอความช่วยเหลือขอข้าว ขอน้ำ จะเกิดอาการขุ่นเคืองทันที แล้วชี้ให้คนที่มาขอไปกินมูลสัตว์แทน
     ๔. อัคคิชาลมุขเปรต เป็นเปรตที่มีเปลวไฟลุกในปากตลอดเวลา กรรมคือ ตระหนี่เหนียวแน่น ใครมาขอ อะไร ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวเขาดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังกลั่นแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบและเลิกมาขอ
     ๕. สุจิมุขเปรต เป็นเปรตที่มีเท้าใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะกินแต่ละทีต้องทุกข์ทรมานมาก กรรมคือ ใครมาขออาหารก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาจะถวายทานแก่สมณพราหมณ์หรือผู้ทรงศีล หวงทรัพย์
     ๖. ตัณหัฏฏิตเปรต เป็นเปรตที่หิวข้าวหิวน้ำอยู่ตลอดเวลา แม้จะมองเห็นแหล่งน้ำแล้ว พอไปถึงก็กลับกลายเป็นสิ่งอื่นดื่มกินไม่ได้ กรรมคือ เป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อหม้อข้าว ไม่ให้คนอื่นกิน
     ๗. นิชฌามกเปรต เป็นเปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา ตัวสูงชะลูด มือเท้าเป็นง่อย ปากเหม็น กรรมคือ เป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลจะโกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่าท่านเหล่านั้นจะมาขอของๆ ตน จึงแสดงกิริยาหยาบคายและขับไล่ท่านเหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่แก่เฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ก็แกล้งให้ท่าน
ตายไว ตัวจะได้ครองสมบัติของท่าน
     ๘. สัพพังคเปรต เป็นเปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้าคมเหมือนมีดและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาข่วนร่างกายเป็นแผลและกินเลือดเนื้อตัวเองเป็นอาหาร กรรมคือ ชอบขูดรีดหรือเอาเปรียบชาวบ้าน หรือชอบรังแกหยิกข่วนพ่อแม่
     ๙. ปัพพตังคเปรต เป็นเปรตที่มีร่างกายใหญ่โตเหมือนภูเขา แต่ต้องถูกไฟเผาคลอกอยู่ตลอดเวลา กรรมคือ เมื่อเป็นมนุษย์ได้เอาไฟไปเผาบ้านเผาเรือนผู้อื่น
     ๑๐. อชครเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์เดียรัจฉาน และจะถูกเผาไหม้ทั้งวันทั้งคืน กรรมคือ ตอนเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เห็นผู้มีศีลมาเยือนก็มักด่าเปรียบเปรยว่าท่านเป็นสัตว์ เพราะไม่อยากทำทาน
     ๑๑. มหิทธิกเปรต เป็นเปรตที่มีฤทธิ์มากและรูปงามเหมือนเทวดา แต่อดอยากหิวโหยตลอดเวลา เมื่อเจอของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร กรรมคือ ตอนเป็นมนุษย์เคยบวชเรียน และพยายามรักษาศีล จึงมีรูปงาม แต่เกียจคร้านต่อการบำเพ็ญธรรม จิตใจจึงยังเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง
     ๑๒. เวมานิกเปรต เป็นเปรตที่มีวิมานคล้ายเทวดา แต่จะเสวยสุขได้เฉพาะกลางวัน พอกลางคือก็จะเสวยทุกข์กรรมคือ เมื่อเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์  นอกเหนือจากเปรตข้างต้นแล้ว ในพระวินัยและลักขณสังยุตต์พระบาลี ยังได้พูดถึงเปรตอีก ๒๑ จำพวก ได้แก่
   ๑. อัฏฐีสังขสิกเปรต เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีเนื้อ
   ๒. มังสเปสิกเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีกระดูก
   ๓. มังสปิณฑเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อนๆ
   ๔. นิจฉวิเปรต เปรตที่ไม่มีหนังหุ้ม
   ๕. อสิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
   ๖. สัตติโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นหอก
   ๗. อุสุโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
   ๘. สูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
   ๙. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็มอีกแบบ
   ๑๐.กุมภัณฑเปรต เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
   ๑๑.คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
   ๑๒.คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระ
   ๑๓.นิจฉวิตกิเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
   ๑๔.ทุคคันธเปรต เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
   ๑๕.โอคิลินีเปรต เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
   ๑๖.อลิสเปรต เปรตที่ไม่มีศีรษะ
   ๑๗.ภิกขุเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนพระ
   ๑๘.ภิกขุนีเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนนางภิกษุณี
   ๑๙.สิกขมานเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสิกขมานา (สามเณรีที่ได้รับการอบรมเป็นเวลา ๒ ปี เพื่อบวชเป็นภิกษุณี
   ๒๐.สามเณรเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณร

