๔.สรรพคุณว่านที่สำคัญ
เ
สรรพะคุณว่านที่สำคัญ
ว่านกงจักรพระอินทร์
สรพคุณว่านกงจักรพระอินทร์
ว่านกงจักรพระอินนทร์สรรพคุณ เป็นว่านอยู่ยงคงกระพันมีอานุภาพว่านหนึ่ง ก่อนจะกินต้องเสกด้วยคาถา ดังนี้.-
“อุทธัง อัทโธ นะโมพุทธายะ จะพะกะสะ พุทธะสังมิ” กินวันไหน ต้องเสกตามวัน คือ วันอาทิตย์ต้องเสก 1
เที่ยว วันจันทร์ 2 จนถึงวันเสาร์ 7 เป็นคงกระพันชาตรี, เป็นเมตตามหานิยม และสามารถหลบหลีกศัตรูและ
ข้าศึกอย่างวิเศษยิ่ง (ว่านต้นนี้เจริญงอกงามตั้งแต่เดือน 5 – เดือน 12 หลังจากนั้นก็จะโทรมไป เหลือแต่หัว)
วิธีปลูกนำดินสะอาด เช่นดินตามท้องนา หรือดินที่เผาไฟ พอระอุ นำไปตากน้ำค้างไว้ 1 คืน กลบหัวว่าน
พอมิด แล้วนำน้ำที่เสก คาถา นะโมพุทธายะ 3 จบ รดพอให้เปียกทั่ว
๐สรรพคุณพิเศษ
ประโยชน์และอนุภาพของว่านกงจักรพระอินทร์
ในทางการแพทย์แผนโบราณสมัยก่อนใช้หัวว่านชนิดนี้ในทางรักษาโรคตา โดยเฉพาะ แก้ตาแดง ตามัว
ตาต้อ ริดสีดวงตา และตาแฉะ โดยการนำหัวว่านมาปอกเปลือกแล้วปิ้งไฟพอเกรียมทั่ว แล้วจึงนำมาดองกับ
สุราขาว 40 ดีกรี เอาหมกข้าวเปลือกไว้ 3 คืน จึงเอามาคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้หยอดตา แก้โรคตาต่าง ๆ ได้เป็น
อางดี ทั้งนี้การใช้ควร ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะว่าเดี๋ยวนี้เชื้อโรคมันเยอะการที่จะเอาอะไรมาหยอดตา
ว่านนางคำ
๐สรรพคุณของว่านนางคํา
ว่านนางคำ มีสรรพคุณช่วยกระทุ้งพิษต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยแก้พิษจากว่านร้ายต่าง ๆ แก้ฤทธิ์ของว่านทั้งปวง เพราะว่านนางคำจัดเป็น "พญาว่าน"
สมุนไพรว่านนางคำ น้ำมันหอมระเหยจากว่านนางคำมีสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้า
นอนุมูลอิสระ หัวและรากว่านนางคํา มีสรรพคุณช่วยควบคุมธาตุในร่างกาย (หัว, ราก) ส่วนของรากใช้เป็นยาขับเสมหะ (ราก)
หัวใช้เป็นยาขับลมในลำไส้ ลดกรดในกระเพาะ (หัว)
ช่วยแก้อาการปวดท้อง ถ่ายท้อง ด้วยการใช้หัวสดนำมาฝนผสมกับน้ำปูนใสกิน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาลง หรือจะกินหัวสดผสมกับเหล้าขาวก็ได้เช่นกัน (หัว)
ส่วนของรากช่วยแก้ลงท้องหรืออาการท้องเสีย ท้องเดิน ท้องร่วง (ราก)
ช่วยแก้กามโรค (หัว)
รากช่วยรักษาโรคหนองในเรื้อรัง (ราก)
รากใช้เป็นยาสมานแผล (ราก)
หัวใช้ตำนำมาพอกช่วยแก้อาการฟกช้ำบวมตามร่างกาย (หัว)
หัวใช้ฝนแล้วนำมาทาแก้อาการเม็ดผื่นคัน (Prurigo) และโรคผิวหนังต่าง ๆ หรือใช้หัวตำผสมกับเหล้า 40 ดีกรีแล้วนำมาฟอกก็ได้เช่นกัน (หัว)
ในตำราจีนใช้ว่านนางคำเป็นยาฆ่าเชื้อ ฆ่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย (หัว)
ช่วยรักษาอาการข้อเคล็ด เคล็ดขัดยอก อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย (หัว)
ประโยชน์ของว่านนางคำ
นิยมใช้ปลูกไว้ประจำบ้าน เป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีดอกที่สวยงาม
การปลูกว่านนางคำไว้ประจำบ้าน เชื่อว่าจะทำให้มีเสน่ห์ มีเมตตามหานิยมแก่ผู้ที่อาศัยในบ้าน ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้อยู่อาศัยให้อยู่เย็นเป็นสุข ช่วยให้รอดพ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆ รวมไปถึงเรื่องคุณไสย ผงว่านนางคำสามารถนำมาใช้มาส์กพอกหน้าได้เพื่อช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผุดผ่องสวยงาม ช่วยป้องกันสิว ฝ้า จุดด้างดำ ช่วยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัย โดยสามารถหาซื้อได้ในรูปแบบสำเร็จจะสะดวกหน่อย ส่วนธีการใช้ก็ง่าย ๆ ใช้ผสมกับน้ำผึ้งและน้ำสะอาด แล้วนำทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก
