หน้าที่ ๑๐ มนุสสภูมิ

                                      มนุสสภูมิ

                

                         มนุสสภูมิ
   มนุสสภูมิ  คือแผ่นดินอันเป็นสถานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ทั้งหลาย  อันได้แก่ทวีปทั้ง  ๔ ทวีป คือ:-
     ๑.ชมพูทวีป  อยู่ทางด้านทิศใต้ ของภูเขาพระสุเมรุ ให้ดูรูปภาพข้างบนประกอบอายุขัยของมนุษย์ในทวีปนี้   ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการทำบุญหรือทำบาปกรรม แต่ในทวีปนี้มีข้อดีพิเศษกว่า ๓ ทวีปเหล่านั้นอยู่  ๓  ประการ คือ:-         

        ๑.เป็นที่เกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า

        ๒.เป็นที่เกิดขึ้นของพระเจ้าจักรพรรดิราช

        ๓.เป็นที่เกิดขึ้นของพระอรหันต์

     มนุษย์ในชมพูทวีปนี้รักษาศีล ๕ ได้ไม่ครบทุกข้อ  บางคนก็ครบทุกข้อ  แต่บางคนก็ไม่ครบทุกข้อ คนรักษาศีล ๕ ไม่ครบทุกข้อนั้นมีเยอะมาก
    ๒.บุรพวิเทหะทวีป อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของภูเขาพระสุเมรุ  มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร  มีอายุยืนได้ ๗๐๐ ปี  รักษาศีล ๕ ได้ครบทุกข้อ

   ๓.อุตรกุรุทวีป อยู่ทางด้านทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุ  มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้   มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ ได้ครบทุกข้อจนตลอดอายุขัย  มีอายุยืนได้ ๑๐๐๐ ปี ทุกคนเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ตลอดเวลา ได้อาศัยอยู่ตามโพรงไม้ ไม่ต้องทำงานใด ๆ แต่งตัวสวยงาม มีกับข้าวอาหารและที่นอนเกิดขึ้นตามใจปรารถนา
    ๔.อมรโคยานทวีป อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของภูเขาพระสุเมรุ  มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ มีอายุยืนได้ ๕๐๐ ปี  รักษาศีล ๕ ได้ครบทุกข้อ

    นอกจากทีปใหญ่ ๔ ทวีปนี้แล้ว  แต่ละทวีปยังมีทวีปน้อยเป็นบริวารอีกทวีปละ ๕๐๐
   
           กำเนิดของสิ่งมีชีวิตมี  ๔ ประการ
    ๑.อัณฑชะ  คือการเกิดจากไข่ เช่น พวกเต่า ไก่ ปลา และงู
    ๒.ชลามพุชะ คือการเกิดจากปุ่มเปือกและมีรกห่อหุ้ม ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย และคน
    ๓.สังเสทชะ  คือการเกิดจากใบไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ ละออง ดอกบัว หญ้าเน่า โลหิต เนื้อเน่าและเหงื่อไคลและที่เปียกชื้น ได้แก่ หนอน แมลง บุ้ง ริ้น ยุง คนที่เกิดแบบนี้จะไม่ได้เกิดในครรภ์มารดา หรือถ้าเกิดในครรภ์ก็จะไม่มีรกห่อหุ้มแต่เมื่อเกิดมาแล้วก็เล็กเป็นทารกแล้วค่อยๆ เจริญวัยขึ้นเป็นปกติ
    ๔.โอปะปาติกะ เกิดขึ้นเองแล้วโตเต็มที่ ไม่เติบโตขึ้นที่ละน้อยเหมือนสามพวกแรก  ได้แก่ สัตว์นรก เทวดา พรหม ซึ่งลงมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้มีบุญใหญ่มักมีกำเนิดเป็นอุปาติกะ เช่น พระยาลาวจังกราช กษัตริย์องค์แรกแห่งเมืองเชียงแสน แคว้นโยนกแต่เดิมเป็นเทวดา เมื่อได้รับบัญชาให้ลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ก็ลงมาเกิดทันทีๆที่ลงมาถึงโลกมนุษย์ก็
โตเป็นหนุ่มเลย
     มนุษย์ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นชลามพุชะ แต่ที่เกิดเป็นอุปปาติกะ เช่น นางอัมปาลิคณิกา (อัมพปาลิกา) หญิงโสเภณีซึ่งต่อมามีบุตรชื่อ โกณฑัญกุมาร  ทั้งนางและบุตรได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาต่อมา และบรรลุอรหันต์ทั้งคู่
  สาเหตุที่สตรีจะตั้งครรภ์ได้นั้นมี ๗ ประการ คือ:-
       ๑.เพราะเสพสังวาสอยู่ร่วมกับบุรุษ
       ๒.เพราะเอาเสื่อผ้า เครื่องนุ่งห่มของชายที่ตนรักมานุ่ง มาห่มชมเชยแทนตัวชาย
       ๓.เพราะได้กินน้ำกามราคะของชายที่ตนรัก
       ๔.เพราะถูกชายลูบคลำเนื้อตัวและท้อง แล้วตนมีใจยินดีรักชายนั้น
       ๕.เพราะตนรักบุรุษแล้วบุรุษนั้นกลายมาเป็นสตรีตนก็ยินดี
       ๖.การได้ยินเสียงของบุรุษคนที่ตนรักใคร่พูดจาด้วยแล้วเกิดความกำหนัดยินดีในเสียงของเขาก็ทำให้สตรีตั้งครรถ์ได้
       ๗.เพราะได้ดมกลิ่นบุรุษที่ตนรัก
    จะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักคือ ข้อที่ ๑ ส่วนข้อที่ ๒ - ๗ นั้นเป็นมูลเหตุที่จะทำให้เกิดสาเหตุข้อที่ ๑ ได้ ดังนั้นคำสอนของคนโบราณนั้นไม่ได้ล้าสมัยเลย  การเกิด ๗ ประการตามที่กล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่สตรีควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ในภาวะที่ยังไม่มีความพร้อมในการจะมีครอบครัว หรือวุฒิภาวะยังไม่พร้อมพอ  เนื่องจากปัญหาอื่น ๆ อาจจะตามมาอีก
    ส่วนสตรีที่ยังสาวทุกคนจะตั้งครรภ์ได้ และลูกจะอยู่ในท้องน้อย เมื่อลูกจะปฏิสนธินั้นต้องเป็นระยะที่หมดประจำเดือนแล้ว ๗ วัน และถ้าตั้งท้องแล้วจะไม่มีประจำเดือนอีก สตรีที่มีสามีแล้วจึงควรมีลูก ส่วนสตรีที่ไม่สามารถมีลูกได้เป็นเพราะกรรมของผู้มาเกิดนั้นเป็นเหตุคือทำให้เกิดลมในท้องและพัดต้องครรภ์ทำให้แท้งตายได้ หรือบางครั้งก็มีตัวพยาธิมากิน พยาธิตัวนี้เรียกซวงกินลูก
    สัตว์ที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาเมื่อแรกก่อตัวมีลักษณะเป็น กลละ มีขนาดเล็กที่สุดเหลือที่จะนึกเห็น (คือ เป็นเซลล์ ๆ เดียวนั่นเอง) เปรียบได้กับการนำเส้นผมชาวอุตตรกุรุทวีป (ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมชาวชมพูทวีปถึงแปดเท่า) มาชุบน้ำมันงาอันงามใสแล้วสลัดเสียเจ็ดครั้ง ถ้าเหลือน้ำมันย้อยลงตรงปลายผมเท่าใด ก็ยังถือว่าใหญ่กว่า กลละ ถ้าจะเปรียบให้เท่ากันก็ต้องใช้ขนเนื้อทรายที่มีเชื้อชาติอุณนาโลม ซึ่งอยู่ที่เชิงเขาหิมพานต์ เนื้อทรายชนิดนี้มีขนเส้นเล็กกว่าผมชาวอุตรกุรุทวีป  เมื่อเอาขนเนื้อทรายนี้ชุบน้ำมันงาอันสวยงามแล้วเอามาสลัด ๗  ครั้ง น้ำมันที่ย้อยลงมาปลายขนทรายจะมีขนาดใหญ่เท่ากลละ
    ต่อจากนี้ กลละ ก็เจริญเติบโตขึ้น เพราะมีธาตุทั้ง ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบ) เมื่อครบ ๗ วัน จะเป็นน้ำล้างเนื้อ ต่อมาอีก ๗ วันจะข้นเป็นชิ้นเนื้อ ต่อมาอีก  ๗ วัน จะแข็งเป็นก้อนดังไข่ไก่แล้วค่อยโตขึ้น   อีก ๗ วันก็เป็นตุ่มราวหัวหูดขึ้น ๕ แห่ง เรียกว่า ปัญจสาขา ( ศีรษะ มือ เท้า) อีก ๗ วันเป็นฝ่ามือ นิ้วมือ แล้วจึงเป็นขนเป็นเล็บ และอื่นๆครบถ้วนอาการ ๓๒ ประการ เป็นตัวเด็กนั่งอยู่กลางท้องแม่ เอาหลังมาต่อหนังท้องแม่ อาหารที่แม่กินเข้าไปก่อนจะอยู่ใต้กุมารนั้น  อาหารที่แม่กินเข้าไปทีหลังจะอยู่เหนือกุมารและทับหัวกุมารนั้นอยู่ กุมารจึงได้รับความลำบากยิ่งนักเพราะในท้องแม่เป็นที่ชื้น เหม็นกลิ่นเน่าอันเกิดจากอาหารที่แม่กินเข้าไป และกลิ่นพยาธิที่อยู่ในท้องแม่อันนับได้ ๘๐ ครอก 

   กุมารนั้นนั่งยองๆ กำมือทั้งสอง คู้ตัวต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือเขาเหมือนกับลิงที่นั่งกำมือซบเซาเมื่อตอนฝนตก อยู่ในโพรงไม้นั้น  และในท้องของแม่ก็ร้อนดังอยู่ในหม้อต้ม แม้อาหารที่แม่กินเข้าไปก็ไหม้และย่อยได้ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุในร่างกาย แต่ตัวกุมารไม่ไหม้ตายก็เพราะด้วยบุญที่จะเกิดเป็นคนนั่นเอง กุมารเมื่ออยู่ในท้องแม่นั้น ไม่เคยได้หายใจเข้าออก ไม่เคยได้เหยียดมือ เหยียดเท้าออกเลย ต้องทนทุกข์ทรมานเจ็บเนื้อเจ็บตัวดังคนที่เขาเอายัดใส่ไว้ในไหอันคับแคบ  ยามแม่เปลี่ยนอิริยาบถแต่ละครั้งไม่ว่าจะยืน เดิน นั่งหรือนอน กุมารนั้นก็จะเจ็บราวจะตาย เปรียบได้กับลูกงูที่หมองูเอาไปเล่น  สายสะดือของกุมารนั้นกลวงดังสายบัวที่ชื่อ อุบล ปลายไปติดเกาะอยู่ที่หลังท้องแม่ ข้าว น้ำ และอาหารอันใดที่แม่กินเข้าไปพร้อมด้วยโอชารสก็จะเป็นน้ำชุ่มเข้าไปในสะดือ แล้วเข้าไปในท้องกุมารเพื่อเลี้ยงชีวิตให้เติบโตต่อไป
    กุมารนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในท้องนานนักหนา บ้างก็ ๗ เดือน บ้าง ก็ ๘ เดือน  บ้างก็ ๙ เดือน บ้างก็ ๑๐ เดือน หรือครบขวบปี จึงคลอดออกจากท้องแม่  กุมารใดอยู่ในท้องแม่พียง ๖ เดือน เมื่อคลอดแล้วก็อาจจะไม่รอดชีวิต  คนที่อยู่ในท้องแม่ ๗ เดือน จะเป็นคนอ่อนแอ ไม่ทนแดดทนฝน  คนผู้ใดจากนรกมาเกิด เมื่ออยู่ในท้องแม่ แม่จะเดือดเนื้อร้อนใจตระหนก และกระหาย
    คัมภีร์พรหมจินดากล่าวถึงอาหารแพ้ท้องว่า
     -ถ้ามารดาอยากกิน ปลา เนื้อ และของสดคาว ท่านว่าสัตว์นรกมาเกิด
     -ถ้ามารดาอยากกินน้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล ท่านว่ามาแต่สวรรค์ เทวดามาเกิด
     -ถ้ามารดาอยากกินสรรพผลไม้ ท่านว่าดิรัจฉานมาเกิด
     -ถ้ามารดาอยากกินดิน ท่านว่าพรหมลงมาเกิด
     -ถ้ามารดาอยากกินสิ่งเผ็ดร้อน ท่านว่ามนุษย์มาเกิด
    เมื่อกุมารในครรภ์เป็นสัตว์นรกมาเกิด แม่ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยและเมื่อคลอดออกมาแล้ว กุมารนั้นก็ร้อน  ผู้ที่จากสวรรค์มาเกิด เมื่ออยู่ในท้องจะอยู่เย็นเป็นสุข มารดาก็อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อคลอดออกมากุมารนั้นก็เย็นเนื้อเย็นใจ ผู้ใดที่เคยเป็นสัตว์นรกหรือเป็นเปรตมาก่อน เมื่อคลอดออกมาก็ร้องไห้ เพราะคิดถึงความลำบากที่ล่วงมาแล้ว ถ้ามาจากสวรรค์ก็หัวเราะก่อนเพราะคิดถึงความสุขแต่หนหลัง
    คนเราเมื่อมาเกิดในท้องแม่และเมื่อออกจากท้องแม่ไม่รู้เดียงสา ไม่รู้อะไรจำอะไรไม่ได้ทั้งหมด ส่วนผู้ที่จะมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตาขีณาสพเจ้า และจะมาเป็นพระอัครสาวก จะรู้อะไรทุกอย่างตั้งแต่ถือกำเนิดมาเป็นคน  แต่เมื่อออกจากท้องแม่ก็ย่อมหลงลืมไปเช่นคนทั้งหลาย ส่วนพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายคือชาติที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรกมาปฏิสนธิ เมื่ออยู่ในครรภ์และเมื่อออกจากครรภ์ 

   เมื่ออยู่ในครรภ์ก็ไม่ได้นั่งจับเจ่าห่อตัวเหมือนกับคนทั้งหลาย แต่จะนั่งแพนงเชิง (นั่งขัดสมาธิ)  อย่างนักปราชญ์นั่ง มีรัศมีจากกายตัวเรืองงามดั่งทองทะลุพุ่งออกมาภายนอกท้อง พระมารดาและผู้อื่นก็แลเห็น รุ่งเรืองงดงามดังเอาไหมแดงมาร้อยแก้วขาว ความใสของแก้วทำให้มองเห็นไหมแดงที่อยู่ภายในได้ และเมื่อจะเสด็จออกจากครรภ์มารดาลมอันเป็นบุญนั้นก็ไม่ได้พัดเอาหัวมาเบื้องต่ำให้เท้าขึ้นข้างบนเหมือนฝูงคนทั้งหลาย แต่พระองค์จะเหยียดเท้าออกลุกขึ้นยืนและเสด็จออกจากครรภ์มารดาส่วนพระโพธิสัตว์ในชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชาติสุดท้ายจะเป็นปกติเหมือนคนทั้งหลาย เมื่อใดที่พระโพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าลงมาปฏิสนธิ หรือมาประสูติ แผ่นดินทั่วโลกธาตุจะหวั่นไหวเป็นเครื่องหมายหรือนิมิตบอกให้รู้ว่า พระโพธิสัตว์มาเกิด เรียกว่าแผ่นดินไหวทั่วทั้งหมื่นจักรวาล น้ำที่ชูแผ่นดินก็ไหว น้ำมหาสมุทรก็ฟูมฟอง เขาพระสุเมรุก็หวั่นไหวด้วยบุญสมภารของพระองค์
    ฝูงคนทั้งหลายเมื่อออกจากท้องแม่ จะเกิดเป็นลมกรรมชวาตพัดให้ศีรษะคล้อยต่ำลงสู่ที่จะออกอันคับแคบนักหนา ดุจดังฝูงสัตว์นรกอันยมบาลกุมตีนและหย่อนหัวลงในขุมนรกอันลึกได้ร้อยวา เมื่อคลอดออกมากุมารนั้นก็เจ็บเนื้อนักหนาเปรียบได้กับช้างสารที่เขาเข็นออกทางประตูเล็กและแคบ หรือมิฉะนั้นก็เปรียบกับสัตว์นรกที่ถูกคังไคยบรรพตบดทับไว้ เมื่อพ้นท้องแม่แล้วลมในท้องกุมารก็พัดออกก่อน ลมภายนอกจึงพัดเข้าไปถึงลิ้นกุมารนั้น กุมารจึงรู้จักหายใจเข้าออก  ฝูงคนทั้งหลายในโลกแม้องค์พระโพธิสัตว์เมื่อออกจากท้องแม่แล้ว ด้วยเหตุที่แม่มีใจรักเลือดในอกแม่จึงกลายเป็นน้ำนมไหลออกมาให้ลูกได้ดูดกิน
    ลูกที่เกิดมาแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ:-
       ๑.อภิชาตบุตร   คือบุตรเฉลียวฉลาด นักปราชญ์ รูปงาม มั่งมี มียศถาบรรดาศักดิ์ มีกำลังยิ่งกว่าพ่อแม่
       ๒.อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความรู้ รูปโฉม และกำลังเท่ากับพ่อแม่
      ๓.อวชาตบุตร คือบุตรที่ด้อยกว่าพ่อแม่ทุกประการ
    คนทั้งหลายแบ่งเป็น ๔ ชนิด คือ:-
       ๑.คนนรก : ผู้ทำบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  บาปนั้นตามทันถูกตัดตีนมือ และทุกข์โศกเวทนา
       ๒.คนเปรต : คนที่ไม่เคยทำบุญเลยตั้งแต่ชาติปางก่อน เกิดมาเป็นคนเข็ญใจ เสื้อผ้าแทบไม่มีพันกาย อดอยากไม่มีกิน รูปโฉมขี้ริ้วขี้เหร่
       ๓.คนเดรัจฉาน : คนที่ไม่รู้บาป บุญ ไม่มีเมตตากรุณา ไม่รู้จักยำเกรงผู้ใหญ่ ไม่รู้จักปฏิบัติพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ไม่รักพี่รักน้อง กระทำบาปอยู่เสมอ
       ๔.มนุษย์: คนที่รู้จักบาปบุญ รู้กลัว ละอายต่อบาป รักพี่รักน้อง มีเมตตากรุณา  ยำเกรงผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครูอาจารย์รู้จักคุณพระรัตนตรัย
      มนุษย์ทั้งหลายแบ่งออกเป็น  ๒ จำพวก คือ:-
      ๑.อันธปุถุชน เมื่อตายไปย่อมก็จะไปเกิดในจัตุราบาย คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นคนทุพพลภาพ  เป็นคนอัปลักษณ์บัดสี เป็นคนโหดเพราะไม่รู้จักการทำบุญ
      ๒.กัลยาณปุถุชน  เมื่อตายไปก็ไปเกิดในสวรรค์
   ลำดับการกำเนิดของมนุษย์ ในไตรภูมิพระร่วง  เริ่มจาก
          -ปฏิสนธิ     = กัลละ (ขนาด เศษ ๑ ส่วน  ๒๕๖ ของเส้นผม)
          -๗       วัน  = อัมพุทะ (น้ำล้างเนื้อ)
          -๑๔     วัน  = เปสิ (ชิ้นเนื้อ)
          -๒๑     วัน  = ฆนะ (ก้อนเนื้อ, แท่งเนื้อ ขนาดเท่าไข่ไก่)
          -๒๘     วัน  = เบญจสาขา (มีหัว แขน ๒ ขา ๒) เมื่อครบ ๑ เดือน
          -๓๕     วัน  = มีฝ่ามือ นิ้วมือ ลายนิ้วมือ
          -๔๒     วัน  = มีขน เล็บมือ เล็บเท้า (เป็นมนุษย์ครบสมบูรณ์)
          -๕๐     วัน  = ท่อนล่างสมบูรณ์
          -๘๔     วัน  =  ท่อนบนสมบูรณ์
          -๑๘๔  วัน  = เป็นเด็กสมบูรณ์ นั่งกลางท้องแม่ ( ๖ เดือน)
    การคลอด -  ท้อง ๖ เดือนคลอด ทารกนั้นไม่รอด    ท้อง ๗ เดือนคลอด ทารกนั้นไม่แข็งแรง  ๙ เดือนคลอดดี  ๑๐ เดือนคลอดดีที่สุด  
    ภูมิของมนุษย์เป็นภูมิระดับที่สูงกว่าอบายภูมิ เป็นชั้นแรกของสุคติภูมิ แต่ยังรวมอยู่ในภูมิใหญ่คือ กามภูมิ สัตว์อันเกิดในมนุษยภูมินี้ แรกก่อกำเนิดในครรภ์เรียก กลละ รูปเมื่อเริ่มในครรภ์ มีรูป ๘ รูป คือ:-
    ๑.ปฐวีรูป     คือ ดิน
    ๒.อาโปรูป   คือ น้ำ
    ๓.เตโชรูป    คือ ความร้อน
    ๔.วาโยรูป    คือ ลม
    ๕.กายรูป     คือ ตัวตน
    ๖.ภาวรูป      คือ เพศ
    ๗.หทัยรูป    คือ ใจ
    ๘.ชีวิตรูป     คือ ชีวิต
   ก่อกำเนิดจาก ๓ สิ่งนี้ก่อน คือ กายรูป ภาวรูป หทัยรูป  ผสมรวมกันเป็นหนึ่งแล้วรวมกับ ปฐวี อาโป เตโช วาโย วณโน คนโธ รโส โอชา  ประกอบกันเป็นองค์ ๙ แล้ว จักษุ-ตา โสต-หู ฆาน-จมูก ชิวหา-ลิ้น จึงตามมา เมื่อเริ่มเป็นกลละได้ ๗ วัน นั้นก็เป็นดั่งน้ำล้างเนื้อ
   ต่อไปอีก ๗ วัน ข้นธ์ทั้งหลายก็เป็นดั่งตระกั่วหลอม อีก ๗ วัน ก็แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่ อีก ๗ วันต่อมาเป็นตุ่มออก ๕ แห่ง ตุ่มนั้นเป็นมือ ๒ ตีน ๒ หัว ๑ แล้วต่อไปอีก ๗ วัน เป็นฝ่ามือ นิ้วมือ ผม ขน เล็บ และอวัยวะอื่นๆ อันประกอบเป็นมนุษย์กุมารนั้น นั่งกลางท้องแม่ เอาหลังชนท้องแม่ ฝูงกุมารมนุษย์อันเกิดมาดีกว่า เก่งกว่าพ่อแม่ เรียกว่า อภิชาตบุตร ดีเสมอพ่อแม่เรียกว่า อนุชาตบตร ด้อยกว่าพ่อแม่เรียกว่า อวชาตบุตร