   ๒๑.สามเณรีเปรต เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณรี
      จะเห็นได้ว่า "เปรต” มีอยู่มากมายหลายลักษณะ แม้บางพวกจะมีรูปงามเหมือนเทวดา แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนเปรตชนิดอื่นๆ เช่นกัน ดังนั้น ในขณะที่เรายังโชคดี เกิดเป็นมนุษย์ จึงไม่ควรละโอกาสที่จะทำบุญสร้างกุศล และระมัดระวังที่จะไม่ทำกรรมชั่วทั้งกาย วาจา ใจ เพราะแค่ไปเกิดเป็น "เปรต” ยังทุกข์ยากลำเค็ญไม่น้อยแล้ว และยังเป็นเพียงหนึ่งในอบายภูมิเท่านั้น ถ้าทำบาปหนักหนาสาหัสกว่านั้น ก็ยังมีดินแดนเดรัจฉาน อสุรกาย และนรกที่รออยู่ ซึ่งคงต้องบอกว่า "ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่”

               จบเปตตภูมิ

              อสุรกายภูมิ

    อสุรกายภูมิ มี ๒ จำพวก คือ กาลกัญชกาอสูรกาย ร่างกายผอมสูง ๒๐๐๐ วา ไม่มีเลือด ไม่มีเนื้อ ดั่งใบไม้แห้ง ตาเล็กเท่าตะปู ปากเท่ารูเข็ม ตาและปากอยู่เหนือกระหม่อม เวลากินต้องเอาหัวลง ตีนชี้ฟ้า ลำบากยากนักหนา ทิพย์อสูรกาย ตัวสูงหน้าตาหน้าเกลียด ท้องยานฝีปากใหญ่ หลังหัก จมูกเบี้ยว แต่ยังมีช้างม้า ข้าไท มีรี้พลดังพระอินทร์ อยู่ในอสูรภพ ใต้แผ่นดินลึกลงไปถึง  ๘๔๐๐๐ โยชน์ มีเมืองอสูรใหญ่ ๔ เมือง ๔ ทิศ มีพระยาอสูรอยู่เมืองละ ๒ ทางทิศเหนือมีพระยาอสูรชื่อ ราหู มีอำนาจและกำลังอยู่เหนือพระยาอสูรทั้งหลาย มีร่างกายใหญ่โต ๔๘๐๐ โยชน์ หัวโดยรอบ ๙๐๐ โยชน์ สามารถอมพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าไว้ในปากได้ ตามที่คนทั้งหลายเรียกว่า สุริยคราส หรือ จันทรคราส         
   อสุรกายภูมิ คือ หมู่สัตว์ที่มีความเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง หรือใจคอไม่สนุกสนาน
ภูมิของอสุรกาย เรียกว่า อสุรภูมิ หรืออสุรกายภูมิอสุรกายนี้คาบเกี่ยวกับเทวดา เปรต และสัตว์นรก แต่ความเป็นอยู่ดีกว่า เปรตและสัตว์นรก จึงแบ่งอสุรกายออกเป็น ๓ ประเภท คือ
    ๑. เทวอสุกาย ได้แก่ อสุรกายที่เป็นเทวดา
    ๒. เปตติอสุรกาย ได้แก่ อสุรกายที่เป็นพวกเปรต
    ๓. นิรยอสุรกาย ได้แก่ อสุรกายที่เป็นสัตว์นรก