หัวของว่านนางคำเมื่อนำมาหักหรือผ่าจะมีกลิ่นหอมเย็น ๆ เมื่อสูดดมแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่น สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าได้อย่างหลากหลาย เช่น ว่านนางคำผงหรือผงว่านนางคำมาส์กหน้า หรือทำเป็นโลชั่นบำรุงผิวว่านนางคำ ทำเป็นสบู่สมุนไพรว่านนางคำ ทำเป็นยากันยุง เป็นต้น
สามารถนำไปใช้เป็นส่วนประกอบเข้าในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น ยาสตรีว่านนางคำ ที่ช่วยแก้อาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ เป็นต้น
ว่านนางคำที่ปลูกกันอยู่ทั่วไป หัวว่านนางคำนอกจากจะใช้ผสมเป็นยาทาแก้อาการเคล็ดบวม ยังสามารถนำมาใช้ย้อมสีผ้าให้เป็นสีเหลืองที่ติดทนนาน (สมัยก่อนใช้ย้อมทำจีวรพระ) หรือคั้นเอาน้ำมาใช้เขียนภาพได้อีกด้วย
ว่านไพร
๐ว่านไพล ชื่อสามัญ Phlai, Cassumunar ginger, Bengal root
ไพล ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber montanum (J.Koenig) Link ex A.Dietr. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Zingiber cassumunar Roxb., Zingiber purpureum Roscoe) จัดอยู่ในวงศ์ขิง (ZINGIBERACEAE)
สมุนไพรไพล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ปูขมิ้น มิ้นสะล่าง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), ว่านไฟ ไพลเหลือง (ภาคกลาง), ปูเลย ปูลอย (ภาคเหนือ), ว่านปอบ (ภาคอีสาน) เป็นต้น
๐ลักษณะของว่านไพล
ต้นไพล ลักษณะไพลเป็นไม้ล้มลุกมีความสูงประมาณ 0.7-1.5 เมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เปลือกมีสีน้ำตาล
แกมเหลือง เนื้อด้านในมีสีเหลืองถึงสีเหลืองแกมเขียว แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอ โดยจะประกอบไปด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกันอยู่ เหง้าไพลสดฉ่ำน้ำ รสฝาด เอียด ร้อนซ่า มีกลิ่นเฉพาะ ส่วนเหง้าไพลแก่สดและแห้งจะมีรสเผ็ดเล็กน้อย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด แง่ง หรือเหง้า แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ส่วนของเหง้าเป็นท่อนพันธุ์ในการเพาะปลูก พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียแถบประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย
มาเลเซีย และไทย ปลูกกันมากในจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี และสระแก้ว
ใบไพล ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปหอก ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้างประมาณ 3.5-5.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 18-35 เซนติเมตรดอกไพล ออกดอกเป็นช่อ แทงจากเหง้าใต้ดิน กลีบดอกมีสีนวล มีใบประดับสีม่วงผลไพล ลักษณะของผลเป็นผลแห้งรูปกลม
สรรพคุณของไพล
ดอกไพล สรรพคุณช่วยขับโลหิตและกระจายเลือดเสีย กระจายเลือดที่เป็นลิ่มเป็นก้อน (ดอก)
ช่วยแก้ธาตุพิการ (ต้นไพล)
สรรพคุณสมุนไพรไพล ใบช่วยแก้ไข้ (ใบ)
ช่วยแก้อาเจียน อาการอาเจียนเป็นโลหิต (หัวไพล)
ช่วยแก้อาการปวดฟัน (หัวไพล)
ไพลกับสรรพคุณทางยา เหง้าช่วยขับโลหิต (เหง้า)
ช่วยแก้เลือดกำเดาไหลออกทางจมูก (ราก)
ช่วยรักษาโรคที่บังเกิดแต่โลหิตออกทางปากและจมูก (เหง้า)
เหง้าไพล ใช้เป็นยารักษาหอบหืด ด้วยการใช้เหง้าแห้ง 5 ส่วน / ดีปลี 2 ส่วน / พริกไทย 2 ส่วน / กานพลู
1/2 ส่วน / พิมเสน 1/2 ส่วน นำมาบดผสมรวมกัน ใช้ผงยา 1 ช้อนชาชงกับน้ำร้อนแล้วรับประทาน หรือ
จะปั้นเป็นยาลูกกลอนด้วยการใช้น้ำผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพุทรา แล้วรับประทานครั้งละ 2 ลูก โดยต้องรับประทาน
ติดต่อกันเรื่อย ๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น (เหง้าแห้ง)
ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องขึ้น ท้องเดิน ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้เหง้าแห้งนำมาบดเป็นผงแล้วรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ด้วยการนำมาชงกับน้ำร้อนและผสมเกลือด้วยเล็กน้อยแล้วนำมาดื่ม (เหง้าแห้ง)