            เรื่องของชมพูทวีป
    ๐ ชมพูทวีป  คือเกาะหรือแผ่นดินผืนใหญ่ที่มีต้นไม้หว้าใหญ่เป็นสัญญาลัษณ์ของทวีป
เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อว่า "ชมพูทวี"  คือเรียกชื่อตามต้นไม้ประจำทวีป คือต้นหว้านั่นเอง
    ชมพูทวีปมีเนื้อที่ทั้งหมด ๑๐๐๐๐ โยชน์  และมีทวีปน้อยเป็นบริวารอีก ๕๐๐ ทวีป และเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์   ๓๐๐๐ โยชน์   เป็นป่าหิมวันต์ ๓๐๐๐ โยชน์   และเป็นน้ำทะเล ๔๐๐๐ โยชน์  ชมพูทวีปและทวีปน้อย ๕๐๐ ทวีป ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนนีลสาคร คือทะเลที่มีน้ำเป็นสีเขียว
   ในชมพูทวีปมีต้นหว้าใหญ่ที่เป็นไม้ประจำทวีปนี้ วัดตั้งแต่โคนต้นถึงปลายยอด  วัดได้ ๑๐๐ โยชน์   วัดรอบต้นได้ ๑๕ โยชน์  มีกิ่ง ๔ กิ่ง  แผ่ออกไป ๔ ทิศๆ ละกิ่ง  กิ่งหนึ่งยาวได้ ๕๐ โยชน์  ต้นไม้หว้าประจำทวีปนี้มีอายุยืนได้ หนึ่งวิวัฏฏัฏฐายีกัปป์  ตั้งอยู่บนเนินเขาแห่ป่าหิมพานต์ทางด้านทิศเหนือของทวีป  ใต้กิ่งต้นหว้าที่แผ่ออกไป ๕๐ โยชน์นั้นมีแม่น้ำมหานทีหลายสายไหลผ่านในป่าหิมวันต์  ตอนปลายของแม่น้ำก็จะไหลไปตกลงที่นีลมหาสมุทร  แม่น้ำที่เกิดขึ้นภายใต้ต้นหว้านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากน้ำฝนและน้ำค้างที่ตกเซาะลงไปในดิน ทุกวันจึงกลายเป็นแม่น้ำใหญ่หลายสาย   ผลหว้าสุกแล้วก็หล่นลงไปในสองฝั่งของแม่น้ำ  สายใหญ่พอตกลงถึงพื้นดินแล้วก็จะกลายเป็นหน่อทองคำชมพูนุทมีเนื้อทองสุกปลั่งเหลือง อร่ามสวยงามยิ่งนัก  ผลไม้หว้านี้ถ้าหล่นลงไปในแม่น้ำก็เป็นอาหารของปลาและเต่า  ถ้าหล่นลงไปบนบกก็จะเป็นอาหารของนกที่มีตัวใหญ่เท่าเรือนยอดและใหญ่เท่าช้างมาเล็มกินเป็นอาหาร   ผลหว้านี้มีรสชาติอันอร่อยมีกลิ่นหอมมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้งมีโอชารสยิ่งนัก  ผลหว้านี้มีผลใหญ่เท่าช้าง
    ๐ชมพูทวีป    คือแผ่นดินผืนใหญ่อันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ มีเนื้อที่ทั้งหมด  ๑๐๐๐๐  โยชน์   เป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์  ๓๐๐๐  โยชน์   เป็นป่าเขาและต้นไม้  ๓๐๐๐  โยชน์   และเป็นทะเลแม่น้ำและมหาสมุทร  ๔๐๐๐  โยชน์         
      -ชมพูทวีปตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของภูเขาพระสุเมรุ  ซึ่งเป็นภูเขาที่เป็นแกนกลางของโลก
      -ชมพูทวีปตั้งอยู่ตรงกลางของมหาสมุทร  อันมีชื่อเรียกว่า "นีลสาคร"  คือทะเลที่มีน้ำเป็นสีเขียว
      -ชมพูทวีปมีทวีปน้อยใหญ่ที่เป็นบริวารอยู่  ๕๐๐  ทวีป  ทวีปบริวารทั้งหลายเหล่านี้ก็ตั้งอยู่ในนีลสาครเหมือนกัน
      -ทวีปน้อยและทวีปใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทะเลที่มีน้ำสีเขียวล้วนแล้วแต่เป็นบริวารของชมพูทวีปทั้งสิ้น
      -ประเทศใดที่มีน้ำทะเลเป็นสีเขียวประเทศนั้นต้องเป็นบริวารของชมพูทวีปทั้งสิ้น

            เรื่องของปุพพวิเทหทวีป
    -ปุพพวิเทหทวีป   ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของภูเขาพระสุเมรุ  มีเนื้อที่กว้าง ๘๐๐๐ โยชน์  มีเกาะที่เป็นบริวารอีก ๕๐๐ เกาะ
    -ต้นไม้ที่เป็นสัญญลักษณ์ประจำทวีปคือ ต้นซึก  ส่วนสูงวัดได้  ๑๐๐  โยชน์   รอบลำต้นวัดได้  ๑๕  โยชน์   มีกิ่ง  ๔  กิ่ง  แผ่ออกไปทั้ง  ๔  ทิศ   แต่ละกิ่งยาววัดได้  ๕๐  โยชน์  ตันไม้นี้มีอายุยืนได้หนึ่งวิวัฏฏัฏฐายีกัปป์
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้มีรูปใบหน้ากลมเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คือมีลักษณะตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตรพระ
    -มีรูปร่างสูง ๙ ศอก
    -มีอายุยืนได้  ๗๐๐  ปี  จึงจะตาย รักษาศีล ๕ ได้ครบทุกข้อ
    -แผ่นดินที่เป็นเนื้อที่ของทวีปนี้ เป็นสีขาวเหมือนน้ำนม  ท้องฟ้าในทวีปนี้ก็เป็นสีเหมือนเงิน  มหาสมุทรในทวีปนี้ชื่อว่า "ขีรสาคร"   น้ำในมาสมุทรมีสีขาวเหมือนน้ำนม   
    -เด็กที่เกิดในทวีปนี้เกิดมาเพียงชั่วครู่จะโตเท่ากับเด็กที่เกิดในชมพูทวีปที่มีอายุได้ ๕ เดือน     
    -มนุษย์ในปุพพะวิเทหะทวีปนี้มีผิวกายหลายสีคือ  สีขาวก็มี  สีทองก็มี  สีดำก็มี  สองสีผสมกันก็มี  สีด่างพร้อยเหมือนกับมนุษย์ในชมพูทวีปก็มี
       ผ้านุ่งและผ้าห่มของมนุษย์ในปุพพะวิเทหะทวีป
    ผ้านุ่งและผ้าห่มของมนุษย์ในปุพพะวิเทหะทวีป  มีด้วยกันหลายสีหลายชนิด   เช่น:-
      ๑.ผ้ากัปปาสิะพัสตร์  ที่ทอด้วยด้ายก็มี
      ๒.ผ้าโกไสยพัสตร์  ที่ทอด้วยผ้าไหมก็มี
     ผ้าทั้งหลายเหล่านี้มีราคาแพงก็มี  มีราคาถูกก็มี  เนื้อหยาบก็มี  เนื้อละเอียดก็มี
          เครื่องประดับของชาวปุพพะวิเทหะทวีป
    เครื่องประดับของชนชาวปุพพะวิเทหะทวีป เป็นทองคำก็มี  เป็นเงินก็มี  เป็นแก้วก็มี
          บ้านเรือนของชาวปุพพะวิเทหะทวีป
    บ้านเรือนของชาวปุพพะวิเทหะทวีป  เป็นปราสาทหลังยาวๆก็มี   เป็นปราสาทสี่เหลี่ยมก็มี   เป็นตึกกว้างก็มี   เป็นเรือนยอดก็มี   เป็นเรือนไม่มียอดก็มี   บ้านเรือนบ้างหลังสร้างด้วยทองคำก็มี    บ้านเรือนบางหลังสร้างด้วยเงินก็มี บ้างหลังสร้างด้วยศิลาก็มี   บางหลังสร้างด้วยแก้วก็มี   บางหลังสร้างด้วยปูนและดินก็มี   บ้างหลังสร้างด้วยไม้ต้นใหญ่ๆ
ก็มี   บางหลังสร้างด้วยไม้ไผ่ก็มี
        อาหารองชาวปุพพะวิเทหะทวีป
     อาหารสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตในปุพพะวิเทหะทวีปนั้น  ได้แก่  ข้าวสตู   ข้าวสุก   ถั่วและงา   เนื้อและปลาก็มีอยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนในชมพูทวีป     คนในปุพพะวิเทหะทวีปจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ถ้าจะกินเนื้อกินปลาก็กินแต่เนื้อและปลาที่ตายแล้วเท่านั้น
        สังคมของชาวปุพพะวิเทหะทวีป
    ในปุพพะวิเทหะทวีปก็มีการสะสมทรัพย์สมบัติเหมือนกัน   การทำไรไถนาก็มีเหมือนกับในชมพูทวีป   แต่การค้าขายไม่มีในปุพพะวิเทหะทวีป  ของทุกอย่างในปุพพะวิเทหะทวีป จะไม่ขายมีอะไรก็แบ่งกันกินกันใช้ไม่ต้องซื้อขายและแก่งแย่งกัน
     คนในปุพพะวิเทหะทวีปเวลาตาย  ก็จะนำไปเผาก็มี   นำเอาไปฝังก็มี   และนำเอาไปโยนทิ้งก็มี  เหมือนในชมพูทวีป
     ในเวลาที่จะแต่งงานกัน เจ้าบ่าวก็จะต้องไปขอเจ้าสาวเหมือนกับในขมพูทวีป  เวลามีครรภ์ก็จะบำรุงเลี้ยงดูให้ดีเหมือนในชมพูทวีป   แต่การร่วมสังวาสกันจะมีแค่  ๖  ครั้งเท่านั้นในชีวิต   แต่ในชมพูทวีปนับครั้งไม่ถ้วน
       ต้นไม้เครือไม้และป่าไม้ในปุพพะวิเทหะทวีป
    ต้นไม้เครือไม้และป่าไม้ในปุพพะวิเทหะทวีป มีสีสันและสัณฐานต่างๆกัน  เช่น  สีขาว
สีเขียว   สีดำ   สีแดง   สีหงสบาท  เหมือนในชมพูทวีป  แต่ในปุพพะวิเทหะทวีปไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนในชมพูทวีป
       เครื่องอุปโภคบริโภคในปุพพะวิเทหะทวีป
    เครื่องอุปโภคบริโภคและของกินของใช้ต่างๆ ในปุพพะวิเทหะทวีป ก็มีเหมือนในชมพูทวีป แต่ในปุพพะวิเทหะทวีปไม่มีการบวชพระบวชเณร และศาสนาต่างๆ เหมือนในชมพูทวีป
      เรื่องของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ๐อุตตรกุรุทวีป   คือเกาะหรือแผ่นดินผืนใหญ่ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของภูเขาพระสุเมรุ    

    -อุตตรกุรุทวีปมีสัณฐานเป็น ๔ เหลี่ยม  กว้างและยาวเท่ากัน  ๘๐๐๐  โยชน์   ตั้งอยู่ในมหาสมุทรที่มีชื่อว่า "ปีตสาคร" คือทะเลที่มีน้ำสีเหลือง มีทวีปน้อยเป็นบริวาร  ๕๐๐  ทวีป  ทวีปที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้ก็ตั้งอยู่ในปีตสาครเหมือนกัน
    -ต้นไม้ที่เป็นสัญญาลักษณ์ของทวีปคือ ต้นไม้กัลปพฤกษ์ๆ ส่วนสูงวัดได้  ๑๐๐  โยชน์   รอบลำต้นวัดได้  ๑๕  โยชน์ มีกิ่ง  ๔  กิ่ง  แผ่ออกไปทั้ง  ๔  ทิศ   แต่ละกิ่งยาววัดได้  ๕๐  โยชน์  ตันไม้นี้มีอายุยืนได้หนึ่งวิวัฏฏัฏฐายีกัปป์
   -มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปมีคุณลักษณะพิเศษดีกว่าเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดีงส์และมนุษย์ในชมพูทวีปอยู่ ๓  ประการ คือ:-
    ๑.มีตัณหาคือความอยากน้อย  มนุษย์ในทวีปนี้จะไม่หวงแหนสรรพสิ่งของต่างๆไม่ว่าจะเป็นสิ่งของใดๆก็ตาม
    ๒.มีอายุยืน ๑๐๐๐ ปีอย่างเที่ยงแท้  คือมนุษย์ในทวีปนี้จะไม่ตายตอนเป็นเด็กและตอนเป็นหนุ่มเป็สาว จะตายเมื่อสิ้นอายุขัยคือ มีอายุได้ ๑๐๐๐ ปีเท่านั้น  และจะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุและการป้องร้ายของสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย
    ๓.เมื่อตายแล้วจะไปเกิดในเทวโลกคือเมืองสวรรค์อย่างเดียวจะไม่ไปเกิดในโลกอื่น
    -รูปร่างของมนุษย์ในชมพูทวีป ๓ คนครึ่ง จึงจะสูงเท่ากับมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป ๑ คน  คือสูง  ๑๓  ศอก  ๑  คืบ
         ความรักของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ความรักของมนุษย์ในอุตตรกุรุทีป  มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะเสพสังวาสกันเพียง ๕ ครั้งเท่านั้นในชีวิต  พวกเขาจะมีความรู้สึกในทางเพศในระยะเวลาเพียง ๗ วันเท่านั้น เลย ๗ วันไปแล้วความรู้สึกทางเพศจะระงับดับหายไป จะไม่มัวเมาในกามราคะ  บุรุษและสตรีในทวีปนี้จะไม่หวงแหนซึ่งกันและกัน  ผู้ชายจะไม่มีความหวงแหนเลยว่า "คนนี้เป็นแม่ของเรา   คนนี้เป็นเมียของเรา   คนนี้เป็นแฟนของเรา  คนนี้เป็นพี่สาวของเรา   และคนนี้เป็นน้องสาวของเรา" ความคิดอย่างนี้ไม่มีในจิตใจพวกเขาเลย   ผู้หญิงก็เหมือนกันไม่มีความคิดหวงแหนในจิตใจเลยว่า "คนนี้เป็นพ่อของเรา   คนนี้เป็นผัวของเรา   คนนี้เป็นพี่ชายของเรา   และคนนี้เป็นน้องชายของเรา"    ผู้ชายถ้าเห็นแม่ของตนเองจะจำได้โดยไม่ลืมเลย  จะไม่เสพสังวาสกับแม่ของตนเองโดยเด็ดขาด   ผู้หญิงถ้าเห็นพ่อของตัวเองจะจำได้โดยไม่ลืมเลย  จะไม่เสพสังวาสกับพ่อของตนเองโดยเด็ดขาด
             อาหารของมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป
   อาหารของมนุษย์ในทวีปนี้คือ "ข้าวสัญชาตะสาลี"  ข้าวสัญชาตะสาลีนี้มันจะเกิดของมันเอง มนุษย์ในทวีปนี้ไม่ต้องทำไร่ไถนา  จะทำไร่ไถนาปลูกฝักแฟงแตงกวาไม่มี ผู้คนจะเป็นอยู่อย่างสันโดษไม่ต้องทำมาค้าขาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีพรั่งพร้อมไปหมดไม่มีอะไรขาดแคลน  อยากจะกินอะไรก็ไปหาเอาได้ตามสบาย
   ข้าวสัญชาตะสาลีที่เกิดในทวีปนี้เป็นข้าวสารบริสุทธิ์ไม่มีแกลบและรำไม่ต้องสีและตำ  ข้าวสาลีชนิดนี้มีกลิ่นหอมหวนยิ่งนักมีรสชาติอันโอชะ ใครกินเข้าไปแล้วก็จะไม่เป็นโรค ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันคงจะเป็นยารักษาโรคไปในตัว  ในทวีปนี้ไม่มีหมอยารักษาโรคและไม่มีร้านขายยา เวลาจะกินก็ง่ายเพียงแต่เอาข้าวสัณชาตะสาลีใส่หม้อทองคำแล้วยกขึ้นตั้งเหนือก้อนศิลาที่มีชื่อว่า "โชติปาสาณะ"
   ข้อความตรงนี้ผู้อ่านบางคนอาจจะสงสัยว่า จะไปเอาหม้อทองคำมาจากไหนเยอะแยะมาให้คนหุงข้าวให้ครบกันได้ข้อนี้ไม่ยากผู้อ่านทั้งหลายต้องรู้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปว่า  พื้นแผ่นดินในทวีปนี้ล้วนแล้วแต่เป็นทองคำทั้งสิ้นคือแผ่นดินจะเป็นทองคำเหลืองอร่ามไปหมด  ทองคำในทวีปของเราคือชมพูทวีปมันมีค่ามาก  แต่ในอุตตรกุรุทวีปไม่มีค่าไม่มีใครซื้อกันคือมันมีมากเกินไปจนไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรดี เพราะแผ่นดินในทวีปมันเป็นทองคำไปทั้งหมดเลย  เมื่อเป็นเช่นนี้มันจึงเป็นสาเหตุทำให้คนในทวีปนี้มีความโลภน้อยมาก  ทวีปของเราทองคำมีน้อยมันจึงเกิดการแก่งแยงกัน เมื่อมีการแก่งแยงกันมันจึงมีการทำบาปเกิดขึ้นในทันที
   เวลาหิวข้าวไม่ยากเลยไปเอาข้าวสาลีที่ริมทางใส่ลงไปในหม้อทองคำแล้วเอาน้ำใส่ตามที่ชอบ แล้วจึงยกไปตั้งลงที่ก้อนหิน โชติปาสาณะ  เมื่อเรายกหม้อตั้งที่ก้อนหินโชติปาสาณะแล้วก้อนหินมันก็จะร้อนเป็นไฟขึ้นมาเอง คล้ายๆกับหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่ทวีปของเรา แต่ที่ทวีปของเขามันไม่เป็นอันตร้ายไม่มีพิษและไม่ต้องเสียเงินค่าไฟ  ก้อนหินโชติปาสาณะมันไม่มีเถ้าถ่านและควันไฟเลยพอข้าวสุกแล้วมันก็จะดับของมันเอง   ข้าวสาลีชนิดนี้ไม่มีกับแกล้มมันก็อร่อยเราอยากจะกินรสอย่างไรก็นึกเอาเองมันก็จะเกิดมีรสชาติตามที่เรานึกทุกประการ  พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้ามักจะเสด็จไปบิณฑบาตที่ทวีปนี้บ่อยๆ  พระพุทธเจ้าของเราในคราวที่พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  พระองค์ก็ทรงเสด็จไปบิณฑบาตที่อุตตรกุรุทวีปและฉันภัตตาหารที่ทวีปนี้จนออกพรรษา
          เครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป
   เครื่องนุ่งห่มของคนในทวีปนี้เมื่อพวกเขาต้องการเครื่องนุ่งห่มและเสื้อผ้าก็จะไปสอยเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้อยากได้ทรงไหนสไตล์ไหนก็สอยเอาได้ตามสบายล้วนแต่ดีๆทั้งนั้น เครื่องประดับอย่างอื่นก็มีอีกมากมีทุกอย่างตามที่เราต้องการประชาชนชาวอุตตรกุรุทวีปจะไม่หวงแหนสิ่งใดเลย  จะหวงว่าสิ่งนี้เป็นของเราๆจะไม่ให้ใครอย่างนี้ไม่มีในจิตใจของพวกเขาเลยและ ถ้าพวกเขาลงอาบน้ำในท่าน้ำพวกเขาจะวางเสื้อผ้าและเครื่องประดับกองทับกันเอาไว้ในกองเดียวกัน  ใครขึ้นจากน้ำก่อนก็เอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่อยู่ข้างบนนุ่งห่มไปเลยคนขึ้นมาจากน้ำทีหลังก็จะใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ยังเหลืออยู่โดยไม่เลือกว่านี้เขาฉันนี้ของคุณ  บ้านเรือนของชาวอุตตรกุรุทวีปจะใช้ต้นไม้ ที่มีชื่อว่า "อุโลก"  เป็นบ้านเรือน
          บ้านเรือนของมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป   
   ต้นไม้อุโลกนี้จะมีค่าคบกิ่งและใบแน่นหนามากกิ่งและใบก็จะชลูดลงมาคล้ายกับต้นสนฉัตรอินเดียที่ทวีปของเรา แต่ต้นอุโลกนี้มันจะมีกิ่งก้านแผ่ออกไปจากลำต้นประมาณ ๑๐๐  เมตร  เวลาฝนตก  ฝนจะไม่สาดหรือกระเซ็นไปถึงตัวคนที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ภายใต้ต้นไม้นี้เลย  เพราะฝนตกในทวีปนี้จะไม่มีลมพายุเหมือนทวีปของเราอยากตกมันก็ตกลงมาเลยโดยไม่ต้องอาศัยลมพายุ   ต้นอุโลกมีลักษณะเหมือนกับเรือนยอด คนที่อยู่อาศัยใต้ต้นของมันจะมีแต่ความสุขเพลิดเพลินเจริญใจร่มรื่นบันเทิงใจยิ่งนัก และคนที่ได้อาศัยอยู่ใต้ต้นอุโลกนี้จะมีแต่ความสุขสวัสดีเปรียบเหมือนได้อยู่ในปรางค์ปราสาทจะไม่ลำบากด้วยเหตุใดๆทั้งสิ้น  ส่วนต้นไม้อื่นๆที่อยู่รายลอบต้นอุโลกนี้จะสีสันอันสวยงามมีกลิ่นหอมเป็นที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก  
           ลักษณะของพื้นแผ่นดินในอุตตระกุรุทวีป
   พื้นแผ่นดินที่มีอยู่ในทวีปนี้จะมีลักษณะราบเรียบเป็นหน้ากลองโดยปราศหลักตอและเสี้ยนหนามจะดาดาษไปด้วยหญ้าอันเขียวขจีสัมผัสอ่อนหนุมดังสำลีมีสีสันสวยงามประดุจดังสีสร้อยคอของนกยูงมีความสูง ๔ นิ้วเสมอกันหมด โดยรอบของทวีปนี้จะแวดล้อมไปด้วยภูเขาทองคำและแผ่นดินของโลกนี้จะมีสีเหลืองเหมือนสีของทองคำส่องสว่างเรืองโรจน์อยู่เสมอ  ในทวีปนี้จะมีตันกัลปพฤกษ์สูง ๑๐๐ โยชน์  (๑ โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร  ๑๐๐ โยชน์จะสูงเท่าไหร่ กรุณาคิดเอาเอง) มันเป็นต้นไม้ประจำทวีป  ต้นกัลปพฤกษ์นี้มีประโยชน์อย่างไรทราบหรือไม่?
           ในอุตตระกุรุทวีปมีต้นกัลปพฤกษ์
   ต้นกัลปพฤกษ์ในอุตตรกุรุทวีปนี้เป็นต้นไม้ประจำทวีป สูง ๑๐๐ โยชน์   กว้าง ๑๐๐ โยชน์   และมีปริมณฑลแผ่ออกไปอีก ๓๐๐ โยชน์  ต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ให้ผลสำเร็จตามความปราถนาทุกประการ ใครปราถนาอยากจะได้อะไรก็จะได้สิ่งนั้นสมปราถนาทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแก้วแหวนเงินทองเครื่องประดับของกินของและใช้มีทั้งนั้น
           ฝูงสัตว์ทั้งหลายในอุตตระกุรุทวีป
  ฝูงสัตว์ทั้งหลายในทวีปนี้จะไม่เบียดเบียนมนุษย์และมนุษย์ทั้งหลายก็จะไม่เบียดเบียนสัตว์  มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้จะไม่พยาทอาฆาตมาดร้ายต่อกัน  จะไม่ทะเลาะวิวาทกัน อยู่กันด้วยความสงบสุข  ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นโลกที่น่าอยู่เสียจริงๆ                                    อนึ่งในอุตตรกุรุทวีปนี้จะไม่มีกลิ่นเหม็น  มีแต่กลิ่นหอมที่หอมฟุ้งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่น่าปรีด์เปรมเกษมจิตยิ่งนักสระน้ำในอุตตรกุรุทวีปนั้นจะเต็มไปด้วยดอกบัวหลากหลายนานาชนิดมีทั้งสีเขียว   สีขาว   สีเหลือง   สีแดง   และสีหงสบาท บานอยู่ตลอดเวลามันส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรกระจ่ายทั่วไปหมด
   มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้ไม่มีความหวงแหนในวัตถุสิ่งของอะไรไม่ว่า จะเป็นแก้ว  แหวน  เงินทอง  เพชรนิลจินดาที่เป็นเครื่องประดับและของใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นช้างม้าวัวควาย ล้อรถ ที่ดินเรือกสวนไร่นา   แต่มนุษย์ในชมพูทวีปจะไม่มีความหวงแหนในวัตถุสิ่งของเครื่องอุปโภคและบริโภค แก้ว  แหวน  เงินทอง  เพชรนิลจินดา  เรือกสวนไร่นาเป็นอันมาก   ผู้ที่มีสติปัญญารู้กฏของไตรลัษณ์คือ  อนจจัง   ทุกขัง   อนัตตา  ไม่ติดในวัตถุ สิ่งของมีน้อยมาก  เทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เหมือนกันมากไปด้วยความกำหนัด ยินดีในราคะ  ความปรารถนา ความดิ้นรน ความอยาก ความเสน่หาเหมือนกับมนุษย์ในชมพูทวีปหวงแหนในทิพยสมบัติสุรางคนางอันเป็นบริวารของตนเอง อายุขัยและการเกิดของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
  มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป  ทั้งหญิงและชายจะมีอายุยืนได้  ๑๐๐๐  ปี ไม่มากและไม่ต่ำกว่านี้  ถ้าอายุยังไม่ถึง ๑๐๐๐ ปี จะยังไม่ตายจะไม่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  จะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุ  จะไม่ตายด้วยการป้องร้ายของมนุษย์ด้วยกัน  จะไม่ตายด้วยการทำร้ายของอสรพิษและสัตว์ร้าย  จะตายเมื่ออายุครบ  ๑๐๐๐  ปีเท่านั้น
  การเกิดของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะไม่เหมือนกับมนุษย์ในชมพูทวีป  มนุษย์ในชมพูทวีปเวลามีครรภ์จะเจ็บปวดแพ้ครรภ์เสวยทุกขเวทนายิ่งนัก  เวลาจะคลอดก็เจ็บปวดคลอดยากทุกทรมานยิ่งนัก   แต่มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปเวลามีครรภ์ท้องจะไม่โตเหมือนคนมีครรภ์ในชมพูทวีป เวลาคลอดก็สะดวกสบายเหมือนกับการถ่ายอุจจาระไม่เจ็บปวดทรมานเหมือนคนในชมพูทวีป
   ทารกที่เกิดมาจะไม่แปดเปื้อนด้วยไขและเลือดที่เป็นมลทินแห่งครรภ์จะสะอาดบริสุทธิ์ไม่ต้องตัดสายลกเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีป  เด็กที่คลอดออกมาก็จะไม่ร้องไห้อุแว!  อุแว! เหมือนเด็กในชมพูทวีป   เด็กที่คลอดออกมาแล้วพ่อแม่ก็ไม่ต้องเลี้ยงดูเพียงแต่เอาเด็กไปวางไว้ตรงทางใหญ่สี่แพร่ง คนที่เดินทางไปมาจะช่วยเลี้ยงดูคือเมื่อใครเดินทางมาพบเด็กเข้าก็จะเอานิ้วมือแย่เข้าไปในปากของเด็กน้ำนมก็จะไหลออกมาจากนิ้วมือนั้นกลายเป็นน้ำนมเลี้ยงดูเด็กอย่างอิ่มหนำสำราญ  ใช้เวลาเพียง ๗ วันเท่านั้นเด็กก็จะเติบโต  ถ้าเป็นผู้ หญิงก็ให้ไปอยู่ในกลุ่มผู้หญิง  ถ้าเป็นชายก็ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้ชาย
       รูปร่างและผิวพรรณของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
  รูปร่างและผิวพรรณของมนูษย์ในอุตตรกุรุทวีป จะไม่เป็นคนพิกลพิการหูหนวกตาบอด  ง่อยเปลี้ยเสียขา  เตี้ยค่อมมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะไม่เป็นโรคขี้กลากขี้เรื้อน หืดหอบ  ฝีดาด  หวัดไอ  มองคร่อ  ลมบ้าหมูและบ้าดีเดือด  ไข้สันนิบาตและไข้สัมประชวร   ที่มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปไม่เจ็บป่วยเพราะอำนาจของการบริโภคข้าวสาลีสัญชาตะ  ข้าวสาลีสัญชาตะมีคุณประโยชน์มากกินเข้าไปในท้องแล้วก็จะกลายเป็นยารักษาโรคไปด้วย     เด็กในอุตตรกุรุทวีปคลอดออกมาจากท้องแม่วันเดียวจะโตเท่ากับเด็กในชมพูทวีปมีอายุได้ ๖ เดือน   มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะมีส่วนสูงเท่ากับมนุษย์ในชมพูทวีปต่อกัน ๓ คนครึ่งคือสูงประมาณ ๑๓ ศอก
  ผิวพรรณของมนุษย์ในอุคตตรกุรุทวีปมี ๒ สี คือสีขาวกับสีแดง  จะไม่มีหลายสีเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีป   ชาวอุตตระกุรุทวีปจะนุ่งห่มผ้ากัปปาสิกพัสตร์ คือผ้าที่ทำด้วยด้ายเหมือนกันหมด  จะนุ่งห่มด้วยผ้าหลากหลายชนิดเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีปก็หามิได้  ผ้าแต่ละผืนจะยาว ๒๐ ศอก  กว้าง ๑๐ ศอก  เป็นผ้าที่มีเนื้อละเอียดยิ่งนักจะหาผ้าใน
ชมพูทวีปเป็นร้อย  เป็นพัน  เป็นหมื่น  เป็นแสนชนิดก็เปรียเทียบกันไม่ได้เลย
          การร่วมรักของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ถ้ามนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปเกิดความรักใคร่กัน  ผู้ชายจะเพ่งดูผู้หญิงถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ตัวก็จะมีเพื่อนหญิงด้วยกันบอกเตือนว่าชายคนนั้นเพ่งดูคุณนะเขาตงรักคุณ  ถ้าผู้หญิงคนไหนเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมาก็จะเพ่งดูผู้ชาย ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่รู้ตัวก็จะมีเพือนชายด้วยกันบอกเตือนให้รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นหลงรักคุณแล้วนะ  เมื่อทั้งชายและหญิงรู้จักกันแล้วก็จะพากันไปที่ต้นไม้ "อุโลก"  ถ้าหญิงและชายเหมาะสมคู่ควรกันต้นไม้อุโลกก็จะกำ บังหญิงและชายนั้นเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น  หญิงและชายนั้นจึงจะเสพสังวาสกันได้  ถ้าหากหญิงและชายคู่นั้นไม่เหมาะสมไม่คู่ควรกันต้นไม้อุโลกก็จะไม่บิดบังให้  หญิงและชายคู่นั้นก็จะเสพสังวาสกันไม่ได้       
   อนึ่งมนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปนั้นจะไม่มีการอาวาหะและวิวาหมงคลคือการสู่ขอแต่งงานกันเหมือนกับในชมพูทวีปของเรา  ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในอุตตระกุรุทวีปนั้นจะมีระดูได้เพียง ๕ ครั้งเท่านั้นจะไม่มีมากกว่านั้น  และผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีปจะมีลูกได้ไม่เกิน ๕ ครั้งเท่านั้น
         รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีป
   ผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีปนั้นจะมีรูปร่างหน้าตาสวยงามน่ารักเหมือนกันทุกคนที่รูปร่างไม่สวยคงไม่มี ผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีปนี้จะมีรูปร่างไม่สูงนักไม่เตี้ยนัก   ไม่ดำนัก   ไม่ขาวนัก  ไม่อ้วนนัก   ไม่ผอมนัก  รูปร่างสิริโสภาคย์สวยงามได้สัดส่วนน่ามองยิ่งนัก  ผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีปนี้สมเป็นนางแก้ว   เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกผู้หญิงจากอุตตรกุรุทวีปว่า 
   "นางแก้ว"  พระเจ้ามหาจักรพรรดิจะได้นางแก้วในอุตตระกุรุทวีปเป็นมเหสี                                                                                                                                               ลักษณะความงามของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีป
     -ศีรษะกลมสวยเหมือนลูกแตงโม
     -เส้นผมจะดำสลวยเป็นเงางาม ถ้าปล่อยเลี้อยลงมาก็จะตกถึงตระโพกและปลายของเส้นผมก็จะงอนขึ้นประดุจดังหางของนกยูงรำแพน  เส้นผมทุกเส้นจะไม่มีผมหงอก
     -ใบหน้าจะเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกันหมด
     -หูจะเลียวงามประดุจดังใบโพธิ์
     -คิ้วจะโก่งงามเหมือนดังคันศร
     -นัยน์ตาจะกลมงามดำสนิทเหมือนนัยน์ตาของเนื้อทราย
     -ริมฝีปากจะบางแฉล้มเหมือนลูกพริกมีสีแดงประดุจดังผลตำลึงสุกโดยไม่ต้องทาลิบสะติก
     -ฟันจะขาวประดุจดังสังข์และจะเป็นระเบียบประดุจดังระเบียบแห่งเพชร
     -เสียงจะไพเราะเหมือนเสียงนกการเวก
     -คอจะกลมงามเหมือนดังลูกฝักและจะมีเส้นสร้อยปล้องคออยู่ ๓ เส้น
     -นมจะตั้งเต่งตึงสวยงามอยู่เสมอประดุจดังผลมะตูมครึ่งซีกจะไม่หย่อนยานเลยจนตลอดชีวิต
     -แขนจะเลียวงามประดุจดังหยวกกล้วย
     -นิ้วมือจะเลียวงามเหมือนตัวหนอน
    -เล็บมือจะแดงงามเหมือนเมล็ดในของทับทิม โดยไม่ต้องใช้ยาทาเล็บ
     -เอวจะกลมงามประดุจดังหม้อนึ่งข้าว
     -ตระโพกจะผึ่งผาย
     -ขาจะเลียวงามประดุจดังงาช้าง
     -เท้าจะนูนบูม
     -ใบหน้าแจ่มจรัสเต็มบริบูรณ์ประดุจดังพระจันทร์ในวันเพ็ญผ่องใสสดชื่นรื่นเริงบันเทิงใจ  และใบหน้าของสตรีและบุรุษในอุตตรกุรุทวีปจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
     -ดวงตาของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีป มีสัณฐานกว้างงามที่ควรจะขาวก็ขาวอย่างสะอาดที่ควรจะดำก็ดำสนิทประดุจดังนิล  ที่ควรจะเขียวก็เขียวขจิตเขียวสนิทงามเป็นแสง  ที่ควรจะแดงก็แดงอย่างชาดแต้ม  ที่ควรจะเหลืองก็เหลืองอย่างสีของมาศ เนื้อสูงดูไหนงามนั้น        -สะดือของผู้หญิงในอุตตรกุรุทวีปจะลึกเป็นเกลียวลงไปเหมือนก้นหอยงดงามยิ่งนัก
     -ตระโพกจะกว้างลำเพลากลม
     -ลำแข้งน้อยเลียวกลมมีขนเส้นเล็กๆบางๆน่ารักยิ่งนัก
     -กายนั้นอ่อนหนุมบริบูรณ์ถ้าผู้ชายได้สัมผัสจะทำให้เกิดมีความต้องการทางเพศขึ้นมาทันทีแม้บุรุษที่มีอวัยวะตายด้านแล้วก็ตาม ทำให้ผู้ชายมีความสุขอยู่ทุกฤดูกาล  ถ้าถึงวาระร้อนร่างกายของผู้หญิงจะเย็น  แต่ถ้าถึงวาระเย็นร่างกายของผู้หญิงก็จะอบอุ่น จะให้ความสุขแก่บุรุษที่ได้สัมผัสอยู่ตลอดเวลา
     -ผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีป จะพูดจาด้วยวาจาที่อ่อนหวานนุ่มนวลสละสลายไพเราะยิ่งนัก
     -ผู้หญิงในอุตตระกุรุทวีปจะประดับประดาร่างกายด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวยงามอยู่เสมอจนตลอดชีวิต
     -มนูษย์ในอุตตระกุรุทวีปจะไม่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
     -มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีป  ถ้าเป็นผู้ชายเมื่อเจริญเติบโตอายุได้ ๒๐ ปีแล้วก็จะหยุดอยู่แค่นั้นจะไม่เติบโตต่อไปอีกจะไม่แก่เฒ่าเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีปของเรา จะมีวัยเหมือนเด็กหนุ่มอายุ ๒๐ ปี อยู่ตลอดเวลา จนกว่าอายุจะครบ ๑๐๐๐ ปี  จึงจะตาย   ถ้าเป็นผู้หญิงเมื่อเจริญเติบโตอายุได้ ๑๖ ปีแล้วก็จะหยุดอยู่แค่นั้นจนกว่าอายุจะครบ ๑๐๐๐ ปีจึง
จะตาย พูดให้ฟังง่ายๆคือจะเป็นหนุ่มและเป็นสาวจนอายุถึง ๑๐๐๐ ปี  จึงจะตาย  ทวีปนี้ (โลกนี้) ชังน่าอยู่เสียจริงๆ ไม่
มีทวีปไหนสู้ได้เลย
              ลมฟ้าอากาศในอุตตรกุรุทวีป
   มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปจะไม่ลำบากด้วยร้อนและหนาว  เมื่อถึงฤดูร้อนถ้าถึงเดือนอันเป็นที่สุดแห่งฤดูร้อนคือ วันแรม ๑๕ ค่ำ  เดือน ๗  ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ  เดือน ๘    เมื่อเวลาใกล้รุ่ง จะมีอากาศร้อนกับหนาวเท่ากัน ฤดูกาลในอุตตระกุรุทวีปนั้นจะไม่ร้อนไม่หนาวจะเป็นสุขอยู่เช่นนี้ชั่วนิรันดร์  อากาศจะไม่วิปริตแปรผันเหมือนในชมพูทวีป  ชมพูทวีปจะมีอากาศแปรปรวนอยู่ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นในชมพูทวีปมนุษย์จึงมีอายุสั้นบ้างยาวบ้างตามสภาพของอากาศเอาแน่นอนไม่ได้  ในอุตตระกุรุทวีปมนุษย์จะไม่เป็นอันตรายเพราะลมและแดดและ จะไม่มีความคับแค้นใจ   สัตว์มีพิษทั้งหลาย เช่น งูพิษ  เสือ  ต่อ  แตน  ปลาไหลไฟฟ้า เหลือบ  ยุง  ริ้ว  ไร  เห็บหมัด  ตะขาบ  แมงป่อง  มดที่กัดต่อย คนจะไม่มีเลย
   ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ทุกมุมเมืองใครอยากได้อะไรก็ไปสอยเอาไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า  เครื่องประดับตกแต่งร่างกายล้วนแล้วแต่ดีๆ  อาหาร  ผลไม้ที่อร่อยที่ไม่มีสารพิษ  ผ้านุ่งผ้าห่มที่อยู่ในต้นกัลปพฤกษ์ล้วนแล้วแต่เป็นผ้าเนื้อดีละเอียดอ่อนหนุมเมื่อสัมผัสจะทำให้เรามีความสุขสบายยิ่งนัก ผ้าเหล่านี้จะมีสีสรรหลากหลายชนิดมีทุกอย่างตามที่เราต้องการจะห้อยย้อยอยู่ที่ต้นกัลปพฤกษ์เต็มไปหมด  ลวดลายของเสื้อผ้าจะสำเร็จด้วยแก้วและทองคำเลื่อมระยิบระยับจับตาสวยงามยิ่งนัก   และในต้นกัลปพฤกษ์นี้มีเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า เช่นพิณ  ปี่  ตะโพน  บัณฑพ  ฉิ่ง กรับ  สังข์และกังสดาล ห้อยย้อยเต็มไปหมดจะเลือกเอาเครื่องดนตรีชนิดไหนก็มีทั้งนั้น
        ความสมบูรณ์และความงามแห่งธรรมชาติ
   ต้นไม้ในอุตตรกุรุทวีปมีหลากหลายชนิด ต้นไม้ที่มีผลจะมีผลโตเท่ากับหม้อ  ผลไม้แต่ละผลจะมีรสอันหอมหวานเอมโอชคืออร่อยลิ้นยิ่งนัก  กินครั้งเดียวจะบรรเทาความหิวไปได้ ๗ วัน   แม่น้ำและมหาสมุทรในอุตตระกุรุทวีปเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทินและเปลือกตม มีท่าน้ำอันระรื่นน่ารื่นรมย์น่าอาบและน่ากินยิ่งนัก  หาดทรายและกระแสน้ำจะมีสีเหลืองเหมือนทองคำ สองฝั่งแม่น้ำไม่ร้อนนักไม่เย็นนักมีสัมผัสอันเป็นสุขดาดาษไปด้วยดอกไม้ที่เกิดในน้ำมีกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วหมด  กระแสน้ำที่ไหลไปในลำน้ำทั้งปวงนั้นจะหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้  ต้นไม้และเถาวัลย์ในอุตตรกุรุทวีปจะไม่มีหนามจะเต็มไปด้วยดอกไม้ที่มีสีสันอันสวยงามและมีผลเป็นพุ่มเป็นพวงห้อยระย้า  ถ้าประชาชนต้องการที่จะหลับนอนใต้ต้นไม้ต้นไหน  ภายใต้ร่มไม้นั้นก็จะมีฟูกหมอนและเตียงตั่งให้หลับนอนด้วยอำนาจของบุญ
    ถ้าญาติพี่น้องคนไหนมีอายุได้ ๑๐๐๐ ปี ก็จะตาย เมื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องตายจะไม่มีการเศร้าโศกและร้องไห้  เมื่อมีการตายเกิดขึ้นพวกเขาจะเอาผ้าขาวห่อศพแล้วยกเอาไปวางไว้กลางแจ้ง ต่อจากนั้นก็จะมีนกหัสดีลิงค์บินมาคาบเอาซากศพไปทิ้งที่นอกภูเขาทองคำที่ล้อมรอบทวีปอยู่ภายในอุตตระกุรุทวีปนี้จะไม่มีซากศพและกลิ่นเหม็นในทวีปนี้จะไม่มีป่าช้าในแผ่นดินในอุตตรกุรุทวีปจะทำให้สิ่งโสโครกทั้งหลาย  เช่น เสมหะ  อุจจาระ  และปัสสาวะจมหายลงไปใต้แผ่นดินเอง             
               อายุขัยของมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป
   ในอุตตรกุรุทวีปมนุษย์จะมีอายุยืนได้ ๑๐๐๐ ปี ทั้งหญิงและชาย  ถ้าอายุไขยังไม่ถึง ๑๐๐๐ ปีจะไม่ตาย  ร่างกายของพวกเขาจะไม่วิปริตแปรปรวนผันผวนด้วยอำนาจของลมแลแดดและความเจ็บไข้ได้ป่วย กำลังวังชาก็จะไม่ถดถอย ร่างกายก็จะไม่ชราและเหี่ยวย่น  จะไม่มีคนหูหนวกหูตึง หน้ามืดตามัวฟันหัก  แก้มตอบ  สันหลังขด ง่อยเปลี้ยเสียขา
จะไม่มีเหมือนกับมนุษย์ในชมพูทวีป  ในชมพูทวีปนั้นเมื่อตั้งปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของ
มารดาแล้วพอเป็นกัลละเหมือนน้ำมันงาใสๆก็จะฉิบหายไปก็มี   บางจำพวกเป็นอัมพุทะเหมือนปุ่มเปลือกในไข่แล้วฉิบหายไปก็มี   บางจำพวกเข้มข้นขึ้นเป็นชิ้นเนื้อแล้วฉิบหายไปก็มี   บางจำพวกเป็นฆนะและเป็นแท่งแล้วก็ฉิบหายไปก็มี บางจำพวกเป็นปัญจสาขาแตกเป็นกิ่ง ๕  กิ่ง คือมือ ๒  เท้า ๒  และศีรษะ ๑ แล้วฉิบหายไปก็มี  
   บางจำพวกจำเริญเป็นรูปกายมีผมแล้วตายไปก็มี   บางจำพวกก็ขัดขวางไม่สามารถออกจากครรภ์ได้ตายไปก็มี   บางจำพวกคลอดออกมาจากครรภ์แล้วเพียงครู่เดียวแล้วตายไปก็มี  บางจำพวกมีอายุได้ ๑ ปี  ๒ ปี  ๓ ปี  ๔  ปี  ๕  ปี  ๑๐  ปี  ๒๐  ปี  ๓๐  ปี  ๔๐  ปี  ๕๐  ปี  ๖๐  ปี  ๗๐  ปี  ๘๐  ปี  ๙๐  ปี  ๑๐๐  ปี  ตายไปก็มี  แต่มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปจะ
ไม่เป็นอย่างนี้คือจะไม่ตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ  จะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุและคณไสย์  จะไม่ตายด้วยการปองร้ายของมนุษย์  จะไม่ตายด้วยสัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษทั้งหลาย  จะไม่ตายด้วยยาพิษ ยาเบื่อยาสั่ง  จะไม่ตายด้วยด้วยพืชผักและสิ่งที่เป็นพิษทั้งหลาย จะไม่ตายด้วยเครื่องศัตราอาวุธทั้งหลายและจะไม่ตายเพราะแก่ชรา ถ้าอายุยังไม่ถึง ๑๐๐๐ ปี  จะไม่ตายอย่างแน่นอน
             คติในสมปรายภพ
   คติในสัมปรายภพคือการไปสู่ภพอื่นในเมื่อตายไปแล้ว  มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปเมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดในเทวโลกคือเมืองสวรรค์อย่างเดียวจะไม่ไปเกิดในโลกอื่นภพอื่นอย่างเด็ดขาด  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปถือศีล ๕ ได้ครบทุกข้อไม่ขาดและไม่ด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียวตั้งแต่เกิดจนตาย  เพราะฉะนั้นเวลาตายจึงไปเกิดในโลกสวรรค์อย่างเดียวไม่ไปเกิดในโลกอื่น
             อานุภาพของศีลในอุตตรกุรุทวีป
   มนุษย์ในอุตตระกุรุทวีปไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ถือศีล ๕ เหมือนกันหมด ถืออย่าง บริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่มีขาดหรือด่างพร้อยเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป  เพราะการถือศีล ๕อย่างครบถ้วนสมบูรณ์จึงทำให้มนุษย์ในทวีปนี้มีร่างกายสวยงามมีอายุยืนยาวได้ ๑๐๐๐ ปี  เวลาตายก็ไปเกิดในโลกสวรรค์อย่างเดียวไม่ไปตกนรกเหมือนมนุษย์ในชมพูทวีป
   ประโยชน์ของศีล  ศีลเป็นยานอันวืเศษดีกว่ายานทั้งหลาย เช่น  หัตถียาน คือเครื่องนำไปด้วยช้าง   อัสสยาน คือเครื่องนำไปด้วยม้า   รถยาน คือรถยนต์, รถจักรยานยนต์, รถจักรยาน    ยานอวกาศ  คือไอพ่นเครื่องบิน  จะนำเราไปได้ก็แต่ในโลกนี้เท่านั้น  แต่ยานพวกนี้จะนำพาเราไปสู่โลกอื่นไม่ได้  เพราะฉะนั้นศีลพระพุทธองค์ตรัสว่า "สีลัง  ยานานะมุตตะ มัง  ศีลเป็นยวดยานอันสูงสุดกว่ายวดยานทั้งหลาย"  และพระพุทธองค์ต่อไปว่า "สีลัง  อะลังการะมุตตะมัง  แปลว่า ศีลเป็นเครื่องประดับอันวิเศษสุดย่อมงามในโลกทั้ง ๓   คือมนุษยโลก   เทวโลก   และพรหมโลก"
   ความงามของศีลไม่เลือกยากดีมีจนเด็กหนุ่มสาวเฒ่าชะแรแก่ชรา คนไหนมีศีลคนนั้นก็จะงามได้โดยไม่เลือกหน้า สีลัง  คันโธ  อนุตตะโร  กลิ่นของศีลหอมกว่ากลิ่นของดอกไม้ทั้งหลาย  แม้ดอกไม้ปริกชาติอันเป็นดอกไม้ประจำสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เวลาบานจะมีกลิ่นหอมฟุ้งไปไกลได้ ๑๐๐ โยชน์ กลิ่นหอมของดอกปริกชาติหอมไปตามลมหอมทวนลมไม่
ได้  แต่กลิ่นของศีลหอมไปตามลมก็ได้หอมทวนลมก็ได้หอมไปได้ทั้ง ๘ ทิศ ระยะทางใกล้ไกลไม่มีกำหนดศีลมีที่ไหนก็หอมไปในที่นั่น  ความสวยความรู้และยศศักดิ์เป็นเครื่องประดับของมนุษย์ชนิดหนึ่ง ที่มนุษย์ต้องการและใฝ่หา
   แต่ความสวยทั้ง ๓ ชนิดนี้ถ้าขาดศีลจะเป็นความสวยที่ไร้ค่าเป็นสิ่งจอมปลอมเพื่อลวงโลกเท่านั้น      สีเลนะ  สุคะติง  ยันติ  บุคคลจะได้ไปบังเกิดในสุคติภูมิคือ  มนูษยโลก   เทวโลก   พรหมโลก  ก็เพราะศีล  เพราะฉะนั้นศีลจึงเป็นยานพาหนะที่จะพาเราไปได้ทั้ง ๓ โลก        สีเลนะ  โภคสัมปะทา  ผู้ใดมีศีลผู้นั้นก็จะบริบูรณ์ด้วยสมบัติที่เป็นสวิญญาณกะ
ทรัพย์แลอวิญญาณกะทรัพย์ ฯ