            เทวอสุรกาย
   เทวอสุรกาย คือ เทวดาจำพวกหนึ่ง เทวอสุรกายที่อยู่ในอสูรพิภพใต้ดาวดึงส์ พวกนี้เคยเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาก่อน แต่ภายหลังเกิดเมาน้ำคันธบาน ถูกจับโยนลงมาจากสวรรค์ มาอยู่ในภพใหม่ใต้เขาสิเนรุ แต่ด้วยเป็นเทวดาที่มีบุญจึงบังเกิดทิพย์สมบัติในอสูรพิภพไม่แตกต่างจากทิพย์สมบัติในดาวดึงส์ มีรูปร่างเหมือนกัน เสวยอารมณ์เหมือนกัน มีอาหารอย่างเดียวกัน อายุขัยเท่ากัน และทำอาวาหะวิวาหะกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ได้ด้วย จึงมักจะนับว่าเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์มากกว่าจะนับเป็นอสุรกาย
   เทวอสุรกายอีกพวกหนึ่ง ชื่อว่า วินิปาติกะอสุรกาย เป็นพวกที่มีฤทธิ์อำนาจเหมือนเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา อาศัยอยู่ตามป่า ภูเขา ต้นไม้ และศาล จึงสงเคราะห์ว่าเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา
   เปตติอสุรกาย มี ๓ พวก คือ
   ๑. กาลกัญจิกเปรตอสุรกาย มีร่างกายใหญ่โต แต่ไม่ค่อยมีเลือดและเนื้อ มีสีคล้ายใบไม้แห้ง ตาโปนคล้ายตาปู มีปากเท่ารูเข็มอยู่กลางศีรษะ  