ช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย แก้บิด บิดเป็นมูกเลือด ด้วยการใช้เหง้าสดประมาณ 4-5 แว่น นำมาตำให้
ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนชาแล้วนำมารับประทาน หรือจะฝนกับน้ำปูนใสรับประทานก็ได้เช่นกัน (เหง้าสด)
ช่วยแก้อาการท้องผูก (เหง้า)
ช่วยสมานแผลในลำไส้ แก้ลำไส้อักเสบ (เหง้า)
ช่วยแก้อุจจาระพิการ (ต้นไพล)
ช่วยขับระดู ประจำเดือนของสตรี ขับเลือดร้ายทั้งหลาย และแก้มุตกิดระดูขาว (หัวไพล, เหง้า)
ช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ (เหง้า)
ช่วยรักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลง ด้วยการใช้หัวไพลนำมาฝนแล้วทาบริเวณที่มีอาการ
ฟกช้ำบวมหรือเคล็ดขัดยอก / หรือจะใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับสมุนไพรชนิด
อื่น ๆ เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด) ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้ำบวม ข้อเท้าแพลง ด้
วยการใช้เหง้า 1 เหง้า นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำมาทานวดบริเวณที่มีอาการ / หรือจะนำมาตำให้ละเอียดแล้วผสม
กับเกลือเล็กน้อย นำมาห่อเป็นลูกประคบ แล้วอังไอน้ำให้ความร้อน นำมาใช้ประคบบริเวณที่มีอาการฟกช้ำ
บวมและบริเวณที่ปวดเมื่อย เช้า-เย็น จนกว่าจะหาย / หรือจะใช้ทำเป็นน้ำมันไพล ด้วยการใช้ไพลหนัก 2
กิโลกรัม นำมาทอดในน้ำมันพืชร้อน ๆ 1 กิโลกรัม ให้ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพลออก และใส่กานพลูผง
ประมาณ 4 ช้อนชา และทอดต่อไปด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 10 นาที เสร็จแล้วนำมากรองรอจนน้ำมันอุ่น ๆ
และใส่การบูรลงไป 4 ช้อนชา ใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด รอจนเย็นแล้วจึงเขย่าการบูรให้ละลาย แล้วนำน้ำมันไพล
มาทาถูนวดวันละ 2 ครั้งเวลามีอาการปวด เช้า-เย็น (สูตรของคุณวิบูลย์ เข็มเฉลิม) (เหง้า, หัว)
ช่วยลดอาการอักเสบ แก้ปวด บวม เส้นตึง เมื่อยขบ (เหง้า)
ช่วยแก้เมื่อย แก้อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามร่างกาย (ใบ)
ช่วยรักษาโรคผิวหนัง (เหง้า)
ไพล สรรพคุณของเหง้าช่วยรักษาฝี (เหง้า)
ช่วยดูดหนอง (เหง้า)
ช่วยแก้ผดผื่นคัน ด้วยการใช้เหง้านำมาบดทำเป็นผงผสมกับน้ำ หรือจะใช้เหง้าสดนำมาล้างให้สะอาด ฝนแล้ว
ทาบริเวณที่เป็นก็ได้เช่นกัน (เหง้า)
เหง้าใช้ทาเคลือบแผลเพื่อป้องกันอาการติดเชื้อได้ (เหง้า)
ช่วยแก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัว (ใบ)
ช่วยรักษาโรคเหน็บชา (เหง้า)
ใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ (เหง้า)
ใช้เป็นยาสมานแผล ด้วยการใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด)
เหง้าใช้เป็นยาแก้เล็บถอด ด้วยการใช้เหง้าสด 1 แง่ง (ขนาดเท่าหัวแม่มือ) นำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับ
เกลือและการบูร อย่างละครึ่งช้อนชา แล้วนำมาใช้พอกบริเวณที่เป็นหนอง โดยควรเปลี่ยนยาที่ใช้พอกวันละ
1 ครั้ง (เหง้าสด)
เหง้าไพลสามารถนำมาใช้ต้มกับน้ำอาบหลังคลอดของสตรีได้ (เหง้า)
เหง้าของไพลมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งจากการทดลองพบว่ามันมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบได้ (เหง้า)
ไพลมีฤทธิ์ช่วยคล้ายกล้ามเนื้อเรียบ ช่วยลดการบีบตัวของมดลูกและลำไส้ รวมไปถึงกระเพาะอาหารในหนูทดลอง
ไพลมีฤทธิ์ในการช่วยต้านเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และเชื้อแบคทีเรีย
ไพลมีฤทธิ์ช่วยต้านฮีสตามีนในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหอบหืด โดยสามารถช่วยลดขนาดของตุ่มนูนจากการฉีดน้ำ