             เรื่องของมนุษย์ในอมรโคยานทวีป     
    อมรโคยานทวีป   คือทวีปที่เป็นเกาะใหญ่หรือแผ่นดินผืนใหญ่ มีเนื้อที่ทั้งหมดวัดได้ ๗๐๐๐ โยชน์   และมีทวีปน้อยทวีปใหญ่เป็นบริวารอีก  ๕๐๐  ทวีป
     -ทวีปนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรที่มีชื่อว่า "ผลิกสาคร" คือทะเลที่มีน้ำเป็นสีคล้ายกับรัสมีของแก้วผลึก อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของภูเขาพระสุเมรุ
     -มีต้นไม้กระทุ่มเป็นสัญญาลักษณ์ของทวีป   ต้นไม้กระทุ่มนี้มีรูปลักษณะเท่ากันกับต้นไม้หว้าในชมพูทวีปทุกประการ  วัดตั้งแต่โคนต้นถึงปลายยอด  วัดได้ ๑๐๐ โยชน์   วัดรอบต้นได้ ๑๕ โยชน์  มีกิ่ง ๔ กิ่ง  แผ่ออกไป ๔ ทิศๆ ละกิ่ง  กิ่งหนึ่งยาววัดได้ ๕๐ โยชน์ มีอายุยืนได้หนึ่งวิวัฏฏัฏฐายีกัปป์
     -มนุษย์ในทวีปนี้มีใบหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว มีอายุยืนได้ ๕๐๐ ปี  เป็นกำหนด ถ้าอายุยังไม่ถึง ๕๐๐ ปีจะไม่ตาย  มนุษย์ในทวีปนี้รักษาศีล ๕  ได้ครบทุกข้อ
     -มนุษย์ในทวีปนี้เดินเคลื่อนไหวไปมาเท้าไม่ติดดินคือเดินลอยอยู่เหนือพื้นดินประมาณ ๑  คืบ
     -อมรโคยานทวีป  มีทวีปน้อยเป็นบริวารอีก  ๕๐๐  ทวีป  มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปน้อย ๕๐๐  ทวีปก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนทวีปใหญ่คือมีใบหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวทั้งหมด
ทั้ง  ๕๐๐  ทวีป
     -ลักษณะสัณฐานของทวีปนี้ มีลักษณะเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
     -ทารกที่เกิดในอมรโคยานทวีปเพียงครู่เดียวจะโตเท่ากับทารกที่เกิดในชมพูทวีป  ๔
เดือน
     -รูปร่างลักษณะของมนุษย์ในอมรโคยานทวีปสูงได้  ๖  ศอก  มีสีของผิวกายเป็นหลายสี  เช่น  บางจำพวกเป็นสีขาว   บางจำพวกเป็นสีดำ   บางจำพวกมีผิวเนื้อเป็นสองสี   บางจำพวกเป็นสีทอง   บางจำพวกมีผิวเนื้อเป็นสีด่างพร้อยก็มี
    -ผ้านุ่งและผ้าห่มของชาวอมรโคยานทวีป  มีหลายอย่างหลายพรรณ  เป็นผ้ากัปปาสิกะพัสตร์ที่ทอด้วยด้ายก็มี   เป็นผ้าโกไสยพัสตร์  ที่ทอด้วยไหมก็มี  ราคาถูกบ้าง แพงบ้าง เนื้อผ้าหยาบก็มี  ละเอียดก็มี   สีของเสื้อผ้าก็มีหลากหลาย สีขาวก็มี   สีเหลืองก็มี   สีแดงก็มี   สีดำก็มี   สีเขียวก็มี   มาหลายสีผสมกันก็มี        
           เครื่องประดับของชาวอมรโคยานทวีป
    เครื่องประดับของชนชาวอมรโคยานทวีป เป็นทองคำก็มี  เป็นเงินก็มี  เป็นแก้วก็มี  เป็นทองนากก็มี   เป็นเพชรและพลอยก็มี
                  บ้านเรือนของชาวอมรโคยานทวีป
    บ้านเรือนของชาวอมรโคยานทวีป  เป็นปราสาทหลังยาวๆก็มี   เป็นปราสาทสี่เหลี่ยมก็มี   เป็นตึกกว้างก็มี   เป็นเรือนยอดก็มี   เป็นเรือนไม่มียอดก็มี   บ้านเรือนบ้างหลังสร้างด้วยทองคำก็มี    บ้านเรือนบางหลังสร้างด้วยเงินก็มี  บ้างหลังสร้างด้วยศิลาก็มี   บางหลังสร้างด้วยแก้วก็มี  บางหลังสร้างด้วยปูนและดินก็มี   บ้างหลังสร้างด้วยไม้ต้นใหญ่ๆ ก็มี   บางหลังสร้างด้วยไม้ไผ่ก็มี
                 อาหารของชาวอมรโคยานทวีป
     อาหารสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตในอมรโคยานทวีปนั้น  ได้แก่  ข้าวสตู   ข้าวสุก   ถั่วและงา   เนื้อและปลาก็มีอยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนในชมพูทวีป  คนในอมรโคยานทวีปจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ถ้าจะกินเนื้อกินปลาก็กินแต่เนื้อและปลาที่ตายแล้วเท่านั้น
                 สังคมของชาวอมรโคยานทวีป
    ในอมรโคยานทวีปก็มีการสะสมทรัพย์สมบัติเหมือนกัน   การทำไรไถนาก็มีเหมือนกับในชมพูทวีป   และการค้าขายก็มีเหมือนในชมพูทวีป
     คนในอมรโคยานทวีปเวลาตาย  ก็จะนำไปเผาก็มี   นำเอาไปฝังก็มี   และนำเอาไปโยนทิ้งก็มี  เหมือนในชมพูทวีป     ในเวลาที่จะแต่งงานกัน เจ้าบ่าวก็จะต้องไปขอเจ้าสาวเหมือนกับในขมพูทวีป  เวลามีครรภ์ก็จะบำรุงเลี้ยงดูให้ดีเหมือนในชมพูทวีป   แต่การร่วมสังวาสกันจะมีแค่  ๑๐  ครั้งเท่านั้นในชีวิต   จะไม่มีมากกว่านี้
              ต้นไม้เครือไม้และป่าไม้ในอมรโคยานทวีป
    ต้นไม้เครือไม้และป่าไม้ในอมรโคยานวีป มีสีสันและสัณฐานต่างๆกัน  เช่น  สีขาว  สีเขียว   สีดำ   สีแดง   สีหงสบาท  เหมือนในชมพูทวีป  แต่ในอมรโคยาทวีปไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเหมือนในชมพูทวีป
                  เครื่องอุปโภคบริโภคในอมรโคยานทวีป
    เครื่องอุปโภคบริโภคและของกินของใช้ต่างๆ ในอมรโคยานทวีป ก็มีเหมือนในชมพูทวีป  แต่ในอมรโคยานทวีปไม่มีการบวชพระบวชเณร และศาสนาต่างๆ เหมือนในชมพูทวีป  คนในทวีปนี้ไม่มีศาสนา แต่ก็รักษาศีล ๕ ได้ครบทุกข้อ เวลาตายเมื่ออายุครบ  ๕๐๐  ปีเท่านั้นจึงจะตาย  ไม่มีการแท้ง  ไม่มีการตายตอนเป็นหนุ่มและเป็นสาว  ไม้มีการตาย
แบบอุบัติเหตุ  ไม่มีการตายจากการทำร้ายของสัตว์ร้ายทุกชนิด   เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในเมืองสวรรค์อย่างเดียวไม่ไปเกิดในเมืองนรก  เปรต  อสุรกาย  และสัตว์เดรัจฉาน

           ความพินาศและการเกิดขึ้นของโลก
สรรพสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจซึ่งมีอยู่ใน ๓๑ ภูมิ ไม่เที่ยงแท้ จะต้องฉิบหายสลายไปเพราะความตาย สิ่งซึ่งมีแต่รูปร่างแต่ไม่มีจิตใจซึ่งมีอยู่ในภูมิ ๑๒ ชั้น เว้นแต่สัญญีสัตตาภูมิชั้นบนขึ้นไป นับแต่อสัญญีสัตตาภูมิชั้นต่ำลงมามีเขาพระสุเมรุราชเป็นต้น ก็ต้องพินาศวอดวายไปเพราะ ไฟ น้ำ และลม เมื่อเวลาไฟไหม้กัลป์นั้นเป็นอย่างไร เมื่อไฟไหม้กัลป์หรือไฟประลัยกัลป์นั้น ย่อมทำให้โลกพินาศวอดวายไปด้วยธรรมชาติ ๓ อย่าง คือ พินาศไปด้วยไฟ พินาศไปด้วยน้ำ พินาศไปด้วยลม                       

                      กำเนิดโลก
   ๐ฝนตกลงมาน้ำท่วมถึงพรหมโลกใช้เวลา ๑ อสงไขย ฝนนั้นชื่อ สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัลป์ ต่อจากนั้นลม ๔ ชนิด ก็จะพัดห้วงน้ำให้กลายเป็นพื้นภูมิเหมือนเก่าขึ้นมา ลม ๔ ชนิด คือ:-

    ๑.ลมปรจิตตวาต  คือลมที่พัดน้ำให้กลายเป็นแผ่น

    ๒.ลมภัตรวาต  คือลมที่พัดแผ่นให้กลายเป็นปุ่มเปลือก

    ๓.ลมจักราวาต   คือลมที่พัดแผ่นให้กลายเป็นรูปจักรวาล

    ๔.ลมอุกเขปะวาต  คือลมที่พัดน้ำเวียนรอบไม่ให้น้ำล้นบ่าออกไปนอกจักรวาล เหมือนน้ำในธมกรกไม่ล้นออกไปข้างนอกฉะนั้น

    ลมทั้ง ๔ ชนิดเหล่านี้พัดไปมาจนละลอกน้ำกลายเป็นแผ่น เหมือนปุ่มเปือก กลายเป็นกลละเหมือนน้ำข้าว กลายเป็นอัมพุทะเหมือนข้าวเปียก กลายเป็นเปสิเป็นก้อน เป็นเปือก จนกระทั่งกลายเป็นพื้นภูมิทองเหมือนเดิม ดูแพรวพราวเป็นประกายงามยิ่งนัก เกิดเป็นปราสาทแก้วทั่วทุกแห่งเหมือนแต่ก่อน ชั้นนี้เรียกว่า มหาพรหมมา พรหมทั้งหลายก็จะลงมาอยู่ชั้นนี้เหมือนเดิม น้ำก็แห้งลง ลมทั้ง ๔ ก็เร่งพัดน้ำเป็นละลอกจนกลายเป็นเผณุ (ฟอง) จากเผณุกลายเป็นกลละเหมือนน้ำข้าว จากกลละกลายเป็นอัมพุทะเหมือนข้าวเปียก จากอัมพุทะกลายเป็นเปสิเป็นก้อนแล้วก็กลายเป็นแผ่นภูมิทองดังเก่า ดูแล้วงดงามยิ่งนักเหมือนแต่ก่อนเกิดเป็นปราสาทแก้ว ทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกชื่อว่า พรหมปโรหิตา
   พรหมก็ลงมาอยู่ในชั้นนี้เหมือนเดิม น้ำก็แห้งลงเรื่อย ๆ ลมทั้ง ๔ ก็พัดน้ำให้กลายเป็นฟอง จากฟองกลายเป็นตม และตมก็กลายเป็นข้น เป็นก้อนแล้วก็กลายเป็นแผ่นดินเหมือนเดิม ดูงดงามยิ่งนัก เกิดเป็นปราสาทแก้วทั่วทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกว่า พรหมปาริสัชชา หมู่พรหมก็ลงมาอยู่ชั้นนี้เหมือนเดิม น้ำก็แห้งลงไปเรื่อย ๆ ลมทั้ง ๔ ก็พัดจนกลายเป็นฟอง จากฟองก็เป็นตม จากตมก็กลายเป็นก้อน แล้วก็กลายเป็นแผ่นภูมิทองอย่างเก่าดูงดงามยิ่งนัก เกิดเป็นปราสาทแก้วทั่วทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกว่า สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ฝูงเทพยดาก็ลงมาอยู่เหมือนเก่า ชั้นต่ำลงมาเรียกว่า กามภูมิ และน้ำก็แห้งลงเรื่อยๆ

   ลมทั้ง ๔ ก็พัดมากกว่าเดิม จนกลายเป็นแผ่นภูมิทอง และเป็นปราสาทแก้วทั่วทุกแห่งเหมือนเดิม ชั้นนี้เรียกว่า นิมมานรดี ฝูงเทพยดาก็ลงมาอยู่เต็มวิมานเหมือนเก่า น้ำก็แห้งลงเรื่อย ๆ และลมทั้ง ๔ ก็พัดอยู่เหมือนเดิมจนข้นขึ้นเป็นแผ่นดินทอง เกิดเป็นปราสาทแก้วและวิมานของเทพยดาเหมือนเก่า ชั้นนี้เรียกว่า ดุสิต ฝูงเทวดาก็ลงมาแต่ชั้นบนมาอยู่เหมือนเดิม น้ำก็แห้งลง ลมทั้ง ๔ ก็ยังพัดเหมือนเดิม น้ำขุ่นข้นงวดเข้าเป็นแผ่นดินทองดูเป็นประกายงาม เกิดเป็นวิมานแก้วของเทวดาเหมือนเก่า ชั้นนี้เรียกว่า ยามา เทวดาทั้งหลายก็จุติจากเบื้องบนลงมาอยู่เหมือนดังกล่าวมา
   เมื่อน้ำแห้งลงไปเรื่อย ๆ ลมทั้ง ๔ ชนิดก็พัดจนเป็นฟอง จากฟองก็เป็นตม จากตมก็ข้นก็กลายเป็นก้อนแข็ง จนในที่สุดก็กลายเป็นแผ่นดินทองเหมือนเดิม ดูเป็นประกายงดงามยิ่งนักเหมือนแต่ก่อน เกิดเป็นปราสาททั่วทุกหนทุกแห่ง

   ชั้นนี้ชื่อว่า ดาวดึงส์ มีเทวดาลงมาอยู่เหมือนแต่ก่อน น้ำก็ยิ่งลดลง แห้งไปเรื่อย ๆ ลมทั้ง ๔ ชนิด ก็พัดจนเป็นฟอง เป็นตมและข้นเป็นก้อน ที่สุดจนกลายเป็นแผ่นดินเหมือนเก่าดูเป็นประกายงดงาม เกิดเป็นปราสาทแก้วทุกหนทุกแห่ง เป็นเขาพระสุเมรุราชสูงใหญ่เหมือนเดิม เกิดเป็นเขาทั้งเจ็ดเพื่อจะล้อมรอบเขาพระสุเมรุและแม่น้ำสีทันดร ระหว่างเขาทั้งเจ็ดนั้น ล้อมรอบด้วยทวีปใหญ่ ๔ ได้แก่ บุรพวิเทหทวีป ชมพูทวีป อมรโคยานทวีป และอุตตรกุรุทวีป และทวีปเล็กอีก ๒,๐๐๐ ล้อมรอบ เกิดเป็นป่าหิมพานต์ เกิดเป็นสระใหญ่ ๗ สระ ได้แก่ อโนดาต กัณณมุณฑะ รถการกะ ฉัททันต์ กุณาละ มันทากีนี และสีหปปาตะ และเกิดแม่น้ำใหญ่อีก ๕ สาย คือ คงคา อจิรวดี ยมุนา สรภู และมหิ แล้วจึงเกิดเป็นจักรวาล เกิดเป็นสวรรค์ดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ เกิดเป็นจาตุมหาราชิกา อันเป็นเมืองของท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ต่อจากนั้น ก็เกิดเป็นโลกมนุษย์ เกิดเป็นนรก เกิดเป็นเปรตวิสัย เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เกิดเป็นอสุรกาย เหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว เมื่อก่อนสูงใหญ่เท่าไร ก็สูงใหญ่เท่านั้น ไม่แตกต่างจากปางก่อนเลย ลมพัดเป็นฟองน้ำซัดสาดไปมามีที่ต่ำมีที่สูง มีที่ราบ ที่ต่ำกลายเป็นแม่น้ำ ที่สูงกลายเป็นภูเขา ที่ราบกลายเป็นเรือกสวนไร่นา ป่าในชมพูทวีปที่เราอาศัยอยู่นี้จะเกิดเป็นที่เกิดของต้นพระมหาโพธิก่อน  สถานที่แห่งนั้นก็จะเป็นสถานที่  ที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาตรัสรู้ และสถานที่ว่านั้นก็กลายเป็นชมพูทวีป พื้นที่สูงกว้างใหญ่ เมื่อดอกบัวจะเกิดก็เกิดที่นั้น มนุษย์เราจะเกิดก็เกิดที่นั้น โดยได้ลงมาจากพรหมโลก