   ๒. เวมานิกเปรตอสุรกาย กลางวันเป็นเปรต แต่กลางคืนได้เสวยสุขเป็นเทวดา บางทีจึงเรียกว่าเปรต บางทีก็เรียกว่า" อสุรา"
   ๓. อาวุธิกเปรตอสุรกาย  เป็นอสุรกายจำพวกเปรตที่ชอบประหารกันด้วยอาวุธต่างๆ
อสุรกายทั้ง ๓ พวกนี้ มีรูปร่าง การเสวยอารมณ์ และอายุขัย เช่นเดียวกับพวกเปรต จึงสงเคราะห์เข้าเป็นพวกเดียวกับเปรตด้วย
       นิรยอสุรกาย
   นิรยอสุรกาย คือสัตว์นรกที่เกาะเกี่ยวอยู่ขอบเขาจักรวาล อยู่ด้วยความหิวกระหาย ถ้าไต่ไปพบพวกเดียวกันก็จะโผเข้าไปจิกกินเป็นอาหารสัตว์พวกนี้เป็นอยู่ฝืดเคืองจึงเรียกว่า อสุรกาย ในขณะเดียวกันก็ต้องรับทุกข์ทรมานอยู่ในโลกันตนรกไม่เว้นแม้เพียงเสี้ยววินาที ส่วนมากจึงเรียกว่า สัตว์นรก
   ถาม:  อสุรกายคืออะไรมีความเป็นอยู่อย่างไร?
   ตอบ:  อสุรกายภูมิ จัดเป็นอบายภูมิอันดับที่ 3 เป็นปรโลกฝ่ายทุคติ ที่ชื่อว่า อสุรกายภูมิ เพราะเป็นสถานที่ปราศจากความร่าเริง สัตว์ที่ละโลกจากอัตภาพที่เป็นมนุษย์ไปเป็นอสุรกายก็ดี หรือหมดกรรมจากมหานรกมาเป็นอสุรกายก็ดี ย่อมไม่ได้รับความบันเทิงใจ ไม่มีความสนุกสนานร่าเริงอย่างโลกมนุษย์ จะต้องได้รับทุกขเวทนาอย่างเผ็ดร้อนจากผลกรรมชั่วที่ตนกระทำไว้
           อสุรกายภูมิ
  เมื่อได้ทำความรู้จักกับเปรตกันไปแล้ว ยังมีสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจ และมีลักษณะคล้ายคลึงกับเปรตมาก คือ อสุรกาย จนบางครั้งทำให้เราเข้าใจสับสนจนไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ตัวไหนเป็นเปรต ตัวไหนเป็นอสุรกาย ต่อไปนี้ท่านจะได้ทำความเข้าใจในเรื่องของอสุรกายจนสามารถแยกแยะได้ว่า เปรตและอสุรกายแตกต่างกันอย่างไร
   อสุรกายภูมิ จัดเป็นอบายภูมิอันดับที่ ๓ เป็นปรโลกฝ่ายทุคติ ที่ชื่อว่า อสุรกายภูมิ เพราะเป็นสถานที่ปราศจากความร่าเริง สัตว์ที่ละโลกจากอัตภาพที่เป็นมนุษย์ไปเป็นอสุรกายก็ดี หรือหมดกรรมจากมหานรกมาเป็นอสุรกายก็ดี ย่อมไม่ได้รับความบันเทิงใจ ไม่มีความสนุกสนานร่าเริงอย่างโลกมนุษย์ จะต้องได้รับทุกขเวทนาอย่างเผ็ดร้อนจากผลกรรมชั่ว
ที่ตนกระทำไว้ครั้งเป็นมนุษย์ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทุกข์ทรมานเบาบางกว่าในมหานรก อุสสทนรก และยมโลกมาก
     อสูรกาย
   อสุรกายภูมิอยู่ใต้เขาสิเนรุราช ใต้ซอกเขาอีกชั้นหนึ่งในภูมิเดียวกับเปรตที่ตั้งของอสุรกายภูมิ  อสุรกายมีรูปร่างลักษณะคล้ายเปรต เวทนาที่ได้รับก็คล้ายคลึงกันมาก แม้แต่ที่อยู่อันเป็นที่ตั้งของภูมิอสุรกายก็อยู่ที่เดียวกัน คือ อยู่ใต้เขาสิเนรุราช อยู่ในซอกเขาอีกชั้นหนึ่ง อยู่ในภูมิเดียวกับเปรต  
      ลักษณะความเป็นอยู่ของอสุรกาย
  เมื่อกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของอสุรกายทั้งหลาย มีชีวิตอยู่อย่างแสนลำเค็ญเช่นเดียวกับเหล่าเปรตส่วนมาก เช่น อสุรกายบางตนมีสรีระร่างกายน่าเกลียดพิลึกเพราะมีกายผ่ายผอม ตัวสูงชะลูดนับได้เป็นร้อยเป็นพันวาขึ้นไป เนื้อและโลหิตในสรีระร่างกายดูเหมือนไม่มีสักนิด มีแต่หนังหุ้มกระดูก เหมือนสัตว์ตายซาก ประดุจดังใบไม้แห้ง กลิ่นตัวเหม็นสาบเหม็นสางสุดประมาณ มีดวงตาเล็กเท่ากับตาของปูที่เราเห็นกันอยู่ในมนุษยโลก และตาไม่ได้ตั้งอยู่ที่ใบหน้าเหมือนอย่างตาของมนุษย์เรา แต่ว่าตั้งอยู่บนศีรษะตรงกระหม่อม มีปากเล็กมาก ประมาณเท่ารูเข็ม อยู่บนศีรษะกลางกระหม่อมใกล้ๆ กับดวงตา