ยาฮีสตามีนเข้าใต้ผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังช่วยทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการหอบเกิดอาการหอบน้อยลง
การทำงานของปอดทำงานได้ดีขึ้น
เหง้าไพลจัดอยู่ในตำรับยา "ยาประสะกานพลู" ซึ่งเป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการอาการปวดท้
อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อยเนื่องจากธาตุ
เหง้าไพลจัดอยู่ในตำรับยา "ยาประสะไพล" ซึ่งมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือ
มาน้อยกว่าปกติ และช่วยขับน้ำคาวปลาในสตรีหลังคลอดบุตร
ข้อควรระวัง
การรับประทานในขนาดสูงหรือการใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้ และยังไม่มีความ
ปลอดภัยที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหืด และไม่ควรนำมารับประทานแบบเดี่ยว ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา
นาน นอกจากจะมีการขจัดสารที่พิษต่อตับออกไปเสียก่อน
การใช้ครีมไพลห้ามใช้ทาบริเวณขอบตา เนื้อเยื่ออ่อน และบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผลหรือมีแผลเปิดไม่แนะนำให้ใช้สมุนไพรชนิดนี้กับสตรีมีครรภ์ หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตรและเด็กเล็กประโยชน์ของไพล
ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื่น ด้วยการใช้เหง้าสด 1 แง่ง นำมาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เนื่องจากไพลจะมีน้ำมันหอมระเหย (เหง้าสด)
ประโยชน์ไพลช่วยไล่แมลง ฆ่าแมลง (เหง้า)
ช่วยกันยุงและไล่ยุง น้ำมันจากหัวไพลผสมกับแอลกอฮอล์นำมาใช้ทาผิวสามารถช่วยกันยุงและไล่ยุงได้
(หัวไพล)
สามารถนำมาทำเป็น ครีมไพล, น้ำมันไพล, ไพลผง, ไพลขัดผิว, ไพลทาหน้าได้
ไพลกับความงาม
ไพลขัดผิว เหง้าสามารถนำมาใช้ทำเป็นแป้งไว้สำหรับขัดผิวได้ โดยจะช่วยทำให้ผิวดูผุดผ่อง ช่วยปกป้องผิว
จากอนุมูลอิสระ ช่วยลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำและไม่ทำให้เกิดสิว ซึ่งวิธีการทำไพลขัดผิว ก็ให้นำเหง้าไพล
มาหั่นแบบหยาบ ๆ ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในโถปั่น แล้วตามด้วยดินสอพอง 3 ถ้วยตวง นำมาทุบให้พอ
แตกแล้วใส่ลงไปในเครื่องปั่นและปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นให้เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยตวง และ
ปั่นให้เข้ากันอีกครั้ง เมื่อได้ครีมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วให้นำมาปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง
สนิทเก็บไว้ใส่ขวด ก็จะได้แป้งไพลที่สามารถนำมาใช้ขัดผิวได้แล้ว ซึ่งวิธีการใช้ก็นำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำ
มาพอกบริเวณผิวทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วค่อยล้างออก
ไพลทาหน้าหรือการพอกหน้าด้วยไพล ด้วยการใช้แป้งไพลจำนวน 2-3 ก้อนนำมาผสมกับน้ำเย็นแล้วนำมา
พอกหน้าก่อนเข้านอน ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูอ่อนนุ่ม ในสูตรสามารถเติม
นมสดหรือโยเกิร์ตประมาณ 2 ช้อนชาลงไปด้วยก็ได้
แหล่งอ้างอิง : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), เว็บไซต์สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, เว็บไซานข้อมูลเครื่อยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร มหา
วิทยาลัยมหิดล, การศึกษาสารสกัดจากไพลใช้ทาผิวหนังกันยุงกัด วารสารกรมวิทยา ศาสตร์การแพทย์ (พันธุ์อุไร, ประคอง)
ภาพประกอบ : เว็บไซต์ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (by Sudarat Homhual), เว็บไซต์ boonrarat.net, เว็บไซต์ organicthailand.com
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)
ป็นเนื้อหาของบทความหรือสินค้าโดยละเอียด
กรุณาใส่ข้อความ …