   เมื่อน้ำแห้งลง ฝุ่นดีในผืนแผ่นดินนี้ได้มีกลิ่นรสอันโอชาอร่อยยิ่งนัก เหมือนดังละอองนิรุทกปายาส  เหล่าพรหมที่สถิตอยู่ในชั้นอาภัสสรพรหมเมื่อสิ้นบุญแล้วก็จุติจากอาภัสสรพรหมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ผุดเกิดมาเอง คนในสมัยแรกเริมเกิดขึ้นมาเอง คนเหล่านั้นยังไม่มีเพศหญิงเพศชายเหมือนดั่งพรหม มีรัศมีแผ่ซ่านรุ่งเรืองสดใสงดงาม มีฤทธิ์สามารถเหาะไปในอากาศได้  มนุษย์เกิดมาทีแรกไม่ได้กินอะไร กินปีติคือความอิ่มเอิบใจเป็นอาหารต่างข้าวและน้ำเหมือนพรหม มนุษย์ยุคแรกมีอายุยืนได้ ๑ อสงไขยปี    

   กาลผ่านมาโดยลำดับก็เป็นผู้หญิงผู้ชายเหมือนเมื่อก่อน พรหมทั้งหลายเห็นเช่นนั้นต่างก็พากันชิมรสดินต่างข้าวและน้ำทุกวัน ด้วยเหตุที่พวกพรหมซึ่งเป็นมนุษย์มีความคิดอันเป็นอกุศล ๓ อย่าง คือ:-

   ๑.คิดทางกาม

   ๒.คิดพยาบาท

   ๓.คิดเบียดเบียน

   จึงทำให้รัศมีในร่างกายของพวกเขาหายไปหมดสิ้น ความมืดจึงปกคลุมไปทั่วแผ่นดินมองไม่เห็นกัน เมื่อพวกเขาเห็นมืดมนอนธกาลเช่นนั้น  จึงรำพึงรำพันกันว่า พวกเราจะทำอย่างไรจึงจะเห็นหนทาง ด้วยอำนาจบุญกุศลของเขาเหล่านั้นจึงเกิดเป็นกลางคืนเป็นกลางวัน เป็นเดือน เป็นปี เหมือนแต่ก่อน และด้วยอำนาจอธิษฐานนั้น จึงเกิดเป็นดวงตะวันขึ้นดวงหนึ่ง สูงได้ ๕๐ โยชน์ มีปริมณฑลได้ ๑๕๐ โยชน์ ทำให้ฝูงชนทั้งหลายได้มองเห็นหนทาง ได้มองเห็นกันและกัน และแสงของตะวันก็สว่างไสวรุ่งเรืองอยู่เช่นนั้นตลอดมา ฝูงชนต่างก็ยินดีปรีดายิ่งนัก จึงพากันกล่าวว่า เทพบุตรองค์นี้สามารถบรรเทาความมืดได้ พวดเราควรเรียกว่า "สุริยะเทพบุตร (พระอาทิตย์)"
   เมื่อพระอาทิตย์ให้ความสว่างไสวตลอดวันแล้ว จึงโคจรเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุราช พอลับเขาพระสุเมรุราชแล้วก็กลับมืดขึ้นมาอีก คนทั้งหลายก็เกิดความกลัว จึงกล่าวว่าเทพบุตรได้ให้ความสว่างรุ่งเรืองแจ่มจ้า นับว่าเป็นการดีแล้ว แต่ยังมีมืดอยู่อีก น่าจะมีเทพบุตรที่สามารถบันดาลให้มีแสงสว่างในเวลากลางคืนได้ เหมือนเทพบุตรที่ลับสายตาไปแล้วนั้นก็จะดีมาก
   ด้วยอำนาจคำอธิษฐานของคนเหล่านั้นจึงเกิดดวงจันทร์ดวงหนึ่งใหญ่ มีแสงสว่างนวลงามยิ่งนัก มีขนาดสูงได้ ๔๙ โยชน์ มีปริมณฑล ๑๕๐ โยชน์ โผล่ขึ้นมาสมดังปรารถนา
   พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็มาจากพรหมโลกเพื่อส่องแสงสว่างให้คนในโลกนี้ได้เห็นกัน เมื่อพวกเขาได้เห็นพระจันทร์และพระอาทิตย์เช่นนั้นแล้ว ก็มีความยินดียิ่งนัก และปลาบปลื้มปีติยิ่งกว่าเก่า และกล่าวกันว่า เทพบุตรองค์นี้สามารถให้แสงสว่างให้เราได้เห็นหนทางดังใจปรารถนาประหนึ่งรู้จิตใจของพวกเรา ที่เกิดมีแสงสว่างขึ้นในเวลากลางคืน พวกเราควรเรียกว่า "จันทรเทพบุตร" เมื่อเกิดมีพระจันทร์ และพระอาทิตย์แล้ว จึงเกิดมีดาวนักษัตร ๒๗ ดวง พร้อมด้วยหมู่ดวงดาวทั้งหลาย
   ต่อมาจึงเกิดมีวัน เดือน ปี  และฤดู ทั้งหลายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผืนแผ่นดินอันรุ่งเรืองและท้องฟ้าอันสว่างสดใส ก็ระยิบระยับไปด้วย ดวงจันทร และดวงอาทิตย์ ตลอดปีเป็นเวลาอนันตอสงไขย จึงเรียกว่า "อสงไขยกัปป์"
   เมื่อพระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ เกิดขึ้นครั้งแรกนั้น วัน คืน เดือน ปี ก็เกิดขึ้นครั้งแรกเช่นเดียวกัน ถึงวันเพ็ญเดือน ๔ พระอาทิตย์ก็โคจรมาอยู่ในราศีมีน เสวยฤกษ์อุตตาภัทร์ พระจันทร์โคจรครั้งแรกในราศีกันย์ เสวยฤกษ์อุตตรผคุณ ทำให้มนุษย์ทั้งหลายเห็นหนทางได้พร้อมกันทั้ง ๔ ทวีป โดยพร้อมเพรียงกัน ต่อมาพระอาทิตย์ก็ส่องแสงสว่างให้เห็น ๒ ทวีป  และพระจันทร์ก็ส่องแสงสว่างให้มองเห็นใน ๒ ทวีป หมุนเวียนไปเท่า ๆ กัน
   เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น มนุษย์ทั้งหลายในแผ่นดินชมพูทวีปและในแผ่นดินบุพพวิเทหทวีป ก็จะมองเห็นดวงอาทิตย์พร้อมกัน  เมื่อดวงอาทิตย์ตกคนในแผ่นดินทั้ง ๒ ทวีป ก็จะมองเห็นพร้อมกัน   ในเวลากลางคืนคนในอุตตรกุรุทวีปและอมรโคยานทวีปก็จะมองเห็นพระจันทร์ ในเวลาเดียวกันในทั้งสองทวีป ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงได้มองเห็นกันอยู่ในผืนแผ่นดินจนถึงไฟไหม้กัปป์ และเกิดกัปป์ใหม่ จึงเรียกว่า "วิวัฏฎฐายีอสงไขยกัปป์"   ๔ วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปป์ จึงเป็น ๑ มหากัปป์
   ในปีหนึ่งมี ๓ ฤดู  คือ

    ๑.คิมหันตฤดูหรือฤดูร้อน มี ๔ เดือน นับตั้งแต่เดือน ๔ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ

    ๒.วสันตฤดูหรือฤดูฝน มี ๔ เดือน นับตั้งแต่เดือน ๘ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ  

    ๓.เหมันตฤดูหรือฤดูหนาว มี ๔ เดือน นับตั้งแต่เดือน ๑๒ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ
   ฤดูหนึ่งมี ๒ กาล รวมเป็น ๖ กาล คือ
    ๑.วสันตกาล นับตั้งแต่เดือน ๔ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มีน้ำให้โทษแก่คนทั้งหลาย

    ๒.คิมหันตกาล นับตั้งแต่เดือน ๖ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มีลมและไฟเป็นกำลังแก่คนทั้งหลาย

    ๓.วัสสิกากาล นับตั้งแต่เดือน ๘ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มีลมและไฟให้โทษแก่คนทั้งหลาย

    ๔.สรทกาล นับตั้งแต่เดือน ๑๒ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มีไฟและน้ำให้โทษ

    ๕.สิสิรกาล นับตั้งแต่เดือน ๒ แรม ๑ ค่ำ ถึงเดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มีน้ำให้โทษ
   ในกาลทั้ง ๖ นี้ วสันตกาลเป็นก่อน (มีก่อน) คนทั้งหลายที่เกิดในแผ่นดินก็กินง้วนดินอันโอชะตามฤดูกาลเหล่านี้ โดยเหตุที่ปวงชนประมาทลืมตัวไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักความดีความชั่ว ง้วนดินที่พวกเขากินนั้นก็จมลงไปใต้ดิน กลีบดินก็ผุดขึ้นมาแทน ดุจดังดอกเห็ดที่ตูม แล้วก็จมหายลงไปในแผ่นดิน เกิดเป็นเถาวัลย์ที่ชื่อ ภทาลตา  ขึ้นมาแทนคล้ายผักบุ้ง ซึ่งมีโอชารสยิ่งนัก คนทั้งหลายจึงกินเถาวัลย์นั้นต่างข้าวทุกวัน
   เมื่อเวลาผ่านมานานเข้า คนทั้งหลายก็ประมาทมัวเมาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เถาวัลย์ภทาลตาที่ว่านั้นก็หายไป ข้าวสาลีก็เกิดขึ้นเป็นลำต้น เป็นหน่อ เป็นตอ เป็นข้าวสารเลย ไม่ต้องตำ ไม่ต้องฝัด ไม่ต้องตาก ไม่มีแกลบและไม่มีรำเป็นข้าวสารเอง พอเอาข้าวสารนั้นใส่หม้อตั้งบนก้อนหินที่ชื่อว่า "โชติกปาสาณ"  ไฟก็ลุกโชติช่วงขึ้นเอง ถ้าปรารถนาอยากจะได้กับข้าวอะไรก็จะได้กับข้าวทุกอย่าง

   เมื่อคนกินเข้าไปแล้วก็เกิดมีอาหารเก่าอาหารใหม่ แล้วก็ถ่ายเป็นอุจจาระออกมาเหมือนอย่างมนุษย์เรา ตั้งแต่นั้นจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อพวกเขากินง้วนดินก็ดี กลีบดินซึ่งเหมือนดอกเห็ดที่ตูมก็ดี เชือกเถาวัลย์ภทาลตาก็ดี หามีอุจจาระไม่ เหมือนเทพยดาเสวยข้าวทิพย์ฉะนั้น เมื่อกินอาหารจนอิ่มดีแล้ว อาหารนั้นก็จะถูกไฟธาตุเผาแล้วก็จะละลายหายไปในร่างกายสิ้น เมื่อใดได้กินข้าว เมื่อนั้นก็จะมีอุจจาระ
   เมื่อได้กินข้าวแล้วก็เกิดราคะความกำหนัดตามวิสัยโลกธรรมของชายหญิง ตั้งแต่บัดนั้นมา ผู้ที่มีความโลภมากก็กลายเป็นสตรีไป ผู้ที่มีความโลภพอสมควรก็กลายเป็นบุรุษ บุรุษและสตรีก็เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
   เมื่อเกิดมีบุรุษสตรีขึ้นเช่นนั้นแล้ว พอเห็นกันเข้าก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ ชอบพอกันแล้วก็ร่วมเสพกามกันตามธรรมดาของโลก เหมือนกับที่มีมาในกัลป์ก่อน ๆ ต่อจากนั้นจึงหาที่ปลูกบ้านปลูกเรือนอยู่ เพื่อปิดบังความละอายที่เป็นสภาพน่าละอายนั้น ครั้นเป็นคู่สามีภรรยากันแล้ว ก็ปลูกบ้านปลูกเรือนอยู่กันตามลำพัง แล้วก็ไปหาเอาข้าวสาลีมาไว้มาก ๆ เพื่อเก็บกินได้หลาย ๆ วัน เวลานั้น ข้าวสาลีก็กลายเป็นแกลบเป็นรำเหมือนข้าวเปลือกของเราปัจจุบันนี้ ส่วนสถานที่ที่เคยงอกแตกออกเป็นข้าวสารก็ไม่งอกเหมือนอย่างเคย
   คนทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นแล้วก็ประหลาดใจ จึงชุมนุมปรึกษาหารือเจรจาตกลงเพื่อแบ่งที่ดินทำกินกันว่า เมื่อก่อนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม ปรารถนาสิ่งใดก็ได้ดังปรารถนา ไม่ได้กินอาหารอะไรก็ยังอิ่ม จะไปทางไหนก็ไปทางอากาศ มีที่นอนที่อยู่ก็เป็นสุขสำราญ ร่างกายก็มีรัศมีรุ่งเรืองไปทั่วจักรวาล ง้วนดินก็เกิดขึ้นมาเป็นประโยชน์แก่เรา เพราะเหตุเราชวนกันโลภอาหารกินง้วนดิน รัศมีที่เคยรุ่งเรืองอยู่ในร่างกายเราก็หายไปหมดสิ้น ทำให้มืดมิดมองไม่เห็นกันจึงปรารถนาแสงสว่างอีก
   พระอาทิตย์และพระจันทร์จึงบังเกิดขึ้นให้แสงสว่างแก่พวกเรา เรากระทำความผิดอีกง้วนดินก็หายไปกลายเป็นดังดอกเห็ดตูมขึ้นมาจากกลีบดิบให้เรากินต่างข้าว เรากลับพากับทำความชั่วต่างๆ นานา กลีบดินที่เหมือนดอกเห็ดก็หายไปกลายเป็นเถาวัลย์ชื่อ ภทาลตา ขึ้นมาให้เรากินต่างอาหาร เรากระทำความชั่วหนักเข้าไปอีก เถาวัลย์ภทาลตาก็หายไปสิ้นอีก กลายเป็นข้าวสาลีที่ไม่ได้ปลูก หากเป็นข้าวสารมาเองให้เรากินเป็นอาหาร

   ข้าวสาลีที่ว่านี้ เราเก็บเอาจากที่ใดในตอนเย็น เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็จะเห็นข้าวนั้นปรากฏอยู่ในที่นั้นเหมือนเดิม เมื่อไปเก็บเอาตอนเช้า ตกตอนเย็นก็จะปรากฏเห็นเกิดเต็มอยู่เหมือนเดิม หาร่องรอยเกี่ยวไม่มี บัดนี้พวกเราก่อกรรมทำทุจริตผิดศีลธรรมยิ่งกว่าแต่ก่อนอีก ข้าวสาลีก็กลายเป็นข้าวเปลือกไป และที่ที่เกี่ยวข้าว ข้าวก็หายไปมีแต่ซังและฟางเปล่า จะเป็นรวงข้าวเหมือนเดิมไม่มีแก่เราอีกแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเราควรแบ่งปันที่ดินปักเขตแดนกันเพื่อจะได้เพาะปลูกกินกันให้เป็นสัดส่วน จึงจะเป็นการถูกต้อง หลังจากพวกเขาตกลงกันแล้ว จึงได้แบ่งปันที่ไร่ที่นาให้แก่กันและกันตั้งแต่บัดนั้นมา
   ระยะนั้นคนบางคนเกิดความโลภขึ้น มีใจชั่วร้ายก็ไปชิงเอาที่ของคนอื่นเขา คนที่เป็นเจ้าของเดิมก็โกรธจึงไล่ตีด่ากัน อยู่ ๒- ๓ ครั้ง ต่อมาจึงประชุมปรึกษาหารือตกลงกันอีกว่า เวลานี้พวกเรากลายเป็นโจรหัวโจกก่อความวุ่นวายมาก เนื่องจากไม่มีใครเป็นหัวหน้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนพวกเรา ดังนั้น ควรตั้งท่านผู้ใดผู้หนึ่งให้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำของพวกเรา พวกเราประพฤติผิดชอบชั่วดีอย่างใด ท่านจะได้พิจารณาตัดสินสั่งการไปตามความผิดชอบนั้น พร้อมกันนั้นจะได้เป็นผู้แบ่งปันเขตแดนที่อยู่ที่อาศัยทำกินให้แก่พวกเรา และพวกเราก็จะมอบที่ไร่ที่นาให้แก่ท่านผู้เป็นใหญ่ นั้นมากกว่าพวกเรา

   ครั้นพวกเขาประชุมเจรจาตกลงกันเช่นนั้นแล้ว จึงอัญเชิญพระโพธิสัตว์เจ้าให้เป็นหัวหน้าเป็นผู้นำของพวกเขา และพวกเขาก็พร้อมใจกันทำพิธีราชาภิเษกพระโพธิสัตว์เจ้าขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินมีอิสริยยศ พร้อมมูลด้วยพระนาม ๓ ประการ คือ มหาสมมติราช เพราะคนทั้งหลายยินยอมพร้อมใจกันตั้งพระองค์ให้เป็นใหญ่ ขัตติยะ เพราะคนทั้งหลายมอบความเป็นใหญ่ให้พระองค์ ทรงมีพระราชอำนาจแบ่งปันไร่นา ข้าวน้ำ ให้แก่อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง และราชา เพราะทรงเป็นที่พึ่งพอใจเคารพนับถือของคนทั้งหลาย
   พระโพธิสัตว์เจ้าทรงเป็นมหาบุรุษ ปวงชนทั้งหลายอัญเชิญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะพระองค์ทรงพระสิริโฉมสง่างามยิ่งกว่าประชาชน มีพระปรีชาสามารถรอบรู้ยิ่งกว่าคนทั้งปวง ทรงมีพระทัยซื่อตรงประกอบบุญบารมียิ่งกว่าปวงอาณาประชาราษฎร พวกเขาเห็นดังนั้นแล้ว จึงพร้อมใจกันสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองและอบรมสั่งสอนพวกเขา เป็นประมุขของประเทศชาติ สืบสันตติวงศ์ติดต่อกันมาตราบเท่าทุกวันนี้
   คนบางคนเห็นความไม่เที่ยงในสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นไปในโลก และเห็นความชั่วเกิดขึ้น ยิ่งเกิดความสังเวชสลดใจ จึงออกไปหาที่สงัด เช่น กุฏิ ศาลา และกระท่อม เป็นต้น แล้วรักษาศีลเจริญภาวนา เที่ยวออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ตัดความโลภออกเสีย คนพวกนี้ชื่อพราหมณ์ ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ อีกพวกหนึ่งแจกไร่แจกนาให้คนอื่นทำ ตัวเองเพียงแต่คอยปกปักรักษา ค้าขายโดยชอบธรรม คนพวกนี้ชื่อว่า แพศย์ ติดต่อกันมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ อีกพวกหนึ่งจะทำการสิ่งใด ก็ทำด้วยกำลังและความสามารถ ทำการฆ่าสัตว์นานาชนิดมาเลี้ยงชีพ คนพวกนี้ชื่อว่า พรานและเป็นศูทร์ สืบมาจนกระทั่งบัดนี้
   คนทั้งหลายต้องทำการงานที่ลำบากยากเข็ญมาเลี้ยงชีพ ไม่ได้ทำมาหากินได้โดยง่ายเหมือนแต่ก่อน คนเหล่านั้นมีอายุยืนได้ถึงอสงไขย อยู่ต่อมาอายุก็ลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ นานเข้าจนกระทั่งถึงมีอายุได้ ๑๐ ปี เป็นอายุขัยจึงตาย สาเหตุที่อายุ ปี เดือน ของคนทั้งหลายลดน้อยถอยลงนั้น เป็นเพราะคนในชั้นหลังต่อมาก่อกรรมทำชั่ว โลภ โกรธ หลง
มากกว่าเดิม มวลหมู่เทพยดาทั้งหลายที่อยู่บนสวรรค์ก็ดี บนต้นไม้ก็ดี ก็ไม่มีคนนับถือหรือเกรงกลัว ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ดาวนพเคราะห์และดาวนักษัตรทั้งหลายก็ไม่โคจรไปตามราศีเหมือนแต่ก่อน ฤดูทั้ง ๓ ฤดูก็ดี กาลทั้ง ๖ กาลก็ดี ก็เปลี่ยนแปลงไปสิ้นไม่เหมือนเดิม ฝน ลม แดด ก็เปลี่ยนไป ทั้งต้นไม้ในแผ่นดินที่เคยเป็นยาก็ไม่เป็นยาเหมือนเก่า ฤดูกาลเปลี่ยนไป ปวงชนทั้งหลายจึงมีอายุลดน้อยถอยลง
   สมัยใด คนไม่ได้ทำบาปมีแต่ไมตรีจิต สงเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หมู่เทพยดาทั้งหลายก็อภิบาลรักษาพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดาวนักษัตรทั้งหลายก็โคจรไปตามราศี ไม่เปลี่ยนแปลง แดด ลม ฝน ก็ตกต้องตามฤดูกาล ปี เดือน วัน และคืน ไม้ที่เคยเป็นยา ก็กลับคืนเป็นยาตามปกติ คนทั้งหลายก็มีอายุยืนยาวยิ่งขึ้นเหมือนเดิม
   อันสภาวการณ์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่เที่ยงแท้ย่อมแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปมาดังกล่าวแล้ว บางคราวดีแล้วกลับชั่วร้าย แล้วก็กลับดีอีก ไม่เที่ยงเลย แม้คนในโลกก็ไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน ผู้มีปัญญาควรรู้อาการอย่างนี้แล้วพิจารณาถึงความไม่เที่ยงในโลกที่เป็นอยู่นี้ แล้วมุ่งบำเพ็ญบุญ กุศล เพื่อจะให้พ้นจากสภาพการณ์อันไม่เที่ยงนั้น จนกระทั่งได้เข้า
ถึงสมบัติอันสูงยิ่ง คือ พระนิพพานอันมั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่รู้จักฉิบหายไม่พินาศ ไม่รู้จักตาย เป็นสมบัติที่ดีเลิศกว่าสมบัติทั้งหลายในโลกทั้ง ๓ นี้
      จบเรื่องความพินาศและการเกิดของโลก