    อสุรกายจะมีรูปร่างแปลกพิลึกน่าเกลียด  อสุรกายมีความเป็นอยู่ที่ลำบากรูปร่างแปลกพิลึก มีความหิวกระหายอยู่ตลอด  นอกจากจะมีรูปร่างแปลกพิลึกน่าทุเรศดังกล่าวมาแล้ว อสุรกายทั้งหลายยังมีความเป็นอยู่อย่างแสนจะลำบากยากเย็น ต้องเผชิญกับความหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา ด้วยการแสวงหาอาหารนั้น เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความที่มีตาเล็ก ไม่สมกับร่างซึ่งสูงชะลูด มิหนำซ้ำยังตั้งอยู่บนศีรษะกลางกระหม่อมเสียอีก ทำให้มองเห็นอาหารได้ยาก
   แม้เมื่อพบเจออาหารตามอสุรกายวิสัยแล้ว จะกินอาหารแต่ละครั้งก็ยังลำบากเพราะว่าปากตั้งอยู่กลางกระหม่อมบนศีรษะ เวลาจะบริโภคอาหารจึงต้องเอาหัวปักลงมาข้างล่างเอาตีนชี้ฟ้า ต้องตั้งท่าอย่างนี้จึงจะกินอาหารได้ และกว่าอาหารจะเข้าปากไปได้ก็สุดแสนลำเค็ญเพราะว่ามีปากเท่ารูเข็มเท่านั้นเอง ต้องเสวยกรรมเป็นอสุรกายสัตว์อันน่าสงสารทนทุกข์ทรมานเพราะความหิวกระหายอยู่อย่างนี้ นับเป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปี จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้
      เหตุที่ทำให้เกิดเป็นอสุรกาย
  การเกิดมาเป็นอสุรกายมีความทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ก็เพราะผลแห่งการกระทำเมื่อครั้งเกิดเป็นมนุษย์ อกุศลกรรมที่ทำให้เกิดมาเป็นอสุรกาย คือ ความโลภ ความอยากได้ของผู้อื่นในทางมิชอบ เช่น เมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีความโลภเกิดขึ้นทำการประกอบทุจริตกรรมด้วยการปล้นลักขโมย หรือกระทำการฉ้อโกงทรัพย์สมบัติของผู้อื่น โดยไม่รู้จักประกอบอาชีพทำมาหากิน เห็นผู้อื่นมีทรัพย์สมบัติก็เกิดริษยาปรารถนาจะทำลายล้าง หรืออยากจะเอามาเป็นสมบัติของตน แล้วลงมือประกอบอกุศลกรรมเพื่อจะให้ได้มาซึ่งสมบัติอันตนปรารถนา
    เศษกรรมจากการฉ้อโกงส่งผลให้ไปเป็นอสุรกาย  เศษกรรมจากการฉ้อโกง เมื่อพ้นจากทัณฑ์ทรมานในนรกแล้วจึงมาเกิดเป็นอสุรกาย หรือมิฉะนั้น ก็เป็นคนละโมบโลภมากจนหน้ามืด ฉ้อโกงเอาทรัพย์สินอันเป็นของสงฆ์ ซึ่งผู้มีศรัทธาอุทิศถวายสงฆ์ ให้เป็นสังฆทาน หรือเห็นเขาขุดบ่อขุดสระ สร้างสาธารณสถานสำหรับคนทั่วไป ก็อยากจะได้เอามาเป็นของตน เมื่อไม่ได้ก็หาทางทำลายล้าง ไม่ให้ผู้อื่นบริโภคใช้สอยด้วยความริษยา เป็นพาลโดยแท้ ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ อกุศลกรรมเหล่านี้ก็ฉุดกระชากลากลงไปเกิดในนรก ต้องหมกไหม้อยู่ด้วยไฟนรกสิ้นกาลช้านาน ครั้นพ้นจากนรกแล้วเศษบาปยังไม่สิ้นจึงต้องมาถือกำเนิดเกิดในภูมิอสุรกายนี้ ต้องเสวยทุกขเวทนายาวนานไปจนกว่าจะสิ้นกรรม