   ว่าด้วยเรื่องของประลัยกัลป์ทั้ง ๓  ชนิด   
   ๐ประลัยกัลป์ที่ทำลายล้างโลกมี  ๓ ชนิด คือ:-
     ๑.ไฟประลัยกัลป์
     ๒.น้ำประลัยกัลป์
     ๓.ลมประลัยกัลป์

    ๐ก่อนที่จะเกิด ไฟประลัยกัลป์  น้ำประลัยกัลป์  และลมประลัยกัลป์นั้น  จะมีโลกพยุหเทพยดาจำพวกหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในฉกามาวจรเทวโลก  แต่งกายด้วยผ้าสีแดงเดินร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาไปในหมู่มนุษย์ด้วยเเพศที่วิปริตสยายผมเผ้ารุงรังใครได้เห็นแล้วมันช่างน่าสมเพศเวทนายิ่งนัก  ป่าวประกาศให้มนุษย์ทั้งหลายได้ทราบว่ายังเหลือเวลาอีก ๑๐๐๐๐๐ ปี ก็จะสิ้นวิวัฏฏัฏฐายีอสงไขยกัปป์แล้ว  ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงรู้จักบาปบุญคุณโทษ ละชั่วประพฤติดี ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา มีเมตตาต่อกันและกัน พวกท่านทั้งหลายก็จะพ้นจากอำนาจของประลัยกัลป์ทั้ง  ๓  คือ ไฟประลัยกัลป์  น้ำประลัยกัลป์  และลมประลัยกัลป์  ไฟไหม้  น้ำท่วม  หรือลมพัด  ไปไม่ถึง
   มนุษย์ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมประพฤติชอบด้วยกายวาใจ เมื่อได้ฟังโลกพยุหเทยดาป่าวประกาศเช่นนั้น ก็พากันละชั่วประพฤติดี มีศีลธรรม ทำบุญให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนาก็พากันไปบังเกิดในพรหมโลกเสียเป็นส่วนมาก  ส่วนมนุษย์ นรก  เปรต  อสุรกาย  และสัตว์เดรัจฉาน ทียังหลงเหลืออยู่เพราะไม่สามารถเจริญฌานให้เกิดขึ้นได้ก็จะถูกถ่ายโอนไปอยู่จักรวาลอื่นที่ไฟประลัยกัลป์ไหม้ไปไม่ถึง

            สาเหตุทำให้เกิดประลัยกัลป์ทั้ง ๓           

   สาเหตุที่ทำให้โลกฉิบหายวอดวายด้วยอำนาจไฟประลัยกัลป์ น้ำประลัยกัลป์และลมประลัยกัลป์นั้น เป็นเพราะคนทั้งหลายประกอบอกุศลกรรมทำชั่วต่าง ๆ นานา ทั้งทางกาย วาจาและใจ ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักบาป  ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักบิดามารดาครูบาอาจารย์ ไม่รู้จักสมณชีพราหมณ์ ไม่รู้จักท่านผู้ทรงธรรม ไม่รู้จักพี่น้องและญาติมิตรสหาย มองเห็นกันเหมือนกวางและเนื้อ เหมือนเป็ดเหมือนไก่ เหมือนสุนัขเหมือนสุกร เหมือนช้างเหมือนม้าไล่เข่นฆ่าฟันกัน ด้วยหอกด้วยดาบปืนผาหน้าไม้ ด้วยยาเบื่อยาสั่ง  และด้วยไสย์ดำอันโหดร้าย  เมื่อคนทั้งหลายได้กระทำอกุศลกรรมอันหยาบช้าเช่นนี้จึงทำให้เกิดเหตุเภทภัยที่ไม่ดีไปทั่วทั้งโลกและจักรวาล  สาเหตุที่สำคัญคือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ  ได้แก่
      อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
       กายกรรม คือการทำบาปทางกายมี ๓ คือ:-
    ๑.ฆ่าสัตว์     คือการยิง  การฆ่า  การทิ่มแทง  การฟาดฟัน ผู้อื่นและสัตว์อื่น
    ๒.ลักทรัพย์     คือการลัก  การขโมย  การปล้น  การจี้  การฉกฉิง  การวิงราว  ทรัพย์ของผู้อื่น
    ๓.ประพฤติผิดในกาม     คือการเล่นชู้จากผัวและเล่นชู้จากเมีย
       วจีกรรม หรือ การทำบาปทางวาจา มี ๔  คือ:-
    ๔. พูดเท็จ     คือการพูดโกหก  พูดหลอกลวงต้มตุ๋นผู้อื่น   
    ๕. พูดส่อเสียด     คือพูดจายุยงให้เขาเกิดความแตกแยกความสามัคคีกัน
    ๖. พูดคำหยาบ     คือการพูดหยาบคาย  พูดด่าทอคือพูดคำด่าคำ  พูดคำลามกอนาจาร
    ๗. พูดเพ้อเจ้อ     คือพูดจาไม่มีมูลความจริง  พูดใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
        มโนกรรม หรือ การทำบาปทางใจ มี  ๓ คือ:-
    ๘.โลภอยากได้ของเขา     คือการคิดอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวโดยทางมิชอบ
    ๙. พยาบาทปองร้ายเขา     คือการคิดอาฆาตเคลียดแค้นผู้อื่นทำให้เขาบาดเจ็บและล้มตาย
    ๑๐.มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบ     คือการเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่นเห็นว่าทำดีได้ชัวทำชัวได้ดี  บุญบาปไม่มีพ่อแม่ไม่มีคุณ  นรกสวรรค์ไม่มี

                  ไฟประลัยกัลป์

   
   ๐ไฟประลัยกัลป์ เมื่อจะเริมเกิดขึ้นครั้งแรกนั้นจะเกิดมีมหาเมฆฝนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "กัปปะวินาสะกะมหาเมฆ" ตั้งขึ้นเป็นอุบัติเหตุที่จะทำให้โลกฉิบหาย  มหาเมฆใหญ่นั้นยังฝนให้ตกห่าใหญ่ทั่วไปในแสนโกฏืจักวาล  หมู่มนุษย์ทั้งหลายเมื่อเห็นฝนตกเช่นนั้นก็เอาเมล็ดพันธ์ข้าวไปหว่านลงในที่ไร่ที่นา  เข้าใจว่าฝนตกหนักข้าวกล้าจะงามจะทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ แต่พอข้าวกล้าที่หว่านลงไปแล้วนั้นงอกงามขึ้นโตพอโคกัดกินได้  ตั้งแต่นั้นไปก็จะมีเสียงฟ้าร้องประดุจดังเสียงลา  ครั้นเมื่อเมฆฝนตั้งขึ้นทำท่าจะตกแต่ไม่ตกเมฆฝนก็เกลื่อนแตกหายไป ฝนแต่สักเม็ดเดียวก็ไม่มี มันจะแล้งไป ๑๐ ปี ๑๐๐ ปี  ๑๐๐๐ปี  ๑๐๐๐๐ ปี   ๑๐๐๐๐๐ ปี  ครั้นฝนแล้งต้นไม้ใบหญ้าก็จะแห้งตายจนหมดสิ้น มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็จะไม่มีน้ำและอาหารจะกิน ก็พากันล้มตายไปจนหมดสิ้น  เมื่อตายแล้วส่วนมากก็จะไปบังเกิดในพหรมโลกที่ไฟประลัยกัลป์ไหม้ไปไม่ถึงมีปริตตาพรหมเป็นต้น ส่วนที่เหลือที่ไปเกิดยังพรหมโลกไม่ได้ก็จะไปเกิดในจักรวาลอื่นที่ไฟประลัยกัลป์ไหม้ไปไม่ถึง
    ครั้นแสนโกฏิโลกธาตุขาดจากวัสสพลาหกคือไม่มีฝนและน้ำค้างตกแม้แต่หยดเดียว จึงทำให้ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายเหี่ยวแห้งตายจนหมดสิ้น  แม้แต่ต้นไม้ที่เป็นสัญญาลักษณ์ประจำทวีปคือต้นหว้าใหญ่ก็เหี่ยวแห้งตายไปด้วย  เมื่อกาลเวลาล่วงไป ๑๐  ปี   ๑๐๐ ปี  ๑๐๐๐ ปี  ๑๐๐๐๐ ปี  ๑๐๐๐๐๐ ปี  ก็บังเกิดมีพระอาทิตย์โผล่ขึ้นอีกดวงหนึ่ง  ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีกลางวันและกลางคืน  พระอาทิตย์ดวงหนึ่งตก  พระอาทิตย์อีกดวงหนึ่งก็โผผ่ขึ้นมา  เมื่อเป็นเช่นนี้โลกมนุษย์ก็จะไม่ขาดจากความร้อนของแสงพระอาทิตย์   แสงพระอาทิตย์ประลัยกัลป์นี้จะมีความร้อนแรงกว่าพระอาทิตย์ตามปกติธรรมดามาก  แสงพระอาทิตย์ประลัยกัลป์นี้จะไม่มีเมฆหมอกมาปิดบังเลย เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นแสงที่ร้อนแรงมากกว่าแสงพระอาทิตย์ธรรมดา
    พระสุริยเทพบุตรที่ส่องแสงสว่างแก่โลกมนุษย์ทุกวันนี้ เมื่อถึงเวลาใกล้กัปป์จะพินาศฉิบหายก็จะเจริญวาโยกสิณ  จนได้วาโยกสิณสมาบัติ ก็จะได้ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นปริตตา  เมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างให้ความร้อนอันแผดเผาอยู่ทุกวันต้นไม้ใบหญ้าน้อยใหญ่ทั้งหลายก็จะแห้งตายจนหมดสิ้น  และแม่น้ำน้อยใหญ่ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกก็จะเหือดแห้งหายไปจนหมดสิ้นยังเหลืออยู่แต่แม่น้ำปัญจมหานที ๕ สายเท่านั้น นอกนั้นแห้งไปหมด  กาลเวลาผ่านไปพระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ก็จะโผล่ขึ้นมาอีก ส่องแสงสว่างให้ความเร่าร้อนที่แผดเผ่ามากยิ่งขึ้นไปอีก ดวงหนึงส่องแสงในตอนเช้าถึงเที่ยง  ดวงหนึ่งส่องแสงในตอนเที่ยงถึงเย็น  อีกดวงหนึ่งส่องแสงในตอนกลางคืน เวียนกันอยู่เช่นนี้จนทำให้  ปัญจ มหานทีท้ัง ๕ สาย คือ คงคา  ยุมนา   อจิรวดี   สรภู   มหิ  ทนอยู่ไม่ได้ก็เหือดแห้งหายไป  ครั้นเวลานานเข้าก็มีพระอาทิตย์ดวงที่ ๔ โผล่ขึ้นมาอีก ยิ่งทำให้เกิดความเร่าร้อนขึ้นไปอีก  คือดวงหนึ่งส่องแสงเช้าถึงเที่ยง   ดวงหนึ่งส่องแสงตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น   ดวงหนึ่งส่องแสงตั้งแต่เย็ยถึงเที่ยงคืน   และอีกดวงหนึ่งส่องแสงจากเที่ยงคืนถึงรุ่งอรุณ  เมื่อเป็นเช่นนี้สระใหญ่ทั้ง ๗ คือ:-
   ๑.สระอโนดาด
   ๒.สระกุณาละ
   ๓.สระระถะกาละ
   ๔.สระมัณฑากิณี
   ๕.สระสีหะปะปาตะ
   ๖.สระกัณณะมุณฑะ
   ๗.สระฉัตทัน
   อันเป็นที่เกิดของแม่น้ำทั้งหลายในป่าหิมพานต์ก็ได้เหือดแห้งไปจนหมดสิ้น  สัตว์บกสัตว์น้ำในป่าหิมพานต์ก็ตายไปจนหมดสิ้นครั้นแกาลเวลาเนิ่นนานมาพระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ก็โผล่ขึ้นมาอีก  กาลนั้นน้ำในมหาสมุทรที่ลึกได้ ๘๔๐๐๐ โยชน์ก้เหือดแห้งไปโดยลำดับจนน้ำเหลืออยู่แค่ ๗ ชั่วลำตาลเท่านั้น ครั้นแล้วมันก็เหือดแห้งไป ๖ ลำตาล  ๕ ลำตาล  ๔ ลำตาล  ๓ ลำตาล  ๒ ลำตาล  แล้วมันก็งวดลงไปคงเหลือแค่ลำตาลเดียว   แล้วมันก็งวดแห้งไป  ๗ ชั่วบุรุษ  ๖ ชั่วบุรุษ  ๕ ชั่วบุรุษ  ๔ ชั่วบุรุษ  ๓ ชั่วบุรุษ  ๒ ชั่วบุรุษ  แล้วมันก็งวดแห้งลงไปเหลือแค่ชั่วบุรุษเดียว  ต่อจากนั้นมันก็งวดแห้งลงไปเหลือแค่คอ  เหลือแค่นม  เหลือแค่สะดือ  เหลือแค่เอว  เหลือแค่เข่า  เหลือแค่แข้ง  และเหลือแค่ส้นเท้าเป็นลำดับ  ต่อแต่นั้นมันก็เหือดแห้งไปจนหมดสิ้นไม่เหลือ แม้แค่ใช้นิ้วมือจุ่มก็ไม่เหลือเลย  
   ครั้นกาลเวลานานไปพระอาทิตย์ดวงที่ ๖ ก็โผล่ขึ้นมา  เวลานั้นบนพื้นก็ตลบอบอวนไปด้วยควัน  เมื่อเป็นเช่นนี้จักรวาลนี้ก็มืดกลุ้มตลบไปด้วยควันและจักรวาลทั้งหลายที่เป็นเขตแคว้น ๙๙๙๙๙ โกฏิ ก็เป็นควันกลุ้มตลบไปทั่วหมดยางแผ่นดินก็เหือดแห้งไปด้วยกำล้งของควัน  ต่อจากนั้นก็มืดกลุ้มตลบไปทั่วแสนโกฏิจักรวาล  ต่อแต่นั้นแสนโกฏิจักรวาลก็มืดคลุ้มไปด้วยควันเป็นเวลา ๑๐๐ ปี   ๑๐๐๐ ปี   ๑๐๐๐๐ ปี   ๑๐๐๐๐๐ ปี  พระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ก็โผล่ขึ้นมา
   บัดนั้นก็เกิดเป็นเปลวเพลิงไหม้ไปทั่วแสนโกฏิจักรวาล  พระอาทิตย์ประลัยโลกจักรวาลๆละ ๗ ดวง ก็จะเกิดขึ้นเผ่าไหม้ รวมเป็นพระอาทตย์ทั้งหมดถึงแสนโกฏิดวงด้วยกัน
   เมื่อพื้นปฐพีซึมซาบไปด่วยน้ำมันปลาใหญ่ ๗ จำพวก อีนมีตัวยาว ๘๐๐ โยชน์   ๙๐๐ โยชน์   ๑๐๐๐ โยชน์  เพลิงเมื่อได้รับเชื้อจากน้ำมันปลาใหญ่ ๗ จำพวกก็ลุกไหม้เป็นอันเดียวกันซึ่งจักรวาลและภูเขาพระสุเมรุ ภูเขาสัตตบริภัณฑ์ทั้ง ๗ ชั้นที่ล้อมภูเขาพระสุเมรุให้ขาดกระเด็นออกเป็นท่อนๆ ท่อนละร้อยโยชน์ พันโยชน์ ให้สาบสูญไปในอากาศ
   วิมานแก้ว   วิมานเงิน   วิมานทอง   ต้นกัลปพฤษ์   สระโบกขรณี   อุทยาน   ในสวรารค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์ก็จะพินาศฉิบหายไปด้วยไฟประลัยกัลป์จนหมดสิ้น  ไฟประลัยกัลป์ไหม้ขึ้นไปถึงชั้นยามา  ดุสิต  นิมมานรตี  และปรนิมมิตวสวัตตี  และก็ไหม้ลามต่อขึ้นไปถึงพรหมโลกคือเริ่มจากชั้นพรหมปริสัชชา   พรหมปโรหิตา   และมหาพรหมา ให้พินาศฉิบหายไปแล้วและมันก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ไหม้ลานขึ้นไปอีก
   เศษเถ้าถ่านที่ไฟประลัยกัลป์ไหม้นั้นไม่เหลืออะไรไว้ให้เห็นเลยมันสาบสูญไปจนหมดสิ้น เมื่อมันไหม้ทุกอย่างจนหมดสิ้นแล้วมัก็จะเกิดอากาศมืดมนอนธกาลไปเป็นเวลา ๑ อสงไขยกัปป์         

                 การบังเกิดโลกและจักรวาล
   เมื่อเกิดอากาศมืดมนอนธกาลไปเป็นเวลา ๑ อสงไขยกัปป์แล้วก็จะมีมหาเมฆใหม่คือมหาเมฆที่จะตั้งโลกบังเกิดขึ้นแล้วก็ยังฝนให้ตกไปทั่วแสนโกฏิจักรวาล  เมื่อแรกตกนั้นจะตกเป็นฝอยๆก่อนคือตกตั้งแต่ปลายเดือน ๓ ต่อต้นเดือน ๔ เมื่อตกเป็นเฝอยไปเป็นเวลานานเมล็ดฝนก็โตขึ้นเท่าเมล็ดพันธ์ผักกาด   เท่าเมล็ดงา   เท่าเม็ดข้าว   เท่าเมล็ดถั่ว   เท่าดอกบัว   เท่าเสาไม้  และเจริญขึ้นไปเรื่อยๆจนโตเท่าลำตาล  ใหญ่ขึ้น วาหนึ่ง  สองวา  สามวา   สี่วา   ห้าวา   หกวา  ใหญ่ขึ้น  ๑ อุศุภะ   ๒ อุศุภะ   ๓ อุสุภะ   ๔ อุศุภะ   ๕ อุศุภะ   ๖ อุศุภะ   ใหญ่ขึ้น คาพยุตหนึ่ง   กึ่งโยชฯ   ๑ โยชน์  ๒ โยชน์   ๓ โยชน์   ๔ โยชน์   ๕ โยชน์   ๖ โยชน์  เจรืญขึ้นเป็น ๑๐ โยชน์   ๑๐๐ โยชน์   ๑๐๐๐ โยชน์   ๑๐๐๐๐ โยชน์   ๑๐๐๐๐๐ โยชน์  ท่อธารน้ำฝนตกไปทั่วในแสนโกฏิจักรวาลเป็นเวลานาน  จึงเกิดมีลมชนิดหนึ่งพดห่อหุ้มน้ำเอาไว้ไม่ให้น้ำไหลออกไปนอกแสนโกฏิจักรวาล  น้ำฝนนั้นไหลท่วมขึ้นไปจนถึงพรหมโลกชั้นมหาพรหมาจึงหยุดอยู่แค่นั้น   
   เมื่อฝนหยุดตกแล้วก็เกิดมีลมชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "ลมตั้งโลก"  มันพัดน้ำให้งวดลงๆ จนน้ำขุ่นข้นเข้าเป็นปุ่มเปือกแล้วมันก็พัดปุ่มเปือกนั้นทั้งเบื้องล่างและเบื้องขวางชักปุ่มเปือกนั้นให้กลมเข้าเป็นแท่งๆ ประดุจดังหยาดน้ำในดอกบัวต่อแต่นั้นมันก็พัดตั้งพรหมโลกชั้นพรหมปริสัชชา  พรหมปโรหิตา  และมหาพรหมา  ลมนั้นก็พัดน้ำให้ยอบยุบลงไปจนถึงสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น แล้วมันก็พัดตั้งสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น คือชั้นปรนิมมิตวสวัตตี   นิมมานรตี   ชั้นดุสิต   ชั้นยามา  แต่พอ ถึงชั้นดาวดึงส์   และชั้นจาตุมหาราชิกา จึงหยุดอยู่ก่อนยังไม่ตั้ง  เพราะสวรรค์ทั้ง ๒ ชั้นนี้มันเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์  ต่อตั้งมนูษยโลกแล้วจึงตั้งสวรรค์ทั้งสองชั้นนี้ในภายหลัง
   ครั้นลมพัดน้ำให้งวดลงมาถึงที่ตั้งแผ่นดินแล้วก็มีลมชนิดหนึ่งพัดกลัดน้ำเข้าไว้จนรอบคอบไม่ให้น้ำหลั่งไหลไปมาได้เมื่อพัดงวดลงมาแล้วก็พัดจนน้ำนั้นจนกลายเป็นเปือกตม ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ประดุจดังดอกบัวที่ลอยอยู่เหนือน้ำฉะนั้นที่มีสีประดุจดังสีของดอกกรรณิการ์ มีกลิ่นหอมมีรสอันอร่อยประดุจดังโอชะอ้นเป็นทิพย์
   เมื่อจะตั้งแผ่นดินนั้นจึงตั้งสถานที่ซึ่งเป็นรัตนบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ก่อน เพราะสถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแผ่นดินนี้  เพราะฉะนั้นสถานที่ตั้งรัตนบัลลังก์นั้นจึงมีชื่อเรียกว่า "ศีรษะปฐพี" คือเป็นประธานแห่งแผ่นดินในพื้นชมพูทวีป  
   ถ้าในพื้นแผ่นดินที่เป็นศีรษะปฐพีนี้ มีดอกบัวเกิดขึ้น ๑ ดอก ก็หมายความว่าแผ่นดินนี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๑ พระองค์   ถ้ามี ๒ ดอก ก็จะมีพระพุทธเจ้า ๒ องค์   ถ้ามี ๓ ดอก ก็จะมีพระพุทธเจ้า ๓ องค์   ถ้ามี ๔ ดอก ก็จะมีพระพุทธเจ้า ๔ องค์   ถ้ามี ๕ ดอก ก็จะมีพระพุทธเจ้า ๕ องค์  แต่ถ้าไม่มีดอกบัวเกิดขึ้นเลย ก็แสดงให้เห็นว่า กัปป์นั้น จะเป็นสูญกัปป์ คือกัปป์นั้นจะไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เลย  ดอกบัวทุกดอกมีก้านเป็นอันเดียวกัน ไม่แยกกัน
   ครั้นกาลต่อพระพรหมทั้งหลายที่เป็นพระอริยบุคคลในพรหมโลก ๕ ชั้น ที่อยู่ในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสทั้ง ๕ ชั้น คือ อวิหา   อตัปปา   สุทัสสา   สุทัสสี   อกนิฏฐา  ก็ชวนกันมาดูดอกบัวที่เกิดขึ้นในแผ่นดินที่เป็นศีรษะปฐพีว่ามีดอกบัวเกิดขึ้นกี่ดอก ถ้าไม่มีดอกบัวก็พากันเสียใจปรับทุกข์แก่กันและกันว่า โลกจะต้องมืดมนไปอีกนาน  สรรพสัตว์ทั้งหลายเมื่อตายไปแล้วก็จะเกิดในอบายภูมิ  ในเทวโลกและพรหมโลกก็จะว่างเปล่าไม่มีเทวดาและพรหม มาบังเกิดเลย  
   พระพรหมทั้งหลายก็จะพากันเสียอกเสียใจปรับทุกข์แก่กันและกัน  ถ้าหากว่าเห็นดอกบัวก็จะพากันโสมนัสยินดีว่า  "พวกเราทั้งหลายจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นในโลก คือแผ่นดินไหวเมื่อพระพุทธเจ้าประสูติ  ตรัสรู้  และปรินิพพาน อบายภูมิก็จะมีคนไปน้อย เทวโลกและพรหมโลกก็จะมีเทวดาและพรหมไปเกิดเป็นจำนวนมาก" เมื่อเปล่งวาจาเสร็จแล้วต่างองค์ก็กล่าวลำลาซึ่งกันแล้วก็กลับไปสู่วิมานของตนในพรหมโลก
   ครั้นกาลต่อมาพระพรหมในชั้นอาภัสรา บางพวกก็หมดอายุขัย  บางพวกก็สิ้นบุญก็ได้ลงไปเกิดในโลกมนุษย์  การเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งแรกนั้นเกิดเป็นร่างใหญ่เลยแล้วค่อยเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ  เมื่อแรกเกิดนั้นมีเพศเหมือนพรหมคือไม่มีเพศชายหรือเพศหญิง มีรัศมีสีสันอันสว่างรุ่งเรืองด้วยเครื่องประดับตกแต่งอันงามวิจิตรและพิสดาร มีฤทธิ์สามารถเหาะเหิรไปในอากาศได้  เลี้ยงชีวิตด้วยปีติ อิ่มอยู่ด้วยปีติเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่ในพรหมโลกเป็นอยู่เช่นนี้สิ้นกาลช้านาน  
   วันหนึ่งพวกมนุษย์เหล่านี้ไปเห็นง้วนดินที่มีสีสันสวยงามและยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย  จึงถามกันว่านี่คืออะไร  มีสีสันสวยงามน่ากินจริงๆ แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วยว่าแล้วก็เกิดโลภะเจตนาขึ้นในจิต  หยิบเอารสแห่งง้วนดินมาวางลงที่ปลายลิ้น
   ครั้นวางลงไปที่ปลายลิ้นแล้วรสชาติอันอร่อยของมันก็แผ่ซาบซ่าไปทั่วขุมขนและเส้นเอ็นรับอาหาร ๗๐๐๐ อย่างอร่อยนักหนา  มนุษย์ผู้นั้นก็เกิดตัณหาทิฏฐิในรสชาติของมัน อยากจะกินมันทุกวัน  สัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นเมื่อเห็นมนุษย์พวกนั้นกินด้วยความอเร็ดอร่อย ก็ลองดูเมื่อได้ลองดูก็ติดอกติดใจในรสชาติของมันทันที  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาก้บริโภคมันเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตประจำวัน  ครั้นกาลต่อมาไม่นานรัศมีแสงสว่างในร่างกายของพวกเขาก็หายไป  รัศมีแสงสว่างเครื่องประดับและเสื้อผ้าในร่างกายก็เสื่อมหายไปด้วย   เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เกิดมืดมนอนธกาลไปมองไม่เห็นเหนือใต้  ชนทั้งหลายก็เกิดความสะดุ้งตกใจกลัวเป็นกำลัง
             ต้นกำเหนิดของดวงอาทิตย์
   กาลเมื่อภัยคือความกลัวได้บังเกิดแก่ชนทั้งหลาย  กาลนั้นก็เกิดมีพระอาทิตย์ดวงใหญ่ วัดผ่าตรงกลางได้ ๕๐ โยชน์ วัดโดยกลมรอบวัดได้ ๑๕๐ โยชน์  โผล่ขึ้นมาในอากาศกำจัดความมืดอนธกาลไปจนหมดสิ้น  ชนทั้งหลายก็ดีอกดีใจ แช่มชื้นเบิกบานพูดแก่กันและกันว่า "บัดนี้แสงสว่างเกิดขึ้นแก่เราแล้ว  เทพยดาองค์นี้กำจัดความหวาดกลัวของพวกเราให้หายไปจนหมดสิ้น บัดนี้ทำให้พวกเราททั้งหลายเกิดความแกล้วกล้าขึ้นมาแล้ว พวกเราทั้งหลายควรเรียกเทพยดาองค์นี้ว่า "สุริยเทพบุตร"  นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาชนทั้งหลายก็เรียกพระอาทิตย์ว่า "สุริยเทพบุตร" จนทุกวันนี้  ในกาลต่อมาคนทั้งก็เรียกมันให้สั้นเข้าว่า "พระอาทิตย์"
                 ต้นกำเหนิดเกิดของดวงจันทร์
   เมื่อชนทั้งหลายได้แสงสว่างจากสุริยเทพบุตรในตอนกลางวันแล้วพอตกตอนเย็นมันก็ลับหายไปจึงทำให้เกิดความมืดมนอนธกาลเหมือนเดิม  ชนทั้งหลายก็เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก  จึงพูดแก่กันและกันว่า พวกเราพึ่งได้แสงสว่างขจัดความหวาดกลัวให้แก่พวกเรา  บัดนี้มันลับหายไปแล้วพวกเราทั้งหลายจะทำอย่างไรดี  ถ้าพวกเราได้แสงสว่างจากเทพยดาองค์อื่นอีกจะดีมากเลยทีเดียว  พูดกันยังไม่ขาดคำ ดวงจันทร์ดวงใหญ่วัดผ่าศูนย์กลางได้ ๔๙ โยชน์ วัดโดยกลมรอบวัดได้ ๑๕๐ โยชน์ ก็โผล่ขึ้นมาเหนืออากาศ ส่องแสงสว่างขาวนวลยิ่งนักมันทำให้ความมืดมนอนธกาลหายไปจนหมดสิ้นอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนทั้งหลายก็ดีอกดีใจพากันเรียกมันว่า "จันทเทพบุตร" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
   ในกาลต่อมาคนทั้งหลายก็ได้เรียกมันให้สั้นลงว่า "พระจันทร์" มาเหนือท้องฟ้า
                 ต้นกำเหนิดของดาวนักขัตฤกษ์
   เมื่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นในโลกแล้ว  ดาวนักขัตฤกษ์ใน ๑๒ ราศี ก็ปรากฏขึ้น  นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็เกิดมีกลางวันกลางคืน เกิดข้างขึ้นข้างแรม  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็มีการนับวันนับคืน  นับวันเดือนปี  เกิดเป็นประเพณีสืบต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้  การนับเดือนนั้นเริ่มนับตั้งแต่วันเพ็ญเดือน ๔  ทำไมจึงนับเพ็ญเดือน ๔  เหตุที่นับในเพ็ญเดือน ๔ นั้นก็เพราะว่าในวันเพ็ญเดือน ๔ นั้น เป็นวันที่พระอาทิตย์และพระจันทร์โคจรมาตรงกันพอดี  เขาพระสุเมรุ   เขาจักรวาล   เขาหิมพานต์   และมหาสมุทร ก็เกิดขึ้นพร้อมกันในวันเพ็ญเดือน ๔
                 การตั้งแผ่นดิน
   การตั้งแผ่นดินนั้น  แรกเริ่มในการตั้ง  ตั้งเป็นที่สูงที่ต่ำก็มี   ตั้งเป็นหลุมเป็นบ่อก็มี   ตั้งเป็นที่ราบก็มี   ตั้งเป็นต้นไม้และภูเขาก็มี มันบังเกิดขึ้นพร้อมๆกัน  ส่วนที่เป็นขอบรอบคอบนั้นมันเป็นภูเขาจักรวาล  ที่สูงขึ้นไปตรงกลางนั้นมันเป็นภูเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นภูเขาที่เป็นแกนกลางของโลก  ที่เป็นที่สูงลดหลั่นลงมานั้นมันเป็นภูเขาสัตตบริภัณฑ์ภูเขาหิมวันต์และภูเขาใหญ่น้อยต่างๆ บนแผ่นดิน  ส่วนที่เป็นที่ลุ่มลึกนั้นมันเป็นทะเลและมหาสมุทร  ส่วนที่เป็นที่ลุ่มๆตื้นๆนั้น มันเป็นแม่น้ำน้อยใหญ่   ส่วนที่เป็นเกาะอยู่ตรงกลางมหาสมุทรนั้นมันเป็นแผ่นดินที่เป็นทวีปทั้ง ๔  คือ ชมพูทวีป   ปุพพวิเทหทวีป   อุตตรกุรุทวีป   อมรโคยานทวีป  และเกาะที่เป็นบริวารอีกอย่างละ ๕๐๐ เกาะ   และที่ๆอยู่ภายใต้แผ่นดินซึ่งเป็นที่เวิ้งว้างอยู่ ๕๐๐ โยชน์นั้นมันเป็นนาคพิภพมันเป็นที่อยู่ของพวกพญานาคทั้งหลาย
   เมื่อมนุษย์ทั้งหลายบริโภคง้วนดินทุกวันจึงทำให้มีร่างกายแตกต่างกันไป  บางพวกมีร่างกายสวยงาม   บางพวกมีร่างกายขี้เหร่   บางพวกมีร่างกายสูง   บางพวกมีร่างกายเตี้ย   บางพวกมีร่างกายปานกลาง   บางพวกมีร่างกายดำ  บางพวกมีร่างกายขาว   บางพวกมีร่างกายดำแดง   บางพวกมีร่างกายขาวแดง   บางพวกมีร่างกายขาวเหลือง   เมื่อร่างกายแตกต่างกันเช่นนี้ก็ทำให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดการดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน  เมื่อมนุษย์ทั้งหลายดูหมิ่นเหยียดหยามซึ่งกันและกันเช่นนี้จึงทำให้รสอันอร่อยแห่งง้วนดินหายไป
   ลำดับต่อมาจึงทำให้เกิดมีง้วนดินซึ่งมีสัณฐานประดุจดังเห็ดและมีรสชาติอันอร่อย  มนุษย์ทั้งหลายก็กินง้วนดินที่เป็นรูปเห็ดนั้นเลี้ยงชีวิตเรื่อยมา  เมื่อมนุษย์ทั้งหลายดูหมิ่นเหยียดหยามกันมากขึ้นง้วนดินที่เป็นเห็ดก็หายไป  เมื่อง้วนดินที่เป็นเห็ดหายไป  ก็มีเครือดินที่มีรสชาติอันอร่อยเลื่อยพาดผ่านไปมาบนพื้นดิน  มนุษย์ทั้งหลายก็กินเครือดินนั้นเป็นอาหาร  ครั้นมนุษย์ทั้งหลายมีมานะอหังการและดูหมิ่นดูแดลนกันมากขึ้นเครือดินก็หายไป
   ครั้นกาลต่อมาก็มีต้นข้าวสาลีมีรวงใหญ่เป็นเม็ดข้าวสารอันบริสุทธิ์ไม่มีแกลบไม่มีรำมีรสชาติหอมอร่อยงอกขึ้นมาให้มนุษย์ทั้งหลายได้กินแทนเครือดิน  อยากกินตอนไหนก็ไปเก็บเกี่ยวมากินได้ตามชอบใจ  ถ้าไปเก็บเกี่ยวมากินตอนเช้าตอนเย็นมันก็จะงอกงามบริบูรณ์ขึ้นมาเต็มเหมือนเดิมไม่บกพร่องไปเลย  ในเวลาที่มนุษย์ทั้งหลายจะหุงข้าว ก็จะมีแผ่นศิลาราบเกิดขึ้นมาให้มนุษย์ทั้งหลายเอาข้าวที่จะหุงใส่ลงไปในแผ่ศิลาราบนั้น  เมื่อเอาข้าวใส่ลงไปในแผ่นศิลาราบ  ไฟจากแผ่นศิลาราบก็จะลุกไหม้ขึ้นมาทันทีเปลวไฟที่ลุกไหม้ขึ้นมานั้นมันก็ไม่มีควัน  เมื่อหุงข้าวสุกแล้วไฟนั้นก็ดับไปเองมนุษย์ทั้งหลายก็กินข้าวนั้นได้เลย  ข้าวนั้นมีสีสีนสวยงามและมีกลิ่นหอมเหมือนดอกมะลิไม่ต้องมีอาหารและกับแก้มเลย
   เมื่อมนุษย์ต้องรสเค็ม รสหวาน รสจืด มันก็จะเป็นรสนั้นตามที่มนุษย์ปราถนา  โภชนาสาลีนี้เป็นอาหารที่หยาบมันไม่ใช่อาหารที่ละเอียด  
   อาหารทั้ง ๓ ชนิด คือ:-
      ๑.รสแผ่นดิน
      ๒.ง้วนดิน
      ๓.เครือดิน
   มันเป็นอาหารที่ละเอียดมีกลิ่นหอมมีรสอันซาบซ่าแผ่ไปทั่วเส้นเอ็นในร่างกายทำให้ร่างกายสดชื่นมีน้ำมีนวลขึ้นมากินแล้วไม่ต้องถ่ายออกมาเป็นมูตรและคูถ มันเปรียบเหมือนอาหารทิพย์ของเทวดา กินแล้วมันจะเสื่อมสลายหายไปเองกินครั้งเดียวมันก็สามารถบรรเทาความหิวไปได้หลายวันไม่ต้องกินทุกวัน  แต่อาหารหยาบนั้นต้องกินทุกวันแล้วก็ถ่ายออกมาเป็มูตรและคูถ
                   ต้นกำเหนิดเพศของมนุษย์
   เมื่อมนุษย์ทั้งหลายกินอาหารหยาบเข้าไปในร่างกายก็จะต้องถ่ายออกมาเป็นมูตรและคูถ  เมื่อเป็นเช่นนั้นร่างกายส่วนล่างก็จะแตกออกเป็นทวารหนักอยู่ด้านล่าง ทวารเบาอยู่ด้านบน  ส่วนที่เป็นมูตรก็จะขับถ่ายออกมาด้านบน  ส่วนที่เป็คูถก็จะขับถ่ายออกมาทางด้านล่าง   เมื่อมีทวารหนักและทวารเบาแล้วเพศชายเพศหญิงก็ปรากฏขึ้น  ครั้นเมื่อมี
เพศชายและเพศหญิงแล้ว  อุปจารฌานในความเป็นพรหมก็ขาดจากสันดานคืออุปนิสัยที่สืบต่อมาแต่กำเหนิด  เมื่ออุปจารฌานขาดจากสันดานแล้วกามราคะก็ได้ช่องบังเกิดขึ้น เมื่อกามราคะบังเกิดขึ้นอย่างแรงกล้าแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นเพศชายและเพศหญิง เมื่อพบเห็นเพ่งมองซึ่งกันและกันนานเข้า ความกระวนกระวายด้วยกามราคะก็บ้งเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  
                    ต้นกำเหนิดของบ้านเรือน
   ครั้นมนุษย์ชายหญิงทั้งหลายเพ่งมองซึ่งกันและกันมากเข้า  จิตใจก็เกิดกามราคะอยากจะส้องเสพซึ่งกันและกัน  เมื่อได้ส้องเสพซึ่งกันและกันมากเข้า  มนุษย์ที่เป็นนักปราชญ์ทั้งหลายก็ตำหนิติเตียนว่าพวกคนเหล่านี้ไม่มีอย่างอายส้องเสพกันตามถนนหนทางน่าเกลียดน่าชังนักหนา จึงจับไม้ค้อนและก้อนดินขว้างปาขับไล่  เมื่อมนุษย์ทั้งหลายถูกขัดขวางขว้างปาขับไล่เช่นนั้นก็เกิดการบาดเจ็บและอับอาย จึงคิดสร้างบ้านเรือนขึ้นมาป้องกันภัย
   ครั้นมนุษย์ทั้งหลายปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่อาศัยแล้ว  มนุษย์พวกอื่นมาเห็นเข้าก็ว่าดีว่างามไปตามกัน  เมื่อกลับไปถึงที่อยู่ของตนก็คิดสร้างบ้านเรือนขึ้นมาอาศัยเหมือนกันหมด  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมามนุษย์ทั้งหลายก็จะพากันสร้างบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัยตราบเท่าจนทุกวันนี้  เมื่อมีบ้านเรือนปิดบังแล้วมนุษย์ทั้งหลายก็ส้องเสพกันโดยไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป  เมื่อส้องเสพกันมากเข้าเพศหญิงก็ตั้งท้องมีครรภ์เมื่อครบ ๙ เดือนก็คลอดลูกออกมา  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามนุษย์ทั้งหลายก็มีวงศาคณาญาติสืบกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้
                 ต้นเหตุของการเกิดยุ่งฉาง
   เมื่อมนุษย์ทั้งหลายสร้างบ้านเรือนแต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยานานมา  ก็เกิดมีมนุษย์ขี้เกียจคนหนึ่งเมื่อเกิดความหิวจึงไปเกี่ยวเอาข้าวสาลีมาหุงกิน เขาคิดว่าในครั้งนี้เราจะเก็บเกี่ยวเอาไปมากๆ เก็บไว้กินได้หลายวัน ไม่ต้องมาเก็บเกี่ยวทุกวัน  มนุษย์คนอื่นเห็นเข้าก็ว่าดีก็ว่างามเลยชวนกันเอาเยี่ยงอย่างกันไปหมด  มนุษย์ทั้งหลายก็พากันเอาเยี่ยงอย่าง  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เกิดทำยุงฉางเก็บเกี่ยวข้าวมากักตุนไว้กินเป็นจำนวนมากเพราะขี้เกียจไปเกี่ยวข้าวมาหุงกินทุกวันนั่นเอง เมื่อมนุษย์ทั้งหลายเกิดมีความโลภมากขึ้นเช่นนี้  ข้าวทั้งหลายก็เกิดมีแกลบมีรำเกิดขึ้นมา แต่ก่อนไปเก็บเกี่ยวมาแล้วหุงกินได้เลยเพราะมันเป็นข้าวขาวไม่มีเปลือก  แต่พอมนุษย์ทั้งหลายมีความโลภมากขึ้น  ข้าวก็เกิดมีเปลือกขึ้นมาหุ้มห่อถ้าจะหุงกินจะต้องตำจะต้องฝัดเสียก่อน  และข้าวที่เก็บเกี่ยวมาแล้วก็จะไม่มีข้าวงอกงามขึ้นมาเต็มบริบูรณ์เหมือนเดิมคือเก็บเกี่ยวไปแล้วก็หมดไปเลยไม่งอกงามขึ้นมาอีกเหมือนแต่ก่อน
   เมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีบ้านเรือนอยู่อาศัยแล้วก็เกิดปริวิตกว่า "พวกเราจะเอาอะไรมานุงห่มเพื่อปกปิดร่างกายจากความอายหนอ"
   ด้วยอำนาจบุญกุศลของสรรพสัตว์ทั้งหลายคอยอุปถัมภ์  ต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งเต็มไปด้วยผ้านุงผ้าห่มเครื่องใช้ไม้สอยและเครื่องประดับค่างๆ ก็มีในต้นกัลปพฤกษ์นั้นทุกอย่าง  ที่ไหนมีมนุษย์ก็จะมีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้น  ต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดขึ้นของพระอาทิตย์
   เมื่อฤดูต่างๆ คือฤดูฝน   ฤดูหนาว   ฤดูร้อน เกิดขึ้นพร้อมกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าต่างๆ เกืดขึ้นในแผ่นดิน ทำให้สัตว์และมนุษย์ทั้งหลายมีอาหารและยูกยาไว้กินเป็นอาหารและรักษาโรค
   ครั้นกาลต่อมา พวกมนุษย์ทั้งหลายจึงมาประขุมปรึกษาหารือกันว่า "ตั้งแต่บาปธรรมบังเกิดขึ้นในสันดานของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว  เครือดินที่เป็นอาหารของมนุษย์ก็อันตรธานหายไป  ตอนนี้มนุษย์ทั้งหลายเลี้ยงชีวิตด้วยข้าวสาลีที่เกิดขึ้นเอง  มาบัดนี้ข้าวสาลีก็เกิดวิปริตแปรปรวนไปอีก เพราะอำนาจของโลภเจตนาที่เกิดในจิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย  ข้าวที่เคยงอกออกเป็นรวงข้าวสารเลย ก็กลับมีเปลือกข้าวหุ้มห่อเม็ดข้าวเอาไว้ เวลาจะหุงกินก็จะต้องตำจะต้องฝัดเสียก่อน ด้วยเหตุนี้จึงจึงทำให้ข้าวมีแกลบมีรำ การหุงข้าวแต่ละทีจะต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยากขึ้นเรื่อยๆ   แต่ก่อนข้าวที่เก็บเกี่ยวไปแล้วก็จะกลับมีข้าวงอกงามขึ้นเต็มบริบูรณ์ไว้เหมือนเดิม  ครั้นเมื่อบาปธรรมเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์แล้ว  ข้าวก็ไม่งอกงามขึ้นมาเหมือนเดิม ครั้นเก็บเกี่ยวไปแล้วก็หมดไปเลยไม่งอกงามขึ้นมาอีก  เพราะฉะนั้นข้าวจึงมีเป็นหย่อมๆ กระจ่ายไปทั่วหมด  ต่อไปนี้ขอให้พวกเราทั้งหลายแบ่งข้าวกันเป็นส่วนๆ  เช่นจากต้นไม้ต้นนี้ไปถึงต้นไม้ต้นนั้นเป็นของนายขาว   จากต้นไม้ต้นนี้ถึงต้น ไม้ต้นนั้นเป็นของนายแดง   จากต้นไม้ต้นนั้นถึงต้นไม้ต้นนู้นเป็นของนายเขียวขอให้แต่ละคนเก็บเกี่ยวข้าวตรงที่เป็นส่วนของตนเท่านั้นห้ามไปเก็บเกี่ยวในส่วนที่เป็นของคนอื่น  ถ้าในส่วนของตนหมดแล้วก็ให้ปลูกให้ดำขึ้นมาเอง"  เมื่อปรึกษาตกลงกันเป็นแบบนี้แล้ว  มนุษย์ทั้งหลายก็แบ่งกันเป็นเขตเป็นแดนซึ่งข้าวสาลีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
                     ต้นเหตุที่ทำให้เกิดศีล ๕
   ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาการทำไรไถ่นาบังเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์ทั้งหลายก็เกิดการหวงแหนในที่ของตน   ครั้นกาลต่อมาก็เกิดมีมนุษย์โลภมากคือขี้โกงคนหนึ่งเกิดขึ้นในหมู่ของมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น  มนุษย์ขี้โกงคนนี้มีนิสัยคิดคตโลภอยากได้ข้าวสาลีในส่วนที่เป็นเขตแดนของผู้อื่นมาเป็นของตัว  เมื่อมนุษย์ที่เป็นเจ้าของเขตแดนเผลอก็หลอบ
เข้าไปลักเก็บเกี่ยวข้าวในเขตแดนของเขามาเก็บไว้ในยุ่งฉางของตนเอง  เมื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของจับคนลักขโมยได้ก็ต่อว่าทำไม่ดีทำผิดกฏที่ห้ามเอาไว้ เมื่อจับได้ในครั้งที่สองก็ชกต่อย  ครั้นจับได้ในครั้งที่ ๓ ก็ตบตีด้วมือ  ตีด้วยไม้  บางครั้งถึงกับขว้างปาด้วยก้อนดิน  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นศีลข้ออทินนาก็บังเกิดขึ้นในโลก
   นับตั้งแต่มนุษย์เกิดการลักข้าวสาลีของกันและกันเรื่อยมาก็เกิดคำติเตียนนินทาบังก็เกิดขึ้น  เมื่อมีการนินทาว่าร้ายคำมุสาโกหกหลอกลวงก็บังเกิดขึ้น  เมื่อมีการโกหกหลอกลวงกัน  กาเข่นฆ่าทุบตีซึ่งกันและกันก็บังเกิดขึ้น  เมื่อมีการโกหกหลอกลวงกัน  ศีลข้อที่ ๓  คือมุสาก็บังเกิดขึ้น  เมื่อมนุษย์เกิดมีการโกหกหลอกลวงกัน  การทุบตีเข่นฆ่าซึ่งกันและ
กันก็บังเกิดขึ้น  เมื่อมีการทุบตีเข่นฆ่ากันและกันศีลข้อที่ ๑  คือปานาติปาตาก็บังเกิดขึ้น   เมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีการไปมาหาสู่กันมากเข้าก็เกิดความรักใคร่กันขึ้น  ในบางครั้งเกิดไปรักใคร่กับคนที่มีเจ้าของแล้ว มันจึงเป็นสาเหตุให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดการได้เสียซึ่งกันและกัน  เมื่อได้เสียซึ่งกันและกันจึงทำให้มนุษย์เกิดการทะเลาะทุบตีเข่นฆ่ากันด้วยความ
หึงหวง ศึลข้อที่ ๔  คือกาเมสุมิจฉาจาร  ก็บังเกิดมีขึ้นเพื่อห้ามผิดลูกผิดเมียและผิดลูกผิดผัวของกันและกัน  ครั้นมนุษย์ไปมาหาสู่กันก็มีการเลี้ยงดูปูเสื่อดื่มเหล้าสังสรรค์กัน  เมื่อมึนเมาแล้วก็เกิดลวนลามทะเเลาะทุบตีซึ่งกันและกัน  เพราะเหตุนี้ศีลข้อที่  ๕  คือข้อสุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา  ก็บังเกิดมีขึ้นในโลกมนุษย์  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่ง
ถึงทุกวันนี้
    ในกาลต่อมาเมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีศีล ๕ ข้อ  เป็นระเบียบที่มนุษย์ทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติตามอย่างเครงครัดแล้วจึงทำให้สังคมของมนุษย์มีความสงบสุขเกิดขึ้นบ้าง  ครั้นกาลต่อมามนุษย์ทั้งหลายมีความโลภ  ความโกรธ  และความหลงเพิ่มมากขึ้น  ไม่มีหิริคือความละอายใจและไม่มีโอตตัปปะคือความเกรงกลัวในการทำบาป  สังคมมนุษย์ก็วุ่นวายไม่
สงบสุขเหมือนเดิม  มนูษย์ทั้งหลายจึงประขุมปรึกษาหารือกันว่า "พวกเราทั้งหลายควรแต่งตั้งหัวหน้าขึ้นมาปกครองชุมชนและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ขึ้นมารักษาความสงบของบ้านเมือง คนไหนทำผิดก็ว่ากล่าวตักเตือน  ถ้าคนไหนทำความผิดมากก็ให้ลงโทษ บ้านเมืองจึงจะสงบสุข"  เมื่อปรึกษาตกลงกันเช่นนี้แล้วก็พากันออกไปหาบุคคลที่มีสติปัญญาดี มีความรู้ความสามารถและเป็นคนมีความประพฤติปฏิบัติดีทั้งกายวาจาและจิตใจ
              ปฐมกษํตริย์คนแรกของโลกมนุษย์
    ครั้นเมื่อแรกตั้งภัททกัปป์นี้  พระพุทธเจ้าของเราเสวยพระชาติเป็นพระบรมโพธิสัตว์ได้บังเกิดขึ้นแล้วในหมู่มนุษย์ทั้งหลายในกาลนั้น  พระบรมโพธิสัตว์มีรูปโฉมอันงดงามแปลกประหลาดกว่ามนุษย์ทุกคนในกาลครั้งนั้น  ทั้งพระองค์ยังมีสติปัญญาอันชาญฉลาด มีศักดานุภาพมาก มนุษย์ทั้งหลายจึงพากันเข้าไปหาพระองค์อาราธนาพระองค์ให้เป็นปฐม
กษัตริย์ของพวกเขาทั้งหลาย  เมื่อพระองค์รับคำอาราธนาแล้วพวกเขาจึงทำการาชาภิเษกพระองค์ด้วยน้ำสังข์  ๓  สังข์ ถวายพระนามเป็น  ๓  ประการ คือ:-
    ๑.มหาสมมุติ
      -ที่ชื่อว่ามหาสมมุตินั้นเพราะประชาชนทั้งหลายพร้อมเพรียงกันแต่งตั้งให้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ทั้งหลายในขณะนั้น
    ๒.ขัตติยะ
      -ที่ชื่อว่าขัตติยะนั้นเพราะตั้งให้เป็นใหญ่ในที่นาทั้งหลาย
    ๓.ราชา
      -ที่ชื่อว่าราชานั้นเพราะยังประชาชนทั้งหลายให้ยินดีด้วยทศพิธราชธรรม
    เป็นอันว่าพระบรมโพธิสัตว์ได้เป็นปฐมกษัตริย์คนแรกของโลกในต้นภัททกัปป์นี้  ทรงพระนามว่า "พระเจ้ามหาสมมุติราช"  พระองค์ก็ได้พระราชทานพระโอวาทสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ รู้จักมีความละอายแก่ใจในการทำบาป  และรู้จ้กเกรงกลัวต่อการทำบาป ให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ ข้อ  และให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตามกุศลกรรมบถ  ๑๐  ประการ   คือ:-
      ๑.ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย
      ๒.ให้งดเว้นจากการลักขโมยปล้นจี้ฉกชิงวิ่งราว
      ๓.ให้งดเว้นจากการเล่นชู้
      ๔.ให้งดเว้นจากการพูดเท็จ
      ๕.ให้งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
      ๖.ให้งดเว้นจากการพูดคำหยาบ
      ๗.ให้งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
      ๘.ให้งดเว้นจากการโลภอยากได้ของคนอื่น
      ๙.ให้งดเว้นจากการคิดอาฆาตปองร้ายผู้อื่น
      ๑๐.เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม เช่นเห็นว่าบุญมีบาปมี  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว   พ่อแม่มีคุณ