                                      จบอสุรกายภูมิ

                   ติรัจฉานภูมิ

   ๐ติรัจฉานภูมิ  คือสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหมือนรถที่เราซื้อมาขับ ตอนแรกๆ เราก็ชื่นชม ทะนุถนอมทำความสะอาด เอาใจใส่อย่างดี แต่เมื่อนานวันเข้า ก็กลายเป็นรถเก่าที่ไม่น่าใช้อีกต่อไป  ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมสลาย จากที่เราเคยเห็นว่า ร่างกายที่แข็งแรงในวัยเด็กแลดูน่ารักน่าเอ็นดู เมื่อถึงวัยหนุ่มวัยสาวก็เห็นแต่ความสวยงาม อยากให้อยู่ในวัยนี้นานๆ ครั้นกาลเวลาผ่านไป ก็ย่างเข้าสู่วัยแก่ชราไปตามลำดับ จำต้องประคับประคองสังขารนี้ไว้ จะทอดทิ้งก็ไม่ได้ จะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ต้องอดทนบริหารขันธ์นี้จนกว่าจะสิ้นลม แต่ก่อนสังขารนี้จะแตกดับ ควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการสร้างความดีให้ได้มากที่สุด จะต้องให้เป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในให้ได้ เพื่อชีวิตในภพชาติต่อไปที่สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป  
    มีวาระพระบาลีที่ปรากฏอยู่ใน มหาวรรคสังยุตต์ ว่า  "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดในพวกเทวดาหรือมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วกลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ในเปตติวิสัย มีมากกว่า ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแล เธอทั้งหลาย พึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา "
   นี่เป็นพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเตือนภิกษุสาวกให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะพระองค์ทรงรู้เห็นด้วยพุทธญาณอันบริสุทธิ์ ที่ไม่มีอะไรสามารถปิดบังญาณทัสสนะของพระองค์ได้ จึงทรงนำมาแสดงและตักเตือนให้สาวกพุทธบริษัททั้ง ๔ ดำเนินให้ถูกทางเพื่อไปสู่พระนิพพาน คือให้รู้จักอริยสัจ ๔ ประการ ตั้งแต่ให้รู้ว่า ชีวิตนี้เป็นทุกข์ แล้วมองสาวไปหาเหตุว่า ทุกข์เกิดมาจากไหน ถ้าทุกข์ชนิดนี้เกิดขึ้นมาแล้ว จะดับทุกข์ได้อย่างไร และวิธีการหรือปฏิปทาที่จะนำไปสู่การดับทุกข์นั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง
   ถ้าหากกำหนดรู้และหมั่นประพฤติปฏิบัติตามหลักอริยสัจนี้ได้ เป็นอันปิดประตูอบายภูมิ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้กัน และดูเหมือนว่าไม่อยากจะได้ยินได้ฟัง เพราะมันขัดกับความรู้สึกและสวนทางกับกิเลสที่อยู่ในตัว เกิดมาจึงรู้แต่วิชาทำมาหากิน รู้แต่เรื่องโลกๆ ที่เป็นวิชาความรู้เอาไว้ยังชีพในชาตินี้เท่านั้น แต่ความรู้ที่เป็นวิชาของชีวิตที่จะทำให้พ้นจากอบายภูมิ และยกตนสู่สวรรค์นิพพานนั้นหาได้ยาก แทบจะไม่มีเรียนที่ไหนนอกจากในพุทธศาสนาเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตหลังความตายจึงยากที่จะได้ขึ้นสวรรค์หรือกลับมาเป็นมนุษย์อีก
   * เหมือนในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถามภิกษุว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝุ่นเล็กน้อยที่เราช้อนขึ้นไว้ในปลายเล็บกับฝุ่นในแผ่นดินใหญ่นี้ อันไหนจะมากกว่ากัน” พระภิกษุกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ที่ปลายเล็บมีประมาณน้อยกว่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่ และไม่สามารถจะนำมาเปรียบเทียบกันได้แม้เพียงเศษเสี้ยว พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์จึงเผยสิ่งที่อยากตรัสกับภิกษุว่า “ภิกษุทั้งหลาย ฉันใดฉันนั้น สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดในพวกเทวดาหรือมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้ สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ในเปตวิสัยมีมากกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะหมู่สัตว์ไม่เห็นอริยสัจ ๔”
   เมื่อกล่าวถึงการไปเกิดมาเกิดของสรรพสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏแล้ว ที่ผ่านมาอาตมาได้เล่าถึงชีวิตหลังความตายของมนุษย์ผู้ทำบาปอกุศลไว้ว่า ต้องไปบังเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสรุกาย  และสัตว์เดรัจฉานตามลำดับเรื่อยมา ครั้งนี้อาตมาขอถือโอกาสอธิบายถึงอบายภูมิประเภทสุดท้าย ซึ่งถือว่าได้รับความลำบากในอีกรูปแบบหนึ่ง คือมีขันธ์ของสัตว์เดรัจฉานมาครอบ
   ติรัจฉานภูมิหรือโลกแห่งสัตว์เดรัจฉานนี้ เห็นได้ง่ายกว่าในนรก ในเปรตอสุรกาย เพราะอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ พวกเราคงพอจะสังเกตได้ว่า สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องเสวยทุกขเวทนาหนักเหมือนสัตว์นรก เปรต และอสุรกาย เพราะว่ามีอกุศลบางเบาลงมามากแล้ว บางครั้งเราจะเห็นสุนัขบางตัวได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เจ้าของรักใคร่เอ็นดูเหมือนลูกคนหนึ่งทีเดียว แต่นั่นก็มีจำนวนน้อย เมื่อนำมาเทียบกับเดรัจฉานอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีอยู่ในโลกนี้
    สัตว์เดรัจฉานแม้ว่าจะลำบากยากแค้นอยู่มาก แต่ก็ยังมีเหตุที่พอจะให้ชื่นชมยินดีอยู่ ๓ อย่างด้วยกันคือ การกิน การนอนและการสืบพันธุ์ ดังนั้นท่านจึงเรียกว่าติรัจฉาน  นอกจากนี้ยังหมายความว่า “โลกของสัตว์ผู้ไปตามขวาง” ก็ได้ คือเวลาจะไปไหนมาไหน ต้องไปตามขวาง เช่น สุนัข หมู วัว ควาย เป็นต้น ผิดกับมนุษย์ซึ่งไปตามตรง
   นอกจากร่างกายของสัตว์เดรัจฉานจะมีสภาวะไปทางขวางตามที่อาตมาได้เล่ามาเเล้ว ในส่วนจิตใจก็ยังขวางอีกด้วย คือขวางจากทางมรรคผลนิพพาน ชีวิตในภพชาตินั้นจึงไม่มีโอกาสจะได้บรรลุธรรม ถึงจะทำดีมากเท่าไร จะมีจิตใจประเสริฐมากแค่ไหน การที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติที่เป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นอภัพพสัตว์ จัดอยู่ในจำพวกอบายภูมิ จะได้อย่างมากก็เพียงสวรรค์สมบัติเท่านั้น
   ติรัจฉานเมื่อจะแยกเป็นประเภทใหญ่ๆ มีอยู่ ๔ ประเภท คือ 