                     น้ำประลัยกัลป์              
   เมื่อไฟไหม้โลกนาน ๑ อสงไขย  หมู่เทพยดาและพรหมทั้งหลายก็พากันหนีขึ้นไปอยู่ในพรหมโลกชั้น พรหมปริตตาภา พรหมอัปปมาณาภา  และพรหมอาภัสรา ที่ไฟไหม้ไปไม่ถึง เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่เหมือนปลากระป๋องฉะนั้น  ไฟไหม้โลกอยู่นาน ๑ อสงไขย จึงมีฝนตกลงมาเม็ดหนึ่ง เมื่อเริ่มแรกฝนตกนั้น เม็ดฝนเท่ากับดินธุลี อยู่ต่อมาอีกนานจึงตกลงมาอีกเม็ดหนึ่ง เท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด อีกนานมาจึงตกลงมาอีกเม็ดหนึ่งเท่าเมล็ดถั่ว ต่อจากนั้นเวลาอีกเล็กน้อยจึงตกลงมาเท่าลูกมะขามป้อม โตขึ้นตามลำดับจนเท่าลูกมะขวิด เท่าควาย เท่าช้าง เท่าบ้านเรือน  ใหญ่ขึ้นไปจนกระทั่งเท่าอุสุภะ คือ ใหญ่ได้ ๓๕ วา   ประเดี๋ยวก็ใหญ่ขึ้นได้ ๒,๐๐๐ วา อีกนานก็ตกมาอีกเม็ดหนึ่งมีขนาดโตได้  ๑ โยชน์  เป็น ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ -๑๐ โยชน์ตามลำดับ  อยู่ต่อมาอีกนานจึงตกโตขึ้นเป็น ๑๐๐ โยชน์  ๑๐๐๐ โยชน์  ๑๐๐๐๐  โยชน์  ๑๐๐,๐๐๐ โยชน์ จนโตเท่ากับจักรวาล ตกลงมาเหมือนดั่งน้ำไหล ออกมาจากกระออม และตุ่ม ฉะนั้น
   ในเวลาต่อมาไม่นานนัก น้ำก็ท่วมตั้งแต่ อเวจีมหานรก  เปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน และแผ่นดินที่เป็นทวีปทั้ง ๔ และทวีปบริวาร ๕๐๐ ทวีป ต่อแต่นั้ก็ท่วมขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา  ชั้นดาวดึงส์  ชั้นยามา  ชั้นดุสิต  ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมีตสวัดดี ต่อจากนั้นก็ท่วมขึ้นไปจนถึงพรหมโลกชั้น พรหมปาริสัชชา พรหมปโรหิตา และมหาพรหมา แล้วฝนจึงหยุดตกอยู่แค่นั้น หยุดนิ่งอยู่นานเป็นเวลา ๑ อสงไขย ต่อแต่นั้นจึงมีลมชนืดหนึ่งชื่อว่า  "ลมสร้างโลก" เกิดขึ้นมาพัดผืนน้ำให้เกิดเป็นจักรวาล
   ถามว่า น้ำท่วมจากอเวจีมหานรกจนถึงพรหมโลกชั้นมหาพรหมานั้นเป็นอย่างไร มันไม่ล้นออกไปนอกขอบจักรวาลบ้างหรือ?
   ตอบว่า เมื่อน้ำจะล้นออกไปนอกขอบจักรวาลนั้นจะมีลมชนิดหนึ่งเรียกว่า "ลมอุกเขปวาตะ" ลมชนิดนี้พัดเวียนรอบขอบจักรวาลไม่ให้น้ำล้นบ่าออกไปข้างนอกได้  เหมือนน้ำในธมกรก ไม่ล้นออกไปข้างนอกได้ฉะนั้น
            ลมประลัยกัลป์
   ก่อนที่จะเกิดลมประลัยกัลป์นั้นก็จะมีโลกพยุหเทพยดาทั้งหลายมาป่าวประกาศ สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ว่า "เหลือเวลาอีกหนึ่งแสนปี จะมีลมประลัยกัลป์มาล้างโลก ต่อไปนี้ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา มีเมตตาต่อกันไม่อาฆาตพยาบาทมาดร้ายต่อกัน ให้ละเว้นจากอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ให้เจริญภาวนาเนืองๆ จนได้ฌานพวกท่านทั้งหลายจึงจะรอดพ้นจากมหันตภัยคือลมประลัยกัลป์นี้ไปได้ ขอให้พวกท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาทเหลือเวลาอีกแสนปีเท่านั้นก็จะเกิดลมประลัยกัลป์แล้ว
   เริ่มแรกเมื่อจะเกิดลมประลัยกัลป์นั้นจะมีกัปปวินาสกะมหาเมฆตั้งขึ้นในอากาศ  แล้วยังฝนให้ตกทั่วแสนโกฏิจักรวาลฝนตกครั้งเดียวแล้วเกิดแล้งไป ๑๐๐ ปี   ๑๐๐๐ ปี   ๑๐๐๐๐๐ ปี  เมื่อฝนแล้งไปแสนปีจึงทำให้เกิดลมประลัยกัลป์  
   การเกิดลมประลัยกัลป์ครั้ง แรกนั้น  ลมจะพัดตั้งแต่ฝุ่นธุลีที่ละเอียดและทรายที่ละเอียดให้ปลิวขึ้นไปในอากาศ เป็นเวลานานลมก็จะพัดแรงขึ้นจนทำให้ธุลีหยาบทรายหยาบและกรวดปหยาบให้ปลิวขึ้นไปในอากาศเป็นเวนาน  ครั้นพัดนานเข้าก็พัดหินก้อนน้อยๆและภูเขาเล็กๆให้ลอยขึ้นกระทบกระแทกกันให้แหลกเหลวเป็นจุณวิจุณไปในอากาศ  จำเนียรกาลต่อมา ลมก็พัดแรงกล้ายิ่งขึ้นก็พัดต้นไม้ใหญ่ประจำทวีป  แผ่นศิลาใหญ่แผ่นใหญ่ๆ  และภูเขาลูกใหญ่ๆ ถูกพัดถอนขึ้นไปในอากาศแล้วก็พัดซัดคว้างผันฟาดฟันกระทบกระแทกกันแหลกเป็นจุณวิจุณไปไม่เหลือเศษอะไรเลย
   ครั้นกาลเวลานานเข้าลมก็พัดกล้ายิ่งขึ้นไปอีก เบื้องต่ำพัดตั้งแต่ศิลาปฐพีขึ้นมาพัดให้กระทบกระแทกกันแตกออกเป็นก้อนๆ ก้อนใหญ่ ๑๐๐ บ้าง   ก้อนใหญ่ ๒๐๐ โยชน์บ้าง   ก้อนใหญ่ ๓๐๐ โยชน์บ้าง   ก้อนใหญ่ ๔๐๐ โยชน์บ้าง   ก้อนใหญ่ ๕๐๐ โยชน์บ้าง  กระทบกระแทกกันแหลกเหลวไปในอากาศ  ลมพัดกล้าขึ้นมากจนทำให้เขาพระสุเมรุ   เขาสัตตบริภัณฑ์   เขาจักรวาล   และเขาหิมพานต์  ให้กระทบกระแทกกันแหลกเหลวเป็นจุณวิจุณไปไม่มีอะไรเหลือในอากาศพัดแม้กระทั่งลมรองน้ำ   น้ำรองดิน   และแผ่นดินทั้งหมดไม่ให้เหลือเศาอะไรเลย
   ต่อแต่นั้นก็พัดทิพยวิมานและทุกสิ่งทุกอย่างในสวรารค์ชั้นจาตุมหาราชิกา   ชั้นดาวดึงส์   ชั้นยามา   ชั้นดุสิต   ชั้นนิมมานรดี   และชั้นปรนิมมิตวสวัตดี   ต่อจากนั้นก็พัดขึ้นไปถึงพรหมโลกชั้น  พรหมปาริสัชชา   พรหมปโรหิตา   มหาพรหมา ไฟประลัยกัลป์ไหม้ถึงพรหมโลก ๓ ชั้นนี้  พรหมปริตตาภา   พรหมอัปปมาณาภา   พรหมอาภัสรา  (น้ำประลัยกัลป์ท่วมถึงพรหมโลก ๖ ชั้นนี้   พรหมปริตตสุภา   พรหมอัปปมาณสุภา   พรหมสุภกิณหกา  ลมประลัยกัลป์พัดถึงพรหมโลก ๙ ชั้นนี้  เมื่อลมประลัยกัลป์พัดถึงพรหมสุภกิณหกาแล้วก็หายสาบสูญไปหมด  ทำให้เกิดอากาศมืดมนอนธ
กาลเป็นเวลา  ๑  อสงขัย  
                   การตั้งโลก
   เมือลมประลัยกัลป์หายไปเป็นเวลา ๑ อสงไขย จึงเกิดมีเมฆฝนที่มีชื่อว่า "สมปัตติมหาเมฆ" ตั้งขึ้นยังฝนให้ตกไปทั่วในแสนโกฏิจักวาล ตกจนพื้นที่ๆถูกลมประลัยกัลป์พัดนั้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำ  ครั้นท่วมพื้นที่ๆลมประลัยกัลป์พัดแล้วจึงมีลมที่จะตั้งโลกพัดน้ำที่ท่วมนั้นให้แห้งงวดลงมา เมื่อพัดแห้งงวดมาถึงพรหมโลกชั้นสุภกิณหกาก็ตั้งพรหมชั้นนี้ แล้วก็พัดตั้งพรหมโลกตามลำดับดังนี้ พรหมอัปปมาณสุภา   พรหมปริตตสุภา   พรหมอาภัสรา   พรหมอัปปมาณาถา  พรหมปริตตาภา   มหาพรหมา   พรหมปโรหิตา   พรหมปาริสัชชา เมื่อตั้งพรหมโลกเสร็จแล้วพระพรหมทั้งหลายที่สิ้นบุญและสิ้นอายุขัยจากพรหมโลกชั้นเวหัปผลาก็จะจุติลงมาเกิดในพรหมโลกทั้ง ๙  ชั้น เหล่านี้  
   เมื่อพัดตั้งพรหมโลกเสร็จแล้วก็พัดตั้งสวรรค์ ๖ ชั้น  คือ ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี   ชั้นนิมมานรดี   ชั้นดุสิต   ชั้นยามา  ชั้นดาวดึงส์   ชั้นจาคุมหาราชิกา  จนถึงมนูษยโลก  เวลาที่เกิดลมประลัยกัลป์ตราบเท่าถึงเวลาตั้งโลกเสร็จเป็นเวลา ๑ อสงไขย  เรียกอสงไขยนี้ว่า "สังวัฏฏอสงไขย"
   ครั้นลมประลัยกัลป์สงบลงแล้วอากาศทั้งในเบื้องบนและอากาศในเบื้องล่างโล่งเป็นลานว่างอยู่เป็นเวลานาน ๑ อสงไขย ต่อแต่นั้นก็จะมีมหาเมฆชื่อว่า "สมปัตติมหาเมฆ" ตั้งขึ้นเพื่อจะทำฝนให้ตกเพื่อจะตั้งกัปป์ใหม่ ซึ่งเป็นอสงไขยที่ ๒  มีชื่อ "สังวัฏฏัฏฐายีอสงไขย"  ตั้งแต่สัมปัตติมหาเมฆยังฝนให้ตกทั่วแสนโกฏิจักรวาล   จนน้ำท่วมขึ้นไปถึงที่อันประลัยกัลป์ ล้างโลกไปแล้วนั้น  ลมตั้งโลกพัดให้น้ำแห้งงวดลงมาตั้งแต่พรหมโลกจนถึงโลกมนุษย์ จนถึงกาลบังเกิดขึ้นของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์  เป็นอสงไขยที่ ๓  เรียกว่า "วิวัฏฏอสงไขย"
   จำเดิมตั้งแต่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์แล้ว จนถึงเวลาที่กัปปวินาสกะมหาเมฆอันเป็นเมฆใหญ่ตั้งขึ้น เพื่อจะทำลายโลก  จัดเป็นอสงไขยที่ ๔  เรียกอสงไขยนี้ว่า "วิวัฏฏัฏฐายีอสงไขย"  ทั้ง ๔ อสงไขยเหล่านี้จัดเป็น ๑ มหากัปป์  เพราะฉะนั้น  ๑ มหากัปป์จึงมี ๔  อสงไขย
                   จบลมประลัยกัลป์แต่เพียงเท่านี้          

    
     หมายเหตุ:-ไฟล้างโลกล้างมากกว่าน้ำและลมล้างโลก หมายความว่าไฟล้างโลก ๗ ครั้ง จึงจะมีน้ำมาล้างโลก ๑ ครั้ง
     เมื่อไฟล้างโลก ๕๖ ครั้ง น้ำล้างโลก ๘ ครั้ง รวม ๖๔ ครั้ง แล้วจึงจะมีลมมาล้างโลกครั้งหนึ่ง
    ไฟไหม้โลกมนุษย์ขึ้นไปจนถึงพรหมโลกชั้นมหาพรหมา
    น้ำท่วมโลกมนุษย์ขึ้นไปจนไปถึงพรหมโลกชั้นสุภกิณหะกา
    ลมพัดทำลายโลกมนุษย์ขึ้นไปจนถึงพรหมโลกชั้นเวหัปผลา
    นี้คือลักษณะการทำลายโลกให้พินาศวอดวายไปเพราะ ไฟประลัยกัลป์   น้ำประลัยกัลป์   และลมประลัยกัลป์

 

 

 

 

 

เป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด

กรุณาใส่ข้อความ …

Visitors: 139,922