    ๑.อปทติรัจฉาน คือสัตว์เดรัจฉานประเภทที่ไม่มีเท้าไม่มีขา จะไปไหนก็เลื้อยไป ได้แก่ งู ปลา และไส้เดือน เป็นต้น 

    ๒.ทวิปทติรัจฉาน เป็นสัตว์ประเภทมี ๒ ปีก และ ๒ ขา ได้แก่ แร้ง กา นก เป็ดไก่ เป็นต้น 

    ๓.จตุปทติรัจฉาน มี ๔ ขา เช่น สุนัข แมว ช้าง ม้า วัว เป็นต้น และประเภทสุดท้าย            ๔.พหุปทติรัจฉาน มีขามาก ได้แก่ กิ้งกือ ตะเข็บ ตะขาบ เป็นต้น
   โดยทั่วไปของสัตว์เดรัจฉานต้องแสวงหาอาหารกินเองตลอดเวลา ซึ่งกว่าจะได้ก็ยากลำบาก เช่น สัตว์ป่าทุกชนิด หรือนก หนู กา ไก่ ที่อยู่ใกล้ๆ เราเป็นตัวอย่าง ต้องระแวงภัยอยู่เป็นนิตย์ เกิดความสะดุ้งกลัวภัย ไหนจะภัยจากมนุษย์ ไหนจะภัยจากสัตว์ใหญ่กว่าที่คอยจ้องจับเอาเป็นอาหาร ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่อย่างนี้ไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ เหล่าสัตว์ที่มาเกิดในติรัจฉานภูมินี้ ก็เพราะได้ทำบาปกรรมไว้ ครั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ต้องไปตกนรกเป็นเวลายาวนาน เมื่อพ้นกรรมจากนรกแล้ว เศษกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องไปเกิดเป็นเปรตเป็นอสุรกาย
   ถ้าไปเกิดเป็นเปรตอสุรกายแล้ว แต่ว่าเศษบาปยังเหลืออยู่ ก็ต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในติรัจฉานภูมินี้ นี่ก็เป็นอีกจำพวกหนึ่ง บางประเภทละจากอัตภาพมนุษย์ก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเลยก็มี เพราะจุติปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลายนั้นไม่แน่นอน จะยุติลงที่ตรงไหนนั้น ก็แล้วแต่กรรมนิมิตที่สร้างเอาไว้ กรรมนิมิตจะบันดาล หรือความหมอง
ความใสของใจจะนำพาไป
   เนื่องจากอัตภาพของเดรัจฉาน รูปกายไม่อำนวยที่จะทำให้พูดคุยกับมนุษย์ได้ แต่กายละเอียดของเขาเป็นคน เรารักสุขเกลียดทุกข์มากเพียงไร  สัตว์เดรัจฉานก็มีความรักตัวกลัวตาย รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนพวกเรานี่แหละ ให้รู้เถอะว่า สัตว์เดรัจฉานนั้น ก็คืออดีตมนุษย์ที่ทำบาปอกุศลเอาไว้นั่นเอง ถ้าหมดกรรมเมื่อไรและบุญส่งผล ก็สามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก มาสร้างบุญบารมีกันใหม่ เพื่อจะได้ไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือพระนิพพาน ดังนั้น ในขณะนี้พวกเราได้กายมนุษย์ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสและโชคอันประเสริฐที่สุดแล้ว ก็ให้ใช้สังขารร่างกายนี้ สร้างบารมีให้เต็มที่เต็มกำลังความสามารถ จะได้ไม่พลาดไปบังเกิดในอบาย ชีวิตของเราจะได้สร้างบารมีให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปกันทุกคน

                จบติรัจฉานภูมิ

 

        

 

 

          

 

 

     

 

 

 

 

 

 

 

ป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 139,922